ข้ามไปเนื้อหา

บ้วนฮ่วยเหลา/เล่ม ๑/ตอน ๘

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๕๗–๖๕ สารบัญ



ฝ่ายเปาบุ้นจิ้นพาเต็กเซง เตียตง หลีหงี มาถึงบ้าน ก็ขึ้นนั่งที่ชำระความ ให้ทหารเอาชายสามคนมาถามเอาความจริง ทหารพาตัวชายสามคนมาพร้อมแล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ถามว่า เจ้าเหล่านี้ก็มิใช่คนชาวเมืองเปียนเหลียง ซึ่งขึ้นไปเสพสุราบนเก๋งแล้วตีฮูลุนตายนั้นด้วยเหตุใด เตียตงจึงคิดว่า เปาบุ้นจิ้นคนนี้มีสติปัญญา ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ความเรื่องนี้อาจชำระเอาความจริงได้ แต่ความจริงนั้นเต็กเซงผลักอกฮูลุนตกเก๋งลงมาตาย ถ้าชำระ เต็กเซงก็คงไม่พ้นโทษ เรากับเต็กเซง หลีหงี ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน มีทุกข์สุขสิ่งใดไม่ทิ้งกัน ควรเราจะรับโทษเสียคนเดียวเถิด เต็กเซงกับหลีหงีจะได้พ้นภัย คิดแล้วจึงให้การว่า ข้าพเจ้าแซ่ เตีย ชื่อ ตง เป็นพ่อค้าเอาแพรมาขายที่เมืองหลวง ข้าพเจ้าชวนเต็กเซงกับหลีหงีขึ้นไปกินโต๊ะเสพสุราบนเก๋งสูง ฮูลุนพาบ่าวขึ้นไปไล่ข้าพเจ้าสามคน พวกข้าพเจ้ายังหาทันได้ตอบไม่ ฮูลุนก็ให้บ่าวกลุ้มรุมทุบตีข้าพเจ้ากับพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าจึงได้สู้รบกันขึ้น พวกฮูลุนสู้ข้าพเจ้าสามคนไม่ได้ ฮูลุนขัดใจโกรธ ตรงมาตีพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าก็ตีฮูลุนพลัดตกจากเก๋งตาย โทษทัณฑ์ประการใดแล้วแต่ท่านจะโปรด

เปาบุ้นจิ้นฟังเตียตงให้การ จึงคิดว่า ฮูลุนเป็นคนพาล ข่มเหงราษฎร เราพิเคราะห์ดู ฮูลุนเวลานั้นก็คงเกิดโทโสมาก เหยียบขั้นบันไดพลาดพลัดตกเก๋งเอง เหตุใดยังไม่ทันผูกเตียตง เตียตงก็รับสัตย์ เรามีความสงสารนักด้วยเป็นคนซื่อ คิดแล้วจึงว่า เรารู้อยู่ว่า ฮูลุนเหยียบขั้นบันไดพลาดพลัดตกลงมาเอง เหตุใดเจ้าจึงรับว่าตีฮูลุนตายเองเล่า เตียตงจึงว่า ฮูลุนมิได้พลาดบันไดตกดอก ข้าพเจ้าตี จึงได้พลัดลงไปตาย เปาบุ้นจิ้นจึงตวาดเอา แล้วว่า ฮูลุนนั้นบ่าวไพร่ตามไปเป็นอันมาก เหตุใดจึงตีฮูลุนได้ แล้วให้เอาตัวเตียตงลงไปเสียจากโรงชำระ จึงถามหลีหงีว่า เตียตงรับเป็นสัตย์ว่า ตีฮูลุนพลัดตกจากเก๋งตาย จริงหรือเท็จ เจ้งจงให้การไปแต่ตามจริง

หลีหงีจึงให้การว่า ข้าพเจ้าสองคนกับเตียตงเอาแพรมาขายในเมืองหลวง แล้วชวนเต็กเซงขึ้นไปกินโต๊ะบนเก๋ง ฮูลุนพาบ่าวขึ้นไปวิวาทกับพวกข้าพเจ้า จึงได้สู้รบกัน แต่ฮูลุนนั้นข้าพเจ้าตีตายเอง เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า เจ้ารับว่า ตีฮูลุนตาย เจ้าไม่รู้หรือว่า จะต้องโทษตายตกไปตามกัน หลีหงีจึงว่า ขอท่านได้ปล่อยเตียตง เต็งเซง เสียเถิด โทษนั้นข้าพเจ้าจะรับตายคนเดียวเอง เปาบุ้นจิ้นว่า เราชำระความมาช้านานแล้ว ยังหาพบเหมือนคนทั้งสองนี้ไม่ แล้วก็ให้เอาตัวหลีหงีลงไปเสียจากโรงชำระ แล้วก็เรียกเต็กเซงเข้ามาใกล้ แล้วถามว่า เจ้าเป็นชาวเมืองไหน มีธุระสิ่งไรจึงเข้ามาในเมืองหลวง เต็กเซงก็บอกชื่อและแซ่ แล้วว่า ข้าพเจ้ามาเหมืองหลวงนี้ปรารถนาจะมาเยี่ยมญาติ จึงได้พบเตียตง หลีหงี เตียตง หลีหงี ชวนข้าพเจ้าขึ้นไปเสพสุราบนเก๋งสูง ซึ่งเตียตง หลีหงี รับว่า ตีฮูลุนตายนั้นเป็นการไม่จริง ข้าพเจ้าตีตายเอง ท่านจงยกโทษเตียตง หลีหงี เถิด เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็ยิ่งอยู่ แล้วพิเคราะห์ดูรูปพรรณเต็กเซงเป็นคนมีตระกูล เหตุใดจึงมารับว่า ตีฮูลุนตายเอง คิดแล้วจึงว่า ซึ่งตีฮูลุนตายนั้น เตียตง หลีหงี เขารับเป็นสัตย์แล้ว เราเห็นเจ้าเป็นคนเอวบางร่างน้อย จะชกตีพวกฮูลุนได้หรือ เจ้านี่ชะรอยจะเสียจริตดอกกระมัง แล้วให้ทหารไล่เต็กเซงไปเสียจากบ้าน ขณะนั้น ฮูคุนให้บ่าวมาคอยฟังอยู่ที่โรงชำระความ บ่าวฮูคุนเห็นเปาบุ้นจิ้นไล่ให้เต็กเซงไปเสีย จึงเข้าไปว่ากับเปาบุ้นจิ้นว่า เต็กเซงคนนี้ตีฮูลุนนายข้าพเจ้าตาย บัดนี้ ก็รับเป็นสัตย์แล้ว เหตุใดท่านจึงปล่อยไปเสียเล่า เปาบุ้นจิ้นจึงว่า ข้าเห็นเต็กเซงเป็นคนร่างเล็ก ที่ไหนจะชกตีกับฮูลุนได้ ที่เข้ามานี้ก็ปรารถนาจะแก้ตัวเตียตง หลีหงี ให้พ้นโทษดอก บ่าวฮูคุนว่า เต็กเซงรับเป็นสัตย์แล้ว ท่านก็ปล่อยเสีย ถ้าฮูคุนนายข้าพเจ้าทราบความ ที่ไหนจะยอม จะต้องขัดเคืองกับท่าน เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็โกรธ เจ้าจะเอาอำนาจฮูคุนมาข่มขี่เราหรือ จึงให้ทหารจับตัวบ่าวฮูลุนมาตียี่สิบที แล้วก็ไล่ไปเสียจากบ้าน

ฝ่ายเต็กเซงเห็นว่า เปาบุ้นจิ้นมิได้เอาโทษ ก็นั่งคอยอยู่ที่ว่าบ้านเปาบุ้นจิ้นประมาณครู่หนึ่ง เห็นผู้คุมคุมตัวเตียตง หลีหงี ออกมาจากบ้าน เตียตง หลีหงี เห็นเต็กเซงก็ถามว่า เหตุใดท่านจึงไม่กลับไปบ้านเล่า เต็กเซงว่า ข้าพเจ้านั่งคอยฟังข่าวท่านว่า เปาบุ้นจิ้นจะชำระประการใด เตียตงจึงว่า ท่านยังมิได้ปรึกษาข้าพเจ้าประการใด สั่งแต่ให้ผู้คุมเอาตัวไปใส่ตะรางไว้ เต็กเซงว่า ท่านทั้งสองไปอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะตามไปอยู่ด้วย เตียตงจึงว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นคนโทษ ตัวท่านพ้นโทษ จงกลับไปอยู่บ้านเถิด เต็กเซงจึงว่า เราทั้งสามคนได้สาบานเป็นพี่น้องจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ข้าพเจ้าไม่ยอมไปอยู่บ้านแล้ว เตียตงเห็นว่า เต็กเซงไม่ยอมเป็นแน่แล้ว จึงเข้าไปใกล้ กระซิบบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นเปาบุ้นจิ้นมีความเมตตาข้าพเจ้าทั้งสองอยู่ เห็นจะไม่ตายดอก ท่านจงกลับไปบ้านเถิด แล้วเรียกเอาเงินที่จิวเซงร้อยตำลึงมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้ใช้สอยในตะราง เต็กเซงก็คำนับลาเตียตง หลีหงี รีบไปบ้านจิวเซง แล้วแจ้งความให้จิวเซงฟังทุกประการ จิวเซงได้ฟังก็ตกใจ หยิบเงินร้อยตำลึงมอบให้เต็กเซง เต็กเซงก็เอาไปมอบให้เตียตง หลีหงี แล้วก็ลากลับมาฟังข่าวอยู่ทุกวัน

ฝ่ายบ่าวฮูคุน เมื่อเปาบุ้นจิ้นเฆี่ยนแล้วไล่ไปเสีย ก็เอาความไปแจ้งแก่ฮูคุนทุกประการ ฮูคุนได้แจ้งความแล้วก็แค้นนัก ฮูคุนจึงว่า ซึ่งเปาบุ้นจิ้นทำดังนี้เพราะเห็นเต็กเซงดีกว่าเรา จำจะเอาความนี้ไปปรึกษาชิงชิวซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ให้ช่วยคิดแก้แค้นให้จงได้ คิดแล้วก็ไปหาชิงชิว คำนับกันตามธรรมเนียม ชิงชิวจึงถามฮูคุนว่า ท่านมาหาข้าพเจ้านี้ด้วยธุระประการใด ฮูคุนจึงบอกว่า เปาบุ้นจิ้นดูหมิ่นข้าพเจ้านัก แล้วก็เล่าความตั้งแต่เต็กเซงขึ้นไปเสพสุราบนเก๋งแล้วตีฮูลุนตาย เจ้าเมืองฮังคิวได้ชำระความอยู่ เปาบุ้นจิ้นก็ไปแย่งเอาตัวเต็กเซงมาชำระเสียเอง ครั้นชำระเต็กเซงรับเป็นสัตย์ก็ปล่อย บ่าวข้าพเจ้าไปฟังความอยู่ ได้ทักท้วงว่า เต็กเซงรับเป็นสัตย์แล้ว อย่าปล่อยไป กลับโกรธแล้วเฆี่ยนบ่าวข้าพเจ้าเสียด้วย ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายนัก

ชิงชิวได้ฟังก็โกรธ จึงว่า เปาบุ้นจิ้นทำการดังนี้ไม่ไว้ไหน้าว่าเป็นขุนนางด้วยกันเลย ข้าพเจ้าจะไปเรียกตัวชายสามคนที่เปาบุ้นจิ้นมาชำระเอง ท่านอย่าวิตกไปเลย ฮูคุนจึงว่า ถ้าท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้าได้ดังว่าแล้ว บุญคุณท่านก็จะมีอยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก แล้วฮูคุนก็คำนับลาไปบ้าน ครั้นรุ่งเช้า ชิงชิวก็ได้ไปที่บ้านเปาบุ้นจิ้น เปาบุ้นจิ้นแจ้งว่า ชิงชิวมาหา จึงคิดว่า ชิงชิวไม่คุ้นเคยกับเรา ซึ่งมาหาเรานี้คงจะมีข้อความสำคัญเป็นมั่นคง คิดแล้วก็เชิญให้นั่งที่สมควร แล้วถามว่า ท่านมีราชการสิ่งใดหรือจึงมาหาข้าพเจ้า ชิงชิวจึงบอก ข้าพเจ้ามีข้อความด้วยเต็กเซง เตียตง หลีหงี ตีฮูลุนตาย ท่านได้เอาตัวคนทั้งสามมาชำระก็เป็นสัตย์แล้ว เหตุใดท่านจึงปล่อยเต็กเซงตัวสำคัญไปเสียเล่า เปาบุ้นจิ้นจึงว่า ซึ่งท่านว่า เต็กเซงรับเป็นสัตย์นั้น ท่านได้ยินกับหูเองหรือมีผู้บอกเล่า ชิงชิวว่า บ่าวฮูคุนได้มาฟังท่านชำระ จึงได้เอาความไปแจ้งแก่ข้าพเจ้า เปาบุ้นจิ้นจึงว่า ท่านฟังแต่ความเล่าก็มาว่ากับเราด้วยเล่า ถ้าเป็นความแผ่นดินใหญ่โตแล้วท่านจงมาปรึกษากับเราเถิด นี่เป็นแต่ความวิวาททุบตีกันเล็กน้อยดอก อนึ่ง ท่านก็ไม่ใช่เจ้าพนักงาน จะมาซักถามเอาความเรื่องนี้ด้วยเหตุใด ชิงชิวจึงว่า พระเจ้าแผ่นดินทรงไว้พระทัยว่า ท่านเป็นคนซื่อสัตย์ จึงโปรดให้ท่านมีอำนาจในที่ชำระความของราษฎร บัดนี้ ท่านชำระความเรื่องคนตีฮูลุนตาย ปิดบังผู้ร้ายเสีย ถ้าฮูคุนเอาความข้อนี้ขึ้นกราบทูล ท่านก็จะไม่พ้นความผิด เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็โกรธนัก จึงว่า เราทำราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินมาโดยสุจริต คิดเอาแต่ที่ชอบ จึงทำไป ซึ่งฮูคุนตามใจบุตรเที่ยวข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนนั้น เราจะต้องกราบทูลบ้าง ชิงชิวจึงถามว่า ซึ่งลุนทำการข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนนั้นข้อใด เปาบุ้นจิ้นจึงว่า ที่เก๋งบ้วนฮ่วยเหลานั้นไม่ใช่ที่ของชาวบ้านหรือ ฮูลุนถืออำนาจของบิดาไปไล่เจ้าของเสีย แล้วทำเก๋งขึ้นไว้ มิใช่ข่มเหงราษฎรหรือ ชิงชิวได้ฟังจึงคิดว่า เปาบุ้นจิ้นเป็นคนใจกล้า จะกราบทูลข้อความสิ่งใดก็หาเกรงผู้ใดไม่ เราพิเคราะห์ดู ฮูลุนก็มีความผิดจริง ถ้าเปาบุ้นจิ้นกราบทูลพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็คงจะลงโทษฮูคุนแทนบุตร จำจะกลบเกลื่อนความเสีย จึงจะได้ ด้วยเต็กเซงเป็นแต่ราษฎร เราคอยสืบเอาตัวมาทำโทษเสียเองก็ได้ คิดดังนั้นแล้วจึงว่ากับเปาบุ้นจิ้นว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านเป็นคนซื่อสัตย์ ชำระความสิ่งใดก็เป็นยุติธรรม จึงได้มาถามดู ท่านอย่ได้ขัดเคืองข้าพเจ้าเลย เปาบุ้นจิ้นจึงว่า เราพูดกับท่านล้วนแต่ความจริง เรามิได้กลัวผิด ชิงชิวก็นึกโกรธอยู่แต่ในใจ แล้วก็คำนับลากลับไป

ฝ่ายเต็กเซง ตั้งแต่มาอยู่บ้านจิวเซง ก็ไม่มีความสุข ให้วิตกถึงเตียตง หลีหงี เป็นอันมาก ด้วยยังไม่แจ้งว่า เปาบุ้นจิ้นจะปรึกษาโทษประการใด ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง จิวเซงจึงพูดกับเต็กเซงว่า ข้าพเจ้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ ลิมกุ้ย เป็นนายทหาร วันหนึ่ง ลิมกุ้ยมาพูดกับข้าพเจ้าด้วยเรื่องทหาร ข้าพเจ้าจึงว่ากับลิมกุ้ยว่า ท่านมีฝีมือเข้มแข็ง รู้เพลงอาวุธต่าง ๆ ลิมกุ้ยจึงว่า ถ้าท่านไปทำราชการด้วยกันแล้ว จะช่วยทำนุบำรุงท่านให้ได้เป็นทหารรับเบี้ยหวัดเงินเดือน ท่านจะเห็นประการใด เต็กเซงจึงคิดว่า ลิมกุ้ยเป็นนายทหารเลว ถ้าเราไปอยู่ด้วย เมื่อไรจึงจะมีชื่อเสียงปรากฏกับเขาบ้าง ถ้าจะไม่ฟังจิวเซง จิวเซงจะหาว่า เราเป็นคนดื้อดึง ครั้นคิดแล้วจึงตอบว่า ท่านมีใจสงเคราะห์ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติตาม จิวเซงก็มีความยินดี จึงพาเต็กเซงไปถึงบ้านลิมกุ้ย ลิมกุ้ยก็เชิญให้นั่งที่สมควร แล้วคำนับกันตามธรรมเนียม ลิมกุ้ยพิเคราะห์ดูเห็นเต็กเซงเป็นคนร่างเล็ก จิวเซงบอกว่า ฝีมือเข้มแข็ง รู้เพลงอาวุธดีนัก เห็นจะไม่จริง คิดแล้วก็ถามเต็กเซงว่า อายุได้เท่าใด เต็กเซงบอกว่า อายุข้าพเจ้าได้สิบหกปี ลิมกุ้ยจึงถามต่อไปว่า เจ้ารู้เพลงอาวุธสิ่งใดบ้าง เต็กเซงบอกว่า ข้าพเจ้าไม่เลือกว่าอาวุธสิ่งใด ชำนาญทุกอย่าง ลิมกุ้ยจึงให้ทหารเอาอาวุธต่าง ๆ มาให้เต็กเซง เต็กเซงก็หยิบอาวุธต่าง ๆ มารำให้ลิมกุ้ยดู ลิมกุ้ยเห็นแล้วจึงว่า ซึ่งเราหมิ่นประมาทท่านนั้น เราขออภัยเสียเถิด เพลงอาวุธซึ่งท่านรำให้เราดูนี้ ท่านเรียนมาแต่สำนักอาจารย์ไหน



ตอน ๗ ขึ้น ตอน ๙