ข้ามไปเนื้อหา

ซ้องกั๋ง/เล่ม ๑/ตอน ๑๑

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑๑๘–๑๓๐ สารบัญ



ในขณะนั้น พอชาจินตื่นเดินมาได้ยินเสียงอื้ออึงจึงถามว่า ทุบตีอะไรอื้ออึงนัก ผู้เฒ่านั้นเข้าแจ้งว่า เวลาคืนนี้มีผู้ร้ายมาลักข้าว พวกข้าพเจ้าตับได้เอาตัวมัดไว้แล้วก็เฆี่ยนตี ชาตัวกัวหนังเดินมาดูเห็นลิมชองก็จำได้ ร้องห้ามพวกเหล่านั้นว่า อย่าทำเลย ชาตัวกัวหนังก็ตรงเข้าไปแก้มัดแล้วถามลิมชองว่า เหตุไฉนท่านจึงมาให้เขาจับไว้ดังนี้เล่า ลิมชองก็เล่าความตั้งแต่ต้นจนปลายให้ฟังทุกประการ ชาตัวกัวหนังจึงพูดว่า วาสนาของท่านตกแต่งให้ จะทำอย่างไรได้ ซึ่งบ้านของข้าพเจ้านี้ไม่มีผู้ใดไปมาดอก ท่านจงพักอยู่ที่ด้วยกันก่อนเถิด ภายหลังจึงคิดอ่านต่อไป ชาตัวกัวหนังก็พาลิมชองเข้าไปข้างใน จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยง แล้วลิมชองก็อยู่กับชาตัวกัวหนังที่ตำบลบ้านตังเคยชึง

ฝ่ายผู้กำกับคุกครั้นแจ้งว่า ลิมชองฆ่าผู้คุม กับเล็กเคียม ฮูอัน ตาย ก็โกรธยิ่งนัก จึงทำเรื่องราวไปฟ้องต่อผู้รักษาเมืองชองจิวว่า ลิมชองฆ่าผู้คุม กับเล็กเคียม และฮูอัน แล้วเอาไฟเผาโรงฟางฉางถั่วต่าง ๆ ของหลวงเสียด้วย ผู้รักษาเมืองชองจิวรับเรื่องราวแจ้งความแล้วก็ตกใจ หาช่างมาวาดรูปลิมชองกับเขียนหนังสือไปถึงหัวเมืองและด่านทางทุก ๆ ตำบลให้จับตัวลิมชองส่งมาให้ได้ โทษของลิมชองประการใดก็มีแจ้งในหนังสือทั้งสิ้น ถ้ามีผู้ใดมารับสินบนจับตัวได้จะให้เงินสามพันตำลึงเป็นค่าสินบน เขียนหนังสือวาดรูปลิมชองเสร็จแล้ว ก็มอบให้ม้าใช้ถือแยกกันไปทุก ๆ เมือง

ฝ่ายผู้รักษาเมืองและด่านทางทั้งปวงรับหนังสือแจ้งความแล้ว จึงจัดหาผู้คนให้เอาฉากเขียนรูปลิมชองไปเที่ยวบนบานสืบเสาะค้นหาจับตัวลิมชองอยู่ทุกเมืองมิได้ขาด

ฝ่ายลิมชองอยู่ในบ้านชาตัวกัวหนังได้ประมาณสิบวัน เวลาวันนั้น ชาตัวกัวหนังไปเที่ยวเล่นไม่อยู่ ลิมชองรู้ความว่า เขาวาดรูปของตัวมาเที่ยวค้นหาจะจับตัวอยู่ทุกบ้านทุกตำบล ก็มีความวิตกเป็นอันมาก ครั้นชาตัวกัวหนังกลับมา ลิมชองจึงพูดกับชาตัวกัวหนังว่า ข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านหลายวันแล้ว ท่านรักใคร่เลี้ยงข้าพเจ้าไว้ พระคุณเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ ข้าพเจ้าแจ้งว่า เขาเที่ยวค้นหาทุกบ้านทุกตำบลจะจับตัวข้าพเจ้า ถ้าเขามาพบปะข้าพเจ้าที่บ้านท่าน ก็จะพาให้ท่านได้ความลำบากต่อไป ข้าพเจ้าจะลาท่านไปเที่ยวหาที่สำนักอาศัยใหม่ ซึ่งพระคุณของท่านที่ได้อุปถัมภ์และชุบเลี้ยงมานั้น ข้าพเจ้าหาลืมไม่ ถ้าตายไปเป็นโคและกระบือก็คงจะมาตอบแทนพระคุณท่าน ซึ่งการครั้งนี้มิใช่ให้ข้าพเจ้าอยู่เมื่อไร ข้าพเจ้าเห็นว่า อยู่ไม่ได้ กลัวจะมีภัยถึงท่าน ข้าพเจ้าจะขอแต่เงินไปซื้อกินตามทางบ้างเล็กน้อยก็จะลาไป ท่านจงอยู่ให้มีความสุขเถิด ชาตัวกัวหนังว่า ซึ่งท่านจะไปก็ตามใจเถิด เรามีที่สำนักอยู่แห่งหนึ่งพออาศัยได้ เราจะมีหนังสือให้ถือไปเป็นสำคัญ ท่านอย่าวิตกเลย ลิมชองจึงถามว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปสำนักที่ไหน จงแจ้งให้ทราบด้วย ชาตัวกัวหนังจึงบอกว่า จะให้ท่านไปอาศัยอยู่ตำบลเนียซัวเปาะ อยู่ในแขวงเมืองเจ๋จิวฮู้ซึ่งขึ้นกับเมืองซัวตังแซ ตำบลเนียซัวเปาะนั้นเป็นเกาะอยู่ในแม่น้ำ เกาะนั้นกว้างใหญ่โดยรอบถึงแปดร้อยลี้เศษ กลางเกาะมีกำแพงเมืองรอบเรียกว่า อวนจือเสีย มีแม่น้ำอยู่ในกำแพงแห่งหนึ่งเรียกว่า เลียวยิกัง ซึ่งเกาะตำบลเนียซัวเปาะนั้นทางบกไปไม่ได้ จะไปจะมาก็ต้องเอาเรือไป มีนายอยู่สามคนฝีมือเข้มแข็ง คนหนึ่งชื่อ เฮงหลุย ยี่ห้อเรียกว่า แปะซาซิ้วสือ เดิมเป็นคนเรียกหนังสือแล้วมาเป็นนายโจร ที่สองชื่อ โต๊วเชียน ยี่ห้อเรียกว่า มงเตี้ย คนที่สามชื่อ ซองบาน ยี่ห้อเรียกว่า อิมลี้กิมกง สามนายนี้ไปตั้งซ่องสุมเกลี้ยกล่อมได้ไพร่พลประมาณเจ็ดแปดร้อยคน เที่ยวตีปล้นเลี้ยงชีวิตอยู่มิได้ขาด ซึ่งผู้ต้องโทษหลวงถึงตายนั้นหนีไปอยู่กับนายโจรทั้งสามที่ตำบลเกาะเนียซัวเปาะเป็นอันมาก ไม่มีผู้ใดไปจับได้ ซึ่งนายโจรทั้งสามก็อยากจะใคร่ได้คนที่ต้องโทษและฝีมือเข้มแข็งไปอยู่ด้วย ข้าพเจ้ากับนายโจรทั้งสามก็ชอบพอรักใคร่กัน ถ้าท่านเอาหนังสือของข้าพเจ้าไปให้นายโจรแจ้งความแล้ว ท่านก็คงอยู่เป็นสุขสืบไป ลิมชองได้ฟังก็ยินดี จึงพูดว่า ท่านสงเคราะห์กับข้าพเจ้าทั้งนี้ พระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ทางซึ่งจะเดินก็ต้องไปตามทางด่าน มีผู้มาตรวจตราคอยจับตัวอยู่ที่ด่านเข้มแข็งนัก จะคิดประการใดจึงจะหนีด่านออกไปได้

ชาตัวกัวหนังได้ฟังก็นั่งตรีกตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะคิดหาอุบายให้ไปจงได้ แล้วเขียนหนังสือไปถึงนายโจรทั้งสามขอฝากฝังลิมชองด้วย ครั้นเขียนหนังสือเสร็จจึงเอาเงินกับหนังสือใส่ในห่อผ้าของลิมชองให้คนใช้ถือไปคอยอยู่นอกด่าน คนใช้รับห่อผ้าคำนับลาไปคอยอยู่ตามสั่ง รุ่งขึ้นเช้า ชาตัวกัวหนังจึงให้จัดม้ายี่สิบม้า กับเครื่องศัสตราวุธและเกาทัณฑ์ที่จะเที่ยวยิงเนื้อ จัดแจงพร้อมแล้วชาตัวกัวหนังก็ให้ลิมชองขึ้นม้าไปหมู่ด้วยกัน ขับม้าไปถึงด่าน เห็นขุนนางนายด่านคอยตรวจตราอยู่ ชาตัวกัวหนังก็ทำเป็นไม่รู้ ถามว่า ท่านทั้งนี้มาอยู่ที่ด่านด้วยเหตุผลอันใด ขุนนางนายทหารบอกว่า ผู้รักษาเมืองชองจิวให้ข้าพเจ้ามาคอยตรวจตราจับตัวลิมชองคนโทษถึงตายหนีมา ชาตัวกัวหนังว่า เราจะไปเที่ยวยิงเนื้อในป่า ท่านจงมาตรวจตราดูเสียว่า จะมีลิมชองหรือไม่ เราจะได้ไป ขุนนางนายทหารจึงตอบว่า ท่านเทือกเถาเหล่าสกุล ที่ไหนจะคบกับคนโทษ ข้าพเจ้าไม่ต้องตรวจก็เชิญท่านไปเถิด ชาตัวกัวหนังก็ขับม้านำหน้าพาลิมชองกับพวกของตัวขี่ม้าออกจากด่านไปไกล แล้วเห็นคนใช้ถือห่อผ้ามาคอยท่าอยู่ ลิมชองลงมารับเอาห่อผ้า ลาชาตัวกัวหนังแยกทางไป ชาตัวกัวหนังกับพวกพ้องบ่าวไพร่เที่ยวไล่ยิงเนื้อในป่าจนเย็นค่ำก็กลับมาถึงด่าน เอาเนื้อที่ยิงมาได้นั้นให้ผู้ตรวจบ้างเล็กน้อย แล้วก็กลับมาบ้าน

ฝ่ายลิมชอง ครั้นเดินทางไปได้สิบเจ็ดวัน ในขณะนั้นยังเป็นฤดูหนาว หมอกลงเปียกทั้งตัว ก็อุตส่าห์ทนหนาวเดินไปใกล้จะถึงแม่น้ำใหญ่ เห็นมีโรงขายสุราอยู่ริมแม่น้ำโรงหนึ่ง ลิมชองตรงเข้าไปในโรง เอาห่อผ้ากับสิ่งของวางไว้บนโต๊ะแล้ว เจ้าของขายสุราจึงถามลิมชองว่า ท่านจะซื้อสุราสักเท่าไร ลิมชองบอกว่า จะซื้อสักสี่ห้าทะนาน ของที่กินกับสุรานั้นมีบ้างหรือไม่ เจ้าของขายสุราบอกว่า กับแกล้มมีอยู่หลายสิ่ง ท่านจะกินสิ่งใด ลิมชองว่า ตามแต่ท่านจะจัดหามาเถิด ข้าพเจ้ากินได้ทุกสิ่ง เจ้าของขายสุราก็จัดหาสิ่งของกับสุรายกมาให้ ลิมชองก็นั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ในโรง เห็นชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากในโรง รูปร่างสูงใหญ่ หนวดเหลือง มีลักษณะดี ไปยืนอยู่ที่หน้าโรง แล้วถามเจ้าของขายสุราว่า ผู้ใดมาซื้อสุรากิน เจ้าของขายสุราบอกว่า ไม่รู้จัก ชายผู้นั้นก็ยืนดูอยู่ ลิมชองเห็นดังนั้นก็มิได้ไต่ถามประการใด ร้องเรียกเจ้าของขายสุรามาเสพสุราด้วยกัน แล้วลิมชองถามเจ้าของขายสุราว่า ตั้งแต่นี้ไปเนียซัวเปาะใกล้หรือไกล เจ้าของขายสุราว่า แต่นี้ไปเนียซัวเปาะไม่สู้ไกล ประมาณทางได้สามสี่ลี้ ต้องมีเรือจึงจะไปได้ ลิมชองว่า ท่านจงเช่าเรือให้ลำหนึ่งเถิด เงินมากน้อยเท่าไรข้าพเจ้าจะให้ เจ้าของขายสุราว่า กำลังหมอกลงมาก หนาวนัก ไม่เห็นมีผู้ใดเอาเรือมา จะไปเช่าหาที่ไหน ลิมชองได้ฟังก็มีความวิตก จึงคิดว่า เดิมเราเป็นครูทหารอยู่ ณ ตังเกียเมืองหลวง มีความสุข เที่ยวเสพสุราตามสบาย ไม่แจ้งว่า กอไทอวยจะคิดร้ายทำให้เราได้ความลำบากทนทุกขเวทนาหลบหลีกมาจนถึงตำบลนี้ ถึงมีบ้านเรือนก็กลับไปไม่ได้ จะเที่ยวไปเมืองใดก็กลัวเขาจะจับตัว ครั้นจะไปเนียซัวเปาะก็ไม่มีเรือ จะทำประการใดดี คิดแล้วก็ไม่มีความสบายใจ จึงพูดกับเจ้าของขายสุราว่า ขอยืมพู่กันกับที่ฝนหมึกเขียนหนังสือมาให้ข้าพเจ้าสักครู่หนึ่งเถิด เจ้าของขายสุราก็เอาพู่กันที่ฝนหมึกมาให้ ลิมชองก็เอาพู่กันเขียนคำโคลงไว้ที่ฝาแปดคำ ใจความว่า ตัวข้าพเจ้าชื่อ ลิมชอง เป็นคนดีใจสัตย์ซื่อมั่นคงนัก ตั้งใจทำราชการเป็นครูทหารอยู่ ณ เมืองหลวง ปรารถนาจะให้ชื่อเสียงปรากฏก็ไม่สมคิด ถ้าสืบไปภายหน้ามีวาสนาแล้วก็จะกลับไปอยู่เมืองหลวง เขียนคำโคลงแล้วก็เอาพู่กันส่งให้เจ้าของ ลิมชองก็นั่งเสพสุราอยู่ที่นั่น

ฝ่ายชายรูปร่างสูงใหญ่ไปยืนดูหมอกนั้น ครั้นเห็นลิมชองเขียนคำโคลงไว้ที่ฝา ก็ตรงเข้ามาตบหลังลิมชอง แล้วพูดว่า ท่านนี้ช่างกล้าหาญนัก มาจนถึงที่นี่ ท่านฆ่าคนตายกับเอาไฟเผาของหลวงที่เมืองชองจิวเสีย บัดนี้ เขาบนจับตัวท่านถึงสามพันตำลึง ยังไม่รู้หรือ ลิมชองตกใจบอกว่า ไม่ใช่ลิมชองดอก ข้าพเจ้าแซ่เตี้ยต่างหาก ชายผู้นั้นก็หัวเราะแล้วถามว่า ชื่อลิมชองเป็นครูทหารอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวงนั่นไม่ใช่หรือ ท่าหาบอกตามจริงไม่ คำโคลงที่ฝานั้นท่านเขียนไว้ชื่อของผู้ใดเล่า ลิมชองก็จนใจ จึงถามว่า จะมาจับข้าพเจ้าหรือ ชายผู้นั้นตอบว่า เราจะจับท่านไปทำไม พูดแล้วก็จูงมือลิมชองเข้าไปข้างใน สั่งให้จัดโต๊ะและสุรามา แล้วชายผู้นั้นกับลิมชองก็พากันไปนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกัน ชายผู้นั้นถามลิมชองว่า ท่านจะไปเที่ยวเนียซัวเปาะ ที่เนียซัวเปาะนั้นมีแต่คนฝีมือเข้มแข็งทั้งนั้น ชายผู้นั้นบอก แล้วลิมชองก็ว่า ข้าพเจ้าก็ไม่ปิดบังท่าน บัดนี้ ทางหัวเมืองทั้งปวงเขาคอยจับตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีที่สำนักอาศัย จึงได้หนีมา หมายว่า จะไปอยู่ที่เนียซัวเปาะ ชายผู้นั้นว่า ถ้าท่านจะไปอยู่เนียซัวเปาะนั้นก็ต้องมีผู้ฝากฝังจึงจะอยู่ได้ ลิมชองว่า ข้าพเจ้ามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งอยู่ที่เมืองชองจิว ตำบลบ้านเฮงไฮฮู้ มีหนังสือฝากฝังข้าพเจ้ามาแล้ว

ชายผู้นั้นได้ฟังก็ถามว่า ที่ตำบลบ้านเฮงไฮฮู้นั้นเห็นจะเป็นชาจินที่เรียกว่า เซียวซวนฮอง ลางคนก็เรียกว่า ชาตัวกัวหนัง กระนั้นหรือ ลิมชองว่า นั่นแหละ เหตุไฉนท่านจึงรู้จักชาตัวกัวหนังเล่า ชายผู้นั้นจึงตอบว่า ชาตัวกัวหนังกับนายโจรทั้งสามที่เนียซัวเปาะนั้นชอบพอรักใคร่กันเป็นอันมาก มีหนังสือไปมาถึงกันมิได้ขาด แต่เดิมเฮงหลุน นายโจรที่หนึ่ง กับโต๊วเชียน นายโจรที่สอง เป็นคนเล่าเรียนหนังสือ ได้เป็นขุนนางที่ซิวจ๋ายฝ่ายบุ๋น ครั้นถึงปีแปลหนังสือแย่งชิงที่จอหงวนกัน เฮงหลุนกับโต๊วเชียนไปแปลหนังสือแย่งชิงจอหงวนที่เมืองหลวงก็ไม่ได้ จึงชวนกันกลับมาเมืองชองจิว เฮงหลุนกับโต๊วเชียนไม่มีเงินทองจะซื้ออาหารกิน เดินทางกลับไม่ได้ ชาตัวกัวหนังแจ้งความแล้วจึงได้ชวนเฮงหลุนกับโต๊วเชียนไปอยู่ที่บ้านช้านาน แล้วให้เงินทองไปซื้อกินตามทาง เดิมชาตัวกัวหนังได้มีคุณกับเฮงหลุน พวกพ้องของเรา จึงได้รักใคร่กันยืดยาวมา ลิมชองได้ฟังก็ลุกขึ้นคำนับแล้วถามว่า ท่านแซ่ใด ชื่อไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบ ชายผู้นั้นก็บอกว่า ข้าพเจ้าชื่อแซ่ จู ชื่อ กุ้ย คนทั้งหลายเรียกว่า ฮันติฮุดลุด ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองกิจิว ตำบลบ้านกิจุยกุ้ย เป็นลูกมือของเฮงหลุนนายใหญ่ เฮงหลุนให้ข้าพเจ้าตั้งโรงขายสุรา เมื่อมีพ่อค้าใหญ่มาทางนี้ ถึงจะมั่งมีเงินทองผู้คนมากมาย นายโจรก็หาเกรงไม่ จะคุมพรรคพวกฆ่าพ่อค้าเสีย แล้วแย่งชิงเอาทรัพย์สิ่งของไป ถ้ามาแต่ผู้เดียวเข้าอาศัยซื้อสุรากิน ก็จะเอายาพิษใส่ในสุราให้กินตาย จะได้เอาทรัพย์สิ่งของ คนที่ไม่มีเงินทองปล่อยไปบ้างก็มี ฆ่าเสียก็มี เอาเนื้อมาทำขนมต่าง ๆ ขาย นี่หากว่าท่านมาถึงก็พูดว่า จะไปเนียซัวเปาะ พวกข้าพเจ้าจึงไม่ได้ใส่ยาพิษในสุรา ถ้าไม่ถามถึงเนียซัวเปาะ ชีวิตท่านก็คงตาย นี่เป็นบุญหนักหนา เผอิญให้พูดขึ้น จึงได้รู้จักกัน เมื่อวันก่อน มีคนชาวเมืองตังเกียมาพูดจาเลื่องลือถึงชื่อท่านว่า มีฝีมีเข้มแข็ง ซึ่งจะไปเนียซัวเปาะนั้นเรือของเรามี เวลาพรุ่งนี้จึงค่อยไป ค่ำวันนี้ค้างอยู่ที่นี่ก่อน พูดจากันให้สบาย

ลิมชองได้ฟังก็ยินดี ค้างอยู่ที่โรงขายสุราคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเช้า จูกุ้ยเปิดหน้าต่างโรงข้างแม่น้ำออก แล้วหยิบลูกเกาทัณฑ์นั้นยิงตรงไปที่เกาะ ลิมชองเห็นจึงถามว่า ท่านทำอะไร จูกุ้ยบอกว่า พวกข้าพเจ้าที่เนียซัวเปาะสัญญากันไว้ ถ้ายินเกาทัณฑ์ไป บัดเดี๋ยวใจที่เกาะเนียซัวเปาะก็แจวเรือมารับ ลิมชองได้ฟังก็ยินดี ยืนอยู่ที่หน้าต่างโรง

ฝ่ายพวกโจรที่สำหรับเฝ้าอยู่นั้น ครั้นเห็นลูกเกาทัณฑ์สัญญามาตกลงตรงหน้า ก็ชวนกันลงเรือแจวไป ลิมชองเห็นเรือแจวไป ลิมชองเห็นเรือแจวมา มีความยินดีนัก ครั้นเรือมาถึงฝั่ง จูกุ้ยจึงชวนลิมชองลงเรือฝั่ง พวกโจรก็แจวเรือกลับไปถึงเกาะเนียซัวเปาะ ครั้นถึงฝั่ง จูกุ้ยกับลิมชองพากันขึ้นไป พวกโจรเหล่านั้นก็สะพายห่อผ้าของลิมชองเดินตามไป ลิมชองเห็นสองข้างทางมีต้นไม้ใหญ่เรียงรายเป็นแถวไปจนถึงด่าน ที่ด่านนั้นมีเครื่องศัสตราวุธต่าง ๆ วางไว้เป็นอันมาก ลิมชองเดินตามจูกุ้ยพ้นสามด่าน แล้วก็ขึ้นไปบนเนิน เห็นมีภูเขาสูงใหญ่ล้อมรอบเกาะ ที่กลางเกาะนั้นแผ่นดินราบเสมอกว้างใหญ่ มีบ้านเรือนเรียงรายติด ๆ กันเป็นนักหนา ลิมชองจึงคิดว่า ที่เนียซัวเปาะนี้ที่ทางแน่นหนาแข็งแรงนัก ถ้าหากว่ากองทัพจะยกมาสักเท่าไร ๆ ก็ตีหักเข้ามาไม่ได้ เดินไปจนถึงสำนักนายโจรทั้งสามแล้ว จูกุ้ยพาลิมชองเข้าไปข้างใน บอกว่า นายโจรทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น ท่านไปคำนับเสีย ลิมชองจึงเข้าไปคำนับนายโจรทั้งสาม แล้วถอยออกมายืนอยู่ จูกุ้ยก็แจ้งกับนายโจรทั้งสามว่า ซึ่งท่านผู้นี้เดิมเป็นครูทหารอยู่ตังเกียเมืองหลวง แซ่ ลิม ชื่อ ชอง กอไทอวยแกล้งข่มเหงกดขี่จับตัวไปทำโทษแล้วเนรเทศมาเมืองชองจิว เกิดไฟไหม้โรงฟางฉางถั่วของหลวง ลิมชองฆ่าคนตายสามคนแล้วหนีไปอยู่กับชาตัวกัวหนัง ลิมชองกลัวว่า เขาจะมาจับตัวไป ชาตัวกัวหนังจึงเขียนหนังสือให้ลิมชองถือมาให้อยู่กับท่าน พอจูกุ้ยแจ้งดังนั้นลิมชองก็เอาหนังสือส่งให้ เฮงหลุน นายโจรใหญ่ ได้ฟังแล้วรับเอาหนังสือฉีกออกอ่านแจ้งความทุกประการ ก็ให้ยกเก้าอี้มาให้ลิมชองนั่งเป็นลำดับลงมาทั้งห้านาย สั่งให้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกันสำเร็จแล้ว เฮงหลุนก็ถามลิมชองว่า เมื่อท่านจะมานั้น ชาตัวกัวหนังมีธุระสิ่งใดบ้างหรือประการใด ลิมชองแจ้งว่า เมื่อข้าพเจ้ามานั้น ชาตัวกัวหนังมาเที่ยวยิงเนื้อเล่นในป่า ธุระการงานสิ่งใดก็ไม่มี เฮงหลุนได้ฟังดังนั้นมีใจอิจฉาลิมชอง จึงคิดว่า ตัวเราเดิมเป็นคนเล่าเรียนหนังสือแล้วจึงได้มาเป็นโจรอยู่ตำบลเนียซัวเปาะ ฝีมือเราก็ไม่สู้เข้มแข็ง โต๊วเชียน กับซองบาน และไพร่พลเหล่านี้ก็ไม่มีใครฝีมือดี ซึ่งลิมชองเป็นครูทหารอยู่ ณ เมืองหลวง ฝีมืดคงเข้มแข็งกว่าพวกเราทั้งสิ้น ถ้านานไปข้างหน้า ลิมชองรู้ว่า พวกเรานี้ฝีมือสู้ไม่ได้ คงจะดูถูกเรา ตั้งตัวเป็นใหญ่ พวกเราก็จะสู้ฝีมือลิมชองไม่ได้ ครั้นจะให้อยู่ไป จะพาพวกเราได้ความลำบาก ถ้าจะเสือกไสให้ลิมชองไปเสียไม่รับไว้ ก็คิดถึงชาตัวกัวหนังซึ่งมีคุณกับเราได้มีหนังสือมาว่ากล่าวฝากฝังเป็นหนักหนา จะทำประการใดดี ถ้าให้ลิมชองอยู่ที่นี้เห็นจะไม่ได้ จำต้องให้ไปเสีย ถ้าแม้นว่าชาตัวกัวหนังจะโกรธประการใด จึงค่อยคิดอ่านแก้ตัวต่อภายหลัง คิดดังนั้นแล้ว เฮงหลุนนายโจรจึงเอาเงินห้าสิบตำลึงกับแพรสีสองไม้วางไว้บนโต๊ะ แล้วพูดกับลิมชองว่า ชาตัวกัวหนังให้ท่านมาอยู่กับข้าพเจ้า ซึ่งตำบลเนียซัวเปาะนี้ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่มี เสบียงอาหารเบาบาง ที่ทางไม่มั่นคง ไพร่พลน้อยฝีมือไม่เข้มแข็ง นานไปข้างหน้าจะพาท่านได้ความลำบาก ท่านจงไปหาที่ที่มีไพร่พลมาก ทรัพย์สินสิ่งของเสบียงอาหารบริบูรณ์ ที่ทางมั่นคง จึงจะสำนักอาศัยได้ นานไปก็จะมีความสุข ท่านจะอยู่กับพวกข้าพเจ้านี้เห็นจะไม่ได้ เงินกับแพรสองไม้จงเอาไปใช้ตามทางเถิด

ลิมชองได้ฟังจึงพูดว่า ข้าพเจ้าอุตส่าห์เดินทางมาสามิภักดิ์อยู่กับท่าน ก็เพราะชาตัวกัวหนังรู้จักกับท่านจึงได้มีหนังสือมา ซึ่งตัวข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อดอก ตั้งใจมาอยู่แล้ว ตามแต่ท่านจะใช้ เป็นตายประการใดก็ไม่คิดชีวิต ซึ่งข้าพเจ้ามาครั้งนี้มิใช่จะเห็นแก่เงินทองสิ่งของเมื่อไร จะมาอยู่กับท่านโดยสุจริตใจ เฮงหลุนนายโจรตอบว่า ตำบลนี้เล็กน้อย อยู่ที่ไหนก็ได้ จูกุ้ยจึงพูดกับเฮงหลุนว่า พี่ทำดังนั้นไม่ถูก ถึงเสบียงอาหารของเราเบาบางลงน้อยก็จริง แต่ตำบลบ้านใกล้ ๆ แถวนี้จะไปขอยืมเอาที่ไหนก็ได้ ซึ่งว่าที่ทางคับแคบไม่พออยู่นั้น ไม้ที่จะปลูกเรือนก็มีถมไป พี่อย่าวิตกเลย ซึ่งชาตัวกัวหนังให้ลิมชองมาอยู่ด้วย พี่จะไล่เสียนั้น ถ้ารู้ไปถึงชาตัวกัวหนังแล้วก็ไม่สู้ดี ด้วยเขามีคุณกับพี่เป็นอันมาก ลิมชองนี้สติปัญญาดี ฝีมือเข้มแข็ง ได้ความโกรธแค้นกลับไปก็คงจะคิดมาทดแทน โต๊วเชีย นายโจรที่สอง จึงพูดว่า ซึ่งตำบลเนียซัวเปาะนี้มิใช่เข้ามาอยู่แต่ลิมชองคนเดียวเมื่อไร ก็คนทั้งหลายเขามาอยู่ด้วยถมไปก็ยังให้เขาอยู่ได้ ถ้าพี่ไม่รับลิมชองไว้ ชาตัวกัวหนังรู้คงแค้นเคืองว่า พวกเราไม่มีกตัญญู เดิมเขาก็ได้มีคุณกับพวกเรามาก เขาให้คนมาอยู่ด้วยคนหนึ่งก็ขับไล่เสียดังนี้ เห็นจะไม่ดีดอกกระมัง ซองบานจึงพูดว่า พี่เห็นแก่หน้าชาตัวกัวหนังเถิด ให้ลิมชองได้เป็นนายว่ากล่าวสิ่งใดบ้างเล็กน้อย อย่าให้คนทั้งหลายนินทาว่า เราไม่มีกตัญญูต่อผู้มีคุณเลย คนที่มีฝีมือเข้มแข็งในแผ่นดินจะไม่ดูหมิ่นหัวเราะได้ เฮงหลุนจึงแกล้งพูดว่า พี่น้องทั้งหลายไม่รู้ ซึ่งลิมชองนั้นอยู่ที่เมืองชองจิวฆ่าคนตาย เอาไฟเผาของหลวงเสีย โทษทัณฑ์มากนัก บัดนี้ ลิมชองหนีมาอยู่กับเรา ไม่แจ้งว่า ใจของลิมชองจะคิดประการใด หรือลิมชองแต่งกลอุบายดูท่าทางพวกเรา แล้วก็จะหนีกลับไปคิดเป็นไส้ศึกขึ้นดอกกระมัง ลิมชองจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นชายชาติทหาร ถึงกระทำการอื่น ๆ ไม่ดีประการใด แต่น้ำใจของข้าพเจ้าสัตย์ซื่อกตัญญูต่อผู้มีคุณยิ่งนัก ถึงจะเอาไปสับแผ่แล่เนื้อประการใดก็ดี ที่จะคิดร้ายต่อผู้มีคุณนั้นอย่าหมายเลย ข้าพเจ้านี้ก็มีความผิดติดตัว จึงได้หนีมาสามิภักดิ์อยู่กับท่าน ท่านจะมาคิดระแวงสงสัยข้าพเจ้าดังนี้หาควรไม่ เฮงหลุนจึงพูดว่า ถ้าท่านมีใจจะมาอยู่ด้วยกันจริงแล้ว ก็ต้องเอาชื่อเสียงมาคำนับตามธรรมเนียม จึงจะอยู่ด้วยกันได้ ลิมชองสำคัญว่า ต้องเขียนชื่อเสียงให้ ก็พูดว่า ข้าพเจ้าได้เรียนหนังสือรู้จักอยู่บ้าง ท่านจงเอากระดาษกับพู่กันมา จะเขียนแซ่และชื่อให้

จูกุยได้ฟังลิมชองว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดกับลิมชองว่า ไม่ใช่ให้เขียนแซ่และชื่อดอก ซึ่งธรรมเนียมที่เนียซัวเปาะนี้ ถ้ามีผู้ใดเข้ามาเป็นพี่น้องพวกพ้อง ก็ต้องไปตัดเอาศีรษะคนมาคำนับในสามวันศีรษะหนึ่ง จึงจะเข้าเป็นพี่น้องพวกพ้องด้วยกันได้ ลิมชองว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักธรรมเนียม สำคัญว่า เขียนแซ่และชื่อมาให้ท่าน ถ้ากระนั้น เวลาพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าจะลาไปเที่ยวหาตัดเอาศีรษะคนมาให้ท่าน เฮงหลุนว่า ถ้าในสามเวลานี้ไปเที่ยวตัดศีรษะมาคำนับได้ จะให้เข้าเป็นพวกพ้อง ถ้าพ้นสามวันไป ถึงตัดศีรษะมาได้ ก็ไม่ให้เข้าด้วย พูดกันตกลงแล้ว จูกุยก็ลากลับไปยังโรงขายสุราตามเดิม

เฮงหลุนสั่งพวกโจรจัดห้องให้ลิมชองอาศัย พวกโจรก็พาลิมชองไปที่สำนักแล้ว ครั้นรุ้งเช้า ลิมชองแต่งตัวเหน็บกระบี่ พวกโจรนำทางมาลงเรือแจวข้ามไปถึงฝั่ง ลิมชองขึ้นไปซุ่มอยู่ริมทางคอยผู้คนเดินไปมาก็จะฆ่าเสียให้ตาย แต่ลิมชองคอยอยู่ที่นั้นจนเวลาค่ำก็ไม่เห็นมีคน ลิมชองกับพวกโจรคนหนึ่งจึงลงเรือกลับมาที่อยู่ เฮงหลุนถามลิมชองว่า ได้ชื่อมาคำนับแล้วหรือ ลิมชองว่า เวลาวันนี้คอยอยู่จนค่ำก็ไม่เห็นมีผู้คนเดินมา เฮงหลุนว่า เวลาพรุ่งนี้ไม่ได้ชื่อมาคำนับ เห็นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ลิมชองได้ฟังมิได้โต้ตอบประการใด รุ่งขึ้นเช้าก็ลงเรือแจวไปกับพวกโจรหนึ่ง โจรคนนั้นจึงพูดว่า เวลาวันนี้ เราไปซุ่มอยู่ข้างทิศใต้คงจะมีคนไปมา ลิมชองว่า เจ้าพาเราไปเถิด โจรนั้นก็รีบแจวเรือไปถึงฝั่ง ลิมชองขึ้นไปซุ่มอยู่ริมทางได้ครึ่งวัน เห็นชายพวกหนึ่งประมาณสามร้อยคนชวนกันเดินมา ลิมชองจะเข้าไปฆ่าตัดเอาศีรษะสักคน เห็นผู้คนมามากไม่อาจทำ เวลาค่ำ ชวนกันจะลงเรือแจวกลับมา ลิมชองจึงพูดกับโจรพวกนั้นว่า วาสนาของเราเอง จะทำอย่างไรได้ มาคอยอยู่ถึงสองวันก็ไม่เห็นมีผู้ใด ถ้ามีมาก็ตั้งร้อยตั้งพัน คนเราคนเดียวจะทำประการใด เห็นจะไม่ได้อยู่ด้วยกันดอกกระมัง โจรผู้นั้นว่า ท่านอย่าวิตกยังอีกวันหนึ่งจึงจะครบกำหนดสามวัน เวลาพรุ่งนี้ จะพาท่านไปคอยข้างเขาทิศตะวันออก คงมีคนเดินไปมา พูดแล้วก็แจวเรือกลับไปที่อยู่ เฮงหลุนเห็นลิมชองมาจึงถามว่า ได้มาหรือเปล่า ลิมชองไม่รู้ที่จะโต้ตอบประการใด ถอนใจใหญ่ แล้วก้มหน้ายืนนิ่งอยู่ เฮงหลุนว่า เราได้กำหนดไว้สามวัน ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ท่านอย่ามาให้เห็นหน้าเลย จงไปให้พ้นเถิด ลิมชองได้ฟังก็ไปยังที่สำนัก มีความวิตกเป็นอันมาก แหงนหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วคิดว่า เกิดมาชาตินี้ช่างกระไรนัก กอไทอวยทำจนยับเยินมาตกทุกข์ได้ยาก เทพารักษ์ทั้งหลายช่างไม่ช่วยข้าพเจ้าบ้างเลย จะไม่ให้อยู่ที่เนียซัวเปาะนี้แล้วหรือ ยังพรุ่งนี้อีกเวลาเดียวที่ไหนจะได้ คิดแล้วก็จัดห่อผ้าและเสื้อกางเกงของตัววางไว้ ครั้นรุ่งเช้าก็ลงเรือมากับโจรผู้นั้นถึงฝั่งทิศตะวันออก ลิมชองขึ้นไปซุ่มอยู่ริมฝั่งอีกครึ่งวันก็ไม่เห็นคนเดินไปมา ลิมชองจึงบอกกับโจรผู้นั้นว่า เรามาคอยอยู่ครึ่งวันแล้วก็ไม่มีคนเดิน เราจะกลับไปเอาห่อผ้ามาเสีย จะได้เที่ยวหาที่อาศัยต่อไป พอโจรผู้นั้นเหลียวหลังไปดูเห็นคนหาบสิ่งของมา ก็บอกลิมชองว่า ท่านอย่าเพิ่งกลับไปเลย มีคนหาบของเดินมาโน่นแล้ว ลิมชองเหลียวไปดูเห็นคนหาบของเดินมา มีความยินดี จึงพูดว่า เทพดาดลใจให้คนเดินมา เห็นจะไม่ต้องไปเอาห่อผ้าแล้ว เมื่อพูดแล้วก็ชักกระบี่ที่เหน็บออกจากฝังตรงไปจะฆ่า ชายที่หาบของเดินเห็นลิมชองถือกระบี่ตรงเข้ามาก็ตกใจวางหาบวิ่งหนี ลิมชองจะไล่ตามก็ไม่ทัน ลิมชองจึงบอกกับโจรผู้นั้นว่า ดูเอาเถิด วาสนาของเราเผอิญเป็นไปทุกอย่าง โจรผู้นั้นจึงบอกว่า ไม่เป็นไร ได้ทรัพย์สิ่งของก็เหมือนกับได้ศีรษะคน ลิมชองจึงว่า ถ้ากระนั้น เจ้าหาบเอาสิ่งของนี้กลับไปก่อน เราจะคอยดูอยู่ที่นี่ มีผู้ใดมาจะได้ตัดเอาศีรษะไป โจรผู้นั้นหาบทรัพย์สิ่งของนั้นลงเรือแจวกลับมา ลิมองก็คอยอยู่ที่นั้น ชายเจ้าของหาบอีกคนหนึ่งถือกระบี่เดินตามมาข้างหลัง ลิมชองเห็นก็ตรงเข้าไปจะฆ่าฟัน ชายผู้นั้นร้องตวาดว่า พวกโจรเหล่านี้ฆ่าไม่หมดเลย ยังบังอาจมาแย่งชิงเอาหาบของเราไป ว่าแล้วก็เข้าสู้รบลิมชองเป็นสามารถ




ตอน ๑๐ ขึ้น ตอน ๑๒