หน้า:ปัญญาส (๑๖) - ๒๔๗๑.pdf/6

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
3
๕๐ พากุลชาดก

มีอายุได้ ๔๐ ปี เปนผู้ยากจนลงโดยลำดับ ๆ มา ทีนั้น บิดาที่ไปเปนพระอินทร์จึงนึกขึ้นมาถึงเศรษฐีที่เปนบุตรว่า บุตรของเราที่อยู่ในมนุษย์โลกเปนอย่างไรหนอ ครั้นพิจารณาไปก็รู้ว่า บุตรนั้นยากจนลง จึงดำริห์เห็นว่า บุตรของเราผู้นี้จะดำรงวงศ์ตระกูลไว้ไม่ได้ ตระกูลของเราก็จะเสื่อมสูญเสีย อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องปลูกหน่อตระกูลของเราขึ้นให้สืบต่อประเวณีเชื้อสายของตระกูลต่อไป ครั้นดำริห์ดังนี้แล้ว จึงพิจารณาเลือกหาผู้ที่มีบุญญาธิการ ก็ได้เห็นพระโพธิสัตว์ผู้จะสิ้นอายุสังขารจุติอยู่แล้ว จึงไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์นั้น ยืนแทบประตูวิมานแล้วกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เนียรทุกข์ ตัวท่านจะสิ้นอายุจุติจากภพนี้แล้ว ขอท่านจงได้ไปเกิดในครรภ์ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีนั้นเทอญ

พระโพธิสัตว์นั้นรับคำเชื้อเชิญของท้าวสักกเทวราชแล้ว ครั้นเวลามัชฌิมยามกึ่งราตรี ก็จุติจากดาวดึงสเทวพิภพลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐี

ในเวลากึ่งแห่งราตรีที่พระโพธิสัตว์ปฏิสนธินั้น ภรรยาของโภควุฒิเศรษฐีได้เห็นสุบินนิมิตว่า มีต้นจำปาต้นหนึ่งประดิษฐานเอารากหยั่งลงในอ่างทองทั้งสองอันตั้งอยู่โดยลำดับกันในท่ามกลางเรือน เมื่อกาลล่วงไปได้ ๑๐ ปี อ่างทองใบที่หนึ่งก็แตกทำลาย ฝ่ายอ่างทองใบที่สองนั้น ครั้นกาลล่วงไปได้ ๑๕ ปี ก็แตกทำลายอีก แต่ต้นจำปานั้นทลึ่งสูงขึ้นไปในอากาศ แล้วกลับลงมาประดิษฐานอยู่ณท่ามกลางพระนคร มีกิ่งแลใบวรรณสัณฐานแลดอกอันงามวิจิตรยิ่งนัก ครั้น