ข้ามไปเนื้อหา

บันทึกรับสั่งฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานหม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล/เรื่อง 5

จาก วิกิซอร์ซ
เรื่อง "เงินตราสยาม"

เหตุ ที่จะเกิดปัญหาเรื่องนี้มาจากอยากจะทราบถึงเรื่องเงินตราของไทยในสมัยโบราณ

ปัญหา เงินตราของไทยนั้น แต่โบราณมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

ตอบ เรื่องเงินตรานั้นเป็นปัญหาแก่ฉันมาตั้งแต่สร้างเมืองนครปฐมเป็นที่ว่าการมณฑลในรัชกาลที่ ๕ ด้วยขุดพบเงินตราที่นั่นเนือง ๆ เป็นเงินเหรียญขนาดสักเท่าเงินครึ่งบาท มีตราด้านหนึ่งเป็นรูปสังข์ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปคล้ายมณฑป มีรูปปลาอยู่ข้างล่าง ให้สืบถามดูว่า พบเงินอย่างนั้นที่ไหนอีกบ้าง ได้ความว่า พบที่เมืองอู่ทอง คือ เมืองสุพรรณภูมิ อยู่ทางเหนือเมืองนครปฐมขึ้นไปอีกแห่งเดียว จึงอยากรู้ว่า เป็นเงินตราของเมืองนครปฐมครั้งเป็นราชธานี หรือมาจากประเทศอื่น จึงได้ฉายรูปส่งไปถามพิพิธภัณฑ์สถานในลอนดอนว่า เงินตราอย่างนี้เป็นของประเทศไหนกัน รับตอบว่า เงินตราอย่างนี้พบแต่ที่เมืองพุกามแห่งเดียว

ต่อมา ได้เงินเหรียญตราโบราณที่ดงศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี มาอีกอย่างหนึ่ง ขนาดเท่าเงินบาท แต่บางกว่า ตราข้างหนึงคล้ายพระจันทร์ครึ่งซีกอยู่กลางรัศมี อีกข้างหนึ่งลายคล้ายมณฑปเช่นเงินเมืองนครปฐม สันนิษฐานว่า เป็นเงินของพวกขอม เพราะเมื่อพบเงินชนิดนี้ในเมืองเราแล้วไม่ช้านัก ปราชญ์ฝรั่งเศสก็ขุดพบเงินอย่างเดียวกันที่ในแผ่นดินระหว่างเมืองไซ่ง่อนกับกรุงกัมพูชา เขาถามมาว่า ในประเทศสยามพบเงินเหรียญอย่างนั้นบ้างหรือไม่ เงินโบราณทั้งสองอย่างที่ว่ามา ยังรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์สถานในกรุงเทพฯ เมื่อฉันไปเมืองพะม่า ไปเห็นหนังสือแต่งเรื่องเมืองพะม่าเล่มหนึ่งเขาจำลองรูปเงินโบราณต่าง ๆ ที่พบในเมืองพะม่าพิมพ์ไว้ในนั้น มีทั้งเงินตราอย่างที่พบที่นครปฐมและที่ดงศรีมหาโพธิ และยังมีตราอย่างอื่นอีก สอบหลักฐานได้ว่า เป็นเงินอินเดียทั้งนั้น คือ เงินตราที่พวกชาวอินเดียเอาเข้ามาใช้ในทางการค้าขายตามประเทศเหล่านี้ ไม่ใช่ทำใช้ในเมืองนครปฐมหรือที่เมืองพุกาม

แต่โบราณ ประเพณีการใช้เงินซื้อขาย กำหนดราคาเงินด้วยน้ำหนัก เวลาใช้ต้องชั่งเสมอไป ตราต่าง ๆ ที่ดีไว้กับเงินเป็นเครื่องหมายชื่อของพ่อค้าที่ทำหรือแห่งที่ทำเงินนั้น กับบอกน้ำเงินและน้ำหนักอย่างรับประกันความบริสุทธิ์ของเงินตราที่ทำขายนั้น ใช้ประเพณีนี้กันทุกประเทศทางตะวันออกตั้งแต่อินเดียตลอดจนถึงเมืองจีน เมื่อพวกฝรั่งชาวโยนก (กรีก) มาได้ครองเมืองอินเดีย เข้าทางฝ่ายเหนือ จึงนำวิธีทำเงินเหรียญตีตราของพระเจ้าแผ่นดินมาใช้ แต่ก็ใช้อยู่เพียงชั่วคราว ยังใช้น้ำหนักเป็นมาตราเป็นพื้น จนถึงสมัยเมื่ออังกฤษได้อินเดีย จึงเอาการทำเงินตราการผูกขาดเป็นของรัฐบาลและทำเหรียญรูปีใช้ต่อมา พวกพะม่ากับพวกอินเดียมีการไปมาค้าขายติดต่อกันอยู่เสมอ พะม่าจึงใช้เงินรูปีจากอังกฤษ ถือเป็นตราของบ้านเมืองมาช้านาน ทางเมืองจีนก็เป็นทำนองเดียวกัน เดิมจีนก็ใช้ราคาเงินด้วยน้ำหนัก ครั้นเมื่อยอมให้ฝรั่งมาค้าขาย พวกฝรั่งเอาเงินเหรียญตราที่ทำในประเทศแมกซิโกมาซื้อสินค้า พวกจีนชอบ ด้วยเงินแมกซิโกเนื้อเงินดีและน้ำหนักเท่ากัน ไม่ต้องชั่งให้ลำบาก ก็รับใช้เงินแมกซิโกเป็นอย่างเงินของจีน เมืองไทยเราเดมก็ใช้เงินด้วยน้ำหนักเหมือนอย่างเงินตราขาคีมที่ตีตราและอักษรไทยบอกนามเมืองก็ดี เงินพดด้วงขนาดใหญ่ตีตราช้างและตราอื่น ๆ ก็ดี เงินลาดตีตราใช้ทางมณฑลอุดรแต่ก่อนก็ดี ว่าตามพิจาณราตัวอย่างเงินที่มีอยู่ ดูก็จะเป็นเงินที่พ่อค้าทำขายอย่างประเพณีโบราณในอินเดียและเมืองจีนดังกล่าวแล้ว จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงเอาการทำเงินตรามาเป็นการหลวง และห้ามมิให้ผู้อื่นทำเงินตราขายเหมือนอย่างแต่ก่อน แต่นั้น จึงมีเงินตรารูปพวดด้วงขนาดหนักบาทหนึ่ง สองสลึง สลึงหนึ่ง และเฟื้องหนึ่ง เนื้อเงินและน้ำหนักเสมอกันตามจำพวก และมีตราหลวงตีสำคัญเป็นสองดวง คือ ตราจักร หมายว่า เป็นของพระเจ้าแผ่นดินโปรดให้ทำ ดวงหนึ่ง ตรารูปอื่นที่สำคัญของสมัยที่ทำ ดวงหนึ่ง เช่นเดียวกันทุกขนาด เรื่องตำนานการใช้เงินตราในประเทศสยามนี้ผิดกับประเทศพะม่าและประเทศจีนเป็นข้อสำคัญอย่างหนึ่งที่มาปรากฏในรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อทำหนังสือสัญญาทางไมตรีกับฝรั่งต่างประเทศแล้ว มีฝรั่งเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ มากขึ้น พวกฝรั่งเอาเงินเหรียญแมกซิโกที่ใช้กันในเมืองจีนมาซื้อสินค้า แต่ราษฎรไทยไม่ยอมรับเงินอย่างอื่นนอกจากเงินบาท พวกพ่อค้าฝรั่งต้องเอาเงินเหรียญแมกซิโกมาขอแลกเงินบาทที่พระคลังมหาสมบัติไปแลกเปลี่ยนสินค้า สมัยนั้น มีเตาสำหรับทำเงินตราที่พระคลังมหาสมบัติ ๑๐ เตา แม้ให้คนผลัดกันทำทั้งกลางวันกลางคืน ก็ทำให้เพียงวันละ ๒,๐๐๐ บาทเป็นอย่างมาก ไม่พอพวกค้าต้องการ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สั่งเครื่องจักรเข้ามาตั้งโรงกระษาปณ์ทำเงินตราเป็นเหรียญแทนพดด้วง และให้เลิกใช้เบี้ยหอย ใช้เหรียญทองแดงและดีบุกแทนเบี้ยต่อมา

ธรรมเนียมทำเงินบาทเดิมนั้น ในโรงทำเงินชั่งเงินส่งไปเท่าไร ต้องลดน้ำหนักลง น้ำหนักที่ลดเรียกว่า "สูญไฟ" หรือ "สูญเพลิง" เพราะไฟจะต้องกินเนื้อเงินไป ในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อคิดตั้งโรงกระษาปณ์ทำเงินเหรียญขึ้นนั้น ได้สั่งเครื่องจักรจากห้างยอห์นเทเล่อร์มา ห้างฝรั่งส่งช่างมาตั้งเครื่อง ตั้งไม่ทัน แล้วช่างเล่นน้ำ จมน้ำตายในแม่น้ำเจ้าพระยา เครื่องทิ้งค้างอยู่จนมีผู้รับอาสาจัดตั้งขึ้น และเมื่อทำได้สำเร็จ ก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้ากรมทำเงิน ครั้งนั้น เจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินไปให้เจ้ากรมทำเงินเป็นเงินแท่งด้วยน้ำหนักเงินเป็นประมาณ เจ้ากรมรับเงินไปหนักเท่าใด ต้องทำเงินส่งเท่านั้น และยอมให้ค่าระเหยเมื่อหล่อหลอม เรียกว่า ค่าสูญเพลิง ซึ่งถือกันว่าจำเป็นอีกด้วย เจ้ากรมทำเงินจะส่งเงินที่ทำเป็นบาทแล้วเบากว่าน้ำหนักเงินแท่งเกินกว่าอัตราที่กำหนดไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ต้องออกทุนของตนเองใช้ คล้ายกับเป็นการแลกได้แลกเสีย ถ้าเจ้ากรมทำเงินพยายามจัดการละเอียดละออให้เนื้อเงินสูญไฟน้อยลงกว่าอัตรา ก็เป็นกำไร กำไรก็ได้แก่เจ้ากรมทำเงินนั้น เป็นประเพณีอย่างนั้นมาแต่บรมโบราณ เมื่อตั้งโรงกระษาปณ์ก็ทำการระหว่างพระคลังกับโรงกระษาปณ์ตามวิธีทำเงินบาทแต่เดิม อาศัยวิธีหลอมอย่างฝรั่ง เนื้อเงินสูญเพลิงน้อยลงกว่าตามวิธีหลอมอย่างไทยมาก พนักงานทำโรงงานกระษาปณ์ซึ่งขึ้นอยู่ในเจ้ากรมทำเงินจึงร่ำนวยกันต่อมาไม่มีใครสู้ ความข้อนี้ไม่มีใครรู้ความจริงมากนักว่า ร่ำรวยขึ้นมาอย่างไร ต่อมา เจ้าพระยานรรัตน์ได้รับตำแหน่งโรงกระษาปณ์ ไปดิสโคเวอร์เข้าว่า รายได้จากเงินสูญเพลิงนั้นมีมาก และเนื่องด้วยไม่ปรารถนาจะได้เงินนั้นมาเป็นของตน จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูล สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสว่า เมื่อกินกันอยู่แล้ว ก็กินกันต่อไปเถิด ทำให้ผู้ที่มั่งมีอยู่แล้วนั้นกลับมั่งมีขึ้นอีก ความดีที่ได้ดิสโคเวอร์เรื่องนี้ก็มีอยู่ แต่ท่านมาเล็งเห็นว่า การได้ครั้งนี้ไม่ใช่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง รวยก็รวยขึ้น เงินก็มีพอกินพออยู่ ประจวบกับมีการสร้างวัดเทพศิรินทราวาสถวายสมเด็จพระเทพศิรินทร์ฯ เจ้าพระยานรรัตน์ระลึกถึงพระคุณ จึงสนองพระเดชพระคุณด้วยการเอาเงินไปจ้างถมดินวัดเทพศิรินทร์เป็นจำนวนเงินนับด้วยหมื่นด้วยแสน ลงทุนทำอยู่คนเดียว

การสร้างโรงกระษาปณ์นี้ปรากฏเมื่อไปเมืองพะม่าว่า พระเจ้ามินดงทรงชอบวิธีการของไทย จึงสั่งเครื่องจักรไปยังเมืองพะม่า ตั้งโรงกระษาปณ์ขึ้นที่เมืองมัณฑเลทำเงินรูปีของพะม่าขึ้นบ้าง แต่ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะราษฎรพะม่าชอบใช้เงินรูปีของอังกฤษมาเสียช้านานทั่วทั้งประเทศแล้ว ไม่เหมือนราษฎรไทยที่ไม่ชอบใช้เงินต่างประเทศ จึงได้ใช้เงินบาทสืบมาจนทุกวันนี้