หน้า:ปัญญาส (๑๙) - ๒๔๗๑.pdf/39

จาก วิกิซอร์ซ
หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
26
ปัญญาสชาดก

ถ้าเราจักสรงน้ำราชาภิเษกไซร้ มหาชนเห็นร่างกายของเราเป็นสีทองแล้ว ก็จักรู้ว่าเรามีบุญสมภารมาก ดำริแล้วก็มิได้สรงน้ำราชาภิเษก ถึงพระราชาจะอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่สรง พระราชาทรงกริ้วยกใหญ่ จึ่งขับไล่สองกษัตริย์นั้นไปเสีย

คราวนั้น พระนางคันธาเทวีกับพระโพธิสัตว์ไม่อาจขัดรับสั่งพระราชาได้ ชวนกันออกไปจากนคร หาทาสและทาสีที่จะตามไปบมิได้ ไปอาศัยที่แห่งหนึ่งอยู่ส่วนหนึ่งต่างหาก พระโพธิสัตว์กับนางคันธาเทวี เมื่ออยู่ในที่นั้น ชาวเมืองทั้งหลายไม่มีใครไปหาเลย พระสุวรรณสังขกุมารกับนางคันธาเทวีอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น เหมือนมนุษย์ผู้อนาถาหาที่พึ่งมิได้

คราวนั้น ภัศดาของราชธิดาทั้งหกพากันติเตียนด้วยเหตึต่าง ๆ ว่า บุรุษผู้นี้รูปร่างชั่วช้าลามก ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของมหาชน ทำความครหาให้เกิดขึ้นแก่พวกเรา ท้าวสามนตราชทั้งหลายพากันนำดอกไม้เงินทองมาถวายพระราชาของเรา เขาเห็นบุรุษทุรพลคนนี้เข้า เขาจักติเตียนได้ กิตติศัพท์ก็จักระบือไปต่าง ๆ แม้พระนครก็จักถึงความพินาศไป พากันติเตียนดังนี้แล้ว ก็ชวนกันไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ผัวของนางคันธาเทวีรูปชั่วช้าลามก ไม่เหมือนคนเมืองนี้เลย (เป็นกาฬกิณี) แม้พระนครจักถึงความพินาศไปเพราะผัวนางคันธาเทวี

พระเจ้ากรุงพาราณสีทรงสะดับดังนั้น จึ่งตรัสว่า พ่อเขยทั้งหก เราจักคิดทำอย่างไรกะเจ้าบุรุษรูปพิกลผัวลูกสาวเรา ฯ ข้าแต่พระองค์