หรือมีอยู่ในสินค้า (วาเลอร์ แอ็งแทร็งแซ็ก) จึงเป็นคำที่ขัดแย้งกันเอง[1] เราลองพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้
สินค้าอย่างหนึ่ง ข้าวสาลีหนึ่งควาร์เทอร์เป็นต้น แลกกับยาขัดรองเท้าได้ หรือผ้าไหมได้ หรือทองคำได้ ฯลฯ กล่าวคือสินค้าอื่นในอัตราส่วนสุดหลากหลาย ข้าวสาลีจึงมีมูลค่าแลกเปลี่ยนนานัปการแทนเพียงหนึ่งเดียว แต่เพราะยาขัดรองเท้า และผ้าไหม และทองคำ ฯลฯ เป็นมูลค่าแลกเปลี่ยนของข้าวสาลีหนึ่งควาร์เทอร์ ยาขัดรองเท้า ผ้าไหม ทองคำ ฯลฯ ต้องทดแทนกันได้หรือเป็นมูลค่าแลกเปลี่ยนที่ขนาดเท่ากัน ในขั้นแรกจึงแปลว่า มูลค่าแลกเปลี่ยนที่ถูกต้องต่าง ๆ ของสินค้าอย่างหนึ่งแสดงออกสิ่งที่เท่ากัน ในขั้นที่สองทว่า มูลค่าแลกเปลี่ยนอย่างใดก็เป็นได้เพียงวิถีการแสดงออก เพียง „รูปปรากฏ“ ของเนื้อหาที่แยกแยะออกมาได้
อนึ่ง เอาสินค้าสองอย่าง เช่นข้าวสาลีกับเหล็ก ไม่ว่ามีอัตราส่วนแลกเปลี่ยนเท่าใดก็สามารถแสดงเป็นสมการได้เสมอ โดยจับข้าวสาลีปริมาณหนึ่งมาเท่ากับเหล็กอีกปริมาณหนึ่ง อาทิข้าวสาลี 1 ควาร์เทอร์ เหล็ก เซ็นท์เนอร์ สมการนี้บอกอะไร? ว่ามีสิ่งหนึ่งร่วมกันที่มีขนาดเท่ากันอยู่ในของสองอย่างที่ต่างกัน ในข้าวสาลี 1 ควาร์เทอร์และเช่นกันในเหล็ก เซ็นท์เนอร์ ดังนั้น ทั้งสองอย่างเท่ากับสิ่งที่สาม ซึ่งในและโดยตัวเองไม่ใช่ทั้งอย่างหนึ่งหรืออีกอย่าง ทั้งสอง ตราบเป็นมูลค่าใช้สอย จึงต้องสามารถลดทอนเป็นสิ่งที่สามได้
ตัวอย่างเรขาคณิตง่าย ๆ จะทำให้กระจ่าง ในการหาและเปรียบเทียบพื้นที่ของรูปหลายเหลี่ยม เราจะแบ่งมันออกเป็นสามเหลี่ยมหลาย ๆ รูป แล้วเราจะลดทอนสามเหลี่ยมอีกกลายเป็นนิพจน์ที่ต่างไปจากรูปที่เรามองเห็นโดยสิ้นเชิง —— ครึ่งหนึ่งของฐานคูณสูง ในทางเดียวกัน เราจะลดทอนมูลค่าแลกเปลี่ยนของสินค้ากลายเป็นสิ่งที่มีร่วมกัน ซึ่งแสดงถึงความมากกว่าหรือน้อยกว่า
สิ่งที่มีร่วมกันนี้ไม่สามารถเป็นสมบัติทางเรขาคณิต กายภาพ เคมี หรือธรรมชาติอื่นใดของสินค้า สมบัติทางกายเป็นที่พิจารณาในฐานะที่ทำให้มีประโยชน์และเป็นมูลค่าใช้สอยเท่านั้น ในอีกด้านหนึ่ง การเพิกจากมูลค่าใช้สอยนั่นเอง
- ↑ „ไม่มีสิ่งใดมีค่าในตัวได้“ (นิโคลัส บาร์บอน เล่มเดิม หน้า 16) หรือตามที่บัตเลอร์กล่าว:„ค่าของสิ่งหนึ่ง
เท่ากับที่มันจะพามา“