นิทานเวตาล เรื่องที่ ๔
หน้าตา
กลับไปหน้าหลัก | |
ก่อนหน้า | ถัดไป |
พระวิกรมาทิตย์เสด็จไปถึงต้นอโศก ทรงปีนขึ้นไปปลดเวตาลลงมาบรรจุย่าม แล้วทรงดำเนินพาพระราชบุตรไปได้หน่อยหนึ่ง เวตาลก็เล่านิทานซึ่งกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงเรื่องที่ ๔ ดังนี้
- มีพ่อค้าไม่สำคัญคนหนึ่งชื่อ หิรัณยทัตต์ มีบุตรีงามชื่อ นางมัทนเสนา มีหน้าเหมือนพระจันทร์เพ็ญ ผมเหมือนเมฆ ตาเหมือนตาชะมด คิ้วเหมือนธนูที่ขึ้นสายแล้ว จมูกเหมือนปากนกแก้ว คอเหมือนคอนกเขา ฟันเหมือนเมล็ดแห่งผลทับทิม ริมฝีปากสีแดงเหมือนผลน้ำเต้า เอวอ่อนเหมือนเอวเสือ มือแลเท้าเหมือนดอกไม้อ่อน ผิวเหมือนมะลิ มีลักษณะเป็นนางงามตามเคยมิให้ขาดได้โดยประเพณี ใช่แต่เพียงนั้น ยังงามขึ้นทุกวันๆ จนพระจันทร์แลเมฆ แลตาชะมด แลธนูที่ขึ้นสายพานแล้ว ฯลฯ จะแพ้หมด
- ครั้นนางมีอายุสมควรจะมีเรือน บิดามารดาหารือกันแลตรึกตรองถึงการวิวาห์บุตรี ชนทั้งหลายในแว่นแคว้นแห่งพระราชาทรงนาม วีรวรกษัตริย์ ครอง กรุงมัทนบุรี ต่างเลื่องลือกันไปว่า หิรัณยทัตต์มีลูกสาวงามจับใจเทวดา บุรุษ แลมุนีทั้งปวง ชายทั้งหลายที่ใคร่ได้ภริยางาม ต่างก็ไปหาช่างเขียนมาวาดรูปตน แล้วส่งรูปนั้นไปยังบ้านหิรัณยทัตต์ หิรัณยทัตต์ก็ส่งรูปทั้งหมดให้บุตรีตรวจ ดูว่าจะชอบเจ้าของรูปคนไหน แต่นางมัทนเสนาเป็นคนเลือกโน่นเลือกนี่แลเปลี่ยนใจง่ายๆ เหมือนกับนางงามอื่นๆ มากด้วยกัน ครั้นบิดาบอกให้เลือกสามีในหมู่คนที่ส่งรูปมานั้น นางก็ตอบว่าไม่ชอบใจใครเลย แลขอให้บิดาเลือกคนอื่นที่มีรูปดีมีคุณดี แล้วมิหนำซ้ำให้มีความคิดดีอีกด้วย
- เวตาลกล่าวว่า พระองค์ทรงปัญญาสามารถย่อมจะทรงทราบว่า ชายรูปงามนั้นก็หายากอยู่แต่ก็พอหาได้ ชายทรงคุณดีก็หาไม่ง่าย แต่ก็คงจะพอหาได้ ส่วนชายรูปงามที่ทรงคุณดีนั้น ถ้าจะมีในโลกก็คงจะนับให้ถ้วนได้ด้วยนิ้วมือสิบนิ้ว แต่ที่จะหาเอาความคิดดีเข้ามาประสมอีกอย่างหนึ่งนั้นถ้าจะหาเข็มในมหาสมุทรก็เห็นจะยากง่ายปานกัน
- วันหนึ่งเมื่อเวลาล่วงไปแล้วช้านาน มีชายสี่คนมาจากสี่เมืองไปที่เรือนหิรัณยทัตต์ เพื่อจะขอบุตรีเป็นภริยา หิรัณยทัตต์กล่าวว่า ถ้าคนทั้งสี่มีคุณดีอย่างไรก็จงแสดงให้ปรากฏเถิด ในส่วนรูปนั้นก็เห็นได้อยู่แล้วว่าไม่เลวทราม แต่จะต้องการรู้ว่ามีวิชาอะไรบ้าง
- ชายคนที่ ๑ ตอบว่า "ข้าพเจ้ามีความรู้ในพระศาสตร์หาผู้เสมอมิได้ ส่วนรูปกายของข้าพเจ้านั้น ท่านเห็นอยู่แล้วว่าย่อมเป็นที่พึงใจสตรี"
- ชายคนที่ ๒ กล่าวว่า "ข้าพเจ้ามีความรู้ในการยิงธนูไม่มีที่เปรียบ ข้าพเจ้าอาจแผลงศรไปฆ่าสัตว์ที่ข้าพเจ้าไม่เห็น แลหมายยิงได้ด้วยเสียงที่ได้ยินเท่านั้น ความมีรูปงามของข้าพเจ้าท่านก็เห็นอยู่แล้ว"
- ชายคนที่ ๓ กล่าวว่า "ข้าพเจ้ารู้ภาษาสัตว์น้ำแลสัตว์บก ภาษานกแลภาษามฤค จะหาคนมีกำลังเสมอข้าพเจ้าหามิได้ ความงามของข้าพเจ้าย่อมประจักษ์แก่ตาท่านอยู่แล้ว"
- ชายคนที่ ๔ กล่าวว่า "ข้าพเจ้ามีวิธีทอผ้าชนิดหนึ่ง ซึ่งจะแลกทับทิมได้ ๕ เม็ด แลเมื่อได้ขายผ้าผืนหนึ่งได้ทับทิมมาแล้ว ข้าพเจ้าแบ่งทับทิมเม็ดหนึ่งให้แก่พราหมณ์เป็นทาน เม็ดที่ ๒ ถวายเป็นเครื่องบูชาเทวดา เม็ดที่ ๓ ข้าพเจ้าเก็บไว้ประดับตัวเอง เม็ดที่ ๔ ให้ภริยาประดับกาย เม็ดที่ ๕ ข้าพเจ้าขายได้เงินตรามาแล้วจำหน่ายในการเลี้ยงแขก ความรู้ข้าพเจ้ามีเช่นกล่าวนี้ แลไม่มีผู้อื่นมีวิชาเช่นข้าพเจ้าเลย ความมีรูปงามของข้าพเจ้าย่อมแจ้งแก่ตาท่านอยู่แล้ว"
- ฝ่ายหิรัณยทัตต์ เมื่อได้ฟังคำชายทั้งสี่คน ก็นิ่งตรึกตรองว่า "ปราชญ์ย่อมกล่าวว่าสิ่งใดๆ ก็ดี ถ้ามากเกินไปก็ไม่ดีเลย นางสีดามีความงามมากจนราวัณลักพาหนี ท้าวมหาพลีให้ทานมากเกินไปจนกลับเป็นท้าวแทตย์ที่จน ปราศจากความมั่งคั่ง ลูกสาวของเรางามเกินไป จะปล่อยให้ไม่มีสามีอยู่นั้นไม่ได้ คนสี่คนนี้จะยกนางให้แก่คนไหนดี"
- หิรัณยทัตต์คิดยังไม่ตกลงในใจ จึงไปหาลูกสาวเล่าความให้ฟังแล้วถามว่า นางจะเห็นควรให้บิดายกนางให้แก่ชายคนไหน นางมิรู้ว่าจะกล่าวประการใด ก็ก้มหน้านิ่งอยู่
- หิรัณยทัตต์จึงตรึกตรองต่อไปว่า "ชายที่รู้ศาสตร์นั้นเป็นพราหมณ์ ชายที่แผลงศรไปถูกสัตว์ที่ได้ยินแต่เสียงนั้นเป็นกษัตริย์ แลชายที่รู้วิชาทอผ้านั้นเป็นศูทร แต่ชายที่เข้าใจภาษาสัตว์นั้นเป็นคนวรรณะเดียวกับเรา ผู้นั้นเราจะยกลูกสาวให้"
- หิรัณยทัตต์ตริตรองในใจดังนี้แล้ว ก็จัดการเตรียมวิวาห์บุตรี
- ระหว่างนั้นเป็นฤดูวสันต์ นางมัทนเสนาออกไปเดินชมดอกไม้อยู่ในสวน เผอิญเมื่อนางออกไปนั้นมีชายคนหนึ่งชื่อโสมทัตต์ เป็นบุตรของธรรมทัตต์ไปเที่ยวเดินเล่นในป่าจะกลับบ้าน ก็ผ่านสวนที่นางมัทนเสนาเดินลงไปเดินเที่ยวอยู่
- โสมทัตต์เห็นนางก็งวยงงหลงใหลในรูปนาง จึงกล่าวแก่เพื่อนว่า "เพื่อนเอ๋ย ถ้าข้าได้นางคนนี้ ข้าจะมีความจำเริญในชีวิตนี้ ถ้าไม่ได้ ความเกิดมาแลอยู่ในโลกก็จะเปลืองเวลาเปล่า" เมื่อพูดดังนี้แล้ว โสมทัตต์เกรงนางจะพ้นไปเสีย จึงเดินเข้าไปใกล้นางโดยมิได้ตั้งใจจะละลาบละล้วง
- แต่เมื่อเข้าไปใกล้ตัวนางแล้วไซร้ โสมทัตต์กุมสติไว้ไม่มั่นเหลือที่จะอดกลั้นได้ ก็ตรงเข้าไปจับมือนางแล้วกล่าวว่า "ข้ามีความรักนางเหลือที่จะทรงสติไว้ได้ ถ้านางไม่รักข้า ข้าจะต้องทอดทิ้งชีวิตเสียในบัดนี้"
- นางมัทนเสนาตอบว่า "ขอท่านอย่าสละชีวิตเสียเลย เพราะการฆ่าตัวตายเป็นอกุศล ข้าพเจ้าจะพลอยได้บาปถูกลงโทษเพราะช่วยทำให้เลือดตก จะได้ความเดือดร้อนทั้งโลกนี้แลโลกหน้า"
- โสมทัตต์ตอบว่า "คำกล่าวอ่อนหวานของนางแทงหัวใจข้าทะลุเสียแล้ว แลความรู้สึกว่าจะต้องพ้นไปจากนางเผากายข้าให้ไหม้เป็นจุณไป ความทรงจำแลปัญญาเครื่องรู้ก็สลายไปด้วยทุกข์อันนี้ แลความรักเกินประมาณทำให้ข้าไม่รู้สึกผิดแลชอบ แต่ถ้านางจะให้สัญญาแก่ข้าสักข้อหนึ่ง ข้าคงจะมีชีวิตต่อไปได้"
- นางตอบว่า "กลียุคมาถึงเป็นแน่เสียแล้ว แลตั้งแต่ขึ้นต้นกลียุคมา ความเท็จเกิดในโลกมากขึ้น แลความจริงลดน้อยลงไป คนใช้ลิ้นกล่าววาจาที่เกลี้ยงเกลาแต่ใช้ใจเป็นที่เลี้ยงมายา ศาสนาสลายไป ความชั่วช้าทารุณเกิดมากขึ้น แลแผ่นดินก็ให้พืชผลน้อย พระราชาทรงเรียกค่าปรับจากราษฎร พราหมณ์ประพฤติไปในทางละโมบ บุตรไม่ฟังคำแห่งบิดา พี่น้องไม่ไว้ใจกันเอง ไมตรีสิ้นไปในหมู่มิตร ความจริงไม่มีในใจผู้เป็นนาย บ่าวเลิกการรับใช้ ชายทิ้งเสียซึ่งคุณแห่งชาย แลหญิงก็สิ้นความอาย อีก ๕ วันตั้งแต่นี้ไปจะถึงวันวิวาห์ของข้าพเจ้า ถ้าท่านไม่ฆ่าตัวตาย ข้าพเจ้าสัญญาว่า ในวันนั้นข้าพเจ้าจะไปหาท่านก่อนแล้วจึงจะกลับไปอยู่กับสามี"
- เราท่านในสมัยนี้ เมื่อได้ยินคำนางมัทนเสนากล่าวยืดยาวถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปในกลียุค ก็น่าจะพิศวงว่าเหตุใดจึงต้องจาระไนมากมายถึงเพียงนั้น อันที่จริงนางต้องการจะกล่าวนิดเดียวว่า นางต้องสละความอายด้วยกลัวจะพลอยได้บาปเพราะเป็นเหตุให้โสมทัตต์ฆ่าตัวตาย
- ส่วนนางมัทนเสนาเมื่อได้กล่าวคำมั่นดังนั้น แลได้สบถเชิญพระคงคาเป็นพยานแล้วก็กลับบ้าน โสมทัตต์ก็แยกทางไป
- ครั้นถึงกำหนดการวิวาห์ หิรัณยทัตต์พ่อค้าก็จ่ายเงินตราเป็นอันมากในการเลี้ยงแลหาของให้เจ้าบ่าว หนุ่มสาวทั้งคู่ถูกทาขมิ้นทั่วตัว แลในคืนก่อนวิวาห์นั้นถูกฟังดนตรีที่ใช้เสียงมาก ทั้งถูกชโลมด้วยน้ำมันทั้งตัว ยังเจ้าบ่าวจะถูกโกนผมอีกเล่า แห่ซึ่งพาเจ้าบ่าวไปส่งบ้านเจ้าสาวนั้นครึกครื้นมากมาย ถนนสว่างไปด้วยคบเพลิงซึ่งคนถือชูไป แลดอกไม้เพลิงก็จุดตลอดทาง ช้าง อูฐ แลม้าซึ่งแต่งเครื่องอย่างงามก็เดินไปตามระยะ แลกว่าจะแห่ไปถึงบ้านเจ้าสาว ก็มีเด็กซนและชายหนุ่มชั่วตาย เพราะถูกดอกไม้เพลิงหรือถูกช้างเหยียบ หรือเพราะเหตุอื่นๆ ตั้ง ๕ คน ๖ คน เพราะแห่กลางคืนเช่นนั้นย่อมจะมีเหตุเสมอ
- ครั้นเจ้าบ่าวไปถึงบ้านเจ้าสาว ก็กระทำการวิวาห์ตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์แล้วก็มีการเลี้ยงอย่างฟุ่มเฟือย จนแขกที่นั่งลงกินเลี้ยงนั้นไม่มีใครบ่นว่ากระไรสักคนเดียว
- ครั้นเสร็จพีธีวิวาห์แล้ว สามีก็พานางมัทนเสนาผู้ภริยาไปสู่เรือนแห่งตน เมื่อวันล่วงไปหลายวันแล้วภริยาแห่งน้องสุดท้อง แลภริยาแห่งพี่หัวปีของเจ้าบ่าวก็ช่วยกันฉุดคร่าพาเจ้าสาวไปส่งตัว แลให้นั่งอยู่บนที่นอนของเจ้าบ่าวซึ่งแต่งด้วยดอกไม้สด
- ครั้นผู้ส่งตัวออกจากห้องไปแล้ว สามีก็เข้าเล้าโลมภริยา นางใช้มือทั้งสองผลักตัวสามีไว้ให้ห่าง แล้วเล่าเรื่องที่ได้สัญญาแก่โสมทัตต์ไว้ตามจริงทุกประการ
- เจ้าบ่าวได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า "สิ่งทั้งหลายคนอาจรู้ได้ด้วยคำพูด คำพูดนั้นเป็นฐานที่ตั้งแห่งสิ่งทั้งหลาย แลสิ่งทั้งหลายย่อมออกจากคำพูด เหตุดังนั้นผู้ทำคำพูดให้เป็นเท็จ ก็ทำให้สิ่งทั้งหลายเป็นเท็จไปหมด ถ้าเจ้าอยากจะไปหาเขาก่อน ก็จงไปเถิด"
- เราท่านอ่านคำพูดของเจ้าบ่าวนี้ ก็น่าจะเห็นแปลก แต่ไม่จำเป็นจะต้องเพียรเข้าใจคำของเขาเลย
- ฝ่ายนางมัทนเสนา เมื่อได้รับอนุญาตจากสามีแล้วก็ลุกขึ้นรีบเดินไปสู่เรือนโสมทัตต์ ทั้งที่ยังแต่งกายเต็มยศอยู่ ครั้นเดินไปตามถนน กลางทางพบโจรคนหนึ่ง โจรเห็นนางแต่งกายด้วยเครื่องประดับอันมีค่าเดินมาคนเดียวดังนั้นก็ยินดี จึงตรงเข้าไปถามว่า "นางเดินถนนมืดเช่นนี้ในเวลาเที่ยงคืน แลแต่งกายด้วยผ้างดงามแลเครื่องเพชรพลอยมีค่าเช่นนี้เพื่อจะไปไหน"
- นางตอบว่า "ข้าจะไปเรือนแห่งชายที่รัก" โจรถามว่า "ตามทางที่เดินมานี้ใครเป็นผู้คุมครองรักษานาง" นางตอบว่า "ผู้ปกครองของข้าคือกามเทพ คือเด็กหนุ่มงามซึ่งแผลงศรเพลิง ทำให้เกิดแผลคือความรักขึ้นในใจแห่งชนทั้งหลายในสามโลก คือรติบดี ผู้มีนกกาเหว่าแลแมลงภู่แลลมโชยไปเป็นเพื่อน"
- นางกล่าวเช่นนั้นแล้วก็เล่าเรื่องตามจริงตลอด แล้วกล่าวสัญญาแก่โจรว่า "ท่านอย่าทำลายเพชรพลอยเครื่องประดับของข้าเลย ข้าให้สัญญาแก่ท่านว่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะให้สิ่งของเหล่านี้แก่ท่านหมด"
- โจรได้ฟังดังนั้นก็นึกในใจว่า การที่จะทำลายเครื่องประดับของนางเสียในทันทีหาประโยชน์มิได้ เพราะนางได้สัญญาแล้วว่าจะให้ด้วยความเต็มใจ เหตุดังนั้นโจรจึงยอมให้นางไปตามอัชฌาสัยแล้วนั่งลงคอยแลคำนึงในใจตามความคิดซึ่งดูราวกับฉลาด แต่เข้าใจยากว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างไร
- แต่คนผู้นั้นเป็นโจร เราเท่าที่เป็นสาธุชนจะเห็นแนวความคิดของเขาอย่างไรได้
- โจรนั่งคำนึงว่า "กูเห็นประหลาดนักที่ท่านผู้เลี้ยงกูมาแต่เมื่อกูยังอยู่ในครรภ์มารดานั้น เมื่อกูมีกำเนิดแล้วแลได้รับความสำราญเพราะของดีทั้งปวงอันมีอยู่ในโลกบัดนี้ ท่านผู้นั้นก็หาตามมาดูแลรักษากูไม่ กูไม่รู้ว่าผู้นั้นยังจะหลับหรือตายเสียแล้ว แลกูจะยอมกลืนยาพิษยิ่งกว่าที่จะยอมขอเงิน หรือขอความกรุณาอย่างอื่นจากชายผู้ใด เพราะ ของ ๖ อย่างนี้เป็นเครื่องชักจูงให้ชายเป็นคนต่ำช้าคือ ไมตรีกับคนไม่มีสัตย์ ๑ หัวเราะไม่มีเหตุ ๑ ทะเลาะกับผู้หญิง ๑ รับใช้นายที่ไม่มีคุณดีพอควรเป็นนาย ๑ ขี่ลา ๑ พูดภาษาซึ่งไม่ใช่สันสกฤต ๑ อนึ่งสิ่งทั้ง ๕ นี้ เทวดาจารึกลงไว้ในโฉลกของเราในเวลาที่เราเกิด คือ อายุ ๑ กรรม ๑ ทรัพย์ ๑ วิชาศาสตร์ ๑ เกียรติ ๑ กูในเวลานี้ก็ประกอบการดีแล้ว แลธรรมดาคน ตราบใดมีธรรมอันดีอยู่เบื้องบน ตราบนั้นคนทั้งหลายยอมเป็นข้าปฏิบัติตามใจทุกประการ ต่อเมื่อความประพฤติธรรมหย่อนลงไป ชนทั้งปวงแม้แต่มิตรก็ย่อมจะคิดประทุษร้าย"
- ในขณะที่โจรนั่งตรึกตรองเช่นนี้อยู่ริมทางเดิน นางมัทนเสนารีบไปถึงเรือนโสมทัตต์พ่อค้าหนุ่ม โสมทัตต์หลับอยู่ นางก็ปลุกให้ตื่นขึ้น โสมทัตต์รู้สึกตัวเห็นนางก็ตกใจโจนจากที่นอนมีอาการสั่นกลัวแลถามว่า "นางเป็นเทพธิดา เป็นนางสิทธา หรือเป็นนางนาค ขอนางจงแจ้งแก่ข้าโดยตรงว่านางเป็นอะไร แลมาโดยประสงค์อันใด ข้าจะปฏิบัติตามใจนางทุกประการ"
- นางมัทนเสนาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ชื่อมัทนเสนา ธิดาหิรัณยทัตต์ผู้เป็นพ่อค้า ท่านจำไม่ได้หรือว่าเมื่อวานซืนเมื่อพบกันในสวน ท่านได้ถือมือข้าพเจ้าไว้แล้วกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ให้คำมั่นแก่ท่านว่า จะมาหาท่านก่อนจึงกลับไปอยู่กับสามีชองข้าพเจ้า ท่านก็จะทำตัวท่านเองให้ตายไป"
- โสมทัตต์ถามว่า "นางได้บอกให้สามีทราบเรื่องนี้หรือเปล่า" นางตอบว่า "ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังจนตลอด สามีของข้าพเจ้ารอบรู้เหตุการณ์ป็นอันดี ยอมให้ข้าพเจ้ามา"
- โสมทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็กล่าวด้วยเสียงซึ่งส่อน้ำใจอันเหี่ยวแห้งว่า "การเรื่องนี้จะเปรียบก็ เหมือนมุกดา ซึ่งไม่มีเรือนอันงาม เหมือนอาหารขาดฆี (ฆตํ ฆฤต เปรียง คือเนยที่ได้ละลายไฟแล้ว) เหมือนขับกลอนไม่มีเพลง ล้วนแต่แปลกธรรมดาทั้งนั้น อนึ่งเสื้อผ้าที่ไม่สะอาด ย่อมทำให้ความงามของผู้แต่งเสื่อมไป อาหารชั่วทำให้หย่อนกำลัง เมียทุศีลเป็นเครื่องกวนผัวให้ตายจาก ลูกชายที่มีนิสัยต่ำช้าเป็นเครื่องทำความฉิบหายให้เกิดแก่สกุล อสูรที่โกรธย่อมจะฆ่าชีวิตผู้อื่น แลหญิงไม่ว่าเพราะรักหรือเกลียด ย่อมจะเป็นเหตุแห่งความทุกข์เสมอ เพราะหญิงไม่พาความคิดที่อยู่ในใจมาสู่ลิ้น แม้สิ่งที่อยู่ที่ลิ้นแล้วก็ไม่พูดออกมา แลเมื่อทำอะไรคงจะไม่บอกใครเป็นอันขาด พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างหญิงมาเป็นสัตว์ประหลาดในโลก "
- โสมทัตต์กล่าวดังนั้นแล้ว ก็กล่าวแก่นางต่อไปว่า "นางจงกลับไปบ้านเสียเถิด นางเป็นภริยาชายอื่น ข้าไม่มีจิตผูกพันกับนาง" ฝ่ายนางมัทนเสนาเมื่อโสมทัตต์กล่าวดังนั้น ก็รีบออกจากเรือนโสมทัตต์เดินทางคืนไปสู่เรือนสามี เมื่อพบโจรตามทางนางก็เล่าเรื่องให้ฟัง แลยอมจะให้เครื่องแต่งกายแก่โจรตามสัญญาแต่โจรไม่รับ กลับชมใหญ่ แล้วเชิญให้นางกลับบ้าน
- ครั้นไปถึงบ้านนางก็เล่าให้สามีฟังทุกประการ แต่เขาสิ้นรักนางเสียแล้ว แลกล่าวว่า " พระราชาก็ดี ผู้เป็นนายก็ดี ผู้เป็นภริยาก็ดี ผมของคนก็ดี เล็บก็ดี เมื่ออยู่ผิดที่ไปแล้วก็ไม่น่าดูเลย อนึ่งนกกาเหว่างามเพราะเสียง คนขี้ริ้วงามเพราะความรู้ โยคีงามเพราะไม่ถือโทษผู้อื่น แลหญิงงามเพราะความบริสุทธิ์ "
- เวตาลเล่ามาเพียงนี้ ก็เปลี่ยนเสียงกลับทูลถามพระราชาในขณะที่ทรงฟังเพลินอยู่ว่า "แลชายทั้ง ๓ คนนั้น คนไหนมีธรรมดีกว่าคนอื่น"
- พระราชาไม่ทันยั้งพระโอษฐ์ ตรัสตอบว่า "โจรดีกว่าคนอื่น" เวตาลถามว่า "เพราะเหตุไรจึงทรงเห็นอย่างนั้น" พระราชาตรัสว่า "เพราะเหตุว่าชายผู้เป็นผัวนั้นเมื่อเห็นเมียรักคนอื่นเสียแล้ว ถึงแม้ความรักนั้นไม่เป็นเหตุให้เสียความบริสุทธิ์ก็ย่อมจะสิ้นเสน่หาอยู่เอง โสมทัตต์นั้นไม่กล้าทำร้ายนาง เพราะกลัวพระราชาจะลงโทษภายหลัง หาใช่เป็นด้วยเหตุอื่นไม่ ส่วนโจรนั้นโจรกรรมเป็นเครื่องหากิน เป็นผู้ไม่กลัวกฎหมายอยู่แล้ว การที่โจรยอมให้นางไปโดยดีนั้น หาใช่เป็นด้วยกลัวภัยอันใดไม่ เหตุดังนั้นโจรจึงดีกว่าคนอื่น "
- เวตาลหัวเราะแล้วกล่าวว่า "นิทานจบเพียงนี้" แล้วก็ออกจากย่ามลอยหัวเราะไปในฟ้ามืด พระราชาแลพระราชบุตรก็ยืนตะลึงจ้องพระเนตรกันอยู่ พระราชาตรัสแก่พระราชบุตรว่า "คราวหน้าถ้าอ้ายตัวนั่นมันตั้งปัญหาถามข้า ข้าอนุญาตให้เจ้าทำละลาบละล้วงต่อข้า คือให้จับแขนขาบีบให้รู้ตัวก่อนที่ข้ามีเวลาตอบมันได้ ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้ง ๒ จะไม่มีเวลากระทำกิจอันนี้ให้สำเร็จได้"
- พระราชบุตรรับคำพระราชบิดา แต่ไม่นึกว่าวิธีป้องกันอย่างใหม่นั้นจะได้ผลดังหวัง ครั้นสององค์ทรงดำเนินกลับไปถึงต้นอโศก ได้ยินเสียงเวตาลหัวเราะก้องอยู่บนต้นไม้ พระราชบิดาก็ทรงปีนขึ้นไปปลดลงมาตามเคย และมันก็เล่านิทานอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกล่าวว่าเป็นเรื่องจริงตามเคยเหมือนกัน
กลับไปหน้าหลัก | |
ก่อนหน้า | ถัดไป |