ข้ามไปเนื้อหา

ปัญญาสชาดก/ภาคที่ 14/เรื่อง

จาก วิกิซอร์ซ
ปัญญาสชาดก

เรื่องที่ ๔๘
พระราชาภิรมย์ (แจ่ม บุรณะนนท์) เปรียญ ๖ ประโยค
วัดราชบุรณะ เรียง
๔๘ สุวรรณสิรสาชาดก

หาหา ตาต ปิยปุตฺตาติ อิมํ ธมฺมเทสนํ สตฺถา สาวตฺถิยํ วิหรนฺโต อตฺตโน ปาฏิหาริยํ อารพฺภ กเถสิ

สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ เมื่อเสด็จประทับอยู่ณเมืองสาวัตถี ทรงพระปรารภซึ่งพระปาฏิหารของพระองค์ให้เปนเหตุ จึงตรัสเทศนาสุวรรณสิรสาชาดกนี้ มีบาทแห่งคาถาเบื้องต้นว่า หาหา ตาต ปิยปตฺต เปนอาทิดังนี้

หิ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ณเพลาการวันหนึ่ง พระภิกษุทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันในโรงธรรมสภา นั่งพรรณนาคุณสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย สมเด็จพระศาสดาเจ้าของเรา เมื่อทรงกระทำปติการฉลองพระคุณพระพุทธบิดา ก็ทรงทำยมกปาติหาร แลทรงกระทำปติการแก่พระพุทธมารดา สมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับ พระภิกษุทั้งหลายนั่งเจรจาด้วยทิพโสตญาณ จึงเสด็จอุฎฐาการจากอาสนะมาประทับที่ธรรมาสน์ มีพุทธฎีกาตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาเรื่องราวอะไรกัน ครั้นพระภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสต่อไปว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ทำปติการต่อพระมารดาแต่ในปัจจุบันนี้หามิได้ ชาติก่อนเราก็ประพฤติประโยชน์ต่อพระมารดา ตรัสดังนี้แล้วก็ทรงดุษณีภาพ พระภิกษุทั้งหลายจะใคร่ทราบจึงกราบทูลอาราธนา สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเทศนาดังต่อไปนี้

อตีเต ภิกฺขเว พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺโต นาม ราชา รชฺชํ กาเรสิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลที่ล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่า พรหมทัต ได้ทรงราชย์ในเมืองพาราณสี คราวนั้น มีผัวเมียสองคนชื่อ จัณฑาลบัณฑิต เปนคนอนาถาทุคคตเข็ญใจ อาศรัยอยู่ในบ้านจัณฑาลภายนอกพระนคร ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าได้เกิดเปนเทวบุตร์เสวยสมบัติทิพย์อยู่ในดาวดึงสพิภพ ถ้วนคำรบถึงอายุขัย จึงจุติลงมาถือปฏิสนธิในครรภ์นางจัณฑาลบัณฑิต เมื่อเวลาพระโพธิสัตว์เสด็จลงถือปฏิสนธิ นางจัณฑาลบัณฑิตฝันเห็นไปว่า กบน้อยตัวหนึ่งเหาะขึ้นไปบนอากาศกลืนกินซึ่งดวงจันทรแล้วลงมาถูกต้องนาภีของนาง นางจัณฑาลบัณฑิตตื่นตกใจกลัว มีกายสั่นระรัว แล้วคิดว่า ฝันนั้นจะให้ผลอย่างไร เราจักต้องไปถามหมอดูให้รู้ว่าดีหรือร้าย เมื่อนางคิดแล้วก็ออกจากเรือนเดิรไปตามทาง พบชายเกะกะคนหนึ่งที่กลางทาง ชายผู้นั้นถามว่า เจ้าจะไปไหน นางบอกว่า ข้าจะไปหาหมอทายความฝัน ชายผู้นั้นถามว่า ไปหาหมอไหน นางตอบว่า จะไปหาหมอเถ้าถามเขาดู ชายนั้นถามว่า เจ้าฝันอย่างไร นางจึงเล่าความตามที่ตนฝันเห็น ชายผู้นั้นใคร่ครวญดูความฝันแล้วจึงพยากรณ์ว่า ฝันของเจ้าประเสริฐเลิศ เจ้าจะได้บุตร์มีบุญแลมีปัญญามาก ไม่มีกาย มีแต่ศีร์ษะ

เมื่อนางได้ฟังคำทำนายของชายผู้นั้น ก็สนเท่ห์สงสัย จึงเลยไปหาพวกหมอดู ครั้นถึงจึงนั่งลงยกมือไหว้ ตาพราหมณ์เถ้าหมอดูจึงถามว่า เจ้ามาธุระอะไร ครั้นนางบอกว่า มาขอให้ทำนายฝัน จึงถามต่อไปว่า เจ้าฝันอย่างไร นางจึงเล่าให้ฟังว่า ข้าฝันเห็นไปว่า กบน้อยตัวหนึ่งโดดขึ้นไปในอากาศ กลืนกินซึ่งดวงจันทร แล้วตกลงมาถูกนาภีของข้า ตาหมอเถ้าใคร่ครวญดูความฝันแล้วทำนายว่า บุตร์ของเจ้าจะเปนผู้มีบุญญานุภาพมาก ไม่มีตัว มีแต่หัว จะเปนที่พึ่งของเจ้า

นางได้ฟังคำทำนายแล้วจึงอำลาตาพราหมณ์เถ้ากลับมาเรือน เมื่อนางมีครรภ์ได้ห้าเดือน ผัวก็ตาย พอถ้วนสิบเดือน นางก็คลอดบุตร์ เมื่อเวลาจะคลอด พระโพธิสัตว์ทรงตรึกว่า ถ้าเราจะคลอดจากท้องออกไปให้เหมือนทารกเขาคนอื่น มารดาของเราเปนคนอนาถา ก็จักลำบาก ด้วยต้องต้มน้ำร้อนให้อาบ ด้วยต้องหาน้ำเย็นมาให้ เพราะฉนั้น เราจะซ่อนกายเสีย ให้เห็นปรากฎแต่หัวออกจากท้องมารดา คิดแล้วจึงทรงอธิษฐานว่า ด้วยกุศลที่ได้สั่งสมมานี้ก็ดี ด้วยอธิษฐานบารมีแลสัจบารมีนี้ก็ดี ขอให้กายเข้าไปปรากฎอยู่ในหัวของเรา อย่าให้ออกมาปรากฎอยู่ภายนอก ในลำดับอธิษฐาน สรีรร่างกายอันงามดุจดังสีทองปรากฎอยู่ในท้องมารดาก็หายเข้าไปอยู่ในศีร์ษะอันงามดุจดังว่าสีทอง จริงอยู่ ความประสงค์ของพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมสำเร็จได้โดยหมาย เมื่อพระโพธิสัตว์อธิษฐานให้กายเข้าไปอยู่ในหัวแล้วก็คลอดจากครรภ์มารดา นางมารดาเห็นลูกมีแต่หัว ก็ละอายแก่มหาชนที่มีลูกผัวเสมอกัน จึงซ่อนเลี้ยงหัวนั้นไว้แต่ในห้องมิให้คนทั้งหลายเห็น นางมารดานั้นมีโคกระบืออยู่บ้าง พอเวลาเช้า นางบริโภคอาหารแล้ว จึงอาบน้ำให้ลูกรัก วางศีร์ษะไว้ในห้องหนึ่ง แล้วก็ปล่อยโคกระบือให้ไปกินหญ้า ตนก็ต้องตามไปเลี้ยงรักษาด้วย เวลาเย็น ก็ไล่ต้อนกลับมาเข้าคอก ตรวจตรานับเสร็จแล้ว ก็ขึ้นเรือน วางย่ามผ้าไว้ แล้วก็อาบนํ้ำกินเข้า เอาน้ำรดศีร์ษะลูกรัก แล้วจุมพิตเชยชม เอนกายลงนอน วางศีร์ษะลูกไว้ที่อก แล้วก็พิลาปคร่ำครวญเปนคาถาว่า

หาหา ตาต ปิยปุตฺต หาหา ตาต เอกายน
ปิตา ตว กาลกโต ตฺวํ อนาโถ เอกโก วสิ
อนาถาหํ นิญาติกา วนํ คนฺตฺวา โครกฺขณตฺถาย
อารกฺขสิ ตํ เอกิกํ ปหาย คจฺฉามิ วนํ
เกน ปาเปน นิกาโย น หตฺถปาโท สีโสว
โก ปฏิสรโณ มม เอกาว อนาถา ชาตา ฯ

แปลว่า หาหา พ่อลูกรัก หาหา พ่ออยู่คนเดียว พ่อของเจ้าตายเสียแล้ว เจ้าต้องอยู่คนเดียวอนาถา แม่ก็เปนคนอนาถา หาญาติมิได้ ต้องไปเลี้ยงโคในป่า เจ้ารักษาตัวเจ้าคนเดียว แม่ทิ้งเจ้าไปป่า บาปกรรมอะไร เจ้าจึงไม่มีกาย ไม่มีมือเท้า มีแต่หัว ใครจะเปนที่พึ่งของแม่ แม่เปนคนอนาถาอยู่คนเดียว นางรำพรรณฉนี้แล้วก็เคลิ้มหลับไป

ปุนทิวเส ครั้นวันรุ่งขึ้น นางมารดาบริโภคอาหารแล้ว ก็ให้ลูกกินนม อาบน้ำ จูบศีร์ษะ แล้วก็แบกย่ามขึ้นบ่า ปล่อยโคกระบือ แล้วก็ตามไปเลี้ยงในที่ซึ่งบริบูรณ์ด้วยหญ้า ส่วนพระโพธิสัตว์ออกจากสุวรรณศีร์ษะ กวาดเรือน หุงเข้า ต้มแกง ตักน้ำไว้ท่ามารดา แล้วกลับเข้าไปในศีร์ษะดังเก่า เวลาเย็น นางมารดาต้อนโคมาเข้าคอกแล้วก็ขึ้นเรือน ปลดย่ามลงจากบ่า เห็นเข้าแกงน้ำท่าบริบูรณ์ ก็พิศวงในใจว่า น่าอัศจรรย์หนอ สิ่งที่ไม่เคยมีก็มามีขึ้น ใครหนอมาจัดแจงตกแต่งไว้ให้เรา คิดแล้วก็นั่งกินเข้า เสร็จแล้วเข้าไปในห้อง นั่งลงเหนือที่นอน แล้วก็ยกศีร์ษะบุตร์ขึ้นวางไว้บนตัก กล่าวคำเปนที่รัก ถามปิยบุตร์ว่า พ่อลูกรัก ใครหนอมาจัดแจงตกแต่งอาหารไว้ให้แม่ เจ้ารู้หรือไม่ พระโพธิสัตว์ฟังมารดาถาม จึงตอบว่า ไม่มีใครคนอื่นมาจัดแจงตกแต่งอาหารไว้ให้แม่ ลูกได้จัดแจงไว้ให้แม่เอง นางมารดาได้ฟังก็ดีใจจึงปลอบถามว่า พ่อลูกรัก เจ้าไม่มีกาย มีแต่หัวเท่านั้น มือเท้าก็ไม่มี ไฉนเจ้าจึงจัดแจงตกแต่งอาหารได้ ครั้นพระโพธิสัตว์ตอบว่า แม่จะต้องประสงค์กายไปทำอะไร นางก็พูดเล่นหัวกับบุตร์ แล้วก็นอนหลับไป

ปุนทิวเส ครั้นวันรุ่งขึ้นอีก พระโพธิสัตว์จึงบอกแก่มารดาว่า ข้าแต่แม่ ลูกได้เห็นแม่ได้รับทุกข์ลำบากนัก ลูกจะไปเลี้ยงโคให้แต่เช้า แม่จงอยู่บ้านเถิด ครั้นแม่ถามว่า ลูกรัก เจ้าไม่มีกาย มีแต่ศีร์ษะ จะไปเลี้ยงโคอย่างไรได้ จึงตอบว่า ถ้าแม่ยอม ก็จงเอาลูกวางลงในถาดไม้ พาลูกไปวางไว้ตามโคนไม้ที่มีหญ้าเถิด นางแม่เชื่ออานุภาพของพระโพธิสัตว์ จึงรับคำว่า ดีแล้ว พระโพธิสัตว์ทราบว่าแม่ยอม ก็ดีใจ จึงบอกว่า เพลาเช้าแม่จงพาเอาลูกไปวางไว้ที่โคนไม้ต้นใดต้นหนึ่ง ถึงเพลาเย็นแม่จึงค่อยออกจากบ้านไปพาลูกมา เมื่อนางแม่ยกศีร์ษะพระโพธิสัตว์วางลงบนถาดไม้พาไปสู่ที่มีหญ้าวางไว้ที่โคนไม้ต้นหนึ่งแล้วกลับมาบ้าน พระโพธิสัตว์ก็อยู่องค์เดียว ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ถาดไม้ที่รองพระเศียรนั้นก็กลับเปนทองควรค่าถึงแสนหนึ่ง อนึ่งฝูงโคกระบือก็เที่ยวกินใบไม้ใบหญ้าอยู่ข้าง ๆ ไม่ไปที่อื่น อนึ่งปริมณฑลเงาไม้ก็ตั้งอยู่โดยปรกติ เวลาตะวันเที่ยงอย่างไรเวลาเย็นก็อย่างนั้นมิได้เปลี่ยนคล้อยไป เวลาเย็นมารดาพระโพธิสัตว์ก็ออกจากบ้าน พาพระโพธิสัตว์กลับเรือน ให้บริโภคอาหารอาบน้ำเสร็จแล้วก็อุ้มพาเข้าไปในห้องแล้วก็นอนหลับไป

อยู่จำเนียรกาลนานมาในเบื้องหน้า พระโพธิสัตว์เจริญขึ้น อายุได้ ๗ ขวบ คืนวันหนึ่ง จวนใกล้รุ่ง เมื่อตื่นนอน จึงดำริห์ว่า เรามาเกิดในตระกูลคนเข็ญใจ มารดาเราก็อนาถา เยียวยารักษาชีวิตโดยฝืดเคือง การทำนาก็ลำบาก จำเราจักทำการค้าขายเลี้ยงมารดาเถิด คิดแล้วพอเช้าก็บอกแก่มารดาว่า แม่ ลูกจะไปทำการค้าขายมาเลี้ยงแม่ มารดาถามว่า ลูกจะทำการค้าขายอย่างไร คราวนั้น มีพวกพ่อค้าเรือห้าร้อยสนทนากัน จักแต่งเรือไปค้าขายเมืองสุวรรณภูมิ พระมหาสัตว์ได้ฟังข่าว จึงถามมารดาว่า แม่ ในบ้านเรามีหลักทรัพย์อะไรอยู่บ้าง ครั้นมารดาตอบว่า ไม่มี จึงบอกว่า แม่ วันนี้แม่จงไปหานายบ้าน ยืมทองห้าร้อยบาทมาให้ลูก ลูกจะไปทำทุนค้าขาย นางจัณฑาลบัณฑิตจึงกล่าวว่า ลูกจะไปทำการค้าขายอย่างไรได้ แล้วกล่าวต่อไปว่า ดูก่อนลูกรัก เราเปนคนอนาถาทุคคตเข็ญใจไร้ญาติ จะไปยืมทองเขาอย่างไรได้ ทำอย่างไรเจ้าของทองเขาจักเชื่อเรา พระโพธิสัตว์ตอบว่า แม่ไปเถิด นายบ้านเห็นหน้า ก็จักกรุณาให้ยืม ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ นางมารดาก็ขัดขืนอยู่ไม่ได้ จึงไปหานายบ้าน ยืนยกมือไหว้ นายบ้านเห็นแล้ว ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ ก็เกิดจิตต์เมตตาทักทายปราสัยว่า เจ้ามาหาเราทำไม นางจึงบอกว่า นายลูกของฉันใช้ให้มายืมทองห้าร้อยบาทเพื่อไปค้าขาย เมื่อได้กำไรมากแล้ว จักนำมาใช้ให้ ด้วยบุญญานุภาพของพระโพธิสัตว์ นายบ้านก็เกิดความโสมนัสเปนอย่างยิ่ง พอนางออกปากคำเดียว ก็หยิบทองห้าร้อยลิ่มมาส่งให้ นางรับเอาทองลิ่มกลับมาถึงเรือนแล้ว ก็เล่าให้ลูกฟังว่า ลูกรัก นายบ้านอุดหนุนเรามาก พอออกปากคำเดียวก็ส่งให้ พระโพธิสัตว์ได้ฟังเรื่องดังนั้นก็ดีใจ ตั้งความกตัญญูไว้เปนเบื้องหน้า สรรเสริญบุญคุณนายบ้านให้สาธุการ แล้วบอกแก่แม่ว่า ลูกจะไปค้าขายกับพวกพ่อค้าเรือ นางมารดาไม่อยากให้ลูกไปค้าขาย จึงห้ามปรามว่า ลูกเอ๋ย ในชาตินี้เจ้าเกิดมาร่างกายก็ไม่สมบูรณ์ไม่มีกาย ไม่มีมือเท้า มีแต่หัวเท่านั้น เจ้าจะไปค้าขายอย่างไรได้ อนึ่งเล่า พระมหาสมุทร์ก็กว้างใหญ่ไม่มีประมาณ ไม่มีสิทธิ์ที่จะข้ามได้ มีอันตรายมาก เกลื่อนกลุ้มด้วยเต่าปลา ฟังคำแม่เถิด เจ้าอย่าไปเลย พระโพธิสัตว์จึงตอบว่า แม่ได้พูดกับนายบ้านเขาแล้วว่า ลูกจะไปค้าขาย เดี๋ยวนี้กลับมาห้ามไม่ให้ลูกไป ก็จะเกิดข้อติฉินนินทาแก่ลูก เพราะเหตุนั้น ลูกจักต้องไปให้ได้ นางมารดาจึงกล่าวว่า พ่อลูกรัก เจ้าเคยพูดเล่นเจรจากับแม่ เดี๋ยวนี้ทุกข์เกิดขึ้นแก่แม่แล้ว ถ้าพ่อไปค้าเสีย ใครจะช่วยบันเทาความเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจให้แม่เล่า เจ้าทำทุกข์ให้เกิดแก่แม่เปนอันมาก นางกล่าวเช่นนี้แล้ว ก็วิลาปคร่ำครวญร้องไห้ กอดลูกรักไว้ แล้วจูบกระหม่อมจอมเกล้า

ครั้นวันที่เจ็ด พวกพ่อค้าห้าร้อยก็ตระเตรียมสินค้าพากันลงเรือ เพราะฉนั้น พระโพธิสัตว์จึงอ้อนวอนมารดาว่า แม่จงพาลูกไปหาพวกพ่อค้า เอาลูกกับทองมอบให้เขาเถิด นางมารดาไม่สามารถห้ามได้ ก็ไปหาพวกพ่อค้าทั้งหลาย ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ พอพวกพ่อค้าเห็นหน้ามารดาพระโพธิสัตว์ ก็เกิดความโสมนัสอย่างยิ่ง มีความปีติปราโมทย์ดุจดังเห็นญาติของตนที่พลัดพรากจากกันไปนาน จึงไต่ถามว่า แม่มาแต่ที่ไหน ครั้นนางบอกว่า มาจากบ้านโน้น แล้วจึงถามต่อไปว่า แม่มาธุระอะไร นางบอกว่า ลูกเขาใช้ให้มา พวกพ่อค้าจึงถามว่า ลูกเขาใช้ให้มาทำไม นางจึงบอกว่า ลูกของข้าอยากจะไปค้ากับด้วยท่านทั้งหลาย พวกพ่อค้าถามว่า ลูกของแม่อายุเท่าใด ครั้นนางบอกว่า ๗ ปี จึงทักท้วงว่า แม่มหาจำเริญ ลูกของแม่ยังเด็กนัก ยังขลาดมาก ไปเห็นเต่าปลาตัวใหญ่ ๆ ในทะเลเข้า ก็จักตกใจร้องไห้ แท้จริงมหาสมุทร์นั้นกว้างใหญ่ น่ากลัว แลไม่เห็นฝั่ง นางมารดาพระโพธิสัตว์ก็วิงวอนไปถึงสองครั้งสามครั้ง ครั้นพวกพ่อค้าถามถึงชื่อลูก นางก็กล่าวว่า ลูกของข้าไม่มีกาย มีแต่หัว เพราะฉนั้น ก็ต้องชื่อว่า สุวรรณสิรสา พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะเยาะเย้ยแล้วกล่าวว่า ลูกของแม่ไม่มีกาย มีแต่หัว จักไปค้าขายอย่างไรได้ นางได้ฟังแล้วก็เสียใจยืนร้องไห้อยู่ พวกพ่อค้าเห็นนางร้องไห้ก็มีความกรุณา จึงกล่าวว่า แม่จงกลับไปเรือนไปพาลูกมาเถิด จะยอมให้ไปค้าขายด้วย นางได้ฟังแล้วก็ชื่นชมโสมนัส จึงลาพวกพ่อค้ากลับมาเรือนเล่าให้พระโพธิสัตว์ฟัง พระโพธิสัตว์จึงได้นามว่า สุวรรณสิรสา แต่นั้นมา นางมารดาจึงบัญจุขนมแลเข้าสัตตูอันคลุกเคล้าด้วยน้ำอ้อยน้ำผึ้งลงในถุงย่าม บัญจุทองห้าร้อยลิ่มลงอีกถุงหนึ่ง แล้วบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า นี่ห่อขนมของเจ้า นี่ห่อทอง

ลำดับนั้น พวกพ่อค้าก็ลำดับสิ่งของเครื่องสินค้าลงในเรือเสร็จแล้ว ก็ถอยเรือมาเทียบท่า พระมหาสัตว์ทราบว่า ถอยเรือมาแล้ว จึงบอกแก่มารดาว่า แม่จงนำของเคี้ยวของกินไปให้แก่พวกพ่อค้า แล้วจงกลับมาพาลูกไป นางแม่ก็ทำตาม ครั้นนางกลับมาแล้ว จึงพาลูกรักกับถุงทองถุงของกินลงไปมอบให้แก่นายเรือ พวกพ่อค้าทั้งหลายเห็นพระโพธิสัตว์มีแต่เศียร งามดุจหน่อทอง ก็เลื่อมใสโสมนัส ให้สาธุการว่า เจ้าสุวรรณสิรสางามนักหนอ พระโพธิสัตว์จึงอำสามารดา กล่าวคาถานมัสการว่า

นโม เม ตฺยตฺถุ มาตุโน สุขี ภวานนฺตรายา
มา โน ตฺวํ จินฺตยิ อมฺม โวหาราหํ คมิสฺสามิ ฯ

แปลว่า ลูกขอนอบน้อมแก่แม่ แม่จงเปนสุข อย่ามีอันตราย แม่อย่าคิดวุ่นวายไปเลย ลูกจะไปค้าขาย

นางมารดาได้ฟังคำพระโพธิสัตว์แล้ว ไม่อาจทรงตนอยู่ได้ มีหทัยอันหวั่นไหว น้ำตาอาบหน้า นางจึงกล่าวคาถาว่า

หาหา ปุตฺต นิวตฺตสฺสุ มา มํ อนาถํ กโรตุ
รตฺติยํ ปุตฺตํ นาทฺทสฺสํ หทยํ เม ผลิสฺสติ ฯ

แปลว่า หาหา ลูกจงกลับมาเถิด อย่าทำให้แม่อนาถาเลย แม่ไม่แลเห็นเจ้าในราตรี น่าที่หทัยจักแตกตาย

เมื่อนางกล่าวคาถานี้แล้ว จึงดำรงสติไว้ แล้วให้โอวาทสอนพระโพธิสัตว์ว่า พ่อลูกรัก เจ้าอย่าประมาทเลย จงสวัสดีมีชัย ได้ลาภมาก แลมีความสุขเถิด พระโพธิสัตว์รับพรมารดาแล้ว นายสำเภาก็ให้พระสุวรรณสิรสาโพธิสัตว์อยู่รวมกับถุงทอง ถอยเรือออกจากท่า บ่ายหน้าไปยังมหาสมุทร์

นางจัณฑาลบัณฑิตมีน้ำตาโซมหน้าทุกข์โทมนัสร้องไห้กลับมาสู่เรือนตน ระลึกถึงลูกรัก แล้วก็บ่นเพ้อรำพรรณเปนคาถาว่า

มม นฏฺฐา ปุตฺตวินา ชีวิตํ โน น เหสฺสติ
มญฺเญ เหสฺสามิ ชีวิตํ ปิยปุตฺตา วินา มม
มม หทยปูรํ โสกํ โก มํ วิเนสฺสติ ทุกฺขา
โก มยา ปิยวจนํ เกนาหํ สมุลฺลปิสฺสามิ ฯ

แปลว่า ความพินาศจักมีแก่เราเพราะจากลูก ชีวิตของเราจักไม่มีเปนแท้ เราสำคัญมั่นหมายว่า จักถึงชีวิตเพราะพลัดพรากจากลูกของเรา หัวใจเราเต็มไปด้วยความโศก ใครจักนำเราให้พ้นจากทุกข์ได้ ใครจักพูดเล่นเจรจาถ้อยคำเปนที่รักกับเรา แลเราจะพูดจากับผู้ใด นางคร่ำครวญดังนี้แล้วก็นอนหลับไป

สตฺตเม ทิวเส สำเภาแล่นไปได้ ๗ วันก็บัลลุถึงเกาะวาลุกทวีป (เกาะดินปนทราย) พระสุวรรณสิรสาโพธิสัตว์แลเห็นทรายงามดังสีทอง ก็ประสงค์จะใคร่อยู่ จึงบอกแก่นายสำเภาว่า พ่อ ฉันใคร่จะอยู่ที่เกาะนี้ พ่อจงอนุเคราะห์พาฉันไปไว้ที่เกาะทรายนี้เถิด พวกพ่อค้าจึงว่า พ่อเอ๋ย พวกเราเขาเรียกกันว่า พ่อค้า ที่ไหนมีคนมาก ก็พากันไปที่นั้น ไฉนเจ้าจะมาอยู่คนเดียวเล่า อนึ่ง แม่ของเจ้าก็ได้ว่ากล่าวสั่งสอนไว้ ฉนั้น เจ้าอย่าอยู่ที่เกาะนี้เลย พระโพธิสัตว์ก็กล่าวคำยืนยันจะขออยู่ให้ได้ นายสำเภาได้ฟังดังนั้น จึงห้ามปรามว่า พ่อเอ๋ย เจ้าไม่มีกาย ไม่มีมือเท้า มีแต่หัวเท่านั้น ใครจักทำเรือนให้เจ้าอยู่ ใครจักหาเข้าให้เจ้ากิน เจ้าจะต้องรับทุกขเวทนาตากแดดตากลมเปนอันมาก พระโพธิสัตว์ก็ยังยืนยันว่าจักอยู่ให้ได้ นายสำเภาจึงว่า ถ้าฉนั้น ก็ตามใจเจ้าเถิด พระมหาสัตว์ได้ฟังก็ชื่นชมโสมนัสกล่าววาจาว่า ท่านทั้งหลายอย่าโกรธข้าพเจ้าเลย ขอให้พาข้าพเจ้าไปส่งที่นั้นเถิด นายสำเภาก็สั่งพวกพ่อค้าว่า ท่านทั้งหลายจงพาสุวรรณสิรสากับถุงทองไปวางไว้ที่เกาะนั้นเถิด พวกพ่อค้าทั้งหลายก็ไปสู่สำนักกุมารโพธิสัตว์ แล้วบ่นรำพรรณว่า พ่อเด็กน้อย แต่นี้ไป พวกเราจะไม่เห็นเจ้า จักมิได้เจรจาเล่นหัวกับเจ้า เพราะต้องพรากจากกัน การเจรจาครั้งนี้เปนครั้งที่สุด เจ้าจักอยู่คนเดียวอย่างไรได้ รำพรรณแล้วก็อวยพรว่า พ่อเด็กน้อย ขอให้เจ้าอย่ามีโรคภัย มีอายุยืนยาวเถิด พระโพธิสัตว์จึงเล้าโลมมหาชนด้วยธรรมเทศนาว่า ท่านทั้งหลายอย่ารำพรรณวิตกวิจารไปเลย สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่มีความแปรปรวนเปนธรรมดาหาแก่นสารมิได้ ย่อมจักถึงซึ่งวิโยคพลัดพรากจากกันเสมอ ท่านทั้งหลายพาเราไปส่งไว้ที่เกาะเถิด พวกพาณิชเหล่านั้นจึงพาสุวรรณสิรสาโพธิสัตว์กับถุงทองแลพืชพรรณต่าง ๆ ลงเรือเล็กไปที่เกาะนั้น ทำที่อยู่ให้วางพระโพธิสัตว์ลงไว้ แล้วก็ลากลับมาเรือ

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ เมื่อพวกพ่อค้าเอาไปวางไว้ที่เกาะแล้ว ก็อยู่เปนสุขสบาย ออกจากเศียรของพระองค์ แล้วเอาพืชพรรณเหล่านั้นเพาะลงในที่ต่าง ๆ ด้วยอานุภาพบุญของพระโพธิสัตว์ พืชเหล่านั้นก็งอกงามเจริญผลิดอกออกผล

ครั้งนั้น ยังมีธิดาพญานาค ๒ นาง ชื่อ นางปัญจปาปี ๑ นางปทาริกา ๑ อำลามารดาบิดาออกจากนาคพิภพขึ้นมาที่เกาะนั้น นางนาคทั้ง ๒ เห็นฟักแฟงแตงน้ำเต้า ก็เข้าเก็บหักเล่นตามอัธยาศัย พระมหาสัตว์ได้ยินเสียง ก็ออกมาจากศีร์ษะ เข้าไปถามนางนาคทั้ง ๒ ว่า ไฉนเจ้าจึงมาหักทำลายพืชพรรณของเรา นางนาคได้ยินถาม ก็ตกใจกลัว จึงตอบว่า พี่ชาย ข้าไม่รู้ว่าเปนของเจ้า จึงได้หักทำลาย เพราะแต่ก่อนข้ามาที่นี่ก็ไม่เห็นเจ้า พึ่งมาเห็นวันนี้ ข้าขอถามเจ้า เจ้าเปนพระอินทร์หรือพระพรหม พระโพธิสัตว์ดำริห์ว่า ถ้าเราจะตอบว่าเปนพระอินทร์ เปนเทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ หรือเปนท้าวมหาพรหม นางก็จักเชื่อ แต่ว่า คำจริงเปนคำอุดมเลิศประเสริฐสุด คิดแล้วจึงตอบว่า น้องรัก พี่ไม่ใช่เทวินท์อินทร์พรหม พี่เปนลูกคนจัณฑาลอยู่บ้านจันฑาลคามใกล้เมืองพาราณสี พี่มาที่นี่ประสงค์จะค้าขาย มาเห็นเกาะน่ารื่นรมย์ จึงได้มาพักอยู่ตามความสบาย นางนาคทั้งสองได้ฟังคำพระโพธิสัตว์แล้ว จึงกล่าวว่า พี่อย่าโกรธข้าเลย ข้าจะให้เงินทองตอบแทน ครั้นพระโพธิสัตว์ตอบอนุญาตแล้ว นางนาคทั้ง ๒ ก็อำลากลับไปนาคพิภพ ถึงสำนักบิดา กราบไหว้แล้ว เมื่อจะขอเงินทอง จึงกล่าวว่า ข้าแต่บิดา ข้าพเจ้าลาบิดาขึ้นไปที่เกาะทราย ไปพบฟักแฟงแตงน้ำเต้าของเจ้าสุวรรณสิรสา ข้าพเจ้าก็หักเล่นโดยมิรู้ว่าเปนคุณแลโทษ พระยานาคได้ฟังธิดาบอกจึงกล่าวว่า ถ้าเจ้าทั้งสองจะไม่ให้อะไรตอบแทน เจ้าจะต้องรับโทษใหญ่ จะต้องไปเกิดเปนทาสเขา เพราะเหตุนั้น เจ้าจงขนเอาแก้วเจ็ดประการแลเงินทองร้อยแปดโกฏิไปให้ตอบแทนเขาเสีย ลำดับนั้น นางนาคทั้ง ๒ จึงไปหามารดา เล่าให้ฟังเหมือนหนหลัง นางนาคมารดาได้ฟังแล้วจึงกล่าวว่า เจ้าทั้ง ๒ อย่าชักช้า จงขนเอาแก้วเจ็ดประการไปใช้เขา ถ้าเจ้าไม่ใ ช้จะต้องไปเปนทาสอยู่ปฏิบัติเขา จึงจะพ้นจากเวร ลำดับนั้น นางนาคธิดาทั้ง ๒ ครั้นได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาแล้ว จึงขนเอาทรัพย์สองร้อยสิบหกโกฏิออกจากนาคพิภพมายังเกาะทราย เข้าไปหาเจ้าสุวรรณสิรสา ทักทายปราสัยว่า พี่มาทำไมที่นี่ มาด้วยเหตุอะไร มาอยู่คนเดียวหรือว่ามีคนอื่นมาอยู่ด้วย พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วจึงกล่าวคาถาว่า

พาราณสิอาคโตสฺมิ วาณิชตฺถายิธ ปตฺโต
อิธ มโนรมฺมาหํ ทกฺขึ เอกโกว อวสึ ฐาเน
นาวา คจฺฉนฺตา สพฺเพ อญฺญสฺสึ ฐาเน วิกิณฺณาย ฯ

แปลว่า ข้ามาแต่เมืองพาราณสีเพื่อจะค้าขาย มาถึงเกาะนี้ แลเห็นน่ารื่นรมย์ ข้าจึงอยู่ที่นี้แต่คนเดียว พวกเรือที่มาด้วยกันเขาไปค้าที่อื่นหมด

พระโพธิสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว จึงบอกนางนาคทั้ง ๒ ว่า เจ้าจงเลือกเก็บผลาผลที่สุกห่ามกินตามอัธยาศัย ครั้นนางนาคตอบว่า พี่ พวกฉันไม่กินผลาผลไม้ กินแต่อาหารทิพย์ พระโพธิสัตว์ก็พูดจาปราสัยตามส่วนที่ควรจะระลึกถึงกันสิ้นกาลนาน นางนาคธิดาทั้ง ๒ มอบทองค่าผลาผลไม้ให้พระโพธิสัตว์ แล้วก็ลากลับไปนาคพิภพ

อปรภาเค ครั้นอยู่จำเนียรกาลนานมา พวกพาณิชทั้งหลายพากันไปถึงเมืองหนึ่งในสุรรรณภูมิประเทศ จำหน่ายสินค้าหมด รวบรวมเงินแลทองผ้าผ่อนเปนต้นได้แล้ว ก็นำลงบันทุกเรือแล่นออกจากท่ามาโดยลำดับตราบเท่าบัลลุถึงที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ขณะนั้น นายสำเภาก็คิดขึ้นมาถึงพระโพธิสัตว์ว่า เจ้าสุวรรณสิรสากุมารเห็นจักตายเสียแล้วโดยไม่ต้องสงสัย เพราะเหตุต้องตากแดดตากลมแลอดอาหาร จึงแลขึ้นไปดูบนเกาะ เห็นพืชพรรณทั้งหลายมีสีเขียวชะอุ่ม จึงพูดกับพวกเรือว่า ท่านทั้งหลายจงสังเกตดูเกาะนี้ มีสีชะอุ่มยิ่งนัก ขณะนั้น พระโพธิสัตว์พอแลเห็นเรือก็หายกายเข้าไปในศีร์ษะ พอเรือมาถึงเกาะนั้น นายสำเภาก็ลุกจากอาสนลงจากเรือ เมื่อจะไปหาพระโพธิสัตว์ จึงชวนพ่อค้าเปนอันมากเข้าไปหา เมื่อจะกระทำปฏิสันฐาร จึงกล่าวคาถาว่า

สุวณฺณสิรสากุมาร อโรโค นิรุปทฺทโว
นิภโย สุขิโต ภว อิห อุญฺฉาจริยาย
โกจิ ตํ ปฏิชคฺคติ โกจิ ตวาหารํ เทติ
โก อุทกญฺจ กฏฺฐญฺจ อาหริสฺสติ อคฺคิญฺจ ฯ

แปลว่า ดูกรเจ้าสุวรรณสิรสากุมาร เจ้าไม่มีโรคไม่มีภัย ไม่มีอะไรเบียดเบียน อยู่เปนสุขสบายในที่นี้ ด้วยวิธีหาเช้ากินค่ำหรืออย่างไร ใครปฏิบัติเจ้า ใครหาเข้าให้เจ้ากิน ใครหาน้ำท่าฟืนไฟให้เจ้า

เมื่อพระโพธิสัตว์จะตอบ จึงกล่าวคาถาว่า

ตาต นาวิกาหํ เอโก อโรโค นิรุปทฺทโว
นิภโย สุขิโต เจว อตฺตํ ปาเลมิ ปุญฺญาย ฯ

แปลว่า ข้าแต่นายสำเภา ข้าเจ้าอยู่คนเดียว ปราศจากโรคภัยอุปัทวะ เปนสุขสบาย เลี้ยงตนได้ด้วยบุญ

พระโพธิสัตว์กล่างดังนี้แล้ว จึงถามว่า ท่านทั้งหลายขายหมดแล้วหรือ นายสำเภาตอบว่า สินค้าที่บันทุกมาเราขายหมดแล้ว เดี๋ยวนี้จะกลับไปบ้านเมืองของเรา เจ้าจะไปกับข้าหรือจะไม่ไป พระโพธิสัตว์ตอบว่า ข้าเจ้าก็คิดถึงแม่ อยากจะกลับไป ท่านทั้งหลายจงกรุณาสั่งพวกพ่อค้าให้ขนทรัพย์สมบัติทั้งปวงลงเรือไป นายสำเภาถามว่า เจ้าได้ทรัพย์สมบัติเหล่านี้มาจากไหน ครั้นพระโพธิสัตว์ตอบว่า นางนาคขนมาให้ จึงสั่งพวกพ่อค้าทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายช่วยขนเงินทองแก้วแหวนทั้งปวงนี้แลพากุมารลงเร็วด้วย พ่อค้าทั้งหลายก็ทำตามคำนายสำเภาสั่ง พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า ฟักแฟงแตงน้ำเต้าเหล่านี้ข้าปลูกไว้ ขอให้ท่านทั้งหลายเลือกเก็บเอาไปเถิด พวกพ่อค้าทั้งหลายก็พากันเก็บขนลงเรือ

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา เมื่อสมเด็จพระศาสดาจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

สุวณฺณสิรสาโรหํ นาวายํ อุปคจฺฉามิ
สทฺธึ วาณิชตฺถาย อคฺคมิ วาลุกทีเป โอหิยิ ฯ

แปลว่า เราเกิดเปนสุวรรณสิรสา ได้ลงเรือสำเภาไปค้าขายกับพ่อค้าทั้งปวง แล้วไปอาศรัยเกาะเนินทรายอยู่

เมื่อเรือมาถึงท่าบ้าน พระสุวรรณสิรสาโพธิสัตว์จึงพูดกับนายสำเภาว่า พ่อ ขอท่านได้เมตตาสั่งพวกพ่อค้าที่จะไปบ้านให้ช่วยบอกมารดาข้าพเจ้าด้วย นายสำเภาก็ทำตามร้องขอ พวกพ่อค้าสองสามคนก็ไปยังสำนักมารดาพระโพธิสัตว์ ถึงเรือนแล้วจึงเข้าไปบอกข่าวที่สุวรรณสิรสากุมารกลับมา นางจัณฑาลบัณฑิตเห็นพวกพาณิชมา ก็ชื่นชมโสมนัส จึงเชื้อเชิญพวกพาณิชให้นั่งบนอาสนะ แล้วก็เลี้ยงเข้าปลาอาหาร แล้วก็ออกจากบ้านมากับพวกพาณิชทั้งหลาย เดิรมาโดยลำดับ พอถึงท่า ก็ขึ้นไปบนเรือ กอดลูกชายไว้ แล้วก็รำพรรณพิลาปต่าง ๆ นานา ร้องไห้ฟายน้ำตา พาลูกรักมาสู่เรือน ส่วนนายสำเภาก็ใช้ให้ทาสกรรมกรของตนขนแก้วแหวนเงินทองสองร้อยสิบหกโกฏิ กับทองคำห้าร้อยบาท ไม่มีตกหล่น ส่งไปให้พระโพธิสัตว์

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสเปนพระคาถาว่า

โสหํ สุวณฺณสิรโส ชาติยา อฏฺฐวสฺสิโก
ปริปุณฺณสํกปฺโป มาตุ ปจฺจุปการโก
รตนสุวณฺเณน วา กตญฺญูปรมาย จ ฯ

แปลว่า เราเกิดเปนสุวรรณสิรสากุมาร นับแต่เกิดมีอายุได้ ๘ ขวบ มีความดำริห์เต็มบริบูรณ์ ได้ทำอุปการะตอบแทนมารดาด้วยแก้วแลทอง แลด้วยความกตัญญูเปนอย่างยิ่ง

เมื่อนางจัณฑาลบัณฑิตไปสู่ท่าเรือ รับพระโพธิสัตว์มาเรือนแล้ว จึงให้อาบน้ำหอม ให้บริโภคอาหารอันโอชารสต่าง ๆ แล้วพาเข้าห้อง วางไว้บนที่นอน แล้วถามว่า พ่อลูกรัก เจ้าไปได้เงินทองเปนต้นเหล่านี้มาจากไหน ครั้นพระโพธิสัตว์บอกว่า นางนาคให้ นางจึงถามว่า ได้ด้วยอานิสงส์อะไร พระโพธิสัตว์ก็แถลงไปโดยทางบุญฤทธิ์ว่า แม่ เมื่อเวลาข้าไปเรือกับพวกพ่อค้า ไปถึงเกาะทรายเกาะหนึ่ง ข้าอยากอยู่ที่เกาะนั้น จึงขอให้พวกพ่อค้าเขาช่วยส่งขึ้นเกาะ เมื่อข้าอยู่ที่เกาะนั้น จึงปลูกซึ่งพืชพรรณต่าง ๆ ลงไว้เปนอันมาก ยังมีธิดานาค ๒ นาง ชื่อ ปัญจปาปี ๑ ปทาริกา ๑ มาแต่นาคพิภพ เที่ยวเลือกเก็บทำลายฟักแฟงแตงน้ำเต้าของข้า ข้าแลเห็นเข้า ก็ทักท้วงว่ากล่าวว่า ทำไมจึงเที่ยวทำลายพืชพรรณ นางนาคทั้ง ๒ นั้นจึงกล่าวว่า ถ้าข้าไม่โกรธ เขาจะเอาแก้วแหวนเงินทองมาใช้ตอบแทนให้ แล้วนางก็กลับไปยังนาคพิภพ ขนเอาแก้วแหวนเงินทองมาให้ ขอโทษภัยแก่ข้า พระโพธิสัตว์เล่าให้มารดาฟังแต่ต้นจนอวสาน นางจัณฑาลบัณฑิตจึงเอาทองห้าร้อยบาทไปคืนให้แก่นายบ้าน ครั้นอยู่จำเนียรกาลนานมา พระโพธิสัตว์มีชันษาได้ ๑๖ ปี ก็บังเกิดกามรดีประสงค์จะใคร่ได้พระราชธิดาเปนภรรยา

ตทา ในกาลนั้น มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งได้ครองเมืองพาราณสี ประสงค์จะอภิเษกพรหมทัตกุมารราชบุตร์ จึงให้ไปขอราชธิดาพระยามัทราฐ มีนามชื่อว่า พิมพา เชิญมาอภิเษกกับพรหมทัตกุมาร มอบราชสมบัติให้ ตั้งนางพิมพาให้เปนอัคมเหษี เปนใหญ่กว่านางนักสนมทั้งปวง

นางพิมพาอยู่ร่วมกับพระราชสามี เกิดพระราชบุตรี ๓ นาง ชื่อ สุวรรณเทวี นาง ๑ สุวรรณจันทา นาง ๑ สุวรรณคันธา นาง ๑ ราชธิดาทั้ง ๓ นั้นมีชันษาเรียงปีกัน คือ สิบสี่ สิบห้า สิบหก ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์นอนหลับลงไปก่อนจนเที่ยงคืนจึงตื่นขึ้นนอนตรึกไปว่า ทำไฉนหนอเราจักได้นางกุมารีที่มีบุญมาก อุดมด้วยรูป บริบูรณ์ด้วยลักษณ ๖๔ ประการ ประดับด้วยเบญจกัลยาณี เมื่อตริตรึกเช่นนี้ พอรุ่งเช้าก็เข้าไปอ้อนวอนมารดาว่า แม่ ลูกอยากได้นางกุมารีที่มีบุญ มารดาก็ห้ามว่า ลูกรัก เราเปนคนอนาถาทุคคตเข็ญใจ จะหานางกุมารีที่มีบุญมากที่ไหน อนึ่งเล่า เจ้าก็ไม่มีกาย มีแต่ศีร์ษะ จักทำอะไรกับภริยาได้ เมื่อนางห้ามปรามอย่างนี้ พระโพธิสัตว์ก็เฝ้าวิงวอนอยู่ร่ำไป ในสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำเขาเล่ากันต่อ ๆ มาว่า บันดาราชธิดาของพระเจ้าพรหมทัตทั้ง ๓ นางนั้น นางสุวรรณคันธาน้องเล็กมีรูปทรงงดงามน่าเลื่อมใส ประกอบด้วยเบญจกัลยาณี มีสรีรอินทรีย์ดังนางเทพอับสร พระโพธิสัตว์ไม่สามารถกลั้นความสิเนหาได้ จึงอ้อนวอนมารดาว่า แม่ ลูกได้ยินเขาสรรเสริญว่า นางสุวรรณคันธาประกอบด้วยเบญจกัลยาณี ลูกอยากได้มาเปนภริยา แม่จงไปหาข้าราชการมีเสนาบดีเปนต้น วานให้เขาขอให้แก่ลูก ถ้าลูกได้ ก็จักคงมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่ได้ ก็จักตาย นางมารดาก็ห้ามอีกว่า ลูกรัก เจ้าเกิดในตระกูลทุคคตเข็ญใจ อนึ่ง ก็ไม่มีกาย มีแต่ศีร์ษะ เจ้าจะเอื้อมขอนางกุมาริกาที่เกิดในตระกูลสูงประกอบด้วยลักษณแลรูปทรงอันงามอย่างไรได้ นางคงไม่ยินดีด้วยเจ้าอันหาร่างกายมิได้ ธรรมดานางกุมารีย่อมรักใคร่บุรุษก็ด้วยอาศรัยโลกธรรม เจ้าจักเสพย์โลกธรรมอย่างไรได้ ฟังคำแม่เถิด อย่าไปหวังนางสุวรรณคันธาเลย ห้ามปรามแล้วจึงกล่าวเปนอุปมาว่า บุรุษอันธพาลแลเห็นพระจันทร์อันแวดล้อมไปด้วยดวงดาวในอากาศ ประสงค์อยากได้ ร้องไห้อ้อนวอนมารดาว่า แม่ ข้าอยากได้พระจันทร์พร้อมทั้งหมู่ดาว แม่จงเอามาให้ข้า ฉันใด ก็เหมือนตัวเจ้ามาปราถนานางกุมารีที่ไม่ควรจะได้ แม่จักทำอย่างไรให้เจ้าได้ เมื่อมารดาห้ามดังนี้ พระโพธิสัตว์ก็นิ่งอยู่

ครั้งนั้น นางจัณฑาลบัณฑิตสังเกตกิริยาแห่งลูกชาย เห็นไม่สบาย จึงคิดว่า เจ้าสุวรรณสิรสากุมารนี้เห็นจะน้อยใจโทมนัสโกรธด้วยเราว่ากระทบ ถ้าเราไม่นำนางสุวรรณคันธามาให้ น่ากลัวหทัยจะแตกตาย จำเราจะปลอบแล้วไปพยายามดู คิดแล้วจึงปลอบว่า ลูกรัก เจ้าอย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลย แม่จะไปหามหาอำมาตย์ให้เขาช่วยทูลพระเจ้าแผ่นดินดู พระโพธิสัตว์ดีใจตอบว่า ดีแล้วแม่ นางก็เล้าโลมว่า ความปราถนาของเจ้าจักสำเร็จคราวนี้ ว่าแล้วนางก็จูบพระโพธิสัตว์ ออกจากเรือนไปยังเมืองพาราณสี เข้าไปภายในพระนคร แล้วก็เข้าไปหามหาอำมาตย์ในเรือน ทำความเคารพ แล้วก็ยืนอยู่

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา สมเด็จพระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

อามนฺตยิตฺวาน ปุตฺตํ มหามจุจสฺส สนฺติกํ
อุปสงฺกมิตฺวาน สา กถยนฺตามจฺจํ อิติ
นโม ตฺยตฺถุ ภทฺทนฺเต มม กรุณาย ยาจสฺสุ
ราชธิตรํ มํ ปุตฺตสฺส ฯ

แปลว่า นางจัณฑาลบัณฑิตเรียกบุตร์มาแล้ว ก็ไปหามหาอำมาตย์ พูดว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการท่าน ความงามความดีจงมีแก่ท่านเถิด ท่านจงกรุณาข้าพเจ้าช่วยทูลขอราชธิดาให้ลูกข้าพเจ้าเถิด

มหาอำมาตย์จึงตอบว่า แม่มหาจำเริญ ข้าเกรงพระราชอาญา ไม่สามารถจะขอราชธิดาให้ลูกเจ้าได้ เมื่อนางอ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็ห้ามเสียไม่ยอมทูลขอให้ นางก็ไปหาเสนาบดีอื่นวิงวอนเช่นนั้นอีกว่า ข้าแต่ท่านมหาอำมาตย์ ข้าพเจ้าตั้งหน้ามาหาท่าน ขอท่านได้กรุณาช่วยเข้าไปทูลขอราชธิดาให้ลูกชายข้าพเจ้าเถิด อำมาตย์นั้นก็ห้ามอีกว่า ข้าเกรงพระราชอาญา ไม่กล้าทูลขอราชธิดาได้ เมื่อนางอ้อนวอนแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็มิได้รับ นางจึงไปหาเสนาบดีคนอื่นอีก วิงวอนว่า ท่านเสนาบดีผู้เจริญ ขอท่านได้กรุณาทูลขอราชธิดาให้ลูกข้าพเจ้าเถิด ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ อำมาตย์ผู้นั้นก็รับรองแล้วเข้าไปในพระราชนิเวศน์ถวายบังคม ครั้นได้พระราชทานโอกาศ จึงทูลขอพระราชทานอภัยแล้วทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า มีหญิงทุคคตะคนหนึ่งเปนแม่เด็กสุวรรณสิรสา วานให้ข้าพระองค์มาทูลขอพระสุวรรณคันธาราชธิดา พระองค์จงทรงทราบ พระเจ้าพาราณสีได้ทรงฟัง ก็ทรงพระพิโรธหน่อยหนึ่ง แล้วทรงดำริห์ว่า เด็กชื่อสุวรรณสิรสานี้เปนลูกหญิงเข็ญใจชาติทุคคตะ ไฉนจึงให้มาขอราชธิดาของเรา มันจักมีฤทธิ์มีอานุภาพมีบุญมากกระมัง จำเราจักทดลองดู ถ้าไม่มีเดชมีบุญ ก็จักให้ฆ่าเสีย ถ้ามีบุญ ก็จักให้ ดำริห์แล้วจึงตรัสแก่เสนาบดีว่า ถ้าเด็กสุวรรณสิรสามีบุญมีฤทธิ์สามารถสร้างสพานเงินสพานทองตั้งแต่เรือนตนมาถึงพระราชนิเวศน์ได้ เราจักให้ธิดา ถ้าไม่สามารถ จักไม่ให้ แลจะให้ราชอาญาแทน เจ้าจงรู้อย่างนี้ เสนาบดีได้ฟังตรัส ถวายบังคมลากลับมาเรือน เรียกนางจัณฑาลบัณฑิตมา แล้วจึงเล่าให้ฟังตามเรื่องที่พระเจ้าพาราณสีดำรัส นางจึงลาเสนาบดีกลับมาเรือน เล่าให้พระโพธิสัตว์ฟัง พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วก็ดีใจนอนคิดว่า ความปราถนาของเราจักสำเร็จที่สุดในครั้งนี้ แลนอนพิจารณาต่อไปว่า พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายในปางก่อน ถ้าแลเห็นกิจการของตนยังไม่สำเร็จ ก็ย่อมทำให้สำเร็จได้ด้วยบารมี เพราะเหตุนั้น จำเราจะทำอธิษฐานบารมีบ้าง คิดแล้วก็กล่าวคาถาว่า

เยน สจฺเจน จ อหํ พุทฺธภาวญฺจ ปตฺเถมิ
เตน เสตุโน ปชฺชตุ รชฏสุวณฺณมยา
อิโต จ มม เคหโต ยาว ปาสาทํ รญฺโญปิ
เยน สจฺเจน มาตรํ กตญฺญุสุมึ ฐิโต อหํ
อุชุจิตฺเตน ปฏิชคฺคึ เตน เสตุโน ปชฺชตุ
อิโต จ มม เคหโต ยาว ปาสาทํ รญฺโญ จ
เยน สจฺเจน ปูเรนฺโต ทานาทีนิ ปารมิโย
ปุพฺเพ จาหํ สมตึส เตน เสตุโน ปชฺชตุ
อิโต จ มม เคหโต ยาว ปาสาทํ รญฺโญ จ ฯ

แปลว่า เราปราถนาพระพุทธเจ้าโดยสัจ ขอให้สพานเงินสพานทองจงเกิดมีตั้งแต่เรือนของเราถึงปราสาทของพระเจ้าแผ่นดิน เรามีกตัญญูต่อมารดา ปฏิบัติโดยซื่อตรงโดยสัจ ขอให้สพานเงินสพานทองจงเกิดมีตั้งแต่บ้านของเราถึงปราสาทพระเจ้าแผ่นดิน เราบำเพ็ญบารมีสามสิบทัศ มีทานบารมีเปนต้น โดยสัจ ขอให้สพานเงินสพานทองจงเกิดมีแต่เรือนของเราจนถึงปราสาทของพระเจ้าแผ่นดินเถิด

ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ ก็ร้อนขึ้นไปถึงพิภพแห่งสมเด็จอมรินทร์ ท้าวสักกเทวราชพิจารณาดูรู้เหตุนั้นแล้ว จึงเรียกวิสสุกรรมเทวบุตร์มาสั่งบังคับว่า ท่านวิสสุกรรม บัดนี้ สุวรรณสิรสากุมารหน่อเนื้อพระพุทธเจ้าปราถนาราชธิดา ต้องการจะสร้างสพานเงินสพานทองตั้งแต่เรือนของตนจนถึงปราสาทราชนิเวศน์ เหตุนั้น ท่านจงไปสู่มนุษย์โลก นิรมิตให้สมปราถนา พระวิสสุกรรมรับเทพบัญชาว่า สาธุ แล้วก็ลงมายังมนุษย์โลก นิรมิตสพานเงินสพานทองเสร็จแล้ว ก็กลับไปยังที่อยู่ของตน

พอเพลารุ่งเช้า พระเจ้าพรหมทัตเผยสิงหบัญชรทอดพระเนตร์ไปภายนอก เห็นสพานเงินสพานทอง ก็ทรงพระโสมนัสทรงพระดำริห์ว่า สุวรรณสิรสากุมารนี้มีบุญหนักหนาหนอ สพานเงินสพานทองปรากฎขึ้นแล้ว ทรงพระดำริห์แล้ว รับสั่งให้หามหาอำมาตย์แลเสนาบดีเปนต้น พร้อมทั้งพระพิมพาเทวีอัคมเหษี มาทรงปรึกษาว่า ท่านทั้งหลายจงฟังคำเรา เราได้พูดคำใดไว้ คำนั้นต้องเปนจริง ไม่เหลาะแหละ ยั่งยืน ไม่แปรปรวน คำที่เราพูดไว้แล้วต้องเปนเหมือนงาช้างที่งอกออกไปแล้วไม่กลับหด เพราะเหตุนั้น เราจักต้องให้ราชธิดาที่ควรให้แก่สุวรรณสิรสากุมาร ตรัสแล้วจึงให้เรียกราชธิดาทั้งสามเข้ามาปรึกษาว่า เจ้าทั้งสามผู้ใดอยากได้สุวรรณสิรสาเปนสามี เราจะอภิเษกให้ นางทั้งสามทรงเคารพในพระบิดา ก็มิได้กราบทูลประการใด พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า เจ้าสุวรรณาเปนพี่ใหญ่เราจะอภิเษกก่อน นางสุวรรณาไม่อยากได้พระโพธิสัตว์ จึงทูลว่า ขอพระราชทาน หม่อมฉันไม่ต้องประสงค์คนที่มีอินทรีย์ไม่เต็ม มีอาการไม่ครบสามสิบสอง กายแลมือเท้าของกุมารนั้นไม่มี พระบิดาจะอภิเษกอย่างไร พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงฟัง จึงตรัสถามนางสุวรรณจันทาว่า ดูกรลูกรัก พ่อจะอภิเษกเจ้ากับสุวรรณสิรสา เจ้าต้องการหรือไม่ ครั้นนางทูลว่า ไม่ปราถนา จึงตรัสถามนางสุวรรณคันธาน้องน้อยว่า ดูกรลูกรัก เจ้ารักใคร่หรือไม่ นางสุวรรณคันธาถวายบังคมแล้วทูลว่า ขอพระราชทาน หม่อมฉันเกิดจากพระอุระของพระองค์ พระองค์เปนพระบิดาของหม่อมฉัน ธรรมดาบิดาย่อมประกอบประโยชน์แก่บุตร์ ไม่ประกอบสิ่งที่ไม่เปนประโยชน์ เพราะเหตุนั้น ถ้าบิดาจักตรัสสั่งบังคับให้หม่อมฉันทำการสิ่งใด ๆ ดีหรือชั่วก็ตาม หม่อมฉันจักทำตามทั้งสิ้น พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงฟังก็ทรงพระโสมนัส ตรัสให้ประชุมอำมาตย์ราชเสนานางนักสนมทั้งพระพิมพาอัคมเหษีให้ประดับประดาเครื่องอลังการ ส่วนพระองค์ก็ทรงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เสวยพระยาหาร แล้วมีหมู่มหาชนแลนางนักสนมแวดล้อมเปนบริวาร เสด็จออกจากราชนิเวศน์ทรงพระดำเนิรไปโดยสพานเงินสพานทองจนถึงเรือนแห่งนางจัณฑาลบัณฑิต เสด็จประทับบนราชอาสน์ ฝ่ายนางจัณฑาลบัณฑิตเห็นพระเจ้าพรหมทัตเสด็จมากับหมู่อำมาตย์ทั้งพระราชเทวีแลนางนักสนม นางจึงเข้าไปถวายบังคมแล้วก็ทูลถามว่า ขอเดชะ พระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารนางนักสนมแลพระมเหษี มีพระธุระสิ่งใดจึงเสด็จมาถึงเรือนข้าพระบาท พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า ที่เราออกมาครั้งนี้ ประสงค์จะรับสุวรรณสิรสากุมารบุตร์ของเจ้าไปอภิเษกกับนางสุวรรณคันธาธิดาของเรา นางจัณฑาลบัณฑิตทูลว่า หม่อมฉันไม่กล้าจะถวายบุตร์ซึ่งปราศจากอาการสามสิบสอง ไม่มีรูปกาย มีแต่ศีร์ษะ ให้ทอดพระเนตร์ ครั้นพระเจ้าพรหมทัตตรัสว่า ข้ารู้แล้ว ข้าให้อภัย นางจึงนำพระโพธิสัตว์ออกถวายให้ทอดพระเนตร์ พระเจ้าพรหมทัตได้ทอดพระเนตร์เห็นสุวรรณสิรสากุมาร มีแต่ศีร์ษะ งามปานดังผะอบทองคำชมพูนุช ก็ทรงพระโสมนัส เกิดความสิเนหาดังพระราชบุตร์อันเกิดแต่พระอุทร จึงให้เอาภาชนทองเข้ารองรับเศียรพระโพธิสัตว์กลับคืนเข้าพระราชนิเวศน์

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสตา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสเปนพระคาถาว่า

ตํ อาทายปิ ส ราชา นิเวสนํ นิวตฺติตฺวา
ปาสาทํ อภิรุยฺหติ อาณาปยิ พหูมจฺเจ
ภวนฺตา ตุมฺเห กโรถ อภิเสกราชมาฬํ
รชฏ สุวณฺเณปิ จ รตเนหิ ราสิเหตฺถ
ตํ วิวิธาลงฺกาเรหิ ปฏิมณฺฑิตํ สพฺพมฺปิ
เหมสาณิปากาเรหิ สุวณฺณรชฏฉตฺตํ
ธชปฏากํ อุสฺสาปยิ วิตาลญฺจ วิตฺถาเรติ
จนฺทตารกวิจิตฺตํ อคฺคเรติจิตฺตรณํ
รชฏสุวณฺณราสี รตนราสี จ การาปยิ ฯ

แปลว่า พระเจ้าพรหมทัตพาพระโพธิสัตว์กลับไปสู่พระราชนิเวศน์ เสด็จขึ้นปราสาทแล้ว จึงตรัสสังบังคับอำมาตย์ทั้งหลายให้ทำโรงราชมาฬกสำหรับอภิเษก ตั้งไว้ซึ่งกองเงินกองแก้วกองทอง ประดับประดาด้วยเครื่องอลังการต่าง ๆ แวดวงล้อมม่านทอง ยกขึ้นซึ่งฉัตร์เงินฉัตร์ทองธงชัยธงปฎาก ดาษเพดานด้วยดาวเงินดาวทอง ให้กระทำกองเงินกองทองกองแก้วที่จะเชิญขึ้นนั่งบนนั้น ครั้นเสด็จแล้ว พระเจ้าพรหมทัตก็ให้ประดับพระราชธิดาให้วิจิตรด้วยเครื่องอลังการต่าง ๆ นา ๆ พระองค์เสด็จไปสู่โรงราชมาฬก ประทับเปนประธาน ส่วนพระนางพิมพาเทวีก็ประดับพระราชธิดาด้วยเครื่องอลัการ พาออกไปประทับอยู่บนอาสน์อันสมควร ส่วนอำมาตย์ มีเสนาบดีเปนต้น ก็นั่งอยู่ทางหนึ่ง พวกพราหมณ์ มีปโรหิตเปนต้น ก็นั่งอยู่ทางหนึ่ง พวกคหบดี มีเศรษฐีเปนต้น ก็นั่งอยู่ทางหนึ่ง สนมนางใน มีพระมเหษีเปนต้น ก็นั่งอยู่ทางหนึ่ง นางนักสนมทั้งหลายก็ขับร้องประโคมมโหรี พอถึงฤกษ์งามยามดี มีศุภมงคลพร้อมทั้งขณะ พราหมณ์ปโรหิตก็เชิญน้ำสังข์มาตั้งไว้ เชิญภาชนรองเศียรพระโพธิสัตว์ให้ประดิษฐานอยู่บนกองเงินกองทอง นางพิมพาเทวีก็จูงกรราชธิดาให้นั่งเหนือกองแก้วกองทอง พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงประคองสังข์อภิเษกพระเจ้ามันธาตุ หลั่งน้ำลงอภิเษกทั้งสอง คือ ให้พระโพธิสัตว์เปนสามีราชธิดา แล้วสั่งอำมาตย์ราชบริพารให้ชำระปราสาทอันสมควร ประทานให้เปนที่อยู่แห่งชนทั้งสอง ชนทั้งสองก็สนทนาปราสัยด้วยถ้อยคำอันเปนที่รักแห่งกันแลกัน อยู่สมัครสโมสร ปราศจากโรคภัย เปนสุขสบาย ไม่มีความเดือดร้อน

อถ โข พฺรหฺมทตฺโต ราชา ต่อมาในกาลภายหลัง พระเจ้าพรหมทัตมีพระประสงค์จะใคร่ประพาสสวนอุทยาน จึงรับสั่งให้หาพนักงารรักษาสวนมาตรัสสั่งว่า เราจักใคร่ไปเที่ยวเล่นในสวนอุทยาน เจ้าจงชำระแผ้วถางตกแต่งให้งดงาม พนักงารเฝ้าสวนรับพระราชบัญชาแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับมายังสวนหลวง ชำระแผ้วถางตกแต่งเสร็จ ก็กลับเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระเจ้าพรหมทัตจึงรับสั่งให้หาเสนาบดีมาโดยพระประสงค์จะตระเตรียมโดยเร็วพลันให้ทันการ จึงมีพระราชบรรหารเปนคาถาว่า

โยชยนฺตุ อสฺเส รเถ คจฺฉ นาเค นิพนฺธถ
อุทริยนฺตุกา สํขปณฺฑวา นทนฺตุ เอกโปกฺขรา
นทนฺตุ เภริสนฺนทฺธา วคฺคู นทนฺตุ ทุนฺทุภิ
เนคมา จ มํ อนฺเวนฺตุ อุยฺยานกีฬํ คจฺฉามิ
โอโรธา จ กุมารา จ เวสิยานา จ พฺรหฺมณา
ขิปฺปํ ยานานิ โยเชนฺตุ อุยฺยานกีฬํ คจฺฉามิ
หตฺถาโรหา อนีกฏฺฐา รถิกา ปตฺติการกา
ขิปฺปํ ยานานิ โยชยนฺตุ อุยฺยานกีฬํ คจฺฉามิ
สมาคตา ชานปทา เนคมา จ สมาคตา
ขิปฺปํ ยานานิ โยชยนฺตุ อุยฺยานกีฬํ คจฺฉามิ ฯ

แปลว่า ชาวเจ้าทั้งหลาย จงจัดม้า จัดรถผูกช้าง ประโคมสังข์แลบัณเฑาะว์ บัลลือพิณแลกลองหนังทั้งตะโพนซึ่งมีเสียงอันไพเราะ ชาวนิคมทั้งหลายจงตามเราไปเล่นสวนอุทยาน นักสนมแลมหาดเล็กพ่อค้าแลพราหมณ์ทั้งหลาย จงเตรียมยานพาหนะโดยเร็วพลัน เราจะไปเล่นสวนอุทยาน อนึ่ง พลช้างพลม้าพลรถพลบทจรเดิรเท้าทั้งเหล่าชาวนิคมชนบท จงมาพร้อมตระเตรียมพาหนะ เราจะไปเที่ยวเล่นสวนอุทยาน

เมื่อพระเจ้าพรหมทัตตรัสสั่งบังคับดังนี้ พวกสารถีก็เตรียมรถเตรียมม้า นายหัตถาจารย์ก็ผูกช้างเทียบแทนราชทวาร แล้วก็นำความกราบทูลพระเจ้าพรหมทัตให้ทรงทราบ

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา เมื่อสมเด็จพระศาสดาจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

อสฺเส จ สารถิยุตฺเต สนฺธเว สีฆพาหเน
ราชทฺวารํ อุปาคญฺฉุํ ยุตฺตา เทว หตฺถิอสฺสา ฯ

แปลว่า เมื่อสารถีเทียมม้าสินธพอันเปนพาหนะว่องไวแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าพรหมทัตว่า ขอพระราชทาน ช้างม้าเตรียมไว้พร้อมแล้วพระเจ้าข้า

ระหว่างที่เกณฑ์คนทั้งสี่เหล่าแลเตรียมเสนาสิบแปดเหล่าอยู่นี้ เวลาล่วงไปได้ ๗ วัน

ตมตุถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา สมเด็จพระบรมศาสดา เมอจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

ตโต ราชา ตํ สุตฺวาโส ยุตฺตมารุยฺห สินฺธวํ
อิตฺถาคารปริวุโต สพฺพาว อนุยายนฺติ
พาลวิชนิอุณฺหิสํ ขคฺคํ ฉตฺตญฺจ ปณฺฑุรํ
อุปาหนา จ ธารย สุวณฺเณหิ อลงฺกตา
สิริยา ชลนฺโต โส ขตฺตสํฆปริพฺยุฬฺโห
สกฺโก ยถา อจฺฉราหิ เทเวหิ จ ปริวุโต ฯ

แปลว่า พระเจ้าพรหมทัต ครั้นได้ฟังกราบทูลว่า เตรียมพร้อมแล้ว ก็เสด็จขึ้นทรงม้าสินธพ มีหมู่พระสนมกำนัลในพระราชฐานห้อมล้อมตามไปทั้งหมด พร้อมด้วยเครื่องประดับพระราชอิศริยยศ คือ พัดวาลวิชนี พระมหามงกุฎ พระขรรค์ เศวตฉัตร์ ฉลองพระบาททอง มีหมู่กษัตริย์แวดล้อม รุ่งเรืองไปด้วยพระสิริ ดุจดังสมเด็จอมรินทร์อันมีหมู่นางเทพอับสรแลทวยเทพแวดล้อมเปนบริวาร พระเจ้าพรหมทัตเสด็จทรงม้ามงคลสินธพ เสด็จไปตามราชวิถีด้วยพระยศอันยิ่งใหญ่ งามด้วยพระสิริวิลาสอันไพศาล เสด็จเข้าสู่สวนอุทยาน ทรงประพาสแลมีมหรศพอย่างสนุกสนาน

ส่วนพระโพธิสัตว์กับนางสุวรรณคันธามิได้ตามเสด็จ เหลืออยู่ปราสาทแต่สองคน นางสุวรรณคันธาก็นั่งร้องไห้รำพรรณบ่นว่า พระราชบิดาเสด็จไปชมสวนด้วยประชาชนแลราชวงศ์นักสนม มิได้เหลือใครไว้ เสด็จไปทรงประพาสสำราญ เหลือเราผู้เดียวมิได้ไปเที่ยวสวนอุทยาน เพราะอายเพื่อนฝูง ด้วยมีผัวมิได้มีรูปกาย ถ้าผัวเรามีอินทรีย์บริบูรณ์ มีรูปกายเต็ม ก็จะได้ตามเสด็จพระราชบิดาด้วยยานช้างยานม้า ส่วนเราก็จะได้ตามเสด็จพระบิดาด้วยเหล่านางกุลกุมารีที่เปนบริวาร เดี๋ยวนี้หมดทางที่จะได้ไป พระโพธิสัตว์เห็นนางร้องไห้จึงถามว่า เจ้าร้องไห้ทำไม นางก็เล่าให้ฟังตามความคิด ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า ถ้าน้องเจ้าจะใคร่เห็นร่างกายของพี่ เจ้าจงไปหาม้าสินธพที่มีกำลังอาจขับขี่ได้รวดเร็วมาให้ เจ้าจะได้เห็นพี่ขี่ม้าตามเสด็จพระราชบิดา แต่ว่า เจ้าเห็นแล้วอย่าได้บอกแก่ใคร ๆ เพราะพี่นี้มิใช่คนพอดีพอร้าย พี่จุติจากดาวดึงสเทวโลกลงมาเกิดในที่นี้ นางสุวรรณคันธาเทวีได้ฟังก็ชื่นชมโสมนัส กราบพระโพธิสัตว์แล้วจึงไปนำม้าสินธพซึ่งนายสารถีฝึกหัดไว้เปนอันดีมาผูกไว้ที่ประตูปราสาท แล้วเข้ามาบอกพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็ออกจากศีร์ษะ มีพระกายงามดังสีทองเต็มทั้งองค์น่าเลื่อมใส บริบูรณ์ด้วยพระลักษณะน้อยใหญ่มิได้บกพร่อง งามด้วยสีริวิลาสดังสมเด็จอมรินทร์เทวราช พระองค์จึงประดับพระกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง แล้วจึงสั่งกำชับแก่นางสุวรรณคันธาว่า น้องรัก เจ้าอย่าได้บอกกล่าวแก่ใครเลย สั่งแล้วก็ขึ้นสู่หลังม้าขับมุ่งตรงไปยังสวนอุทยาน พระโพธิสัตว์ขับไปโดยเร็ว ก็ไปถึงก่อนพระเจ้าพรหมทัต พอถึงก็ลงจากหลังม้าขึ้นไปนั่งอยู่บนแผ่นศิลาอันเปนราชบัลลังก์ ลำดับนั้น พระเจ้าพรหมทัตเสด็จไปโดยราชวิถี ทอดพระเนตร์เข้าไปภายในสวน เห็นสุวรรณสิรสากุมารแล้ว ทรงสำคัญว่า เปนเทวดารักษาสวนหรือท้าวสักกะเทวราช พระองค์ก็ก้มพระเศียรลงประคองอัญชลีเสด็จเข้าไปใกล้ ออกพระวาจาว่า ข้าแต่ท่านเทวราช ข้าพเจ้าขอนอบน้อมนมัสการ ไฉนท่านจึงมาประดิษฐานอยู่ณที่นี่ พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วจึงทูลว่า ดูกรพระองค์ผู้เปนมหาราช เรามาแต่เทวโลก ประสงค์จะเที่ยวชมสวนกับด้วยพระองค์ กล่าวแล้วก็เที่ยวชมสวนอยู่จนเวลาพระอาทิตย์อัสดงค์ พอเวลาเย็น พระเจ้าพรหมทัตมีมหาชนเปนบริวารก็เสด็จกลับเข้าสู่พระนคร เสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ เสวยพระกระยาหาร แล้วก็บันทมบนพระที่ ส่วนพระมหาสัตว์ เมื่อมหาชนตามเสด็จพระเจ้าพรหมทัตกลับไปแล้ว ก็ขึ้นสู่หลังอาชา เหาะขึ้นสู่อากาศมาลงที่ปราสาท เข้าสู่ห้อง แล้วก็หายกายเข้าไปในศีร์ษะ

ทุติยทิวเส ครั้นรุ่งขึ้นวันที่สอง พระเจ้าพรหมทัตเสวยแลชำระพระองค์แล้ว จึงเสด็จออกประทับณท้องพระโรงพร้อมด้วยหมู่อำมาตย์ราชบริพาร ครั้งนั้น มีเสนาบดีคนหนึ่งชื่อ นนท์ เข้าไปเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต ถวายบังคมประนมกรทูลว่า ขอพระราชทาน สุวรรณสิรสาซึ่งเปนสามีนางสุวรรณคันธานั้นมิได้สมควรแก่ชาวพระนครทั้งหลาย ทำให้พระองค์ขายพระพักตร์ ข้าพระองค์จักยกโทษเรื่องไม่ตามเสด็จไปสวนอุทยานพาลฆ่าหรือขับเสีย ความละอายขายพระพักตร์ก็จักไม่มีแก่พระองค์ พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงเชื่อคำนนทเสนาบดี จึงรับสั่งให้หาพระราชธิดามาแล้วตรัสว่า เจ้าสุวรรณคันธา นนทเสนาบดีเขามาพูดกับพ่อว่า สุวรรณสิรสากุมารสามีของเจ้ามิได้ตามเสด็จสวนอุทยาน ต้องโทษหนัก ควรประหารชีวิตหรือขับเสีย เจ้าอย่าน้อยใจ อย่าสิเนหาเลย พ่อจักหาราชกุมารอื่นที่มีรูปโฉมงดงาม เกิดในขัติยตระกูลเสมอกัน ให้เปนสามีเจ้าใหม่ นางสุวรรณได้ฟังตรัส ก็มีกายสั่นหวั่นไหว มีหทัยดังจะแตก โทมนัสร้องไห้ แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะพระองค์ผู้เปนมหาราช เมื่อพระองค์ทรงเห็นสามีของข้าพระบาทประกอบด้วยโทษลามกแล้ว ไฉนจึงพระราชทานข้าพระบาทให้เปนบาทบริจาริกาเล่า หรือว่า อีกอย่างหนึ่ง พระองค์พระราชทานข้าพระบาทแก่เขา อภิเษกให้เปนสามีข้าพระบาทแล้ว ภายหลังให้ประหารชีวิตหรือขับไล่ก็ตามที การกระทำอย่างนี้จะไม่เปนธรรม ก็ยกไว้ สามีของข้าพระบาทควรที่ข้าพระบาทจะทำความเคารพนับถือ ควรบูชา ควรสิเนหา ไม่ควรจะให้ประหารชีวิต นางสุวรรณคันธาทูลแล้วถวายบังคมลาลุกจากอาสน์กลับไปยังปราสาท เล่าให้พระโพธิสัตว์ฟังแล้วก็ร้องไห้ พระโพธิสัตว์ได้ฟังนางเล่าจึงเล้าโลมว่า น้องรัก น้องอย่าคิดกลัวแลเศร้าโศกไปเลย พี่มาแต่ดาวดึงสพิภพ มิใช่คนพอดีพอร้าย เล้าโลมแล้วต่างคนก็นิ่งไป

ตสฺมึ ขเณ ในขณะนั้น ก็ร้อนขึ้นไปถึงพิภพแห่งสมเด็จอมรินทราธิราช ท้าวสักกะเทวราชพิจารณาด้วยทิพจักษุว่า บุคคลผู้ใดหนอบำเพ็ญกองการกุศลแล้วแลถึงที่ซึ่งทุกข์ยาก จึงบันดาลให้เราเร่าร้อนต้องเคลื่อนจากที่ ก็แลเห็นเหตุว่า บัดนี้ พระเจ้าพรหมทัตจักให้ประหารชีวิตสุวรรณสิรสากุมารผู้เปนหน่อเนื้อพระพุทธเจ้า การตายของคนที่เปนหน่อเนื้อพระพุทธเจ้านั้นไม่ควรจะเปนด้วยพยายามของคนอื่น เพราะเหตุนั้น ควรเราจะไปยังมนุษยโลกให้ชีวิตแก่สุวรรณสิรสากุมารเถิด พอเพลาราตรี ก็ลงจากเทวโลกมาสู่มนุษย์ ยืนอยู่บนอากาศ เมื่อจะถามปัญหาสี่ข้อ จึงตรัสว่า ดูกรพระราชาผู้เปนใหญ่กว่าคน เราจักถามปัญหาสี่ข้อพระองค์จงวิสัชนา ถ้าวิสัชนาไม่ได้ เราจักตีศีร์ษะให้แตกตาย ตรัสดังนี้แล้วจึงถามปัญหาสี่ข้อ ข้อ ๑ ว่า สิ่งหนึ่งไม่แก่ ไม่ตาย เปนหนุ่มอยู่เสมอ จะได้แก่สิ่งอะไร ข้อ ๒ ว่า คนที่เรียกกันว่า เปนพระราชา นั้น เพราะธรรมสิ่งใด ข้อ ๓ ว่า ที่เรียกกันว่า รถ นั้น ได้แก่สิ่งอะไร สิ่งอะไรที่รุ่งเรืองอยู่ในโลกนี้แลโลกอื่น

เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงแก้ไม่ได้ ท้าวสักกะจึงสำทับว่า ดูกรพระราชาผู้เปนใหญ่กว่าชน พระองค์จงทรงคิดพิจารณาสอบค้นให้ได้ภายใน ๗ วัน วันที่ ๗ เราจะกลับมา ถ้าพระองค์ทรงแก้ได้ ก็เปนการดี ถ้าแก้ไม่ได้ เราจักทำลายพระเศียรพระองค์ให้แตกด้วยฆ้อนเหล็กอันลุกเปนเปลวไฟนี้ ทรงคุกคามแล้วจึงตรัสต่อไปว่า ถ้าท่านเปนนักปราชญ์ ท่านจงขึ้นไปในอากาศ แล้วจงแก้ปัญหาเหล่านี้ เมื่อแก้แล้ว จะได้เล่นคลีด้วยกัน ท้าวสักกะตรัสเท่านั้น แล้วก็อัตรธานหายไปจากมนุษย์โลก

ตมตฺถํ ปกาเสนฺโต สตฺถา เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสคาถาว่า

อิติ วตฺวาน มฆวา เทวราชา สุชมฺปติ
ราชานํ สนฺตชฺเชตฺวา สคฺคกายํ อปกฺกมิ ฯ

แปลว่า ท้าวมัฆวานเทวราชผู้เปนสามีนางนาฎสุชาดาตรัสเช่นนี้ แลขู่สำทับพระเจ้าพรหมทัตแล้ว ก็หลีกกลับไปสู่หมู่แมนเมืองสวรรค์

ปุนทิวเส ครั้นวันรุ่งเช้า พระเจ้าพรหมทัตจึงให้ประชุมผู้มีศักดิสูง มีพระมหาอุปราชแลเสนาบดีเปนต้น ทั้งนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีพราหมณ์ปโรหิตเปนต้น ณท้องพระโรงหลวง แล้วดำรัสถามปัญหาสี่ข้อว่า ท่านทั้งหลาย ใครรู้อธิบายปัญหาเหล่านี้บ้าง มหาชนทั้งหลายได้ฟังรับสั่งก็พิศวงหลงไหล จึงกราบทูลว่า ข้าพระบาททั้งหลายมิได้ทราบ พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงฟัง ก็ยิ่งสดุ้งตกพระทัย ทรงรำพรรณว่า ชีวิตของเราไม่มีสืบไปอีกแล้ว ครั้นชนทั้งหลาย มีปโรหิตเปนต้น ทูลความว่า ไฉนจึงตรัสดังนั้น พระองค์จึงทรงเล่าเรื่องตามที่เปนมา แล้วตรัสว่า เมื่อเราทั้งหลายไม่รู้อธิบายของปัญหาเหล่านี้แล้ว แว่นแคว้นของเราก็จะพินาศ ตรัสแล้วจึงทรงประกาศต่อไปว่า ดูกรท่านทั้งหลาย ภายใน ๗ วันนี้ ถ้าคนพวกใดไม่รู้เนื้อความของปัญหาเหล่านี้ ชนพวกนั้นจะไม่รอดชีวิต ชนทั้งหลายที่เฝ้าอยู่ได้ฟังพระราชดำรัส ต่างก็กลัวตาย คนใดคนหนึ่งก็ไม่กล้าปริปาก ต่างก้มหน้านิ่งอยู่ ปโรหิตจึงกราบทูลว่า ขอเดชะพระองค์ผู้เปนมหาราช ขอให้ชนทั้งหมดนี้รับพิจารณาคนละปัญหา ครั้นพระเจ้าพรหมทัตตรัสตอบชอบ จึงพากันนั่งคิดอธิบาย ก็มิได้แลเห็น จนถึงเวลาอัสดงคต ก็ไม่มีใครกล้าจะลุกจากที่นั่งพิจารณาอยู่โดยขะมักเขม้น พอล่วงปฐมยาม พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงพระแสงขรรค์เสด็จออกมาตรัสถามว่า ท่านทั้งหลาย ใครคิดอธิบายปัญหาอะไรได้บ้าง ครั้นได้ทรงฟังว่า ยังไม่มีใครคิดได้ พระองค์ก็ทรงขู่คาดโทษว่า ถ้าท่านทั้งหลายคิดไม่ไ ด้เราจะตัดศีร์ษะด้วยพระขรรค์ ชนทั้งหลายก็ยกมือประนมเหนือเศียร แล้วก็พากันนั่งนิ่งอยู่ พระเจ้าพรหมทัตก็เสด็จกลับเข้าข้างใน พอล่วงมัชฌิมยามแลปัจฌิมยาม ก็เสด็จออกมาตรัสถามเช่นนั้นอีก แต่ทำอยู่อย่างนี้ตั้งแต่วันที่สองจนถึงวันที่ห้า ก็ยังไม่มีใครรู้เห็น พอล่วงไปห้าวัน ถึงวันที่หก เพลาเช้า พระเจ้าพรหมทัตเสด็จประทับบนสีหาส์น หมู่อำมาตย์เสนาบดีปโรหิตพราหมณ์เปนประมุขหมอบเฝ้าอยู่พร้อมพรั่ง จึงมีพระราชดำรัสว่า ดูกรท่านทั้งหลาย อย่าได้ประมาทเลย รุ่งพรุ่งนี้ แว่นแคว้นก็จักพินาศ เราจะทำลายศีร์ษะให้ถึงแก่ความตาย หมู่อำมาตย์ราชปโรหิตแลนางนักสนมทั้งหลายได้ฟังตรัส ก็พากันร้องไห้เสียงระเบงเซงแซ่ไป พระเจ้าพรหมทัตทรงเห็นการวิปริตดังนั้น ก็เสด็จลุกจากราชอาสน เสด็จเข้าสู่ปราสาท รับสั่งให้พานางพิมพาเทวีมา แล้วจึงตรัสว่า ดูกรนางผู้เจริญ อำมาตย์ราชปโรหิตเปนต้นสักคนหนึ่งก็ไม่มีใครคิดอธิบายปัญหาเหล่านี้ได้ ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงที่จะมายืนแก้ไขในอากาศ ที่พึ่งอื่นของเราไม่มีแล้ว ในคลังของเรายังมีเงินแลทองเปนต้นอยู่มาก เราจักให้ทาน เพราะทานเปนที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในอนาคต เราบริจาคทานแล้ว พรุ่งนี้ก็จักตาย นางพิมพาเทวีได้ฟังพระราชสามีตรัส ก็บังเกิดความโศกเข้าครอบงำ ทรงรำพรรณปริเทวนาการ ครั้นค่อยได้สติแล้ว จึงทูลว่า ขอเดชะพระองค์ผู้เปนสมมติเทวดา สุวรรณสิรสากุมาร สามีของเจ้าสุวรรณคันธา เปนคนมีบุญมากอยู่ เห็นจะฉลาดสามารถทราบอธิบายปัญหานี้ได้ ถ้ามีปัญญาน้อย ไฉนจักสร้างสพานเงินสพานทองได้ ควรพระองค์จะรับสั่งให้หามาถามดู พระเจ้าพรหมทัตได้ทรงฟัง ก็ค่อยได้พระสติ ทรงระบายลมอัสสาสปัสสาสคล่องขึ้น ครั้นรุ่งเช้า จึงสั่งนางสาวใช้ให้ไปตามสุวรรณสิรสากุมารมาณบัดนี้ นางสาวใช้รับสั่งแล้ว ก็ถวายบังคมลามายังปราสาทนางสุวรรณคันธา ทำความเคารพ แล้วก็เล่าเหตุทั้งปวงให้ฟัง พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วก็บอกนางสุวรรณคันธาว่า น้องรัก พระบิดารับสั่งให้หาพี่ เจ้าจงเอาพี่ใส่ในภาชนะทองพาพี่ไปเฝ้า นางสุวรรณคันธาก็พาพระโพธิสัตว์ขึ้นไปบนพระราชมนเทียร ถวายบังคมแล้วก็วางภาชนะไว้ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงทักทายปราสัย แล้วตรัสว่า พ่อสุวรรณสิรสา บิดามีความเดือดร้อน หาความสุขสบายมิได้ คือ เดี๋ยวนี้ ท้าวสักกะเทวราชมาถามปัญหาสี่ข้อแก่บิดา แลกำชับสั่งว่า ผู้ใดมีปัญญาสามารถจักแก้ปัญหาได้ ให้ผู้นั้นเหาะขึ้นไปยืนแก้ปัญหาบนอากาศ เมื่อแก้ปัญหาเสร็จแล้ว ให้เล่นคลีกันบนอากาศ เจ้าสุวรรณสิรสา ถ้าเจ้าสามารถจะแก้ปัญหา แลสามารถเหาะขึ้นไปยังอากาศ เล่นคลีบนอากาศได้ เจ้าจงให้ชีวิตแก่บิดาเถิด พระโพธิสัตว์จึงทูลว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงกลัว อย่าทรงพระวิตก อย่าทรงเศร้าโศก ข้าพระบาทจะตอบแทนคุณพระองค์ จักเหาะขึ้นไปณอากาศ แก้ปัญหา แลเล่นคลีกับท้าวเทวราช พระองค์จงให้ประชุมสันนิบาตชาวพระนครแลทรงทราบไว้เถิด พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า ถ้าเจ้าสามารถทำได้ดังว่า พ่อจะยกราชสมบัติให้ทั้งหมด ตรัสแล้วจึงสั่งให้ประชุมชาวพระนคร เมื่อชาวพระนครมาประชุมกันพร้อมแล้ว พระโพธิสัตว์จึงเปล่งวาจากล้าหาญว่า ดูก่อนชาวพระนครทั้งปวง เรามีนามชื่อว่า สุวรรณสิรสา จะทำอุปการต่อพระสัสสุรราช เราจะเหาะขึ้นไปในอากาศ จะกล่าวแก้ปัญหาแลจะเล่นคลีกับท้าวสักกะเทวราช ท่านทั้งหลายจงดูรู้ไว้เถิด

ตสฺมึ ขเณ ขณะนั้น ท้าวสักกะเทวราชก็พาพวกเทพบริษัทจากดาวดึงสพิภพมายืนอยู่ในอากาศ พระเจ้าพรหมทัตแลมหาชนก็พากันร้องอึกธึกครึกโครมว่า ท้าวสักกะมาแล้ว ท้าวสักกะมาแล้ว เสียงอื้ออึงโกลาหล ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ก็สั่งให้นางสุวรรณคันธาถือภาชนะทองกลับมาสู่ปราสาท ถอดรูปกายออกจากเศียร แล้วก็เหาะขึ้นไปในอากาศ ไปเฝ้าสมเด็จอมรินทร์ ถวายบังคมแล้วจึงทูลว่า ข้าแต่ท้าวเทวราช พระองค์ต้องประสงค์ถามปัญหาอะไรก็จงถามเถิด เมื่อท้าวสักกเทวราชจะถามปัญหา ๔ ข้อ จึงกล่าวคาถาว่า

  • โก อชรามโร ตรุโณ นิจฺจํ
  • โก เกนตฺเถน ราชาติ สมฺมตา
  • โก เกน รโถติ วุจฺจติ โลเก
  • โก จ อิธ โชติ ปรสฺมึ โชตโก ฯ

แปลว่า สิ่งอะไรที่ไม่แก่ไม่ตาย เปนหนุ่มอยู่เปนนิตย สิ่งอะไรที่สมมติว่า เปนพระราชา เพราะเหตุอะไร สิ่งอะไรที่เรียกว่า รถ เพราะเหตุอะไร สิ่งอะไรที่รุ่งเรืองในโลกนี้ แลส่องสว่างในโลกอื่น

เนื้อความของปัญหาเหล่านี้ปรากฎแก่พระโพธิสัตว์เหมือนพระจันทร์เต็มดวงในพื้นท้องฟ้า ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาข้อแรก จึงกล่าวเปนคาถาว่า

ตณฺหา อชราธมฺมมฺปตฺโต ตํมูลโก นนฺทิราโค
อนวยฺโย จ โลภาทิ มจฺฉรีปิ จ น มรณํ ฯ

แปลว่า ตัณหา แลนันทิราคซึ่งมีตัณหานั้นเปนมูล ย่อมถึงแล้วซึ่งความไม่แก่ กิเลศ มีโลภเปนต้น ก็ไม่รู้จักเสื่อม อนึ่ง ความตระหนี่ก็ไม่รู้จักตาย

ท้าวสักกะเทวราชได้ฟังคำแก้ปัญหา ก็ปรบหัตถ์ให้สาธุการ มหาชนก็พากันร้องสาธุการเปนอันมาก ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาข้อที่สอง จึงกล่าวคาถาว่า

โย จ โลเกน สมฺมตา ราชาติ วิคหิเตน
จตุสงฺคหวตฺถูหิ ทสราชธมฺเมหิ จ ฯ

แปลว่า ผู้ใดที่โลกสมมติแล้วว่า เปนพระราชา ก็เพราะทรงถือเอาโดยวิเศษด้วยสังคหวัตถุ ๔ แลราชธรรม ๑๐ ประการ

โดยอธิบายว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดย่อมทำให้มหาชนยินดีด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ ด้วยการบำรุงกสิกรรม ด้วยการเลี้ยงคนตามคุณวุฒิ ด้วยการไห้กู้ยืมพระราชทรัพย์คิดดอกเบี้ยพอควรเอาไปลงทุนหากำไรได้ ด้วยตรัสอ่อนหวาน พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นเรียกว่า เปนพระราชา

อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดย่อมทำมหาชนให้ยินดีด้วยราชธรรม ๑๐ ประการ คือ ด้วยบำเพ็ญทานเปนปรกติ ด้วยทรงดำรงอยู่ในศีล ด้วยบริจาคช่วยเหลือในการใหญ่ ๆ ด้วยความซื่อตรง ด้วยความอ่อนโยน ด้วยคอยกำจัดความชั่วในพระองค์ ด้วยทรงพระพิโรธน้อย ด้วยไม่ผิดราชประเพณี พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นเรียกว่า เปนพระราชา

อนึ่งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดย่อมยินดีด้วยราชสมบัติของพระองค์ พระเจ้าแผ่นดินนั้นเรียกว่า พระราชา

ท้าวสักกะเทวราชก็ให้สาธุการ แลโปรยปรายซึ่งดอกไม้ทิพย์ทำสักการบูชา มหาชนก็ให้สาธุการเสียงสนั่นหวั่นไหว

ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาที่สาม จึงกล่าวคาถาว่า

สเนมิจกฺกา อกฺขา จ สนาภิอีสายุตฺตา เจว
สรสฺมิ จ รถปญฺชโร เอกโต รโถติ วุจฺจติ
เนมิ จ เอโก อาทิปิ น จ รโถติ วุจฺจติ
สมฺภาเรหิ จ สมุโห ปญฺชโร รโถติ วุจฺจติ ฯ

แปลว่า เรือนรถที่มีกง มีล้อ มีเพลา ประกอบด้วยดุม แลงอน แลเชือก เข้าด้วยกัน จึงกล่าวว่า รถ ถ้ามีอย่างเดียว เปนต้นว่ากง จะได้เรียกว่า รถ หามิได้ ต่อเรือนรถที่ประชุมด้วยสัมภารครบ จึงเรียกว่า รถ

โดยอธิบายว่า เหมือนกายสัตว์ทั้งหลาย ประชุมด้วยอาการสามสิบสองเปนอย่างยิ่ง จึงเรียกว่า กายรถ

เทวดาทั้งหลาย มีท้าวสักกะเปนต้น ก็ให้สาธุการโปรยปรายดอกไม้ทิพย์ทำสักการบูชา มหาชนทั้งหลายก็ให้สาธุการอีกเปนอันมาก

ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อจะวิสัชนาปัญหาที่สี่ จึงกล่าวคาถาว่า

เย อทฺธกุเล ชาตาปิ สทฺธาย ทานํ ททนฺติ
สีลํ รกฺขนฺติ ภาวนํ ปญฺจเวรํ ปชหนฺติ
เต คจฺฉนฺติ สคฺคโลกํ โชติ ปรสฺมินฺติ วุจฺจติ ฯ

แปลว่า ชนพวกใดเกิดแล้วในตระกูลอันมั่งคั่ง แลให้ทานด้วยศรัทธา รักษาศีลเจริญภาวนา ละเสียซึ่งเวรทั้งห้า ชนทั้งหลายนั้นเรียกว่า รุ่งเรืองในโลกหน้า

เมื่อพระโพธิสัตว์วิสัชนาปัญหาสี่ข้อจบลงแล้ว เทพดาทั้งหลาย มีท้าวสักกะเปนประธาน ก็โปรยปรายทิพยรัตนบุปผาทำสักการบูชาแลให้สาธุการ มหาชนทั้งหลาย มีพราหมณ์ คฤหบดี แลอำมาตย์เปนต้น ก็บูชาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง แลทำสาธุการด้วยเสียงสนั่นหวั่นไหว ท้าวสหัสนัยน์จึงโยนลูกคลีตีไปในอากาศพระโพธิสัตว์ก็รับตีตอบมา ท้าวสักกะก็ตีตอบไปอีก พระโพธิสัตว์ก็ตีตอบมา เล่นอยู่สักครู่หนึ่ง สมเด็จท้าวสักกะก็อันตรธานหายไป พระโพธิสัตว์ก็กลับลงมาจากอากาศ เข้าไปนั่งอยู่ใกล้ราชอาสน์พระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตร์เห็นสุวรรณสิรสากุมารมีรูปกายผ่องใสดังเนื้อทอง ก็ทรงเลื่อมใสโสมนัส เสด็จลุกจากอาสน์ สวมกอดพระโพธิสัตว์ จูบเศียร ให้นั่งบนบัลลังก์ ทรงจับพระเต้าทอง ทรงหลั่งน้ำบนหัตถ์พระโพธิสัตว์เจ้า แล้วพระราชทานราชสมบัติทั้งสิ้น ทรงอภิเษกพระโพธิสัตว์กับนางสุวรรณคันธาในราชสมบัติ ตั้งให้นางสุวรรณคันธาเปนใหญ่กว่านางนักสนมนาฏกิตถีทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ก็ได้พระนามว่า สุวรรณสิรสาบรมกษัตริย์ ปรากฎพระนามทั่วไปในสกลชมพูทวีปจำเดิมแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์ก็ให้ตั้งศาลาโรงทาน ๖ แห่งพระราชทานแก่ยาจกวณิพกคนกำพร้าอนาถา ทรงบำเพ็ญบุญทั้งหลายมีทานเปนต้น สิ้นพระชนม์แล้วก็ไปเกิดในดุสิตเทวโลก

สตฺถา อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงนำธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะได้เปนมนุษย์อัศจรรย์แต่ในชาตินี้หามิได้ ถึงในชาติก่อนก็เปนมนุษย์อัศจรรย์มาแล้ว ตรัสแล้วจึงทรงประกาศอริยสัจ ๔ ประการ จบแล้วจึงประชุมชาดกว่า พระเจ้าพรหมทัตกลับชาติมา คือ พระสารีบุตร นนทเสนาบดี คือ พระโมคคลา ท้าวสักกะ คือ พระอนุรุทธ บิดามารดา คือ มหาราชตระกูล นายสำเภา คือ พระอานนท์ พญานาค คือ พระกัสสป นางปัญจปาปีนาค คือ นางวิสาขา นางปทาริกา คือ นางเขมา นางพิมพาเทวี คือ นางโคตมี นางสุวรรณา คือ นางอุบลวรรณาภิกษุณี นางสุรรรณจันทา คือ นางชนบทกัลยาณี นางสุวรรณคันธา คือ มารดาราหุล พระเจ้าสุวรรณสิรสา คือ เราผู้เปนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล

จบสุวรรณสิรสาชาดก