ซ้องกั๋ง/เล่ม ๑/ตอน ๑๒
หน้า ๑๓๐–๑๓๘ สารบัญ
ฝ่ายโจรผู้นั้นครั้นไปถึงก็หาบทรัพย์สิ่งของไปแจ้งกับนายโจรว่า ลิมชองแย่งมาได้ นายโจรทั้งสามได้ฟังกับเห็นทรัพย์สิ่งของจึงพูดว่า ผู้ใดหนอกล้าหาญหาบสิ่งของมาทางนี้ เห็นจะมีฝีมือเข้มแข็ง จำเราจะออกไปดูให้รู้จักว่าผู้ใด พูดแล้วสามนายโจรก็ชวนกันลงเรือมาถึงฝั่ง แล้วขึ้นไปดูบนเขา เห็นลิมชองกับผู้ชายผู้นั้นสู้รบกันอยู่ ต่างคนมีฝีมือเข้มแข็งว่องไวทั้งสองฝ่าย ลิมชองกับชายผู้นั้นสู้รบกันได้ห้าสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน ลิมชองคิดจะฆ่าตัดเอาศีรษะให้ได้ ชายผู้นั้นฝีมือเข้มแข็งคล่องแคล่วว่องไว ลิมชองทำอันตรายไม่ได้ สู้รบกันไปอีกสามสิบเพลง นายโจรเห็นดังนั้นก็ยินดี ร้องลงมาว่า ท่านทั้งสองอย่าสู้รบกันเลย ลิมชองได้ฟังก็ถอยห่างออกมารออยู่ นายโจรทั้งสามลงมาพูดว่า ท่านทั้งสองฝีมือเข้มแข็งนัก ไม่มีผู้ใดเสมือนเหมือน ซึ่งท่านผู้นี้ชื่อ ลิมชอง เป็นพี่น้องของเราเอง ตัวท่านมาแต่ข้างไหนจงบอกให้พวกเราทราบ ชายผู้นั้นจึงบอกว่า เทือกเถาเราเป็นขุนนางนายทหารใหญ่มาได้สามชั่วอายุคนแล้ว ปู่เราแซ่ เอีย ชื่อ เลงก๋ง ตัวเราแซ่ เอีย ชื่อ จี้ ฉายาเรียกว่า แชมิ่นซิน เราได้เป็นขุนนางตำแหน่งที่เตียนซีฮูจิไซฝ่ายทหาร เดิมพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ขุนนางตำแหน่งที่เราว่ากล่าวนี้สิบนายด้วยกันไปเอาศิลาลายที่ทะเลสาบ จะต้องพระประสงค์ปูในพระราชวัง เราถือรับสั่งเอาเรือไปบรรทุกศิลาลายมาถึงแม่น้ำฮวงโห เกิดลมพายุพัดกล้า เรือบรรทุกศิลาลำเราล่มลง ศิลาลายหายไปสิ้น เราตกใจกลัวหลบหนีเสียไม่เข้าไปทำราชการ ครั้นอยู่นานมา ได้ยินข่าวว่า รับสั่งโปรดให้ยกโทษอันนี้แล้ว จึงไปเที่ยวค้าขายได้เงินทองบ้างเล็กน้อย จ้างเขาหาบมาทางนี้ หมายว่า จะเข้าไปเดินที่ตำแหน่งเดิมทำราชการต่อไป ซึ่งหาบทรัพย์สิ่งของของเราพวกท่านแย่งชิงไว้จงเอามาให้เราเสียเถิด เราจะลาท่านไป เฮงหลุนนายโจรว่า เดิมเราเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ ณ เมืองหลวง ก็ได้ยินชื่อเสียงท่านอยู่ เราจำได้ ซึ่งหาบทรัพย์สิ่งของนั้นเราจะเอามาคืนให้ แต่เชิญท่านไปกินโต๊ะเสพสุราที่สำนักเราก่อนแล้วจึงค่อยไป เอียจี้ว่า ถ้าท่านรู้จักจำได้ก็เอาหาบคืนให้เราเถิด ดีกว่าให้กินโต๊ะเสพสุรา เราจะได้ลาไป เฮงหลุนว่า เราพบท่านวันนี้เป็นบุญหนักหนาแล้ว เชิญไปกับเราก่อนแล้วจึงค่อยไป เอียจี้ขัดไม่ได้ก็ลงเรือมากับนายโจรด้วยกัน ครั้นถึงที่สำนักก็เชิญเอียจี้กับลิมชองเข้าไปข้างใน จัดเก้าอี้มาให้เอียจี้กับลิมชองนั่งคนละข้าง เฮงหลุนอยู่กลาง พวกเหล่านั้นนั่งเป็นลำดับ แล้วจัดโต๊ะมาเลี้ยงกันเป็นอันดี เฮงหลุนนายโจรจึงคิดว่า ลิมชองฝีมือเข้มแข็งนัก ครั้นจะให้ลิมชองอยู่กับเรา ก็จะต้องเกลี้ยกล่อมเอาเอียจี้ไว้ จะได้เป็นคู่ปรับกับลิมชอง ถ้าไม่กระนั้น ลิมชองจะเย่อหยิ่งถือตัวว่า มีฝีมือเข้มแข็ง ก็จะทำข่มเราเสีย จำจะพูดเอาใจให้เอียจี้อยู่กับเราจงได้ คิดแล้วเฮงหลุนก็หันไปพูดกับเอียจี้ เอามือชี้ว่า ลิมชองนี้เดิมเป็นครูทหารอยู่ตังเกียเมืองหลวง กอไทอวยข่มเหงกดขี่ เอาตัวเฆี่ยนตี แล้วเนรเทศไปเมืองชองจิว ก็เกิดไฟไหม้ ลิมชองฆ่าคนตาย จึงได้หนีมาอยู่ที่นี่ ซึ่งท่านจะเข้าไปเมืองหลวงเดินเอาที่ตำแหน่งเดิมนั้น มิใช่เราจะห้ามปรามไม่ให้เข้าไปทำราชการเมื่อไร แต่กอไทอวยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร ทรงโปรดปรานมาก ได้ว่ากล่าวราชการทั้งสิ้น แจ้งว่า ท่านมีฝีมือเข้มแข็ง ก็คงไม่ชุบเลี้ยงท่าน เราเห็นว่า มาอยู่ด้วยกันที่นี่สามพี่สี่น้องมิดีหรือ หาได้เงินทองทรัพย์สิ่งของมามากน้อยเท่าไรก็แบ่งปันให้เท่า ๆ กัน ซึ่งจะหากินนั้นก็สบาย จงอยู่ด้วยกันที่นี่เถิด เอียจี้ว่า เราขอบใจท่านนักหนา แต่มีธุระอยู่อย่างหนึ่ง จะต้องลาท่านไป เดิมเราต้องโทษ มีผู้อุปถัมภ์เราไว้ จะต้องไปตอบแทนคุณสักครั้งหนึ่งจึงจะกลับมา ท่านจงเอาหาบทรัพย์สิ่งของมาให้เราเถิด จะได้ลาไป ถ้าท่านไม่ให้ก็จะลาไปแต่ตัวเปล่า เฮงหลุนได้ฟังก็หัวเราะแล้วพูดว่า ถ้าท่านไม่สมัครก็ตามแต่ใจเถิด จงค้างอยู่กับเราสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้จึงค่อยไป เอียจี้ได้ฟังก็ดีใจ ค้างอยู่คืนหนึ่ง ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เอียจี้มาลา เฮงหลุนสั่งให้คนใช้หาบทรัพย์สิ่งของเอียจี้ไปส่งจนถึงฝั่ง เอียจี้ก็ลานายโจรทั้งสามเดินตามทางไป นายโจรทั้งสามก็พากันกลับมา เฮงหลุนนายโจรจึงว่า ลิมชองมีฝีมือและสติปัญญา เราจะเอาไว้ไม่ได้ ไล่เสียเถิด พวกพี่น้องเหล่านั้นพากันว่ากล่าวทักท้วงไว้ เฮงหลุนไม่รู้ที่จะคิดประการใด หมายจะเกลี้ยกล่อมเอียจี้ไว้เป็นคู่ปรับกัน ลิมชองจะได้เกรงกลัว เอียจี้ก็ไม่อยู่ ครั้นชวนกันไปส่งเอียจี้กลับมาแล้ว เฮงหลุนก็ยอมให้ลิมชองเป็นพวกพ้อง ตั้งให้ลิมชองเป็นนายโจรที่สี่ จูกุ้ยนั้นถอยลงมาเป็นนายโจรที่ห้า ยกเก้าอี้มานั่งเป็นลำดับกันทั้งห้านาย แล้วจัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงกันเป็นที่สบาย จูกุ้ยก็ก็กลับไปที่โรงขายสุราตามเดิม ตั้งแต่นั้นมา ลิมชองเข้าเป็นพวกเนียซัวเปาะเที่ยวตีปล้นหาเลี้ยงกันอยู่มิได้ขาด
ฝ่ายเอียจี้ ครั้นพวกโจรหาทรัพย์สิ่งของมาส่งจนถึงฝั่งแล้ว พวกโจรก็กลับไปเนียซัวเปาะตามเดิมนั้น เอียจี้จ้างชายผู้หนึ่งหาบทรัพย์สิ่งของเดินไปหลายวันจนถึงตังเกียเมืองหลวง ก็เที่ยวหาโรงเตี๊ยมสำนักอาศัย คิดเงินจ้างให้ชายผู้ที่หาบทรัพย์สิ่งของมา แล้วก็สำนักที่โรงเตี๊ยมในเมืองหลวงได้เจ็ดแปดวัน จึงเอาเงินทองไปเดินที่ขุนนางตำแหน่งที่คิมิดอี้ฝ่ายทหารจะว่ากล่าวราชการตามที่เดิมต่อไป เอียจี้เอาเงินไปใช้สอยให้ค่าสินบนจนสิ้นเงินทองที่เอามา ขุนนางตำแหน่งที่คิมิดอี้เห็นว่า เอียจี้ใช้สอยเงินทองมากแล้ว ก็ทำเรื่องราวพาเอียจี้ไปยื่นแก่กอไทอวยจะขอให้เอียจี้ว่าราชการไปตามตำแหน่งที่เดิมต่อไป กอไทอวยดูเรื่องราวแจ้งความแล้วจึงพูดว่า เอียจี้คนนี้เดิมเป็นขุนนางตำแหน่งที่เตียนซีฮูจิไซฝ่ายทหาร มีรับสั่งให้ไปบรรทุกศิลาลายที่ทะเลสาบจะเอามาปูในพระราชวัง แต่ไปบรรทุกศิลาลายด้วยกันถึงสิบนาย ขุนนางเหล่านั้นต่างบรรทุกศิลามาได้ เอียจี้นั้นทำให้เรือล่มศิลาหายก็มีโทษมาก เอียจี้ไม่อาจกลับมา กลัวจะต้องโทษ ก็หลบหลีกหนีไปซุ่มซ่อนเสีย บัดนี้ มีรับสั่งโปรดยกโทษให้ก็ดีหนักหนา เอียจี้ยังจะคิดมาเป็นขุนนางทำราชการตำแหน่งต่อไป ซึ่งตัวต้องโทษครั้งหนึ่งแล้ว จะว่าราชการสืบไปนั้นไม่ได้ พูดแล้วกอไทอวยจึงเอาเรื่องราวนั้นทิ้งเสีย ให้คนไล่เอียจี้ออกไป เอียจี้ถูกไล่ได้ความเจ็บอายก็กลับไปโรงเตี๊ยม คิดว่า เมื่อเราจะมา เฮงหลุนนายโจรได้ว่ากล่าวทักท้วงจะให้อยู่ด้วย เราไม่ฟังขืนมา บัดนี้ ก็เห็นจริงเหมือนกับเฮงหลุนว่า ประการหนึ่ง ซึ่งเทือกเถาของเราได้ว่าราชการเป็นนายใหญ่มาสามชั่วแล้ว ชื่อเสียงก็ปรากฏในแผ่นดิน ครั้นเราจะเข้าเป็นพวกพ้องเฮงหลุนนายโจรที่เนียซัวเปาะนั้นเล่า คนทั้งหลายก็จะชวนกันนินทาปู่และบิดาเรามิเสียชื่อเสียงหรือ จึงมิได้เข้าอยู่เป็นพวกพ้องโจร หมายจะเข้ามาทำราชการ นานไปข้างหน้าชื่อเสียงจะได้ปรากฏมีความสุขสืบไป ไม่แจ้งว่า กอไทอวยเป็นขุนนางกังฉิน มาแกล้งเราไม่ให้ทำราชการ เงินทองก็เสียหายไปมากจนสิ้นตัวจนไม่มีจะซื้อกิน คิดแล้วก็มีความวิตกยิ่งนัก พักอยู่โรงเตี๊ยมสี่ห้าวัน เอียจี้นึกขึ้นได้ว่า เรามีกระบี่ของวิเศษอยู่เล่มหนึ่ง ตั้งแต่เอียเลงก๋ง ปู่เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร จะไปข้างไหนก็ถือกระบี่เล่มนี้ไป บัดนี้ กระบี่ตกมาอยู่กับเรา เรายากจนไม่มีเงินทองจะใช้สอยซื้อกิน จำจะต้องขาย แล้วจะได้หาที่สำนักอื่นต่อไป นึกแล้วก็เขียนหนังสือปิดไว้ที่หน้าโรงเตี๊ยมว่า มีกระบี่ของวิเศษอยู่เล่มหนึ่งจะขาย ผู้ใดจะซื้อจงเข้ามาดูเถิด ปิดหนังสืออยู่วันหนึ่งก็ไม่เห็นมีผู้ใดเข้ามาดู ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เอียจี้จึงเอากระบี่ไปเที่ยวขายตามตลาด ก็ไม่มีผู้ใดถามซื้อ เอียจี้เดินไปที่สะพานเทียวฮัวจิวเกีย ยืนอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีผู้ใดถาม เห็นแต่ผู้คนวิ่งหนีเข้าตรอกไป บ้างก็วิ่งหนีมาร้องว่า เสือมาโน่นแล้ว จงพากันหนีไปเสียโดยเร็วเถิด เอียจี้ได้ฟังสำคัญว่า เสือจริง ๆ เข้ามาจะไล่กินคน ก็ยืนดู มีชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เสพสุราเมาเดินมา ผู้คนพากันหนีไปสิ้น เอียจี้เห็นก็รู้จักว่า คนนี้แซ่ งู ชื่อ ยี่ เป็นคนเก่งอยู่ที่ตังเกีย เที่ยวข่มเหงราษฎรอยู่เนือง ๆ ไม่เกรงกลัวผู้ใด เราสำคัญว่า เสือใหญ่มาแต่ป่า เอียจี้รู้จักว่างูยี่แล้วก็ยืนคอยดูอยู่ที่นั่น งูยี่เดินมาถึงสะพานเห็นเอียจี้ถือกระบี่ของวิเศษยืนอยู่ ก็ตรงไปยื้อเอากระบี่ของเอียจี้มาถามว่า กระบี่นี้เจ้าจะขายเท่าไร เอียจี้ว่า กระบี่วิเศษเล่มนี้แต่ครั้งปู่และบิดาเราต่อ ๆ กันลงมา บัดนี้ ตกมาอยู่กับเรา เรายากจนก็จะขายเสีย งูยี่ว่า อะไรจะเอามากเท่านั้น เราไปซื้อตามตลาด สามสิบอีแปะก็ได้เล่มหนึ่ง เอียจี้ว่า กระบี่ตามตลาดหาเหมือนกันไม่ กระบี่เราเล่มนี้เป็นวิเศษดีไม่มีของผู้ใดเสมอ งูยี่ว่า อย่างไรจึงเรียกว่า กระบี่ของวิเศษ เอียจี้ว่า กระบี่เราเล่มนี้วิเศษดีสามอย่าง อย่างหนึ่ง ตัดเหล็กและทองแดงขาดไม่ยู่ยี่ไม่บิ่น อย่างสอง เอาผมวางไว้ที่คมกระบี่ เป่าทีเดียว ผมนั้นก็ขาด อย่างสาม ฆ่าฟันคน โลหิตไม่ติดกระบี่ จึงเรียกว่า ของวิเศษ งูยี่ว่า เจ้าลองฟันทองแดงให้เราดูได้หรือไม่ เอียจี้ว่า ไปเอาทองแดงหรือเหล็กมา จะฟันให้ดู งูยี่ไปเลือกเอาเบี้ยอีแปะทองแดงที่ใหญ่หนาเอามาวางลงสะพาน เอียจี้ก็เอากระบี่ฟันอีแปะขาดสิ้นทั้งสิบอัน คนที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ นั้นก็ชวนกันชมว่า กระบี่เล่มนี้คมดีจริง งูยี่ถามเอียจี้ว่า เจ้าบอกกับเรา มีดีสามอย่าง อีกสองอย่างลองอย่างไรเล่า เอียจี้ว่า ท่านไปเอาผมมา จะลองให้ดู งูยี่ก็ไปเอาผมคนมาวางบนคมกระบี่ เอียจี้ก็เป่าไป ผมขาดทุกเส้น งูยี่เห็นก็แจ้งว่า กระบี่ดี ถามว่า อีกอย่างหนึ่งจะลองอย่างไร เอียจี้ว่า จะให้ฆ่าคนนั้นไม่ได้ ท่านไม่เชื่อก็ไปจับสุนัขมาเถิด จะฟันให้ดู งูยี่ว่า สัญญาฆ่าคน ไม่ได้สัญญาฆ่าสุนัข เอียจี้ว่า เราพูดให้ฟัง ท่านไม่เชื่อก็แล้วไป มารบกวนทำไม งูยี่ว่า เราไม่มีเงินมา แต่จะซื้อกระบี่เล่มนี้ให้ได้ เอียจี้ว่า ท่านไม่เอาเงินมา เราก็ไม่ให้กระบี่ งูยี่ก็ตรงเข้าชิงเอากระบี่ที่เอียจี้ ยื้อแย่งกันอยู่เป็นช้านาน งูยี่เมาสุราล้มลงแล้วลุกขึ้นทุบตีเอียจี้จะแย่งเอากระบี่ให้ได้ เอียจี้ร้องบอกคนทั้งหลายว่า เรายากจนเอากระบี่มาขาย จะแย่งชิงเอาของเราไปแล้วกลับทุบตีเราด้วย คนเหล่านั้นเห็นก็ไม่อาจว่ากล่าวห้ามปรามประการใด พากันนิ่งดูอยู่ งูยี่ทุบตีเอียจี้เป็นหนักหนา เอียจี้เหลือทน เอาเท้าถีบงูยี่ล้มลงแล้วลุกขึ้นมายึดมือไว้ งูยี่พูดว่า เจ้าฆ่าเราเสียเถิด ถ้าไม่ตาย เราจะเอากระบี่ให้ได้ เอียจี้มีความโกรธยิ่งนัก เอาเท้าถีบงูยี่ล้มลง ฟันด้วยกระบี่ถูกงูยี่ตาย แล้วร้องบอกว่า ท่านทั้งหลายอย่าตกใจเลย เราไม่ทิ้งโทษให้ท่านหรอก พูดแล้วก็ให้คนเหล่านั้นมาด้วย ครั้นไปถึงผู้ชำระ เอียจี้จึงบอกความตามซึ่งงูยี่ข่มเหงให้ฟังทุกประการ คนเหล่านั้นไปกับเอียจี้ก็แจ้งว่า งูยี่ข่มเหงเหลือทน จึงได้ฆ่าเสีย ข้าพเจ้าทั้งหลายได้รู้เห็นจริง ผู้ชำระว่า เจ้ามารับโทษเอง กับงูยี่ข่มเหง มีผู้รู้เห็น โทษก็เบาบาง แล้วสั่งให้เอาคาใส่เอียจี้ไว้ ให้ผู้คุมไปชันสูตรบาดแผลผู้ตายกลับมา แล้วไต่ถามเอาถ้อยคำเอียจี้ไปปรึกษาโทษ ขุนนางผู้ปรึกษาโทษลงมาสั่งให้เฆี่ยนยี่สิบที กับสักหน้าว่า ฆ่าคนตาย แล้วเนรเทศไปเมืองปักเกีย ซึ่งกระบี่ของวิเศษนั้นริบเป็นของหลวง ผู้ชำระก็เอาตัวเอียจี้ไปทำตามโทษ แล้วสั่งเตี้ยเหล็ง เตี้ยโฮ้ว คุมตัวเอียจี้เนรเทศไปส่งให้ผู้กำกับคุกเมืองปักเกีย ตำบลไต้เม่งฮู้ เตี้ยเหล็ง เตี้ยโฮ้ว ก็คำนับลาพาตัวเอียจี้มาที่บ้าน ชาวตลาดที่ตามมามีความเมตตา เที่ยวเรี่ยไรเงินทองพวกพ้องมาให้เอียจี้ไปซื้อกินตามทาง แล้วชวนกันว่ากล่าวกับเตี้ยเหล็ง เตี้ยโฮ้ว ผู้คุมทั้งสอง ว่า เอียจี้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ ฝีมือเข้มแข็งนัก ด้วยงูยี่ข่มเหงทุบตีเอาจนเหลือทน เอียจี้จึงได้ฆ่าเสีย งูยี่นี้เป็นคนพาลเที่ยวข่มเหงกดขี่ราษฎรอยู่เนือง ๆ ไม่เกรงกลัวผู้ใด บัดนี้ตายเสีย พวกข้าพเจ้ามีความยินดีนัก แต่เอียจี้นี้ท่านจะคุมตัวไปเมืองปักเกียนั้น ข้าพเจ้าขอฝากด้วย คนเหล่านั้นก็เอาเงินให้กับผู้คุมทั้งสองพอสมควร ผู้คุมรับเงินแบ่งปันกันแล้วพูดว่า ท่านทั้งหลายอย่าวิตกเลย เราจะอุปถัมภ์มิให้ลำบากอดอยากได้ เชิญท่านกลับไปเถิด เราจะลาไปก่อน เอียจี้ได้เงินทองที่เขาให้ก็มีความยินดี พูดว่า ท่านทั้งหลายเมตตาแก่ข้าพเจ้า พระคุณเป็นที่ยิ่ง ท่านจงอยู่ให้มีความสุขเถิด ข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปแล้ว คนเหล่านั้นได้ฟังมีความสงสาร แต่ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ก็ชวนกันกลับมาที่อยู่ ผู้คุมทั้งสองก็พาตัวเอียจี้ออกจากเมืองหลวงเดินทางไป พอเวลาเย็นถึงที่สำนักก็เข้าพักอาศัย รุ่งขึ้นเช้า ชวนกันเดินไปหลายวันจนถึงเมืองปักเกีย ก็เข้าไปในเมืองหาที่พักหยุดอยู่
ฝ่ายเนียสิเกียดเป็นขุนนางฝ่ายทหารได้ว่าราชการที่เมืองปักเกีย ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋นอยู่ ณ เมืองหลวง[1] ครั้นนานมา มีรับสั่งให้ตั้งเนียสิเกียดเปงตงซีไปสำเร็จราชการอยู่เมืองปักเกีย เวลาวันหนึ่ง เนียสิเกียดทำงานแซยิด กำลังจัดการอยู่ พอผู้คุมทั้งสองไปถึง เอาตัวเอียจี้กับหนังสือที่ผู้ชำระมีมาฉบับหนึ่งส่งให้ เนียสิเกียดรับมาอ่านมีความว่า เอียจี้ฆ่าคนตาย ต้องโทษเนรเทศให้มาอยู่เมืองปักเกีย เนียสิเกียดจึงคิดว่า เอียจี้นี้เดิมเป็นขุนนางฝ่ายบู๊อยู่ ณ เมืองหลวง ชื่อเสียงก็ปรากฏมาช้านาน เหตุไฉนจึงต้องโทษเนรเทศมาถึงนี้ จำจะไปหาตัวมาไต่ถามให้แจ้งก่อน คิดดังนั้นก็ให้หาเอียจี้มาถามว่า เดิมเจ้าเป็นขุนนางทำราชการอยู่ เหตุไฉนจึงต้องโทษ เอียจี้คุกเข่าคำนับแจ้งความว่า เดิมข้าพเจ้าเป็นขุนนางตำแหน่งที่เตียนซีฮูจิไซ รับสั่งให้ข้าพเจ้าบรรทุกศิลาลายสิบนายด้วยกัน ครั้นกลับมา เรือลำข้าพเจ้าล่ม ศิลาจมหาย จึงไม่อาจกลับไป เที่ยวซุ่มซ่อนตัวอยู่ ครั้นนานมา แจ้งว่า มีรับสั่งโปรดยกโทษเสีย ข้าพเจ้าก็ยินดี จัดหาเงินทองเข้าไปเดินเอาที่ตำแหน่งเดิม กอไทอวยว่า ข้าพเจ้าเป็นโทษครั้งหนึ่งแล้ว จะทำราชการไม่ได้ ทิ้งเรื่องราวเสีย ไล่ออกมา ข้าพเจ้าสำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เงินทองของข้าพเจ้าก็ใช้สอยเสียสิ้น จึงเอากระบี่ของวิเศษมาขาย เล่าแต่ต้นจนปลายถี่ถ้วนทุกประการ
เนียสิเกียดได้ฟังก็แจ้งว่า เอียจี้เป็นคนสัตย์ซื่อฝีมือเข้มแข็ง กอไทอวยแกล้งไม่ให้เป็นขุนนาง งูยี่ข่มเหงเอากระบี่ เขาจึงได้ฆ่าเสีย โทษเอียจี้ก็เบาบาง หาเป็นไม่ไม่ เราจะถอดเอาเอียจี้ไว้ใช้สอยก็ได้ คิดแล้วจึงสั่งให้ผู้คุมถอดคาที่ใส่เอียจี้ออกเสีย แล้วก็เขียนหนังสือตอบไปว่า ได้รับเอียจี้ไว้ มอบให้เตี้ยเหล็ง เตี้ยโฮ้ว ผู้คุมทั้งสอง กลับไป ผู้คุมทั้งสองรับหนังสือคำนับลากลับมาเมืองหลวง
เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ
[แก้ไข]- ↑
"ฝ่ายเนียสิเกียดเป็นขุนนางฝ่ายทหารได้ว่าราชการที่เมืองปักเกีย ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋นอยู่ ณ เมืองหลวง" อ่านแล้วอาจงง วิกิซอร์ซจึงตรวจต้นฉบับจีน มีข้อความและแปลได้ดังนี้
"原來北京大名府留守司,上馬管軍,下馬管民,最有權勢。那留守喚作梁中書。"
"ฝ่ายเจ้าเมืองปักเกีย เมืองเอกฝ่ายเหนือ ได้ว่าราชการทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น ทั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีนามว่า เนียสิเกียด"
"The governor of Daming, the Northern Capital, had jurisdiction over both military and civilian affairs. He was very powerful. His name was Liang Zhongshu."
อนึ่ง "ปักเกีย" (Pak-kiaⁿ) ในสำเนียงฮกเกี้ยน ก็คือ "ปักกิ่ง" (Bak1ging1) ในสำเนียงกวางตุ้ง หรือ "เป่ย์จิง" (Běijīng) ในสำเนียงกลาง มีความหมายตรงตัวว่า "เมืองเอกฝ่ายเหนือ" (Northern Capital)
ส่วนชื่อเมืองในเรื่องนั้นที่จริงแล้ว คือ "ต้าหมิง" (大名府 Dàmíng Fǔ) ในสำเนียงกลาง ช่วงราชวงศ์ซ่ง เมืองต้าหมิงเป็นเมืองเอกของมณฑลเหอเป่ย์ซึ่งอยู่ในภาคเหนือของประเทศ จึงได้ชื่อว่า "เมืองเอกฝ่ายเหนือ" แต่เป็นคนละแห่งกับเมืองปักกิ่งที่ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงสาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองต้าหมิงนั้นบัดนี้คือเทศมณฑลต้าหมิง (大名县 Dàmíng Xiàn; Daming County) ในนครหันตัน (邯郸市 Hándān Shì; Handan City) มณฑลเหอเป่ย์ สาธารณรัฐประชาชนจีน