นิราศเดือน (2466)
หนังสือกลอนนิราสเดือนนี้เปนนิราสซึ่งนับถือกันว่า สำนวนแต่งดีเปนอย่างยิ่งเรื่อง ๑ บางคนเข้าใจว่า สุนทรภู่แต่ง แต่ที่กล่าวกันมาเปนหลักฐานนั้นว่า นายมี ศิษย์ของสุนทรภู่ แต่งเมื่อบวชเปนพระอยู่วัดพระเชตุพน นายมีคนนี้ ว่า ได้แต่งกลอนนิราสเมืองถลางไว้อิกเรื่อง ๑ ปรากฎสำนวนในหนังสือ ๒ เรื่องด้วยกัน ความที่กล่าวมานี้ เห็นว่า พอจะเชื่อฟังได้ ด้วยกลอนนิราสเดือนแลนิราสเมืองถลางทั้ง ๒ เรื่องนี้แต่งตามแบบของสุนทรภู่ เปนเค้าเงื่อนว่า ผู้แต่งเปนศิษย์หรือเปนผู้นับถือวิธีกลอนของสุนทรภู่ แต่พิเคราะห์ดูในทางความที่แต่ง ผิดกับสุนทรภู่ จึงเข้าใจว่า จะเปนสำนวนผู้อื่นซึ่งเปนศิษย์ของสุนทรภู่
ศิษย์ของสุนทรภู่ที่สามารถแต่งกลอนได้ดีแทบจะถึงครูปรากฎแต่ ๒ คน คือ นายมีนี้คน ๑ กับหม่อมราโชทัย กระต่าย อิศรางกูร ณกรุงเทพ ซึ่งแต่งนิราสลอนดอน อิกคน ๑ นิราสลอนดอนนั้น ว่า ที่แท้จะว่าดีกว่าของสุนทรภู่ในบางอย่างก็ว่าได้ เช่น ตรงใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษ ใช้แห่งใด คงหาสัมผัสที่เหมาะเข้าความได้ ไม่มีเคอะเลยสักแห่งเดียว กระบวนเล่นศัพท์ภาษาต่างประเทศเช่นนั้น สุนทรภู่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ หาสามารถจะเล่นได้ไม่ จึงว่า หม่อมราโชทัยได้เปรียบสุนทรภู่อยู่ตรงนั้น ผู้ที่แต่งกลอนเอาอย่างสุนทรภู่มีมากกว่ามาก แต่ไม่มีใครที่จะแต่งได้ดีทัดทันครูเท่ากับนายมีกับหม่อมราโชทัยที่กล่าวมา.
๏โอ้ระดูเดือนห้าน่าคิมหันต์ พวกมนุษย์สุดศุขสนุก |
ครัน ได้ดูกันพิศวงเมื่อสงกรานต์ ทั้งผู้ดีเข็ญใจ |
ใส่อังคาส อภิวาทพุทธรูปในวิหาร ล้วนแต่งตัวทั่วกัน |
วันสงกรานต์ ดูสะครานเพริดพริ้งทั้งหญิงชาย ที่เฒ่า |
แก่แม่ม่ายมิใคร่เที่ยว สู้อดเปรี้ยวกินหวานลูกหลาน |
หลาย ที่กำดัดซัดสีสวยทั้งกาย เที่ยวถวายน้ำหอม |
พร้อมศรัทธา บ้างก็มีที่สวาดิ์มาดพระสงฆ์ ต่างจำนง |
นึกกำดัดขัดสิกขา ได้แต่เพียงพูดกันจำนรรจา นาน |
นานมากลับไปแล้วใจตรอม ล้วนแต่งตัวเต็มงามทราม |
สวาดิ์ ใส่สีฉาดฟุ้งเฟื่องด้วยเครื่องหอม สงกรานต์ที |
ตรุษทีไม่มีมอม ประดับพร้อมแหวนเพ็ชรเม็ดมุกดา |
มีเท่าไรใส่เท่านั้นฉันผู้หญิง ดูเพริดพริ้งเพราเอก |
เหมือนเมขลา รามสูรเดินดินสิ้นศักดา เที่ยวไล่คว้า |
ลางทีก็มีเชิง บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วจนมัวมืด ใครขี้ตืด |
ถากถางวางกันเหลิง บ้างฉุดมือยื้อผ้าด่ากันเปิง ที่รู้ |
เชิงทำแปดเก้าเปนเจ้ามือ เขาตัดไพ่ตายแพ้เหลือแต่ |
ผ้า สิ้นปัญญาบ่นพลางครางหือ ๆ นั่งเสียใจเต็มที |
ต้องหนีมือ ไม่สัตย์ซื่อทำไพ่ตายเขาเอง ดูเขาเล่น |
เปนระดูไม่รู้ขาด นุชนาฏพึ่งกะเตาะขึ้นเหมาะเหม็ง |
บ้างก็หลงเลยเล่นเปนนักเลง ฉันนี้เกรงกลัวนักไม่รัก |
เลย ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น บ้างซุ่มเปนผัว |
เมียกันเสียเฉย แต่ตัวเราเปล่าไปมิได้เชย โอ้อกเอ๋ย |
คิดไปแล้วใจตรม ให้เจ็บจุกทุกข์เท่าคีรีศรี ด้วยไม่มี |
คู่ชิดสนิทสนม ทุกวันนี้ใครมีซึ่งคู่ชม สำราญรมย์ |
เริงจิตรเปนนิจกาล เมื่อไรเล่าเรานี้จะมีบ้าง จะได้ว่าง |
เว้นทุกข์สนุกสนาน แต่นึกตรองปองหามาช้านาน |
ทอดสพานเข้าที่ไหนไม่ได้เลย ร่ำคนึงถึงนุชสุดวิตก |
ถึงเดือนหกเข้าแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย เขาแต่งงานปลูก |
หอขอกันเชย เราจะเฉยอยู่ก็เห็นไม่เปนการ เขาแรก |
นาแล้วมานักขัตฤกษ์ เอิกเกริกโกนจุกทุกสถาน |
ที่กำดัดจัดแจงกันแต่งงาน มงคลการตามเล่ห์ประ |
เพณี โอ้โอ๋อกอาตมานี้อาภัพ ทั้งไร้ทรัพย์สาระพัดน่า |
บัดสี ดูเพื่อนบ้านเขาทั้งหลายสบายดี เขาคิดมีลูก |
เมียเสียทุกคน สำราญรมย์ชมน้องในห้องหอ เฝ้า |
เคลียคลอเจรจาว่ากุศล ที่ยังไม่ส่งตัวนึกกลัวตน |
ก็ต่างคนต่างนึกคนึงตรอง โอ้อกเอ๋ยยังไม่เคยจะมีผัว |
สงสารตัวตั้งแต่นี้มีแต่หมอง มิได้ทาแป้งขมิ้นดินสอ |
พอง จะมีท้องแท้แล้วไม่แคล้วเลย เสียดายแก้ม |
ผุดผ่องจะต้องจูบ จะซีดซูบภักตรานิจาเอ๋ย เสียดาย |
นมจะระบมเพราะมือเชย ยังไม่เคยมีคู่ดูน่าอาย ไหน |
จะปัดฟูกหมอนนอนด้วยผัว ไม่เหมือนตัวเปล่าเปลือย |
เหนื่อยใจหาย จะไม่มีก็ไม่ได้ไม่สบาย พวกผู้ชาย |
เจ้าชู้มักดูแคลน จะพูดเกี้ยวเลี้ยวลดให้อดสู ถ้ามีคู่ |
คุ้มตัวเหมือนหัวแหวน ที่ลางคนบ่นบ้าว่าน่าแค้น พ่อ |
แม่แค่นขืนให้ไม่ชอบใจ เที่ยวหลบลี้หนีสถานทิ้งบ้าน |
ช่อง มีพวกพ้องน้าป้าไปอาศัย บ้างชอบชายรูป |
งามตามเขาไป ไม่อาไลยพ่อแม่ไปแต่ตัว ที่ตกพุ่ม |
กลุ้มกลัดขัดในอก ถึงมุ่นหมกอยู่ในก็ใช้เฉย ว่ารูป |
ชั่วชายชังไม่หวังเชย แสนสงสารหญิงชายไม่วาย |
เลย โอ้อกเอ๋ยเราก็เปนเหมือนเช่นกัน ไม่พ้นตัว |
ชั่วช้าว่าแต่เขา ตัวของเราเหมือนยักษ์มักกระสัน |
เห็นกะเตาะไม่ได้ใจเปนควัน เหลือจะกลั้นใจคอเที่ยว |
กรอกราย ถ้ามีงานใหญ่โตมะโหรศพ ขี้มักพบเห็น |
มากดูหลากหลาย เห็นนารีรูปงามตามแทบตาย |
เพราะเมามายแรกรักนี่หนักจริง มีอิเหนาคราวนั้นขัน |
หนักหนา ทำที่ท่าถูกในน้ำใจหญิง นอนลเมอเพ้อจิตร |
คิดประวิง ฉันหนาวจริงพ่อขุนทองประคองที อันความ |
รักมักลเมอจนเพ้อพก เหมือนกับอกเรียมแล้วนะ |
แก้วพี่ ให้โหยหวนครวญหาทุกราตรี สักกี่ปีจะได้ |
น้องประคองนอน กระทั่งถึงเดือนเจ็ดไม่เสร็จโศก |
บังเกิดโรคแรงนักด้วยรักสมร สลากภัตรจัดแจงแต่ง |
หาบคอน อย่างแต่ก่อนหาบกระทายมีลายทอง ใส่ |
คานรูปนาคาวายุภักตร์ ครั้นเดินหนักดูเต้นเผ่นผยอง |
แสรกร้อยห้อยพวงมาไลยกรอง ใส่เข้าของหาบหาม |
ตามกันมา ทุกวันนี้มีแต่จะทำแปลก ใส่โต๊ะแบก |
เดินด่วนมาถ้วนหน้า สาระพัดเอมโอชโภชนา ตาม |
ศรัทธาสัปรุษนุชอนงค์ ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปมาก จับ |
สลากหนังสือชื่อพระสงฆ์ รู้จักนามตามพบประสบองค์ |
ต่างจำนงน้อมถวายรายกันไป พระลางองค์งงงกตก |
ประหม่า ให้ยะถาเสียงสั่นอยู่หวั่นไหว สัปรุษกรวดน้ำ |
ร่ำในใจ ที่ผู้ใหญ่หมายประโยชน์โพธิญาณ ที่หนุ่ม |
หนุ่มสาวสาวราวกับฉัน นึกรำพรรณในจิตรอธิษฐาน |
ให้มีเมียรูปงามทรามสคราน ที่เรือนบ้านคับคั่งเขามั่ง |
มี อนงค์นาฏปราถนาจะหาผัว ไม่เล่นถั่วกินเหล้า |
เมาอาหนี ให้รูปงามทรามชมอุดมดี ลางสตรีปราถนา |
หาขุนนาง มีเงินทองบ่าวไพร่เครื่องใช้สอย จะนั่ง |
ลอยนวลสบายนุ่งลายย่าง ขี่แต่เรือเก๋งพังลงนั่งกลาง |
ไปตามทางแถวชลที่คนพาย ที่ติดพันกันอยู่ก็ชูชื่น |
ไม่นึกอื่นนึกมีแต่ที่หมาย ที่มีแล้วฉ่ำเฉื่อยเรื่อยสบาย |
ค่อยเว้นวายโศกเศร้าเบาหัวใจ กระทำมาหากินภิญ |
โญยิ่ง มีลูกหญิงลูกชายหมายอาไศย ที่ไม่มีฝั่ง |
ฝาให้อาไลย เหมือนกับใจของฉันที่พรรณนา คิดถึงนุช |
สุดที่รักให้หนักอก น้ำตาตกพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา สัก |
เมื่อไรจะได้แนบแอบอุรา ละห้อยหาโศกศัลย์รำพรรณ |
คราง ถึงเดือนแปดแดดอับพยับฝน ฤดูดลพระวสา |
เข้ามาขวาง จวนจะบวชเปนพระสละนาง อยู่เหินห่าง |
เห็นกันเมื่อวันบุญ ประดับพุ่มบุปผาพฤกษากะถาง |
รูปแรดช้างโคควายขายกันวุ่น ตุ๊กตาหน้าพราหมณ์ |
งามละมุน ต้นพิกุลลิ้นจี่ดูดีจริง ต้นไม้ทองเสาธง |
หงษ์ขี้ผึ้ง คู่ละสลึงเขาขายพวกชายหญิง อุณรุท |
ยุดกินนรชะอ้อนพริ้ง มีทุกสิ่งซื้อมาบูชาพระ ขึ้นกุฎี |
ที่รักรู้จักสนิท ดัดจริตพูดจาวิสาสะ พระหนุ่มหนุ่ม |
กลุ้มใจทำไมละ เสียงจ๋าจ๊ะเจรจาพาสบาย ถ้าญาติ |
โยมจริงจริงแล้วนิ่งเฉย มิใคร่เงยดูหน้าปัญญาหาย |
ไม่พูดมากพาดพิงให้พริ้งพราย ดูเราะรายเรียบร้อย |
กระช้อยชด พรรษาหนึ่งสองพรรษาไม่ผาศุก เข้าบ้าน |
กรุกเลยลาสิกขาบท เหมือนน้ำอ้อยย้อยถูกจมูกมด |
ใครจะอดได้เล่าพวกชาวเรา นึกคนึงถึงนางกลางพรรษา |
แต่คอยหาเช้าเย็นไม่เห็นเขา เที่ยวฟังเทศน์มิได้ขาด |
ดูลาดเลา เห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา นั่งพับเพียบ |
เรียบร้อยน้อยไปฤๅ ประนมมือฟังธรรมเทศนา ที่ฟัง |
จริงนิ่งตรับจนหลับตา บ้างก้มหน้าฟังไปมิได้เงย ที่ฟัง |
เล่นเห็นกันเปนขวัญเนตร ไม่ฟังเทศน์เอาบุญแม่คุณ |
เอ๋ย มานั่งเล่นตากันฉันไม่เคย ไม่สิ้นเลยเหล่าตะกลาม |
กามคุณ ที่ท่านแก่แก่ตัวยังชั่วดอก หมายจะออก |
ห่างเหจากเมถุน ท่านอยากบวชสวดมนต์ขนเอาบุญ |
ที่แรกรุ่นนี้แลร่านรำคาญใจ ด้วยความรักหนักเหลือ |
เหมือนเรือเพียบ จนน้ำเลียบแคมแล้วแจวไม่ไหว ถ้า |
ผ่อนของขึ้นเสียบ้างยังชั่วใจ แจวไปไหนไปได้ไม่หนัก |
แรง โอ้โอ๋อกชาวเราเหล่าหนุ่มหนุ่ม อยากใคร่ |
สุ่มปลาหนองเที่ยวส่องแสวง ตัวฉันเล่าเฝ้าคลั่งด้วย |
คลางแคลง จะพลิกแพลงไปอย่างไรก็ไม่รู้ โอ้ไฉนจะ |
สมอารมรัก ใครช่วยชักฉันจะไหว้ให้หัวหมู ยิ่งร้อน |
ในใจคอให้หมอดู ว่าขัดคู่นักหนาให้อาดูร ถึงเดือน |
เก้าเศร้าสร้อยละห้อยหา พระจันทราวันดับก็ลับสูญ |
แต่โศกเศร้าเราเสริมขึ้นเพิ่มภูล ไม่ลับสูญไปบ้าง |
เหมือนอย่างเดือน ไม่ได้ชมโฉมศรีไม่มีศุข จะเปรียบ |
ทุกข์อะไรก็ไม่เหมือน ถึงจะมีเข้าของสักห้องเรือน |
ไม่ชื่นเหมือนคนรักสักราตรี ถ้ามีคู่สู่สมภิรมย์รื่น |
ทุกวันคืนปรีดิ์เปรมเกษมศรี ถ้าไม่ได้เหมือนหมาย |
ตายเสียดี ไปเกิดมีชาติน่าคอยท่าน้อง โอ้ว่ากรรม |
จำเภาะพระเคราะห์รุด หมายได้นุชเดือนเก้ายิ่งเศร้า |
หมอง เห็นเมฆมืดเวหาฟ้าคนอง พยับฟองฝนสาด |
อยู่ปราดปราย พยุเยือกโยกมาฟ้าก็แลบ ดูวับแวบแวว |
วับแล้วดับหาย เหมือนเห็นขวัญเนตรวับแล้วลับกาย |
ราวกับสายฟ้าแลบแปลบโพยม พิรุณโรยโปรยมา |
เวลาดึก คนึงนึกถึงนางสำอางโฉม ถ้าเหาะได้จะ |
ไปพาเอามาโลม ประคองโฉมโลมเล่นไม่เว้นวาง |
นี่จนจิตรฤทธีหามีไม่ ยิ่งคิดไปสารพัดจะขัดขวาง ระ |
ทวยทอดกอดหมอนลงนอนคราง กลัวจะค้างมรสุม |
กลุ้มหัวใจ ยิ่งคิดคิดจิตรคล้อยละห้อยหา ชลนา |
เอิบอาบพิลาปไหล กลางคืนหนาวกลางวันร้อนอ่อน |
ฤทัย เมื่อครั้งไรจะพ้นข้อทรมาน ถึงเดือนสิบเห็น |
กันเมื่อวันสารท ใส่อังคาศโภชนากระยาหาร กระยา |
สารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน พวกชาวบ้านถ้วนหน้ามา |
ธารณะ เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ แล้วจับจบทัพพีน้อม |
ศีศะ หยิบเข้าของกระยาสารทใส่บาตรพระ ธารณะ |
เสร็จสรรพกลับมาเรือน พอลับเนตรเชษฐาอุราร้อน |
แสนอาวรณ์โหยไห้ใครจะเหมือน ไม่รู้ที่จะวานใครไป |
ตักเตือน ให้มาเยือนเยี่ยมพี่ถึงที่นอน ถ้าเข้าชิด |
อิดออดจะกอดรัด สอดสำผัศเคล้นทรวงดวงสมร |
แม้นข่วนหยิกพลิกหันจะกันกร ทำแง่งอนพี่จะง้อให้ |
ท้อใจ จะเป่าด้วยคาถามหาเสน่ห์ อิธะเจทำผงให้ |
หลงใหล โอ้ยามนี้โฉมตรูก็อยู่ไกล ทำไฉนจะได้ |
มิตรมาชิดเชย ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานสถิตย์ |
ช่วยเตือนมิตรให้มาเยือนอย่าเชือนเฉย อย่าให้เรียม |
คอยท่าอยู่ช้าเลย ไม่ได้เชยนุชนงค์ฉันคงตาย อัน |
หญิงอื่นดื่นไปทั้งไตรจักร์ ไม่มีรักเหมือนนุชที่สุด |
หมาย ขอให้ได้แนบน้องประคองกาย อย่าคลาศ |
คลายตราบเท่าเข้านิพพาน ยิ่งรำคาญแค้นใจให้สอื้น |
ถ้างามชื่นเห็นคงจะสงสาร แม้แลกเปลี่ยนน้ำใจอา |
ไลยลาญ คงรำคาญเหมือนเรียมที่เกรียมตรอม |
ถ้ายอดรักรักรวบประจวบจิตร คงได้ชิดเชยแนบแอบ |
ถนอม จะประโลมโฉมเฉลิมเปนเจิมจอม ให้เพริศ |
พร้อมพริ้งพรายสบายบาน จะตั้งตึกปึกแผ่นให้แน่นหนา |
มีเงินตรากินกรุ่มเปนภูมิฐาน ช่วยค้าคนบ่าวไพร่ไว้ใช้ |
การ ให้เยาวมาลย์ชื่นชมภิรมย์ใจ พี่นอนตฤกนึก |
นิยมสมบัติบ้า ก็เพราะว่าความรักมักหลงใหล สิ้น |
เดือนสิบลิบลับนับแต่ไกล ยังไม่ได้กัลยาน้ำตาริน |
เดือนสิบเอ็จเสร็จธุระพระวสา ชาวภาราเซ่งแซ่แห่ |
กระฐิน ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน กระแสสินธุ์ |
สาดปรายกระจายฟอง สนุกสนานขานยาวฉาวสนั่น |
บ้างแข่งกันขันสู้เปนคู่สอง แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง |
ตามทำนองเล่นกะฐินสิ้นทุกปี ไปช่วยแห่แลกันกระสัน |
สวาดิ์ นุชนาฏพายเรือใส่เสื้อสี จนเปียกชุ่มตูมตั้งอลั่งดี |
เส้นเกษีโศกสร้อยก็พลอยยับ เหมือนตกแสกแบกโศก |
ไว้สักพ้อม ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ ถึงบ้าน |
หอบบอบอ่อนลงนอนพับ ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย |
บ้างว่ากันวันนี้พี่คนนั้น ช่างดูฉันนี่กะไรน่าใจหาย บ้าง |
แกล้งพูดดังดังว่าชังชาย เบื่อจะตายไปกะฐินเขานินทา |
ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก พูดแต่ปากใจรนเที่ยวซนหา |
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย |
ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน แสนอาวรณ์วิญญานิจาเอ๋ย |
ไม่ว่าเล่นเปนบ้าหลังด้วยหวังเชย ยิ่งเคยเคยก็ยิ่งคิด |
เปนนิจกาล ทุกค่ำรุ่งมุ่งมาดปราถนา จะพรรณนาสุดคิด |
ให้วิดถาร ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ ฉันรำคาญ |
สุดที่จะชี้แจง เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง ชน |
ทั้งปวงเลยตามอร่ามแสดง ดอกไม้ไฟโชติช่วงเปน |
ดวงแดง ทั้งพลุแรงตึงตังดังสท้าน เสียงนกบิน |
พราดพรวดกรวดอ้ายตื้อ เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่น่าฉาน |
ล้วนผู้คนล้นหลามตามสพาน อลหม่านนาวาในสาคร |
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก มีเรือชักเซงแซ่แลสลอน |
ขับประโคมดนตรีมีลคร อรชรร่ำร่าอยู่น่าเรือ บ้างก็ |
ร้องสักรวาใส่หน้าทับ ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ |
ฟังสำเนียงสัตรีไม่มีเครือ เปนใยเยื่อจับในน้ำใจชาย |
ฟังสำเนียงเสียงนางที่กลางน้ำ แล้วหวนรำฦกถึงนุช |
ที่สุดหมาย กลับมานอนอ่อนทอดระทวยกาย เฝ้าฟูม |
ฟายชลนาทุกราตรี นอนไม่หลับกลับลุกเปิดน่าต่าง |
จันทร์กระจ่างแจ่มฟ้าในราษี เห็นดวงเดือนเหมือน |
ลักษณ์ภักคินี ยุพินพี่อยู่ไกลไนยนา พี่นั่งคอยนอนคอย |
ละห้อยหวน แสนรัญจวนมิได้สิ้นถวิลหา เห็นราหู |
จู่จับพระจันทรา ชาวภาราอื้ออึงคนึงดัง พิฦกลั่นครั่น |
ครึกเสียงกึกก้อง ระฆังฆ้องกลองแซ่ทั้งแตรสังข์ |
ประดังเสียงเพียงพื้นพิภพพัง มีทุกครั้งดังทุกคราว |
ฉาวทุกที โอ้ว่าดวงจันทร์เจ้าดูเศร้าหมอง ไม่ผุดผ่อง |
เผือดอับพยับสี อยู่ในปากราหูอสุรี มีนาทีปล่อยปละ |
สละกัน แต่ตัวพี่มิได้มีนาทีชื่น ทุกวันคืนเฝ้าวิโยค |
ด้วยโศกศัลย์ ครวญคนึงถึงมิตรที่ติดพัน พี่ชมจันทร์ |
ต่างเจ้าเยาวมาลย์ เมื่อวันที่เทศนามหาชาติ ได้เห็น |
นาฏนุชนงค์ยอดสงสาร สัปรุษคับคั่งฟังกุมาร ชัชวาลย์ |
แจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน พี่ฟังธรรมเทศน์จบไม่พบน้อง |
เที่ยวเมียงมองเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน ไม่พบพักตร์ |
เยาวมาลย์ในการเปรียญ ก็วนเวียนมาบ้านรำคาญใจ |
ถึงฤดูเดือนอ้ายไม่ได้สมร ยิ่งหนาวนอนกอดประทับ |
ไม่หลับไหล ถึงกอดหมอนนอนนิ่งแล้วผิงไฟ ไม่อุ่นใจ |
เหมือนกอดแม่ยอดรัก พี่เปนทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะ |
ม้วย ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์ ให้คับแค้น |
วิญญานักหนานัก จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ ให้สุด |
แค้นแสนวิตกในอกพี่ เหมือนพระสี่เสาร์กระษัตริย์ |
พลัดสถาน พระเสาร์ทับชัณษาอยู่ช้านาน พระภูบาล |
เปนบ้าเข้าป่าไป ถึงกระนั้นพระองค์ก็คงหาย กลับ |
สบายคืนมาภาราได้ แต่ทุกข์พี่นี้ยิ่งกว่านั้นไป ทำกะ |
ไรจะได้ชื่นทุกคืนวัน เปนเคราะห์กรรมซ้ำแซกเข้า |
แรกรุ่น มาหมกมุ่นด้วยผู้หญิงจริงจริงฉัน แม่โลกีย์ |
เจ้ากรรมแกทำครัน จะบากบั่นไม่ขาดประหลาดใจ |
ยิ่งเห็นหน้ามิ่งมิตรให้คิดรัก อกจะหักเสียแล้วกรรม |
จะทำไฉน ชรอยเปนคู่สร้างฤๅอย่างไร จึงอาไลย |
นางงามถึงสามฤดู ยกเอาเรื่องในใจใส่สมุด ถ้า |
นงนุชทราบเรื่องคงเคืองหู อันความรักมักคลั่งตั้งกระ |
ทู้ มีทุกผู้ทุกคนไม่พ้นเลย ครั้นล่วงเข้าเดือนยี่ทวีหนาว |
นางสาวสาวอาบน้ำทำหน้าเฉย อุส่าห์บำรุงกายให้ชาย |
เชย ไม่ขาดเลยแป้งขมิ้นดินสอพอง ไม่ใคร่ผิงอัคคี |
กลัวศรีเสีย อลิ้มอะเหลี่ยเหลือดีไม่มีหมอง คัด |
ปีกเปิดเลิศล้วนนวลละออง อนงค์น้องน่ารักลักขณา |
บ้างก็กางคันฉ่องส่องกระจก เห็นผมดกคิ้วดำขำหนัก |
หนา อุส่าห์ถอนอุส่าห์ตัดหัดเล่นตา เปนวิชาชวนชาย |
ให้ตายใจ บ้างก็ยิ้มพริ้มพรายขยายแก้ม เอาหมึก |
แต้มให้ดำทำเปนไฝ ล้วนแต่งตัวทั่วกันทุกวันไป |
นี่ฤๅใครจะไม่รักภักคินี ทั้งขาวขำสำอางเหมือนอย่าง |
ปั้น ย่อมหวานมันเหมือนกันหมดรศอิตถี ผูกสายสร้อย |
กบข้อมือลือว่ามี ทุกวันนี้นับถือข้อมือทอง บ้างก็ไป |
วัดวาหาหลวงพี่ ขึ้นกุฎีน้อมกายถวายของ ใครไม่ |
รู้ดูทีเหมือนพี่น้อง เขาแอบมองลอบดูรู้อุบาย ธรรมดา |
ว่ารักเขามักรู้ เพราะตาหูบอกเหตุสังเกตง่าย จะเจรจา |
พาทีมีแยบคาย ใครอย่าหมายว่าจะปิดไม่มิดเลย เช่น |
ทำนองของฉันทุกวันเล่า เขารู้เท่าทั้งนั้นฉันก็เฉย |
โอ้โอ๋อกชายที่หมายเชย ยังไม่เคยแล้วยิ่งคิดจิตร |
ระบม สิบเดือนถ้วนครวญหามารศรี มิได้มีความ |
สบายเท่าปลายผม เฝ้าคิดถึงสาลิกาป่าชะอม น้ำค้าง |
พรมพรั่งพราวหนาวหัวใจ ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนจน |
เดือนยี่ เจ้าปักษีโบกบินไปกินไหน สุริยาอัษฎงค์ |
ลงไรไร โอ้อาไลยสาลิกาน้ำตานอง โฉมยุพินกินรีเจ้า |
พี่เอ๋ย เมื่อไรเลยจะได้ชมประสมสอง ดูผิวเหลือง |
เรืองดีดังสีทอง ได้ประคองแล้วจะชื่นทุกคืนวัน ดอก |
โกมุทบุษบามณฑาทิพ วิไลยลิบลอยล่องของสวรรค์ |
ถ้าหล่นลงตรงพี่จะดีครัน คงฦๅลั่นโลกาสุธาสเทือน |
แม่ดวงแก้วนพเก้าเสาวภาค พี่ฝังฝากรักใคร่ใครจะ |
เหมือน ให้หมกมุ่นวุ่นวายมาหลายเดือน สติเฟือน |
คลั่งไคล้ในใจตรม ถึงเดือนสามความโศกไม่เสื่อม |
สูญ จันทร์จำรูญแสงงามยามประฐม ดารารายพราย |
พร่างน้ำค้างพรม พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม ดูแวว |
วับเวหาล้วนดาเรศ เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอาง |
โสม ดูกระพริ้มริมแดงดังแสงโคม ลอยโพยม |
ล้อมจันทร์พรรณราย พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด น้ำ |
ค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย บุปผาเผยกลิ่นก้าน |
บานกระจาย ต้องพระพายหอมประทิ่นเหมือนกลิ่นนาง |
พี่เคลิ้มคลั่งนั่งอยู่ดูมะลิ ลืมสติหลงพลอดกอดกระ |
ถาง ฟังเปนเสียงสายสมรวอนให้วาง จึงปลอบนาง |
ทางว่าด้วยอาไลย พี่นั่งคอยนอนคอยน้อยไปฤๅ |
ขอถูกมือยอดรักอย่าผลักไส พอรู้สึกนึกเขินเดินออก |
ไป ถ้าแม้นใครเห็นฉันแล้วขันจริง ราวกับถูกยา |
แฝดสักแปดโถ จนซูบโซเสียศรีดังผีสิง พระอะไภย |
หลงรูปวาดหวาดประวิง เรากลับยิ่งกว่าพระอะไภยไป |
ถ้ามิได้นวลหงฉันคงม้วย ใครจะช่วยดับเข็ญเห็น |
ไม่ไหว ฤๅจะเหมือนมดแดงน่าแคลงใจ ให้สงไสย |
วิญญาเปนอาจิณ ดูตำราว่าพฤหัศบดิ์เปนปัตตนิ ตาม |
ลัทธิว่าคู่อยู่ทักษิณ ช่างพูดจาตาดำดังน้ำนิล ก็สม |
สิ้นเหมือนตำราสารพัน เออก็ขัดด้วยอะไรไฉนหนอ |
แต่รีรอรักนุชสุดกระสัน เห็นที่อื่นดื่นดาษไม่ขาดวัน |
จะรักกันก็ประเดี๋ยวเมื่อเกี้ยวพาน เหมือนแสบท้อง |
ต้องฝืนกลืนเข้าตาก ระคายปากไม่ละมุนเหมือนวุ้น |
หวาน เหมือนอดเข้ากินมันยามกันดาร กว่าจะพาน |
พบของที่ต้องใจ กระแจะจันทน์คันธาบุปผาสด ไม่ |
เหมือนรศมิ่งมิตรพิศมัย ประเวณีมีจบภพไตร ไม่ว่า |
ใครทุกตัวทั่วโลกา ถึงเดือนสี่ปีสุดถึงตรุษใหม่ ยังไม่ |
ได้นุชนาฎที่ปราถนา ฟังเสียงปืนยิงยัดอัตนา รอบ |
มหานัคเรศนิเวศวัง ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนยังปืน |
พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง นวลหงคงจะรู้ถึงหูดัง |
จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด |
พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น ในทรวงช้ำเหมือนเขา |
เชือดเอาเลือดกระเด็น ใครจะเปนเช่นข้าทั้งธานี ความ |
รักนุชสุดหลงพะวงจิตร จนลืมคิดญาติกาน่าบัดสี |
ลืมบิดามารดาทั้งตาปี เหมือนไม่มีกระตัญญูดูเถิดเรา |
พอใจรักแม่เลี้ยงว่าเสียงเพราะ เฝ้าเฉลาะก็ไม่ได้ |
อะไรเขา รักคนอื่นลืมตัวจนมัวเมา อุส่าห์เฝ้าอยู่ |
ไม่ไปข้างไหนเลย จะได้ฤๅมิได้ไม่รู้แน่ เห็นจะ |
แก่เสียเปล่าแล้วเราเอ๋ย สงสารใจใจคิดจะชิดเชย |
สงสารตัวตัวเอ๋ยจะเอกา สงสารมือมือหมายจะก่ายกอด |
สงสารปากปากพลอดไม่นักหนา สงสารอกอกโอ้อนิจจา |
ใครจะมาแอบอกให้อุ่นใจ สงสารหลังหลังหมายจะ |
ได้จุด สงสารสุดเวทนาน้ำตาไหล สงสารตาตาพี่ |
แต่นี้ไป จะดูใครต่างเจ้าจะเปล่าตา โอ้อกเรามี |
กรรมทำไฉน จึงจะได้แนบชิดขนิษฐา ได้แต่ชื่อ |
ไว้ชมตรมอุรา ถึงได้ผ้าไว้ห่มก็ตรมใจ ถึงได้แหวน |
ได้ชมก็ตรมจิตร ไม่เหมือนได้มิ่งมิตรพิศไสม ได้ของ |
อื่นหมื่นแสนทั้งแดนไตร ไม่เหมือนได้นิ่มน้องประคอง |
นอน จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลกย์ ไม่เท่าโศกใจหนัก |
เหมือนรักสมร จะว่าหนักหนักอะไรในดินดอน ถึง |
สิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้ |
หาย พอเจ็บกายชีวาจะอาสัญ แต่เจ็บแค้นนี่แลแสน |
จะเจ็บครัน สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์ จะว่าขม |
ขมอะไรในพิภพ ไม่อาจลบบรเพ็ดที่เข็ดขม ถึงดาบคม |
ก็ไม่สู้คารมคม จะว่าลมลมปากนี้มากแรง จะว่า |
เมาเมาอะไรก็ไม่หนัก อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง |
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง ใครพลาดแพลงล้มตาย |
วายชีวา บ้างชกต่อยกันบอบลอบตีหัว เอาจับตัว |
ใส่คุกทุกข์หนักหนา อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา เพราะ |
ตัณหาตัวเดียวมันเหนี่ยวแรง จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ |
ได้ ศึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง บ้างร้อน |
ตัวกลัวอดเหมือนมดแดง นอนตะแคงขว้ำหงาย |
สบายใจ บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม ว่ารักโฉม |
มิ่งมิตรพิษสมัย พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป แต่ละ |
ใบราคาถึงตำลึงทอง บ้างก็ถูกแม่สื่อหลอกปอกเอา |
หมด เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ ถ้าแม่สื่อซื่อ |
ตรงคงได้ครอง เปนหอห้องเรือนเรือเปนเชื้อวงศ์ |
บ้างก็รักเขาข้างเดียวลงเขี้ยวเขน บ้างก็เปนสังการี |
ศึกชีสงฆ์ วิไสยพระทุกวัดขัดทุกองค์ ถ้าลาภตรง |
มาหาเปลื้องผ้าไตร บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ |
ชักสพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล ไม่ได้เมียเสียของร้อง |
เอาใคร กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย เขาว่า |
พระคราวนั้นก็ขันอยู่ บวชเณรรู้ไว้เปนศิษย์ดังจิตร |
หมาย ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย พวกหญิงชาย |
ฦๅดังทั้งพิภพ เพราะโลกีย์ฟั่นเฝือเหลือสละ แต่เปน |
พระแล้วยังคิดผิดขนบ นี่ฤๅคฤหัษฐจะไม่โลภละ |
โมภมบ ให้ปรารถเรื่องผู้หญิงประวิงวน จะพรรณนาว่า |
ไปไหนจะหมด เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน |
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน อย่าร้อนรอนร้าวรานรำ |
คาญเคือง ฉันคนชั่วตัวโศกเปนโรครัก อกจะหัก |
เสียเพราะตรอมจนผอมเหลือง สวาดิ์หวังตั้งจิตรเปน |
นิตย์เนือง จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง พออ่านเล่นเปน |
ที่ประทังทุกข์ ให้ผาศุกตามประสาเปนบ้าหลัง ท่านทั้ง |
หลายชายหญิงอย่าชิงชัง ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำ |
นอง อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส ถ้าใครตัดเสีย |
ได้ฉันให้ถอง อุส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของ |
สิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน ถึงยากจนซนหาประสายาก ที่ |
มีมากตั้งกองครองสงวน บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน |
เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ ที่เต็มอัดกลัดมัน |
กลั้นไม่หยุด ก็รีบรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ เปนเงินแดงแย่ง |
ยุดฉุดเอาเพลาะ เถียงเทลาะวุ่นวายไม่อายกัน เพราะ |
โลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ พะเอิญเปนทั่วโลกย์ให้ |
โศกศัลย์ ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศสุบรรณ ก็เหมือน |
กันกับเราที่เศร้าใจ ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า |
หูจะชาเสียด้วยดังฟังไม่ไหว แต่เงียบเสียงสิยังอึงคนึง |
ไป ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง ถ้าคนอื่นตรึกตรอง |
ก็ต้องที แต่เรานี้ขวนขวายแทบตายโหง ก็มิได้ |
สายสมรนอนคลุมโปง ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ |
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง แม้นจะรองชลนาสัก |
ห้าไห ถ้าใครแย่งแกล้งพาขวัญตาไป คงจะใส่เสีย |
ให้ยับไม่นับชิ้น จะถากเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือทา |
สับศีศะเสียให้สาอารมณ์ถวิล จะทิ้งให้กาแร้งมันแย่ง |
กิน จึงจะสิ้นความแค้นแน่นอุรา เอะอะไรใจจิตคิดฉนี้ |
ไม่ควรที่จะโกรธขึ้งด้วยหึงษา จะเปนเวรเปล่าเปล่าไม่เข้า |
ยา จิตรนะอย่าอำมหิตให้ผิดคน เมื่อรักเขาเราก็รัก |
ไว้นิ่งนิ่ง ถึงใครชิงนางงามตามกุศล ถ้าคู่แท้แลจะ |
ไปข้างไหนพ้น อย่าร้อนรนรุกรานรำคาญใจ ครั้นคิด |
ได้หายหึงไม่ขึ้งโกรธ ค่อยปราโมชยิ้มย่องสนองไข |
ที่จริงจิตรฉันไม่กล้าจะฆ่าใคร ตั้งหม้อใหญ่กระนั้นดี |
ฉันเอง แต่ความรักรักจริงไม่ทิ้งรัก ยังไม่หักได้ก่อน |
ลงนอนเขลง น่าหัวร่อหนอเราไม่เข้าเพลง พูดเอา |
เองแก้เองออกวุ่นวาย ด้วยความรักหนันแน่นแสน |
จะคลั่ง เหลือกำลังที่จะหักให้รักหาย ถ้าสมรัก |
นั่นแลฉันพลันสบาย ไม่เหมือนหมายแล้วเห็นไม่เปน |
คน ทำกะไรโฉมเฉลาจะเข้าใกล้ ฉันจะได้ฝากรักเสีย |
สักหน ขอเปนข้านางงามไปตามจน จะสู้ทนทุบถอง |
ให้น้องใช้ ยิ่งรำพรรณปั่นป่วนรัญจวนจิตร ถ้าแม้นผิด |
ที่นี่แล้วที่ไหน เหมือนหมายไม้กลางป่าพนาไลย |
สุดวิไสยที่จะมุ่งผดุงปอง จะเอาจริงดังใจไม่ได้แท้ |
มีก็แต่ทรัพย์นึกไม่ตรึกถอง ถ้านึกได้เหมือนนึกที่ |
ตรึกตรอง จะนอนร้องลครเล่นให้เย็นใจ นึกนึกแล้ว |
ก็เปล่าเรายิ่งวุ่น เจ้าประคุณน้ำตาพากันไหล ท่าน |
เจ้าจอมหม่อมจิตรนี่คิดไป แสนอาไลยเพียงกาย |
จะวายชนม์ เต็มกระเดือกเสือกกระแด่วอยู่แล้วหนอ |
จะสู่ขอสารพัดก็ขัดสน จะกระโจมโถมเอาเราก็จน |
ครั้นจะทนอยู่เล่าเราก็ทุกข์ ไม่ได้ตามความรักเลย |
สักท่า ทุกทิวาราตรีไม่มีศุข อุราเราร้อนเริงดังเพลิง |
ลุก จะบากบุกเข้าไปอย่างไรดี นึกจะแต่งศุภสาร |
เปนการลับ ก็คิดกลับกลัวน้องจะหมองศรี ไม่เหมือน |
พบภักตราได้พาที ต้องอารีรักไว้แต่ในใจ จะริเรื่อง |
ร่ำว่าก็น่าเกลียด ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล สำหรับ |
โลกย์โศกศัลย์ทุกวันไป กว่าจะได้พบพานก็นานครัน |
จะขอลาน้องน้อยกลอยสวาดิ์ แรมนิราศราวป่าพนา |
สัณฑ์ เปนดาบศทรงพรตพรหมจรรย์ ไปสวรรค์ |
นิพพานสำราญกาย ในชาตินี้บุญพี่นี้น้อยแล้ว เห็น |
คลาศแคล้วคลาเคลื่อนไม่เหมือนหมาย มีแต่ทุกข์ |
ระทมทับให้อับอาย เปนผู้ชายสิ้นคิดอนิจจัง เรื่องก็จบ |
ครบปีเดือนสี่สิ้น ใครอย่านินทาว่าลับหลัง เอาเรื่องรัก |
ชักเหตุเทศน์ให้ฟัง พอเอวังก็มีเท่านี้เอง ฯ |
บรรณานุกรม
[แก้ไข]- พรหมสมพัตสร (มี), หมื่น. (2466). นิราสเดือน. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร. (แจกในการพระกฐินพระราชทานพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ อธิบดีกรมตำรวจภูธรและตำรวจพระนครบาล ณวัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระพุทธศักราช 2466).
งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก