พระธรรมนูญศาลยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก 127
- หมวดที่ ๑
- ว่าด้วยศาลยุติธรรม
มาตรา๑พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระธรรมนูญศาลยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศ๔ก๑ ๑๒๗ ให้ใช้ได้แต่ในส่วนศาลที่ได้บ่งนามไว้ในพระราชบัญญัตินี้
มาตรา๒ในกระทรวงยุติธรรม ให้มีเสนาบดีเปนประธาน เพื่อจะได้บังคับแลแก้ไขการขัดข้องในคดีแลรับผิดชอบให้การพิจารณาแลพิพากษาเปนไปโดยสดวกแลเปนยุติธรรม มีหน้าที่แพนกหนึ่งต่างหากจากการพิจารณาแลพิพากษาคดีนั้น แลให้มีเจ้าพนักงานสำหรับกระทรวงตามสมควร แลการที่จะตั้งหรือจะเลื่อนจะเปลี่ยนผู้พิพากษาศาลยุติธรรมเปนหน้าที่ของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะต้องนำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา
มาตรา๓สรรพคดีทั้งปวงซึ่งตามกฎหมายเดิมได้พิจารณาอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ แลมีชื่อศาลต่าง ๆ คือ ศาลนครบาล ๑ ศาลแพ่งเกษม ๑ ศาลแพ่งกลาง ๑ ศาลอาญานอก ๑ ศาลอุทธรณ์กรมมหาดไทย ๑ ศาลกรมนา ๑ ศาลกรมท่าซ้าย ๑ ศาลกรมท่าขวา ๑ ศาลคดีต่างประเทศ ๑ ศาลราชตระกูล ๑ ศาลมรฎก ๑ ศาลสรรพากร ๑ ศาลธรรมการ ๑ รวมทั้งศาลฎีกาด้วย เปน ๑๕ ศาล กับศาลฝ่ายพระราชวังบวรที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ได้พิจารณาคดีทั้งปวง แลขึ้นอยู่แก่อธิบดีกรมต่าง ๆ นั้น ให้ยกคดีเหล่านี้ กับผู้พิจารณาตระลาการในกระทรวงแลศาลทั้งปวง มารวมยังศาลสถิตย์ยุติธรรมที่ได้ตั้งขึ้นเปนกระทรวงใหญ่ได้บังคับบัญชาเปนแห่งเดียวกัน
มาตรา๔ศาลทั้งปวงซึ่งตามธรรมเนียมเดิมมีชื่อต่าง ๆ ดังที่ว่าไว้ในมาตรา ๓ นั้น ให้ยกเลิกเสีย คงให้แบ่งศาลทั้งปวงเปนศาลฎีกาแพนก ๑ รับผิดชอบต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลที่ขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรมอีก ๒ แพนก คือ ศาลสถิตย์ยุติธรรมกรุงเทพฯ แพนกหนึ่ง ศาลหัวเมืองแพนกหนึ่ง ส่วนศาลหัวเมืองนั้นให้เปนไปตามความในพระธรรมนูญศาลหัวเมือง ส่วนศาลในกรุงเทพฯ ให้แบ่งเปน ๕ ศาล คือ ศาลอุทธรณ์ ๑ ศาลพระราชอาญา ๑ ศาลแพ่ง ๑ ศาลต่างประเทศ ๑ ศาลโปริสภา ๑ รวมเปน ๕ ศาลเท่านั้น
มาตรา๕คดีทั้งปวงที่ราษฎรจะทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาได้ คือ ในการกล่าวโทษหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่าง ๑ หรือกล่าวโทษเสนาบดีเจ้ากระทรวงทั้งปวงในข้อที่เกี่ยวด้วยหน้าที่ราชการซึ่งห้ามไม่ให้ฟ้องร้องยังโรงศาลได้อย่าง ๑ ก็ให้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาในข้อความร้องทุกข์นั้น
- หมวดที่ ๒
- ว่าด้วยศาลฎีกา
มาตรา๖ศาลฎีกาซึ่งได้ตั้งขึ้นโดยพระบรมราชานุญาตนั้น ให้เปนศาลสูงสุดในการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง จะมีกรรมการกี่คนแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อกรรมการประชุมพร้อมกันไม่น้อยกว่า ๓ จึงเปนองค์คณะตรวจตัดสินฎีกาได้ แลถ้าความเรื่องใดมีปัญหาด้วยข้อกฎหมาย หรือมีข้อสงไสยอันใดในกระบวนพิจารณาพิพากษา แลกรรมการศาลฎีกาเห็นสมควรที่จะนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย ก็ให้ศาลฎีกามีอำนาจนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาได้ก่อนพิพากษาคดีนั้น ๆ
มาตรา๗คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วในคดีเรื่องใด ห้ามไม่ให้คู่ความทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาชั้นที่ ๒ อีก
- หมวดที่ ๓
- ว่าด้วยอำนาจศาลแลผู้พิพากษา
- ในศาลสถิตย์ยุติธรรมกรุงเทพฯ
มาตรา๘ให้ศาลอุทธรณ์ในกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาแลพิพากษาคดีได้ตามข้อความที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาซึ่งเกี่ยวด้วยศาลอุทธรณ์ทุกประการ
มาตรา๙ผู้พิพากษาซึ่งจะพิจารณาแลพิพากษาคดีชั้นอุทธรณ์นี้ ให้มีจำนวนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป จึงจะเปนองค์คณะได้
มาตรา๑๐ให้ศาลพระราชอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาแลพิพากษาคดีอาญาทั่วไปตลอดพระราชอาณาเขตร์ตามข้อความที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาซึ่งเกี่ยวด้วยศาลพระราชอาญาทุกประการ
มาตรา๑๑ให้ศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาแลพิพากษาคดีแพ่งทั่วไปตลอดพระราชอาณาเขตร์ตามข้อความที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาซึ่งเกี่ยวด้วยศาลแพ่งทุกประการ
มาตรา๑๒ให้ศาลต่างประเทศมีอำนาจพิจารณาแลพิพากษาคดีทั้งปวง เมื่อคนในบังคับต่างประเทศซึ่งมีสัญญาทางพระราชไมตรีพิเศษเปนคู่ความ ตามข้อกำหนดที่ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาสำหรับศาลแพ่งแลศาลอาญาทุกประการ แลตามที่เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะกำหนดให้เปนครั้งคราวเฉภาะคดีนั้น ๆ ด้วย
มาตรา๑๓ผู้พิพากษาซึ่งจะพิจารณาคดีทั้งปวงในศาลพระราชอาญา ศาลแพ่ง ศาลต่างประเทศ ทั้งสามศาล ตามมาตรา ๑๐, ๑๑, มาตรา ๑๒, ให้มีจำนวนตั้งแต่สองคนขึ้นไป จึงจะเปนองค์คณะ แต่ถ้านั่งพิจารณาคนเดียวแล้ว ให้มีอำนาจพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองซึ่งได้ลำดับชั้นผู้พิพากษาไว้ในการพิพากษาคดีทั้งปวง
มาตรา๑๔ให้ศาลโปริสภามีอำนาจพิจารณาพิพากษาความในจังหวัดกรุงเทพฯ ตามที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาซึ่งเปนความมะโนสาเร่ทุกประการ แลมีอำนาจไต่สวนความอาญาที่ศาลทั้งหลายในพระธรรมนูญนี้ชำระได้
มาตรา๑๕ศาลโปริสภาจะควรมีกี่ศาลแลกำหนดเขตร์อย่างไร ให้แล้วแต่เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะกำหนดเปนครั้งคราว แลผู้พิพากษาประจำศาลโปริสภานั้น ให้มีตั้งแต่คนหนึ่งขึ้นไปในศาลหนึ่งก็เปนองค์คณะได้
- หมวดที่ ๔
- ว่าด้วยศาลหัวเมือง
มาตรา๑๖พระธรรมนูญศาลหัวเมืองนี้ ให้ใช้ได้ในหัวเมืองมณฑลกรุงเทพฯ แลในมณฑลกรุงเก่า มณฑลจันทบุรี มณฑลชุมพร มณฑลนครไชยศรี มณฑลนครราชสีมา มณฑลนครสวรรค์ มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลปาจิณบุรี มณฑลพายัพ มณฑลพิศณุโลก มณฑลภูเก็ต มณฑลราชบุรี แลในมณฑลหรือเมืองอื่นเมื่อเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะได้รับพระบรมราชานุญาตประกาศให้ใช้
มาตรา๑๗นอกจากศาลพิเศษซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเฉภาะแก่พระราชบัญญัติหรือราชการอย่างใดในหัวเมืองนั้น ให้มีศาลประจำสำหรับพิจารณาคดีตามหัวเมืองเปนสามชั้นโดยลำดับกันดังนี้ คือ
๑ศาลมณฑล
๒ศาลเมือง
๓ศาลแขวง
แลศาลพิเศษซึ่งจะตั้งขึ้นในมณฑลเปนครั้งเปนคราว
มาตรา๑๘ศาลประจำทั้งสามชั้นนี้จะควรตั้งณที่ใด ๆ ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมพิเคราะห์ดูตามสมควรแก่ราชการแล้วกราบบังคมทูลพระกรุณา เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแลได้ประกาศแก่มหาชนให้ทราบแล้ว ก็ให้ตั้งได้
มาตรา๑๙ศาลมณฑลต้องมีผู้พิพากษาประจำตำแหน่งคณะหนึ่ง คือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑล กับผู้พิพากษาอื่นอีก รวมกันทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าสองนาย จึงจะเปนองค์คณะที่จะพิจารณาแลพิพากษาคดีได้เต็มอำนาจศาล ศาลเมืองก็ต้องมีผู้พิพากษาคณะหนึ่ง คือ ผู้พิพากษาศาลเมือง กับผู้พิพากษาอื่น รวมกันไม่ต่ำกว่าสองนาย จึงจะเปนองค์คณะแลพิจารณาพิพากษาคดีได้เต็มอำนาจศาลเมือง แต่ศาลแขวงนั้นมีตำแหน่งผู้พิพากษาแต่ศาลละนาย
เมื่อผู้พิพากษาไม่สามารถจะนั่งพิจารณาความให้ครบคณะได้ เช่น ผู้พิพากษาบางคนป่วย หรือลา หรือนั่งไม่ได้เพราะเกี่ยวข้องกับคดีเรื่องนั้น เปนต้น ก็ให้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณานั้นมีอำนาจเชิญข้าราชการชั้นสัญญาบัตร์คนใดคนหนึ่งมานั่งเปนสำรองผู้พิพากษาเพื่อให้ครบคณะได้ แต่การที่จะทำดังนี้ต้องทำเมื่อเปนการด่วน แลเปนการจำเปนต้องหมายเหตุไว้ในคดีนั้นด้วย
เมื่อผู้พิพากษาได้เชิญคนอื่นมานั่งพิจารณาคดีด้วยดังที่ว่ามาข้างบนนั้นแล้ว ต้องให้รายงานเข้ามาขออนุญาตต่อเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมโดยทันที แลในระหว่างที่ยังไม่ได้รับตอบ ไม่ต้องรอการพิจารณาไว้คอย ถ้าภายหลังได้รับอนุญาตจากเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม การสิ่งใดที่ศาลทำไปแล้วก็ใช้ได้ แต่ถ้าเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมไม่อนุญาตแล้ว คดีเรื่องนั้นต้องตั้งต้นพิจารณาใหม่
มาตรา๒๐ศาลมณฑลบังคับคดีได้ตามอำนาจศาลตลอดเขตร์มณฑลเทศาภิบาลซึ่งตั้งศาลนั้น ศาลเมืองบังคับคดีตามอำนาจได้แต่ในเขตร์เมืองที่ตั้งศาล แลศาลแขวงบังคับคดีตามอำนาจได้แต่ในท้องที่ซึ่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะกำหนดแขวงให้ว่ากล่าวมากน้อยเท่าใดก็ได้
- หมวดที่ ๕
- ว่าด้วยอำนาจผู้พิพากษาศาลหัวเมือง
มาตรา๒๑ผู้พิพากษาสำหรับพิจารณาแลพิพากษาคดีตามหัวเมืองมีตำแหน่งโดยลำดับกันเปน ๒ ชั้น คือ
ผู้พิพากษาชั้นที่ ๑
ผู้พิพากษาชั้นที่ ๒
มาตรา๒๒ผู้พิพากษาชั้นที่ ๒ มีอำนาจดังนี้ คือ
ข้อ๑ที่จะออกหมายหรือสั่งให้จับได้
ข้อ๒ที่จะบังคับส่งตัวคนไปต่างแขวง
ข้อ๓ที่จะออกหมายหรือมีคำสั่งให้ค้นของกลาง
ข้อ๔ที่จะออกหมายเรียกคู่ความแลพยานในคดีซึ่งมีอำนาจที่จะพิจารณาได้
ข้อ๕ที่จะไต่สวนคดีมีโทษหลวง
ข้อ๖ที่จะพิจารณาพิพากษาคดีมีโทษหลวงชั้นลหุโทษเพียงอาญาจำไม่เกินเดือนหนึ่ง หรือปรับไหมไม่เกินสองร้อยบาท หรือโบยเด็กด้วยไม้เรียวไม่เกินยี่สิบที
ข้อ๗ที่จะพิจารณาพิพากษาความแพ่งซึ่งทุนทรัพย์หรือเบี้ยปรับไม่เกินสองร้อยบาท
มาตรา๒๓ผู้พิพากษาชั้นที่ ๑ มีอำนาจดังนี้ คือ
ข้อ๑บรรดาอำนาจที่มีในผู้พิพากษาชั้นที่ ๒ ก็ทำได้
ข้อ๒ที่จะพิจารณาแลพิพากษาคดีมีโทษหลวงที่อาญาจำไม่เกินหกเดือนหรือเบี้ยปรับไม่เกินพันบาท
ข้อ๓ที่จะพิจารณาแลพิพากษาความแพ่งซึ่งทุนทรัพย์หรือเบี้ยปรับไม่เกินพันบาท
มาตรา๒๔ผู้พิพากษาจะมีอำนาจตามที่ได้ว่ามานี้เฉภาะแต่เมื่อได้อยู่ในตำแหน่งได้บังคับคดีในศาลใด ๆ
- หมวดที่ ๖
- ว่าด้วยอำนาจศาลหัวเมือง
มาตรา๒๕ศาลแขวงมีอำนาจที่จะพิจารณาแลพิพากษาคดีเพียงเท่าอำนาจในตำแหน่งของผู้พิพากษานั้นหรือต่ำกว่านั้นตามแต่เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะกำหนดให้ว่า
มาตรา๒๖ศาลเมืองมีอำนาจดังนี้ คือ
ข้อ๑ถ้าคดีที่มาถึงศาลเมืองไม่เกินอำนาจในตำแหน่งผู้พิพากษา ผู้พิพากษาในศาลเมืองจะแยกกันพิจารณาแลพิพากษาคดีที่อยู่ในกำหนดอำนาจตำแหน่งของตนเรื่องละคนก็ได้
ข้อ๒ถ้าคดีที่มาถึงศาลเมืองเกินกว่าอำนาจในตำแหน่งผู้พิพากษา ก็ให้ผู้พิพากษาศาลเมืองรวมเปนคณะพร้อมกันมีอำนาจที่จะพิจารณาแลพิพากษาคดีโดยกำหนดดังนี้ คือ
ประการ๑ความแพ่งทุนทรัพย์ไม่เกินหมื่นบาท
ประการ๒ความมีโทษหลวงโดยกำหนดโทษเหล่านี้ คือ
สฐาน๑จำไม่เกินสิบปี
สฐาน๒เฆี่ยนไม่เกินสามสิบที
สฐาน๓ปรับไม่เกินหมื่นบาท
มาตรา๒๗ศาลมณฑลมีอำนาจดังนี้ คือ
ข้อ๑ที่จะพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวงได้ทุกบทกฎหมาย
ข้อ๒ที่จะพิจารณาพิพากษาความอุทธรณ์ศาลต่ำในมณฑลนั้นตามที่เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมจะกำหนดให้
- หมวดที่ ๗
- ว่าด้วยข้าหลวงพิเศษ
มาตรา๒๘ข้าหลวงพิเศษจัดการศาลยุติธรรมในหัวเมืองนั้น คือ
๑ผู้ที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เปนข้าหลวงพิเศษ
๒ผู้เปนตำแหน่งข้าหลวงสำเร็จราชการมณฑล
๓ผู้ว่าราชการเมืองที่เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจตั้งได้ในมณฑลละคนหนึ่ง
ข้าหลวงพิเศษซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งนั้น มีอำนาจทั่วทุกหัวเมือง
ข้าหลวงพิเศษที่เปนเทศาภิบาลแลที่เปนผู้ว่าราชการเมืองมีอำนาจเฉภาะแต่ในมณฑลนั้น
มาตรา๒๙ข้าหลวงพิเศษทั้ง ๓ อย่างตามในมาตรา ๒๘ นั้น มีอำนาจพิจารณาแลพิพากษาความได้ทุกชนิด แลข้าหลวงพิเศษที่ทรงพระกรุณาโปรดตั้ง มีอำนาจพิจารณาแลพิพากษาความได้ในทุกหัวเมือง แต่ข้าหลวงพิเศษที่เปนเทศาภิบาลแลที่เปนผู้ว่าราชการเมือง มีอำนาจพิจารณาแลพิพากษาความได้เฉภาะในมณฑลนั้น
เมื่อข้าหลวงพิเศษผู้ใดผู้หนึ่งดังที่กล่าวมาแล้วได้พิพากษาคดีเรื่องหนึ่งเรื่องใดไป คู่ความอุทธรณ์ไม่ได้ ต้องทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาทีเดียว
- หมวดที่ ๘
- ว่าด้วยอำนาจบังคับบัญชา
มาตรา๓๐ผู้พิพากษาซึ่งเปนอธิบดีหรือเปนประธานในศาลใดเปนผู้รับผิดชอบที่จะรักษาบรรดาการในศาลนั้นให้เรียบร้อยถูกต้องตามแบบแผน แลมีอำนาจที่จะตั้ง จะผลัดเปลี่ยน แลบังคับบัญชาพนักงานในศาลนั้นได้ทุกตำแหน่งมาตรา๓๑ผู้พิพากษาที่เปนผู้รับผิดชอบดังที่ได้กล่าวมาในมาตรา ๓๐ มีหน้าที่ดังนี้อีก คือ
ข้อ๑ที่ตรวจตราตักเตือนให้การในศาลที่อยู่ในบังคับเปนไปโดยเรียบร้อย
ข้อ๒เปนที่หาฤๅความขัดข้องของผู้พิพากษาอื่น
ข้อ๓ที่จะเรียกรายงานการคดีแลการศาลที่อยู่ในบังคับ
ข้อ๔ที่จะปฤกษาหาฤๅด้วยเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในการที่จะจัดแลรักษาการศาลให้เรียบร้อย
ข้อ๕ที่จะทำรายงานการคดีส่งมาตามระเบียบ
มาตรา๑๒ข้าหลวงพิเศษจัดการศาลหัวเมืองมีอำนาจบังคับผู้พิพากษาในหัวเมืองเรื่องการจัดศาลแลการพิจารณาพิพากษาคดี เมื่อผู้พิพากษาเห็นสมควรแล้ว มีอำนาจขอให้ข้าหลวงพิเศษออกคำสั่งนั้นเปนลายลักษณ์อักษรเซ็นชื่อข้าหลวงพิเศษนั้น ๆ ได้
คำสั่งของข้าหลวงพิเศษดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจยกถอนได้
- หมวดที่ ๙
- ว่าด้วยอัยการ
มาตรา๓๓ให้มีอัยการไว้สำหรับเปนทนายแผ่นดินแทนรัฐบาลในศาลทั้งปวง กรมอัยการในกรุงเทพมหานครให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรม อัยการหัวเมืองให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงเจ้าหน้าที่ซึ่งรักษาราชการเมืองแลมณฑลนั้น
มาตรา๓๔วิธีตั้งพนักงานอัยการนั้น ในกรุงเทพมหานคร ตำแหน่งเจ้ากรมแลปลัดกรมอัยการ ตั้งโดยพระบรมราชานุญาต พนักงานอัยการในกรุงเทพฯ เจ้ากรมอัยการเปนผู้จัดสรรตั้งโดยได้รับอนุมัติของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พนักงานอัยการในหัวเมืองต่าง ๆ นั้น เสนาบดีเจ้ากระทรวงที่รักษาราชการเมืองตั้งยกระบัตร์มณฑลแลยกระบัตร์เมือง ข้าหลวงสำเร็จราชการมณฑลจัดตั้งตำแหน่งพนักงานอัยการที่รองแต่ยกกระบัตร์ลงมา
มาตรา๓๕อัยการมีหน้าที่รับว่าคดีในประเภทต่อไปนี้
ข้อ๑ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่งเรื่องใดซึ่งเกี่ยวกับรัฐบาล
ข้อ๒ในคดีแพ่งแลอาญาซึ่งข้าราชการต้องถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้ทำไปในหน้าที่ซึ่งเห็นสมควรที่อัยการจะว่าต่างข้าราชการนั้น
ข้อ๓เปนโจทย์ในคดีอาญามีโทษหลวง
ข้อ๔ในคดีอาญาที่มีโจทย์ เมื่ออัยการเห็นควรจะรวมเปนโจทย์ด้วยก็ได้ หรือเมื่อโจทย์จะทิ้งคดีเสีย อัยการมีอำนาจที่จะเปนโจทย์ได้เอง
ข้อ๕ในคดีที่ศาลไต่สวนส่งมาให้ฟ้องยังศาลสูง อัยการมีอำนาจที่จะสั่งให้ศาลไต่สวนฟังพยานต่อไปอีกได้ หรืออัยการจะสั่งให้ศาลไต่สวนพิจารณาพิพากษาเสียเอง ตามอำนาจมากแลน้อยของศาลไต่สวนนั้นก็ได้
ข้อ๖ในคดีที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดจะฟ้องคดีนั้นเองไม่ได้โดยกฎหมายห้าม อัยการมีอำนาจรับตรวจข้อความนั้นแล้วเปนโจทย์ได้
ข้อ๗อัยการมีอำนาจที่จะถอนฟ้องคดีที่อัยการเปนโจทย์ หรือจะไม่ฟ้องคดีที่ศาลไต่สวนส่งให้ฟ้องก็ได้ แต่อัยการต้องแจ้งความนั้นไปให้ศาลทราบ
มาตรา๓๖กองตระเวรแลตำรวจภูธรจะมีอำนาจเปนโจทย์ในศาลได้เพียงไรในคดีอาญา ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมมีอำนาจออกกฎข้อบังคับ
มาตรา๓๗ถ้ากระทรวงหนึ่งกระทรวงใดจะตั้งเจ้าพนักงานไปว่าความ ให้มีตราส่งมายังกระทรวงยุติธรรมเพื่อจะได้ส่งไปยังศาล แล้วให้ถือว่า เจ้าพนักงานผู้นั้นมีอำนาจเหมือนอัยการในความเรื่องนั้น ๚
บรรณานุกรม
[แก้ไข]- "พระธรรมนูญศาลยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก 127". (2451, 14 มิถุนายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 25, ฉบับพิเศษ. หน้า 328–329.
งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า
- "มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
- (1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
- (2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
- (3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
- (4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
- (5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"