นิราศอิเหนา
หน้าตา
๏ | นิราศร้างห่างเหเสน่หา | |
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา | พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย | |
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม | สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย | |
โอ้เย็นค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย | น้องจะลอยลมบนไปหนใด | |
หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง | ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน | |
แม้นน้องน้อยลอยถึงชั้นตรึงส์ตรัย | สหัสนัยน์จะช่วยรับประคับประคอง | |
หรือไปปะพระอาทิตย์พิศวาส | ไปร่วมอาสน์เวชยันต์ผันผยอง | |
หรือเมขลาพาชวนนวลละออง | เที่ยวลอยล่องเลียบฟ้าชมสาคร | |
หรือไปริมหิมพานต์ชานไกรลาส | บริเวณเมรุมาศราชสิงขร | |
หรือจะออกนอกเหมินท์อิสินธร | เที่ยวลอยร่อนรอบฟ้านภาลัย | |
โอ้ลมแดงแสงแดดจะแผดส่อง | จะมัวหมองมิ่งขวัญจะหวั่นไหว | |
จะดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ | นี่เวรใดเด็ดสวาทให้คลาดคลาฯ | |
๏ | พระผันแปรแลรอบขอบทวีป | เห็นแต่กลีบเมฆเคลื่อนเกลื่อนเวหา |
จะแลดูสุริยนก็สนธยา | จะดูฟ้าฟ้าคล้ำให้รำจวน | |
ฝืนวิโยคโศกเศร้าเข้าในห้อง | เห็นแท่นทองที่ประทมภิรมย์สงวน | |
ไม่เห็นนุชสุดจะทรงพระองค์ซวน | ละห้อยหวนหิวโหยด้วยโรยแรง | |
ยลยี่ภู่ปูเปล่าเศร้าสลด | ระทวยทดทอดทบซบกันแสง | |
โอ้สุดแสนแค้นอารมณ์ด้วยลมแดง | ดูเหมือนแกล้งพัดไปให้ไกลทรวง | |
เสียดายเอ๋ยเคยแอบแนบสนิท | ถึงชีวิตวอดวายไม่หายห่วง | |
โอ้น้องนุชบุษบาสุดาดวง | พี่เปล่าทรวงทรวงดังจะพังโทรมฯ | |
๏ | โอ้โพล้เพล้เวลาปานฉะนี้ | เคยเข้าที่พี่เคยได้เชยโฉม |
เห็นแต่ห้องน้องน้อยลอยโพยม | ยามประโลมมิรู้ลืมเจ้าปลื้มใจ | |
โอ้เขนยเคยหนุนยังอุ่นอ่อน | แต่น้องน้อยลอยร่อนไปนอนไหน | |
ยี่ภู่เอ๋ยเคยชิดสนิทใน | วันนี้ไกลกลอยสวาทอนาถนอน | |
โอ้รินรินกลิ่นนวลยังหวนหอม | เคยถนอมแนบทรวงดวงสมร | |
ยังรื่นรื่นชื่นใจอาลัยวอน | สะอื้นอ้อนอ่อนอารมณ์ระทมทวี | |
จนฆ้องค่ำย่ำหึ่งหึ่งกระหึม | ยิ่งเศร้าซึมโศกาถึงยาหยี | |
โอ้ยามอยู่คูหาเวลานี้ | เคยพาทีทอดประทับไว้กับทรวงฯ | |
๏ | โอ้อกเอ๋ยเคยอุ่นละมุนละม่อม | เคยโอบอ้อมอ่อนตามไม่ห้ามหวง |
ยังเคลิ้มเคล้นเช่นปทุมกระพุ่มพวง | เคยแนบทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย | |
จนเคลิ้มองค์หลงเชยเขนยหนุน | ถนอมอุ่นแอบประโลมว่าโฉมฉาย | |
ครั้นรู้สึกดึกดื่นสะอื้นอาย | แสนเสียดายสุดจะดิ้นสิ้นชีวัน | |
เห็นสิ่งของน้องนุชยิ่งสุดเศร้า | พระทัยเฝ้าเคลิ้มไคล้ดังใฝ่ฝัน | |
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งจาบัลย์ | สุดจะกลั้นรีบออกนอกบรรพตฯ | |
๏ | พินิจจันทร์วันเพ็งขึ้นเปล่งแสง | กระจ่างแจ้งแจ่มวงทั้งทรงกลด |
สี่พี่เลี้ยงเคียงพร้อมน้อมประณต | พระเลี้ยวลดแลแสวงดูแสงเดือน | |
ดูเก๋งก่อต่อเตาเห็นเงาคล้าย | เขม้นหมายมุ่งไปก็ไม่เหมือน | |
เห็นเงาไม้ไหวหวั่นให้ฟั่นเฟือน | จนเดือนเคลื่อนคล้อยฟ้าให้อาวรณ์ | |
เห็นสระศรีที่เคยมาประพาส | ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน | |
ลมรำเพยเชยชายกระจายจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นโรยฯ | |
๏ | โอ้รินรินกลิ่นบุหงาสะตาหมัน | เหมือนกลิ่นจันทน์เจือนวลให้หวนโหย |
หอมยี่หุบสุกรมดอกยมโดย | พระพายโชยเฉื่อยชื่นยืนตะลึง | |
โอ้ที่นี่ศีลาเคยมานั่ง | เห็นบัลลังก์แล้วยิ่งนึกรำลึกถึง | |
ดูเงื้อมเขาเงาไม้พระไทรซึ้ง | เสียงหึ่งหึ่งผึ้งรวงเฝ้าหวงรัง | |
จังหรีดหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง | แว่วว่าน้องนึกเสียวพระเหลียวหลัง | |
เห็นน้ำพุดุดั้นตรงบัลลังก์ | เคยมานั่งสรงชลที่บนเตียง | |
เจ้าสรงด้วยช่วยพี่สีขนอง | แต่น้ำต้องถูกนิดก็หวีดเสียง | |
โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยเคียง | พระทรวงเพียงเผ่าร้อนถอนฤทัย | |
ทุกเงื้อมเขาเหงาเงียบเซียบสงัด | ใบไม้กวัดแกว่งกิ่งประวิงไหว | |
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าพนาลัย | ยิ่งเยือกในทรวงช้ำระยำเย็น | |
เที่ยวรอบสระปทุมาสะตาหมัน | เคยเห็นขวัญเนตรที่ไหนก็ไม่เห็น | |
ชลนัยน์ไหลซกตกกระเซ็น | ยิ่งเยือกเย็นหยุดยืนกลืนน้ำตา | |
จนดึกดื่นรื่นรินกลิ่นกุหลาบ | ตะลึงเหลียวเสียวซาบอาบนาสา | |
เหมือนปรางทองน้องนุชบุษบา | หรือกลับมายืนแฝงอยู่แห่งใด | |
เที่ยวดูดาวเปล่าเปลี่ยวเสียวสะดุ้ง | จนจวนรุ่งรางรางสว่างไสว | |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร | ดวงดอกไม้บานแบ่งรับแสงทอง | |
หอมมณฑาสารภีดอกยี่หุบ | บ้างร่วงหรุบถูกอุระพระขนอง | |
ภุมรินบินว่อนมาร่อนร้อง | อาบละอองเกสรขจรจายฯ | |
๏ | จนแจ่มแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น | ถอนสะอื้นอาลัยพระทัยหาย |
ดูเวหาว่าแสนแค้นพระพาย | ไม่พาสายสวาทคืนมาชื่นใจ | |
จำจะตามทรามชมทางลมพัด | เผื่อจะพลัดตกลงที่ตรงไหน | |
ดำริพลางทางสะท้อนถอนฤทัย | ให้เตรียมพลสกลไกรจะไคลคลา | |
จึงแปลงนามตามกันเป็นปันจุเหร็จ | จะเที่ยวเตร็ดเตร่ในไพรพฤกษา | |
พลางอุ้มองค์ยาหยีวิยะดา | ขึ้นรถแก้วแววฟ้าแล้วพาไปฯ | |
๏ | พระเหลียวดูภูผาสะตาหมัน | ที่สำคัญคูหาเคยอาศัย |
จะแลลับนับปีแต่นี้ไป | จะมิได้มาเห็นเหมือนเช่นเคย | |
เสียแรงแต่งแปลงสร้างจะร้างเริด | ค่อยอยู่เถิดแผ่นผาคูหาเอ๋ย | |
โอ้มิ่งไม้ไพรพนมเคยชมเชย | จะแลเลยลับแล้วทุกแนวเนินฯ | |
๏ | โอ้นกเอ๋ยเคยพากันมาจับ | จะแลลับฝูงนกระหกระเหิน |
โอ้เขาสูงฝูงหงส์เคยลงเดิน | เคยเพลิดเพลินพิศวงด้วยหงส์ทอง | |
จะเริดร้างห่างหงส์ไปดงอื่น | ทุกวันคืนค่ำเช้าจะเศร้าหมอง | |
โอ้ก้านกิ่งมิ่งไม้เรไรร้อง | ประสานซ้องเสียงดังดูวังเวง | |
ได้เคยฟังครั้งนี้มาวิบาก | ต้องพลัดพรากเพราะว่าลมทำข่มเหง | |
แม้นพบเห็นเป็นตัวไม่กลัวเกรง | จะรำเพลงกริชผลาญสังหารลม | |
นี่จนใจไม่เห็นด้วยเป็นเคราะห์ | มาจำเพาะพลัดคู่เคยสู่สม | |
ยิ่งสุดแสนแค้นขัดอัดอารมณ์ | จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ | |
แต่จำเป็นเกนหลงมาดงด้วย | ต้องชี้ช่วยชมผาพฤกษาไสว | |
กรดกระถินอินจันพรรณไม้ | มีดอกใบก้านกิ่งขึ้นพริ้งเพรียว | |
บ้างแก่อ่อนซ้อนซับสลับสล้าง | บ้างสดสร่างสีชุ่มชอุ่มเขียว | |
ที่ตายตอหน่อหนุนขึ้นรุ่นเรียว | เถาวัลย์เกี่ยวกอดกิ่งเหมือนชิงช้าฯ | |
๏ | พระชวนพลอดกอดน้องประคองอุ้ม | ให้ชมเพลินเดินมะงุมมะงาหรา |
ป่าประเทศเขตแคว้นแดนชวา | อินทะผาลัมชุมสลุมพัน | |
โกฐสดำจำปาดะดงองุ่น | สหัสคุณขึ้นระคนปนปาหนัน | |
สลาสล้างนางแย้มเข้าแกมกัน | หญ้าฝรั่นฝรั่งเรียงขึ้นเคียงดง | |
โกฐกระวานกานพลูดูระบัด | กำจายกำจัดสารพันต้นตันหยง | |
หอมระรื่นชื่นใจที่ในดง | พฤกษาทรงเสาวคนธ์ดังปนปรุง | |
ที่พื้นปราบราบรายล้วนทรายอ่อน | เข้าดงดอนเลียบเดินเนินกุหนุง | |
เทียนยี่หร่าป่าฝิ่นส่งกลิ่นฟุ้ง | สมส้มกุ้งโกฐจุฬาการบูรฯ | |
๏ | คิดถึงนุชบุษบานิจจาเอ๋ย | มิได้เชยชมสบายมาหายสูญ |
ยิ่งโศกเสียวเหลียวหาให้อาดูร | ยิ่งเพิ่มพูนพิศวงในดงแดน | |
ดูเล็บนางนึกถึงนางเหมือนอย่างเล็บ | เคยข่วนเจ็บรอยมีอยู่ที่แขน | |
เห็นนมนางกลางพนมนึกชมแทน | ละม้ายแม้นเหมือนเหมือนจะเยื้อนยิ้ม | |
มะปรางต้นผลอย่างพระปรางน้อง | น้ำเนตรคลองคลอคล้อยย้อยหยิมหยิม | |
ฝืนอารมณ์ชมพลับต้นทับทิม | ขึ้นรอบริมหว่างเขาลำเนาเนินฯ | |
๏ | พนมมาศลาดเลี่ยนเตียนตลิบ | บ้างสูงลิบลอยแหงนเป็นแผ่นเผิน |
บ้างทะมึนทึนเทิ่งเป็นเชิงเทิน | เป็นกรอกเกริ่นโกรกกรวยลำห้วยธาร | |
เสียงสินธุดุดั้นลั่นพิลึก | สะท้านสะทึกโถมฟาดฉาดฉาดฉาน | |
ที่น้ำโจนโผนพังดังสะท้าน | บ้างพุซ่านสาดสายสุหร่ายริน | |
คะนึงถึงนุชบุษบาแม้นมาเห็น | จะลงเล่นลำธารละหานหิน | |
ฝูงปลาทองท่องไล่เล็มไคลกิน | กระดิกดิ้นดูงามตามกระบวน | |
ปลาเนื้ออ่อนอ่อนกายขึ้นว่ายเกลื่อน | ไม่อ่อนเหมือนเนื้อน้องประคองสงวน | |
ปลานวลจันทร์นั้นก็งามแต่นามนวล | ไม่งามชวนชื่นเช่นระเด่นดวง | |
พลางรีบทัพขับรถกำหนดแสวง | ทุกหล้าแหล่งลำเนาภูเขาหลวง | |
ไม่ประสบพบเห็นให้เย็นทรวง | ให้เหงาง่วงเงียบเหงาเศร้าพระทัย | |
ถึงพลมากจากมิตรแต่จิตเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวดั่งจะพาน้ำตาไหล | |
เห็นนกหกผกโผนโจนจับไม้ | บ้างฟุบไซ้ปีกหางต่างต่างกัน | |
นกกระตั้วคลัวเคลียตัวเมียป้อน | เหมือนขวัญอ่อนแอบประทับพี่รับขวัญ | |
ป้อนสลาพาชื่นทุกคืนวัน | มาจากกันกรรมเอ๋ยไม่เคยเป็น | |
เห็นนกเปล้าเคล้าคู่เข้าชูชื่น | ถอนสะอื้นเหมือนไม่พอใจเห็น | |
พอเวลาสายัณห์ตะวันเย็น | นกยูงเล่นลมเพลินบนเนินเตียน | |
บ้างเยื้องอกหกหางก้อกางปีก | แฉลกฉลีกเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน | |
บ้างย่างย่องจ้องประจงที่วงเวียน | ออกกลางเตียนตีนขวิดดูกรีดกรายฯ | |
๏ | คิดถึงไปใช้บนได้ยลสมร | เมื่อทอดกรฟ้อนรำระบำถวาย |
โอ้อาภัพลับนุชสุดเสียดาย | สะอื้นอายมยุราให้อาวรณ์ | |
เห็นเขาเขียวเดี่ยวโดดล้วนโสดสูง | แต่ล้วนฝูงหงส์จับสลับสลอน | |
หงส์ก็งามตามอย่างเพราะหางงอน | เป็นคู่ป้อนปกปิดกันชิดชม | |
อรหันนั้นหน้าเหมือนมนุษย์ | ปีกเหมือนครุฑครีบเท้ามีเผ้าผม | |
พวกม่าเหมี่ยวเที่ยวเดินเนินพนม | ลูกเล็กล้มลากจูงเหมือนฝูงคน | |
เหล่าละเมาะเงาะป่าคุลาอยู่ | เที่ยวกินปูเปี้ยวป่าผลาผล | |
สิงโตตื่นยืนหยัดสะบัดตน | เห็นผู้คนโผนข้ามลำเนาเนิน | |
ฝูงมฤคถึกเถื่อนเที่ยวเกลื่อนกลุ้ม | เป็นคู่คุมเคียงนางไม่ห่างเหิน | |
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองเดิน | เหมือนน้องเชิญพานผ้าประหม่าเมียง | |
พี่เข้าด้วยช่วยประคองพระน้องนุช | สงสารสุดสุดสวาทไม่อาจเถียง | |
โอ้ยามนี้มิได้น้องประคองเคียง | พี่ก็เสี่ยงบุญตามเจ้าทรามเชย | |
เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง | คงได้น้องคืนมาเรียงเคียงเขนย | |
แม้นกรรมหนุนบุญน้อยจะลอยเลย | มิได้เชยบุษบาพะงางอนฯ | |
๏ | พระครวญคร่ำร่ำไรมาในรถ | โศกกำสรดแสนเสียดายสายสมร |
พอเวลาสายัณห์ตะวันรอน | ปักษาร่อนรีบกลับมาจับรัง | |
โอ้นกเอ๋ยเคยอยู่มาสู่ถิ่น | แต่ยุพินลิบลับไม่กลับหลัง | |
ครั้นแลดูสุริย์แสงก็แดงดัง | หนึ่งน้ำครั่งคล้ำฟ้านภาลัย | |
เหมือนครั้งนี้พี่มาโศกแสนเทวษ | ชลเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล | |
โอ้ตะวันครั้นจะลบภพไตร | ก็อาลัยโลกยังหยุดรั้งรอ | |
ประหลาดนักรักเอ๋ยมาเลยลับ | เหมือนเพลิงดับเด็ดเดี่ยวไปเจียวหนอ | |
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงคลั่งคลอ | ยิ่งเย็นย่อเสียวทรวงให้ร่วงโรย | |
ชะนีน้อยห้อยไม้เรไรร้อง | เสียงแซ่ซ้องเริ่มรัวเรียกผัวโหวย | |
เหมือนอกพี่ที่ถวิลให้ดิ้นโดย | ละห้อยโหยหานางมากลางไพรฯ | |
๏ | พระสุริยงลงลับพยับค่ำ | ถึงแนวน้ำเนินผาพฤกษาไสว |
หยุดสำนักพักพลสกลไกร | พระเนาในรถทองกับน้องยา | |
ถนอมแนบแอบองค์หลงหนึ่งหรัด | ให้บรรทมโสมนัสในรัถา | |
ต้องจากวังครั้งนี้เพราะพี่พา | พระน้องมาอ้างว้างวังเวงใจ | |
นอนเถิดหนายาหยีพี่จะกล่อม | งามละม่อมมิ่งขวัญอย่าหวั่นไหว | |
คิรีรอบขอบเคียงเหมือนเวียงชัย | อยู่ร่มไม้เหมือนปราสาทราชวัง | |
เคยสำเนียงเสียงนางสุรางค์เห่ | มาฟังเรไรแซ่เหมือนแตรสังข์ | |
เคยมีวิสูตรรูดกั้นบนบัลลังก์ | มากำบังใบไม้ในไพรวัน | |
หนาวน้ำค้างกลางคืนสะอื้นอ้อน | จะกางกรกอดน้องประคองขวัญ | |
เอาดวงดาราระยับกับพระจันทร์ | ต่างช่อชั้นชวาลาระย้าย้อย | |
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง | ต่างสำเนียงขับครวญหวนละห้อย | |
พระพายเอ๋ยเชยมาต้องพระน้องน้อย | เหมือนนางคอยหมอบกรานอยู่งานพัด | |
โอ้เวลาปานฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย | กระไรเลยแลเงียบเชียบสงัด | |
น้ำค้างเผาะเหยาะเย็นกระเซ็นซัด | ดึกสงัดดวงจิตจงนิทรา | |
พระขวัญเอ๋ยเคยนอนอย่าร่อนเร่ | ไปว้าเหว่หว่างไม้ไพรพฤกษา | |
ขวัญมาอยู่สู่ที่พระพี่ยา | พระมารดาบิตุเรศนิเวศน์เวียง | |
พระขวัญเอ๋ยเคยแอบแนบถนอม | มาฟังกล่อมกลอนเพราะเสนาะเสียง | |
โอ้แรมล่วงดวงเดือนก็เลื่อนเอียง | พี่พิศเพียงพักตร์แฝงพลิกแพลงบัง | |
บุษบายาหยีเจ้าพี่เอ๋ย | ช่างลอยเลยลิบลับไม่กลับหลัง | |
เมื่ออุ้มออกนอกเขตนิเวศน์วัง | พระน้องนั่งรถทรงที่ตรงริม | |
พี่หยอกเย้าเซ้าซี้มีแต่โกรธ | สะอื้นโอษฐ์โอษฐ์เอี่ยมเสงี่ยมหงิม | |
อยู่ใกล้เคียงเพี้ยงเอ๋ยได้เชยชิม | ถนอมนิ่มเนื้อน่วมร่วมฤทัย | |
พระครวญคร่ำรำลึกจนดึกเงียบ | เย็นระเยียบหย่อมหญ้าพฤกษาไสว | |
สงบเสียงสิงสัตว์สงัดไพร | ทุกกอกิ่งมิ่งไม้พระไทรครึ้ม | |
สุมามาลย์บานกลิ่นระรินรื่น | ในเที่ยงคืนเสียงแต่ผึ้งหึ่งระหึม | |
ผีพระไทรไม้พุ่มงุมงุมงึม | โขมดพึมผิวกู่หวิวหวู่โวย | |
เหล่ามารยาป่าโป่งเที่ยวโทงเถื่อน | ตะโกนเพื่อนเพิกเสียงสำเนียงโหย | |
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยโชย | ยิ่งดิ้นโดยเดือนดับไม่หลับเลย | |
จนทรวงเจ็บเหน็บแน่นแหงนดูฟ้า | องค์ประตาระกาหลาเจ้าข้าเอ๋ย | |
พระน้องนุชบุษบาเจ้าข้าเคย | เป็นคู่เชยชมชื่นให้คืนมา | |
ทั้งโกสีย์ตรีเนตรเห็นเหตุสิ้น | ว่ายุพินอยู่ที่ไหนนำไปหา | |
หาไม่ฉันวานแต่พระสุชาดา | ช่วยอุ้มพามาให้พบประสบกัน | |
ทั้งพรหมานวานแต่พาหนะหงส์ | จะได้ทรงเหาะแสวงทุกแห่งสวรรค์ | |
แม้นได้นุชบุษบาวิลาวัณย์ | จะทำขวัญหงส์พรหมให้สมยศฯ | |
๏ | จนพลบค่ำรำลึกนึกอนาถ | ไม่ไสยาสน์ยามวิโยคโศกกำสรด |
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันให้รันทด | ให้ยกทัพขับรถเลี้ยวลดเดิน | |
ทุกแว่นแคว้นแดนชวาสุธาทวีป | เที่ยวเร็วรีบรอบเกาะดังเหาะเหิน | |
ไม่พบเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ | ไปจนเกินมะละกาพารารายฯ | |
๏ | เมืองระตูรู้ทั่วกลัวอำนาจ | ต่างแต่งราชธิดามาถวาย |
ไม่ไยดีอีนังแต่ซังตาย | แม้นแก้วหายได้ปัดไม่ทัดเทียม | |
แม้นมิเหมือนเพื่อนเชยที่เคยชิด | ไม่ขอคิดนึกหน่ายละอายเหนียม | |
แต่ปราศรัยไต่ถามตามธรรมเนียม | ไม่และเลียมเลยแสวงทุกแห่งไปฯ | |
๏ | ถึงเจ็ดเดือนเคลื่อนคลาดประหลาดแล้ว | ไม่พบแก้วกลอยจิตพิสมัย |
จนพระรูปซูบผอมเพราะตรอมใจ | ทั้งนายไพร่พลนิกรอ่อนกำลัง | |
จนถึงทางร่วมที่บุรีรัตน์ | ที่จะตัดมรคาไปกาหลัง | |
เห็นเขาเขินเนินร่มพนมวัง | ต้นดงรังครึกครื้นระรื่นเย็น | |
ที่ธารถ้ำน้ำพุทะลุลั่น | เป็นช่องชั้นบัลลังก์น่านั่งเล่น | |
ผลาผลหล่นกลาดดาษกระเด็น | ดอกไม้เป็นดอกพร้อมหอมรัญจวน | |
จะใคร่บวชสวดมนต์อยู่บนเขา | เพราะแสนเศร้าสุดจะตามทรามสงวน | |
แม้นมิตามความรักเฝ้าชักชวน | ให้ปั่นป่วนไปตามเพราะความรัก | |
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้ | หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก | |
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก | แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ | |
จะสร้างพรตอดรักหักสวาท | เผื่อจะขาดข้อคิดพิสมัย | |
แม้นน้องนุชบุษบานิคาลัย | จะได้ไปสู่สวรรค์ชั้นโสฬส | |
จึงหยุดทัพยับยั้งตั้งอาศรม | รักษาพรหมจรรย์ด้วยกันหมด | |
ปะตาปาอายันอยู่บรรพต | อุตส่าห์อดอาลัยก็ไม่คลาย | |
ภาวนาว่าจะตั้งปลงสังเวช | ก็หลับเนตรเห็นคู่ไม่รู้หาย | |
จะสวดมนต์ต้นถูกถึงผูกปลาย | ก็กลับกลายเรื่องราวเป็นกล่าวกลอนฯ | |
๏ | คิดถึงนุชบุษบาออกมานั่ง | บนบัลลังก์เหลี่ยมผาหน้าสิงขร |
พระตรวจน้ำร่ำว่าด้วยอาวรณ์ | หวังสมรเหมือนจะคลาดในชาตินี้ | |
จะอุตส่าห์ปะตาปารักษากิจ | อวยอุทิศผลผลาถึงยาหยี | |
จะเกิดไหนในจังหวัดปัถพี | ให้เหมือนปี่กับขลุ่ยต้องทำนองกัน | |
เป็นจีนจามพราหมณ์ฝรั่งแลอังกฤษ | ให้สนิทเสน่หาตุนาหงัน | |
แม้นเป็นไทยให้เป็นวงศ์ร่วมพงศ์พันธุ์ | พอโสกันต์ให้ได้อยู่เป็นคู่ครอง | |
ครั้นกรวดน้ำสำเร็จเสด็จกลับ | เข้าห้องหับโหยไห้พระทัยหมอง | |
ทุกเช้าค่ำรำลึกเฝ้าตรึกตรอง | จนขาดครองคราวสวาทนิราศเอยฯ |