ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 3
งานนี้ยังไม่เสร็จ สามารถดูและร่วมพัฒนาได้ที่ดัชนีนี้: 1 |
ด้วยพระเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธรฯ (ม. ว. ลพ สุทัศน์) จะทำการปลงศพหม่อมเจ้าหญิงอรชรในพระเจ้าบรมวงษ์เธอชั้น ๑ กรมหมื่นไกรสรวิชิต ปราถนาจะพิมพ์หนังสือเปนของแจกในงานศพ จึงมาขอให้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณช่วยเลือกเรื่องหนังสือแลจัดการพิมพ์ให้ตามประสงค์ซึ่งจะบำเพ็ญการกุศลอุทิศผลทักษิณานุปทานแก่เจ้าครอกอาของท่าน เมื่อกรรมการได้รับฉันทอันนี้แล้ว มาพิจารณาดูเห็นว่า หนังสือประชุมพงษาวดารได้พิมพ์เปนของแจกในการบำเพ็ญการกุศลอย่างเดียวกันมาแล้ว ๒ ภาค คือ ภาคที่ ๑ สมเด็จพระนางเจ้าพระมาตุจฉาได้โปรดให้พิมพ์เปนของแจกในงานศพหม่อมเจ้าดนัยวรนุชในสมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระจักรพรรดิพงษ์ เมื่อปีขาล ฉศก พ.ศ. ๒๔๕๗ ภาคที่ ๒ สมเด็จพระบรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานศพฟักทองราชินีกูลในปี เดียวกัน เมื่อพิมพ์หนังสือ ๒ ภาคนั้นแล้ว มาตรวจดูยังมีหนังสือพงษาวดารเกร็ดอยู่ในหอพระสมุดซึ่งยังไม่ได้พิมพ์อิก ๓ เรื่อง คือ พงษาวดารเมืองปัตตานีเรื่อง ๑ พงษาวดารเมืองสงขลาเรื่อง ๑ ทั้ง ๒ เรื่องนี้ พระยาวิเชียรคิรี (ชม ณะสงขลา) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา ได้เรียบเรียงไว้แต่เมื่อยังเปนพระยาสุนทรานุรักษ์ กับเรื่องพงษาวดารเชียงใหม่ พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) แต่เมื่อยังเปนพระยาศรีสิงหเทพ ได้เรียบเรียงทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง ๑ หนังสือทั้ง ๓ เรื่องที่กล่าวมานี้กอปรด้วยประโยชน์ สมควรจะรวมพิมพ์เปนหนังสือประชุมพงษาวดารภาคที่ ๓ ได้อิกภาค ๑ กรรมการจึงได้เลือกหนังสือประชุมพงษาวดารภาคที่ ๓ ให้พิมพ์ตามเจตนาของท่านเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธรฯ
หนังสือพงษาวดารทั้ง ๓ เรื่องที่พิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้ ข้าพเจ้าได้อ่านตรวจตลอด แต่ไม่ได้สอบแก้ของเดิม ด้วยการตรวจสอบจะกินเวลามากนัก ข้าพเจ้าจะอธิบายแต่ความรู้เห็นของข้าพเจ้าไว้ในคำนำนี้โดยใจความ
หนังสือพงษาวดารเมืองปัตตานี ซึ่งถ้าจะเรียกให้ตรงตามกาลเวลานี้ควรเข้าใจว่าพงษาวดารมณฑลปัตตานี ที่พระยาวิเชียรคิรีเรียงนั้น เรียบเรียงตามความรู้เห็นที่มีอยู่ในเมืองสงขลา แลบางทีจะได้สอบกับหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับที่หมอบรัดเลพิมพ์ด้วย ในตอนเบื้องต้นเข้าใจผิดหรือยังไม่ทราบความจริงอยู่บ้าง ที่จริงเมืองปัตตานีเปนเมืองขึ้นของสยามประเทศมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระร่วงครองนครศุโขไทยเปนราชธานี ชาวเมืองปัตตานีเดิมถือพระพุทธสาสนา ภายหลังจึงเข้ารีตถือสาสนาอิสลาม ข้อที่ว่าเจ้าเมืองปัตตานีเปนผู้หญิงนั้น ไม่ใช่เพราะลูกยังเปนเด็กอย่างพระยาวิเชียรคิรีกล่าวไว้ในหนังสือนี้ ข้าพเจ้าได้เห็นจดหมายเหตุเก่าหลายเรื่อง แม้ที่พวกพ่อค้าฝรั่งซึ่งไปมาค้าขายครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ตลอดจนแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราชได้จดไว้ กล่าวต้องกันว่า ประเพณีการปกครองเมืองปัตตานีเลือกผู้หญิงในวงษ์ตระกูลเจ้าเมืองซึ่งมีอายุมากจนพ้นเขตรที่จะมีบุตรได้เปนนางพระยาว่าราชการเมืองสืบ ๆ กันมา ประเพณีอย่างนี้ใช้ในบางเมืองในเกาะสุมาตราก่อน แล้วพวกเมืองตานีจึงเอาอย่างมาใช้ พึ่งเลิกประเพณีนี้ในชั้นกรุงศรีอยุทธยาเปนราชธานี ในตอนหลัง ๆ อิกข้อ ๑ ซึ่งกล่าวด้วยการตั้งข้าราชการไทยไปเปนพระยาปัตตานีเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ตลอดมาจนเรื่องแยกเมืองปัตตานีออกเปน ๗ หัวเมืองนั้น ความคลาศกับหนังสือพระราชพงษาวดารอยู่ เรื่องเมืองปัตตานีว่าโดยใจความเปนดังนี้ เมื่อกรุงเก่าเสียแก่พม่าข้าศึก บรรดาหัวเมืองแขกมลายูที่เคยขึ้นกรุงศรีอยุทธยาพากันตั้งเปนอิศร ครั้งกรุงธนบุรียังไม่ได้ปราบปรามลงได้ดังแต่ก่อน มาจนในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร เมื่อปีมเสง สัปตศก พ.ศ. ๒๓๒๘ พม่ายกกองทัพใหญ่เข้ามาตีสยามประเทศทุกทิศทุกทาง เมื่อไทยรบชนะพม่าที่เข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี แลที่ลงมาทางเหนือ ตีแตกกลับไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีรับสั่งให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จยกทัพหลวงลงไปปราบปรามพม่าทางหัวเมืองปักษ์ใต้ เมื่อตีกองทัพพม่าแตกกลับไปหมดแล้ว กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จลงไปประทับอยู่ที่เมืองสงขลา มีรับสั่งออกไปถึงบรรดาหัวเมืองแขกมลายูซึ่งเคยขึ้นกรุงศรีอยุทธยาให้มาอ่อนน้อมดังแต่ก่อน พระยาไทรบุรี พระยาตรังกานู ยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่พระยาปัตตานีขัดแขงไม่มาอ่อนน้อม กรมพระราชวังบวรฯ จึงมีรับสั่งให้กองทัพยกลงไปตีได้เมืองปัตตานี เมื่อตีได้แล้ว ไม่กล่าวไว้ในหนังสือพระราชพงษาวดารว่าได้ทรงตั้งให้ผู้ใดว่าราชการเมืองปัตตานีก็จริง แต่เหตุการที่เกิดภายหลังทำให้เข้าใจว่า ได้ทรงตั้งให้แขกซึ่งเปนเชื้อวงษ์พระยาปัตตานีเดิมเปนผู้ว่าราชการเมืองปัตตานี พระยาปัตตานีคนนี้ไม่ซื่อตรงต่อกรุงเทพฯ เมื่อปีรกา เอกศก พ.ศ. ๒๓๓๒ มีหนังสือไปชวนองเชียงสือเจ้าอนัมก๊กให้เปนใจเข้ากันมาตีหัวเมืองในพระราชอาณาจักร องเชียงสือบอกความเข้ามากราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต้องยกกองทัพลงไปตีเมืองปัตตานีอิกครั้ง ๑ ที่ตั้งไทยเปนผู้ว่าราชการเมืองปัตตานีตามที่กล่าวในหนังสือของพระยาวิเชียรคิรี เห็นจะตั้งเมื่อตีเมืองปัตตานีได้ครั้งที่ ๒ นี้ ต่อมาในรัชกาลที่ ๒ พม่าคิดจะยกกองทัพเข้ามาตีกรุงสยามอิก พม่าเกลี้ยกล่อมพระยาไทรบุรี ๆ เอาใจไปเผื่อแก่พม่าข้าศึก เลยยุยงพวกมลายูเมืองปัตตานีให้เปนขบถขึ้นด้วย สาเหตุเนื่องกันดังกล่าวมานี้ จึงได้โปรดให้แยกเมืองปัตตานีเดิมออกเปนแต่เมืองเล็ก ๆ ๗ หัวเมือง แต่วงษ์วานชื่อเสียงผู้ว่าราชการเมืองทั้ง ๗ ตามที่พระยาวิเชียรคิรีจดไว้ในพงษาวดารนี้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าถูกต้อง ด้วยเมืองสงขลาได้กำกับว่ากล่าวมณฑลปัตตานีตลอดมาจนจัดตั้งมณฑลปัตตานีเปนมณฑลเทศาภิบาล ๑ ต่างหากในรัชกาลที่ ๕ เมื่อปี มเมียอัฐศก พ.ศ. ๒๔๔๙
เรื่องพงษาวดารเมืองสงขลานั้น ที่จริงพระยาวิเชียรคิรี (ชม) ตั้งใจจะกล่าวถึงพงษาวดารตระกูลณะสงขลา ยิ่งกว่าจะแต่งเปนพงษาวดารเมือง พระยาวิเชียรคิรี (ชม) เคยให้ข้าพเจ้าดูหนังสือเรื่องนี้ แลได้เคยพูดกันถึงเรื่องหนังสือนี้มาตั้งแต่แรกแต่ง เนื้อความตามเรื่องราวที่เปนพงษาวดารเมืองสงขลาเองไม่ตรงตามที่พระยาวิเชียรคิรีกล่าวอยู่หลายแห่ง ข้อนี้จะแลเห็นได้ในหนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทรรัชกาลที่ ๑ แลหนังสือจดหมายหลวงอุดมสมบัติ ว่าโดยย่อ หัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตกที่นับว่าเปนเมืองสำคัญแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยามาจนรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทรนี้ ๓ เมืองด้วยกัน ข้างเหนือคือเมืองชุมพร เขตรจรดทั้งทเลนอกทเลใน ต่อลงไปถึงเมืองถลางตั้งอยู่ที่เกาะภูเก็จทุกวันนี้ (ซึ่งที่จริงควรจะเรียกว่าเกาะถลาง) รักษาชายพระราชอาณาจักรข้างทเลตวันตก ต่อลงไปถึงเมืองนครศรีธรรมราชใหญ่กว่าทุกเมือง มีเมืองไชยาอยู่ข้างเหนือ เมืองพัทลุงอยู่ข้างใต้ ทั้ง ๒ เมืองนี้แม้ในทำเนียบว่าขึ้นกรุงเทพฯ ตามการที่เปนจริงอยู่ในอำนาจเจ้าพระยานครมิมากก็น้อย เมืองสงขลาบางทีจะเคยเปนเมืองมาแต่โบราณกาล แต่ไม่มีอไรเปนสำคัญนอกจากชื่อ กับที่ฝังศพพระยาแขกแห่ง ๑ ซึ่งเรียกว่า “มรหุ่ม” แต่ทำเลท้องที่ดีในการค้าขายด้วยตั้งอยู่ปากน้ำเมืองพัทลุง สินค้าเข้าออกทางทเลสาบไปมากับเมืองพัทลุงต้องอาไศรยเมืองสงขลาเปนที่ถ่ายลำ พวกจีนจึงมาตั้งค้าขายที่เมืองสงขลา จีนฮกเกี้ยนคน ๑ ในพวกที่มาตั้งค้าขายอยู่เมืองสงขลานั้น ที่เปนต้นตระกูลวงษ์ของพวกณะสงขลา โดยสามิภักดิเข้ารับราชการเปนนายกองส่วยก่อน แล้วมีบำเหน็จความชอบ จึงได้เปนผู้ว่าราชการเมืองสงขลาซึ่งกลับตั้งขึ้นใหม่
ที่เมืองสงขลาเปนเมืองขึ้นเมืองนครศรีธรรมราชนั้น ที่จริงเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ
ประการที่ ๑ เปนแต่ที่ประชุมการค้าขาย แรกตั้งขึ้นเปนเมืองอย่างเล็ก ๆ
ประการที่ ๒ ไม่เปนที่มั่นคง ปรากฎในหนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทรรัชกาลที่ ๑ ว่า แม้แต่แขกสลัดก็เคยมาตีเมืองสงขลาได้ ที่มาตั้งเปนเมืองใหญ่ขึ้นกรุงเทพฯ เปนชั้นหลังมาในปลายรัชกาลที่ ๑ หรือต้นรัชกาลที่ ๒ ภายหลังมาเมื่อเมืองสงขลาเจริญขึ้น ประจวบเวลามีราชการเกี่ยวข้องต้องปราบปรามเมืองไทรบุรีแลเมืองปัตตานี ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ข้างในกรุงเทพฯ จะไม่อยากให้เจ้าพระยานครมีอำนาจมากเกินไป หรือจะเปนด้วยเห็นการลำบากเกินกว่าที่เจ้าพระยานครจะบังคับบัญชาได้เรียบร้อยทั่วไป จึงตั้งเมืองสงขลาให้เปนเมืองใหญ่อิกเมือง ๑ สำหรับตรวจตราดูแลเมืองมลายูข้างฝ่ายตวันออก เมืองนครศรีธรรมราชให้ตรวจตราว่ากล่าวข้างฝ่ายตวันตกอันติดเนื่องกับเขตรแดนอังกฤษ ลักษณการอันเปนพงษาวดารเมืองใจความเปนดังกล่าวมานี้
เรื่องพงษาวดารเชียงใหม่ ซึ่งพระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) แต่งนั้น เปนเรื่องพงษาวดารในตอนกรุงรัตนโกสินทรนี้เอง แต่จะเปนประโยชน์แก่ผู้อ่านให้รู้เรื่องวงษ์ตระกูลของเจ้านายในมณฑลพายัพซึ่งรับราชการอยู่ในเมืองนครเชียงใหม่ เมืองนครลำปาง เมืองนครลำพูนทุกวันนี้ ว่าเกี่ยวดองแลสืบวงษ์ตระกูลมาอย่างใด
หนังสือพงษาวดารทั้ง ๓ เรื่องเปนหนังสือควรอ่าน ด้วยอาจจะให้ความรู้พิเศษบางอย่างอันมิได้ปรากฎในหนังสืออื่น ควรสรรเสริญพระยาวิเชียรคิรี (ชม) พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ที่ได้อุสาหะเรียบเรียงขึ้นไว้ แลควรจะอนุโมทนาการกุศลซึ่งท่านเจ้าพระยาอภัยราชามหายุติธรรมธรฯ ได้ให้พิมพ์หนังสือ ๓ เรื่องนี้ขึ้น ให้เจริญความรู้แพร่หลาย อันนับว่าได้กระทำสารประโยชน์ให้แก่บรรดาผู้จะได้พบอ่านหนังสือเรื่องนี้ทั่วไป
สารบาน | |||
น่า | ๑ | ||
น่า | ๓๐ | ||
น่า | ๗๔ |
งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก