คือคุณลักษณะซึ่งประจักษ์ชัดในความสัมพันธ์ของการแลกเปลี่ยนสินค้า คือจะใช้มูลค่าใช้สอยใดก็ได้ต่อเมื่ออยู่ในอัตราส่วนที่ถูกต้อง หรือตามที่เฒ่าบาร์บอนกล่าวไว้ว่า: „สินค้าชนิดหนึ่งดีพอ ๆ กับชนิดอื่น หากมีมูลค่าแลกเปลี่ยนเท่ากัน สิ่งใดที่มีมูลค่าแลกเปลี่ยนเท่ากันก็ไม่แตกต่างกันและแยกแยะไม่ออก“[1] ในฐานะมูลค่าใช้สอย เหนือสิ่งอื่นใด สินค้าแตกต่างกันในเชิงคุณภาพ แต่ในฐานะมูลค่าแลกเปลี่ยน สินค้าแตกต่างกันในเชิงปริมาณเท่านั้น จึงไม่มีมูลค่าใช้สอยอยู่แม้อะตอมเดียว
เมื่อเราเพิกเฉยต่อมูลค่าใช้สอยของกายสินค้า ก็เหลืออยู่สมบัติเดียว คือการเป็นผลผลิตของแรงงาน อย่างไรก็ดี ผลผลิตของแรงงานในมือเราก็แปรสภาพแล้ว ถ้าเราเพิกจากมูลค่าใช้สอย เช่นเดียวกันเราเพิกจากส่วนประกอบและรูปกายที่ทำให้เป็นมูลค่าใช้สอย ไม่ใช่โต๊ะ หรือบ้าน หรือด้าย หรือสิ่งที่มีประโยชน์ใด ๆ อีกต่อไป โลกิยสังขารทั้งสิ้นดับสลาย ไม่ได้เป็นผลผลิตของแรงงานช่างไม้ แรงงานก่อสร้าง แรงงานทอผ้า หรือแรงงานการผลิตชนิดใดชนิดหนึ่งอีกต่อไป คุณลักษณะอันมีประโยชน์ของผลผลิตแรงงานหายไปพร้อม ๆ กับคุณลักษณะอันมีประโยชน์ของแรงงานซึ่งแสดงออกมาในสิ่งเหล่านั้น รูปแบบของแรงงานที่แตกต่างกันทางรูปธรรมจึงหายไปด้วย ไม่แยกแยะกันอีกต่อไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลลดทอนกลายเป็นแรงงานมนุษย์ที่เท่ากัน แรงงานมนุษย์นามธรรม
เราลองพิจารณาว่าผลผลิตแรงงานมีอะไรหลงเหลืออยู่ ไม่เหลืออะไรแล้ว เว้นเสียแต่วัตถุภาวะที่เหมือนผี เป็นเพียงวุ้นของแรงงานมนุษย์ที่ไม่แตกต่างกัน การใช้พลังแรงงานของมนุษย์โดยไม่คำนึงว่าใช้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เพียงแสดงว่าพลังแรงงานมนุษย์ถูกใช้ไปและแรงงานมนุษย์ทับถมกันในการผลิตมัน ในฐานะผลึกของแก่นสารทางสังคมที่มีร่วมกัน มันคือมูลค่า —— มูลค่าสินค้า
ในความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนสินค้าเอง มูลค่าแลกเปลี่ยนปรากฏต่อเราเหมือนจะเป็นอิสระจากมูลค่าใช้สอยเสียทีเดียว
- ↑ „สินค้าชนิดหนึ่งดีพอ ๆ กับชนิดอื่น หากมีค่าเท่ากัน ไม่มีความแตกต่างหรือการแยกแยะระหว่างสิ่งที่มีค่าเท่ากัน … ดีบุกหรือเหล็กราคาหนึ่งร้อยปอนด์มีค่ามากพอ ๆ กับเงินและทองคำราคาหนึ่งร้อยปอนด์“ (นิโคลัส บาร์บอน เล่มเดิม หน้า 58 และ 7.)