อธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี

จาก วิกิซอร์ซ
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
อธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดิน
ครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี
พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ
ทรงพระนิพนธ์
มหาอำมาตย์ตรี พระยาภรตราชา
พิมพ์ช่วยในการพระราชทานเพลิงศพ
คุณหญิงทองย้อย เสนีณรงค์ฤทธิ์ จจ.
เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
ตราของหอพระสมุดวชิรญาณ
อธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดิน
ครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี
พระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ
ทรงพระนิพนธ์
มหาอำมาตย์ตรี พระยาภรดราชา
พิมพ์ช่วยในการพระราชทานเพลิงศพ
คุณหญิงทองย้อย เสนีณรงค์ฤทธิ์ จจ.
เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

คำนำ

ในการศพคุณหญิงทองย้อย เสนีณรงค์ฤทธิ์ จจ. มหาอำมาตย์ตรี พระยาภรตราชา ผู้เปนมิตรสหายในตระกูล มีความประสงค์จะพิมพ์หนังสือแจกช่วยเจ้าภาพสักเรื่องหนึ่ง มอบฉันทะให้นายพันเอก พระยาเสนีณรงค์ฤทธิ์ มาขอเรื่องหนังสือในหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ข้าพเจ้าเห็นว่า เจ้าภาพจะพิมพ์หนังสือเรื่องคำให้การชาวกรุงเก่า หนังสือที่พระยาภรตราชาจะพิมพ์ช่วยสำหรับแจกในงารศพเดียวกัน ถ้าเปนเรื่องเนื่องด้วยกรุงศรีอยุธยาให้เข้าชุดกัน ก็เห็นจะดี นึกได้ถึงอธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานีซึ่งข้าพเจ้าได้แต่งและพิมพ์ไว้ในคำอธิบายหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา อันเปนหนังสือใหญ่ เห็นจะยังไม่ทราบกันแพร่หลาย ควรจะคัดเอาฉะเพาะอธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยามาพิมพ์ออกเปนส่วนหนึ่งต่างหากได้ จึงได้คัดมาพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้ แต่ความที่กล่าว ๆ ตามอัตโนมัติของข้าพเจ้าโดยมาก อาจจะวิปลาสพลาดพลั้งได้บ้าง ขอให้ท่านทั้งหลายอ่านโดยวิจารณปัญญาด้วยเทอญ ฯ

กรรมการหอพระสมุดฯ ขออนุโมทนากุศลบุญราศีมิตรธรรมสมาทานของพระยาภรตราชาในวาระนี้ด้วย.

  • ลายมือชื่อของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สภานายก
  • หอพระสมุดวชิรญาณ
  • วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๘

อธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดิน
ครั้งกรุงศรีอยุธยา

ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา ว่า พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาแล้ว (เมื่อทำพระราชพิธีราชาภิเษก) ชีพ่อพราหมณ์ถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร เหมือนด้วยพระนามสมเด็จพระนารายณ์อวตารอันผ่านกรุงศรีอยุธยามาแต่ก่อนนั้น หนังสือเก่าทุก ๆ เรื่องบรรดาที่ได้พบ ทั้งที่แต่งในภาษาไทยและภาษามคธ ใช้พระนาม รามาธิบดี นี้เปนพระนามของพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยาทุกเรื่อง แต่สร้อยพระนามเขียนแปลก ๆ กัน ยาวบ้าง สั้นบ้าง ข้าพเจ้าคัดตามที่ได้พบในที่ต่าง ๆ มาลงไว้ต่อไปนี้

 ในกฎหมายลักษณอาญาหลวง สมเด็จพระรามาธิบดีบดินทร ศรีสุรินทรบรมมหาจักรพรรดิศร บวรธรรมิกมหาราชาธิราช ชาติหริหรินทร อินทรเดโชไชย มไหศุริยสวรรยา เทพาดิเทพตรีภูวนาถ บรมบาทบพิตร

 ในกฎหมายลักษณโจร สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสฤษฏิรักษ จักรพรรดิราชาธิราช ตรีภูวนาธิเบศร์ บรมบพิตร

 ในกฎหมายลักษณรับฟ้อง สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรจักรพรรดิราชาธิราช ราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชย เทพตรีภูวนาธิเบศร์ บรมบพิตร

 ในกฎหมายลักษณผัวเมีย สมเด็จพระรามาธิบดีศรีบรมจักรพรรดิราชาธิราช บรมบพิตร

 ในกฎหมายลักษณอาญาราษฎร์ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมจักรพัตราธิราช

 ในโองการแช่งน้ำที่พราหมณ์อ่านในพระราชพิธีศรีสัจปานการ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร บรมมหาจักรพรรดิศรราชาธิราช

พระนาม รามาธิบดี นี้ ไม่ปรากฎว่า พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดในประเทศทางนี้ได้ใช้เปนพระนามก่อนพระเจ้าอู่ทอง แต่ต่อมาภายหลัง ปรากฎในศิลาจารึกกัลยาณีที่เมืองหงสาวดีว่า พระเจ้าหงสาวดีพระองค์ที่เรียกพระนามในหนังสือราชาธิราชว่า พระเจ้าศรีสากยวงศธรรมเจดีย์ คือ พระมหาปิฎกธร นั้น ได้ใช้นาม รามาธิบดี เปนพระนามในจารึกพระองค์ ๑ พระเจ้ากรุงกัมพูชาที่ใช้นาม รามาธิบดี นี้ก็มีแต่ในสมัยภายหลังมาทั้งนั้น

เรื่องพระนามพระเจ้าแผ่นดินทั้งไทยทั้งพม่ารามัญตามที่เรียกกันแต่ก่อนมา ลัทธิของชาวประเทศทางนี้มีวิธีเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินถึง ๕ อย่างต่างกัน คือ

 พระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ

 พระนามพิเศษถวายเพิ่มพระเกียรติยศ

 พระนามที่เรียกกันในเวลาเมื่อเสด็จดำรงพระชนม์อยู่

 พระนามตามที่ปากตลาดเรียกกันเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว

 พระนามที่เรียกในราชการในเวลาเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้ว

 พระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏนั้น ตามราชประเพณีอันมีมาแต่โบราณ เมื่อจะทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ขึ้นผ่านพิภพ สมณพราหมณ์และเสนาพฤฒามาตย์ที่เปนผู้ใหญ่ในบ้านเมืองประชุมปรึกษากันถวายพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น จารึกลงในแผ่นทองถวายเมื่อทำพิธีราชาภิเษก มักเปนพระนามมีสร้อยยืดยาวมาก

 พระนามพิเศษที่ถวายเพิ่มพระเกียรติยศนั้น คือ ถ้าในแผ่นดินของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอันเปนพระเกียรติยศพิเศษ จึงถวายพระนามพิเศษเฉลิมพระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น เช่น พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดได้ช้างเผือกมาสู่พระบารมี จึงถวายพระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นว่า "พระเจ้าช้างเผือก" นี้เปนต้น ประเพณีถวายพระนามพิเศษที่ว่านี้เห็นจะมีมาเก่าแก่มาก พระเจ้าอโศกในมคธราษฐที่เรียกพระนามในหนังสือว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศก ก็ดี ที่จารึกพระนามไว้ว่า พระเจ้าปิยทัสสี ก็ดี พระเจ้าดิศผู้เปนพุทธสาสนูปถัมภกพระองค์แรกในลังกาทวีปที่ใช้พระนามในหนังสือว่า พระเจ้าเทวานัมปิยดิศ ก็ดี เหล่านี้น่าจะเปนพระนามที่ถวายพิเศษ พระนามถวายพิเศษแรกปรากฎในสยามประเทศนี้มีเมื่อพระมหาธรรมราชาลิไทยพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงพระราชศรัทธาสละราชสมบัติออกทรงผนวชคราว ๑ เมื่อลาผนวชแล้ว พระมหาสวามีสังฆราชซึ่งมาแต่ลังกาถวายพระนามว่า พระเจ้าศรีตรีภพธรณีชิตสุริยโชติมหาธรรมิกราชาธิราช ดังนี้ มาในชั้นกรุงศรีอยุธยา ข้าพเจ้าเห็นว่า พระนามพระเจ้าแผ่นดินที่เรียกในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็ดี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็ดี พระเจ้าทรงธรรม ก็ดี พระเจ้าปราสาททอง ก็ดี พระนารายณ์ ก็ดี เหล่านี้น่าจะเปนพระนามถวายพิเศษด้วยเหตุดังกล่าวต่อไปนี้ คือ

พระนาม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เห็นจะมาแต่ ศรีตรีภพธรณีชิต ที่พระมหาสวามีสังฆราชถวายแด่พระเจ้าลิไทยกรุงสุโขทัย จะถวายพระนามนี้แด่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเมื่อใดทราบไม่ได้ เห็นในบานแพนกกฎหมายตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถใช้พระนามนี้แล้วว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีบรมไตรโลกนาถ ยังมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่นที่ใช้พระนามนี้ คือ มหาราชท้าวลกที่ครองราชสมบัติเมืองเชียงใหม่ในคราวเดียวกันและเปนคู่รบกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ หนังสือข้างฝ่ายเหนือเรียกว่า ติโลกราช ที่เปนพุทธศาสนูปถัมภกเมื่อทำสังคายนาซึ่งนับในตำนานของเราว่า เปนครั้งที่ ๗ นั้น ต่อมา พระเจ้าทรงธรรมได้ใช้พระนามปรากฎในที่บางแห่งว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงธรรม ดังนี้ จึงเห็นว่า พระนาม พระบรมไตรโลกนาถ นั้น เปนพระนามพิเศษพระนาม ๑

พระนามที่เรียกว่า พระมหาจักรพรรดิ์ นั้น รู้ได้แน่ว่า เปนพระนามพิเศษ แม้ต้นตำราพราหมณ์หรือตำราที่มาในพระพุทธสาสนาก็ปรากฎว่า พระเจ้าแผ่นดินต่อบางพระองค์จึงจะเปนจักรพัตราธิราช พระนามนี้ชั้นกรุงเก่าเห็นจะถวายเมื่อมีช้างเผือกถึง ๗ ช้าง วิเศษกว่าที่จะเรียกเพียง พระเจ้าช้างเผือก

พระนามที่เรียกว่า พระเจ้าทรงธรรม นั้น มาแต่คำว่า ธรรมราชา แน่ พระนามที่เรียกว่า ธรรมราชา มูลเหตุเดิมน่าจะเกิดขึ้นแต่ครั้งพระเจ้าอโศกด้วยเหตุแสดงพระองค์เปนธรรมราชา พระนามนี้พระเจ้าแผ่นดินในลังกาทวีปคงจะเอามาใช้ และพวกลังกาพาเข้ามาในประเทศนี้ ยกย่องว่า คู่กับ จักรพรรดิราชา ปรากฎว่า ได้ถวายพระนามนี้แก่พระเจ้าลิไทยกรุงสุโขทัยเปนครั้งแรก เห็นจะถวายพระนามนี้แก่พระเจ้าทรงธรรมกรุงศรีอยุธยาเนื่องในเหตุที่พบรอยพระพุทธบาท ได้พบในหนังสือจดหมายเหตุของวันวลิดวิลันดาว่า เรียกกันมาแต่ยังเสด็จดำรงพระชนม์อยู่

พระนามที่เรียกว่า พระเจ้าปราสาททอง นั้น ที่จริงพม่าเขาใช้ก่อน ดังจะแลเห็นได้ในหนังสือราชาธิราชที่เขาเรียกพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องว่า พระเจ้ามนเทียรทอง พระนามนี้เห็นจะเอาอย่างพม่ามาถวายเมื่อสร้างพระวิหารสมเด็จเปนปราสาทปิดทองมีขึ้นองค์แรก มีปรากฎในจดหมายเหตุของวิลันดาว่า ใช้แต่ยังเสด็จดำรงพระชนม์อยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่า พระนามนี้เกิดขึ้นเพราะขุดปราสาททองได้ในจอมปลวกดังกล่าวในหนังสือเรื่องคำให้การของชาวกรุงเก่า

พระนามที่เรียกว่า พระนารายณ์ นั้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เปนพระนามพิเศษ ด้วยได้พบในหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ ซึ่งเปนฉบับหลวงครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียกพระนามสมเด็จพระนเรศวรว่า "สมเด็จพระนารายณ์เปนเจ้า" ทุกแห่ง และพบหนังสือตำนานแต่งครั้งกรุงศรีอยุธยาราวแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐอิกเรื่อง ๑ ที่เมืองนครศรีธรรมราชเรียกพระนามสมเด็จพระนเรศวรว่า "สมเด็จพระนารายณ์เมืองหาง" หมายว่า สมเด็จพระนารายณ์พระองค์ที่สวรรคตที่เมืองหาง หนังสือนี้ทำให้เข้าใจว่า เวลาเมื่อแต่ง จะมีพระเจ้าแผ่นดินที่เรียกว่า พระนารายณ์ กว่าพระองค์เดียว (คือ มีพระนารายณ์ลพบุรีขึ้นอิกองค์ ๑) จึงเรียกพระนารายณ์เดิมว่า พระนารายณ์เมืองหาง ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ จึงเข้าใจว่า พระนามที่เรียกว่า พระนารายณ์ นั้นเปนพระนามพิเศษ ครั้งหลังที่ถวายพระนามพิเศษอย่างอธิบายมานี้คงยังจำกันได้อยู่โดยมาก คือ ที่ได้ถวายพระนาม "ปิยมหาราชาธิราช" แด่พระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ได้เสด็จดำรงสิริราชสมบัติยืนนานยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์อื่น ๆ ในสยามประเทศครั้งทำพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ เพราะพระองค์เปนที่รักของประชาชนทั่วไป พระนามนี้จารึกอยู่ที่ฐานพระบรมรูปทรงม้าซึ่งประชาชนชาวสยามพร้อมกันทำถวายสนองพระเดชพระคุณนั้น ยังอยู่ที่หน้าพระลานสวนดุสิตจนทุกวันนี้

 พระนามพระเจ้าแผ่นดินที่เรียกในเวลาเสด็จดำรงพระชนม์อยู่นั้น มักเรียกเหมือนกันทุกพระองค์ คือ ผู้ที่เปนข้าขอบขัณฑสีมาก็เรียกพระเจ้าแผ่นดินของตนว่า ขุนหลวง หรือ พระเปนเจ้า หรืออย่างเราเรียกว่า พระเจ้าอยู่หัว มิได้ออกพระนามฉะเพาะพระองค์ ถ้าชาวเมืองอื่นเรียก ก็มักจะเรียกตามนามเมืองที่พระเจ้าแผ่นดินนั้น ๆ ครอง ดังเช่นเรียกว่า พระเจ้าอู่ทอง พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าหงสาวดี พระเจ้าอังวะ เปนต้น บางทีก็เรียกตามพระนามเดิมของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ๆ เช่น เรียกว่า พระร่วง พระยาอู่ พระเจ้ามังลอง ดังนี้ พระนามที่เรียกตามนามเมืองหรือตามพระนามเดิมอย่างนี้ล้วนเปนคำของพวกเมืองอื่นเรียก

 พระนามที่ปากตลาดเรียกเมื่อเวลาล่วงรัชกาลแล้วนั้น ดังเช่นเรียกว่า ขุนหลวงเพทราชา ขุนหลวงเสือ ขุนหลวงท้ายสระ ขุนหลวงทรงปลา เปนต้น จนตลอดขุนหลวงบรมโกษฐ ขุนหลวงหาวัด และพระที่นั่งสุริยามินทร์ เกิดแต่ไม่รู้ว่า พระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ๆ ที่ล่วงรัชกาลแล้วพระองค์ใดเรียกพระนามในราชการว่าอย่างไร ราษฎรก็เรียกเอาตามที่สำเหนียกกำหนดกัน ดังเช่นว่า ขุนหลวงเพทราชา ก็เพราะได้เปนที่พระเพทราชาอยู่เมื่อก่อนได้ราชสมบัติ เรียกว่า ขุนหลวงเสือ ก็เพราะพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นร้ายกาจ เรียกว่า ขุนหลวงท้ายสระ ก็เพราะเสด็จอยู่พระที่นั่งข้างท้ายสระ เรียกว่า ขุนหลวงหาปลา ก็เพราะพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นชอบทรงตกปลา พระนามที่เรียกว่า ขุนหลวงบรมโกษฐ์ นั้นเปนพระนามที่มักเรียกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่พึ่งสวรรคตล่วงไปแล้วทุกพระองค์อย่างเราเรียกกันว่า ในพระโกษฐ นี้เอง สมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ (เปนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หลังในกรุงศรีอยุธยาที่ได้ทรงพระโกษฐ) คนคงเรียกกันว่า พระเจ้าอยู่ในพระบรมโกษฐ หรือในพระโกษฐ มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้ว ส่วนขุนหลวงหาวัดนั้นพระนามเดิมเรียกในราชการว่า เจ้าฟ้าอุทุมพร ได้เปนกรมขุนพินิต เมื่อเสวยราชย์อยู่ในราชสมบัติไม่ช้าก็ละราชสมบัติออกทรงผนวช คนทั้งหลายจึงเรียกว่า ขุนหลวงหาวัด หมายความว่า พระเจ้าแผ่นดินที่อยู่วัด มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระเจ้าสุริยามรินทร์นั้น ครั้งกรุงเก่าคงเรียกกันเพียงว่า ขุนหลวง หรือพระเจ้าอยู่หัว เพราะเปนพระเจ้าแผ่นดินที่เสวยราชย์พระองค์หลังที่สุด มาเรียกพระนามอื่นตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี เรียกว่า ขุนหลวงพระที่นั่งสุริยามรินทร์ เพราะเสด็จอยู่ที่พระที่นั่งนั้น ครั้นถึงพระเจ้ากรุงธนบุรีเอง ต่อมาชั้นหลังเรียกกันว่า ขุนหลวงตาก ด้วยเหตุได้เปนผู้ว่าราชการเมืองตากครั้งกรุงศรีอยุธยา ประเพณีเรียกพระนามพระเจ้าแผ่นดินตามปากตลาดดังนี้มีตลอดจนเมืองพม่ารามัญ พระเจ้าหงสาวดีไชยสิงห์ซึ่งเปนราชโอรสรับราชสมบัติต่อพระเจ้าบุเรงนอง พม่าเรียกภายหลังว่า "พระเจ้าชเลยตองอู" เพราะที่สุดเมื่อหนีสมเด็จพระนเรศวร ถูกเอาไปกักไว้ที่เมืองตองอูจนทิวงคต แลพระเจ้าแผ่นดินพม่าพระองค์ ๑ ในราชวงศ์อลองพญา พม่าเรียกว่า พาคยีดอ แปลว่า พระเจ้าอาว์ ดังนี้ก็มี

 พระนามที่เรียกในราชการเมื่อล่วงรัชกาลไปแล้วเกิดแต่ความจำเปนที่จะต้องเรียกพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลก่อน ๆ ให้ปรากฎพระนามผิดกัน เพราะพระนามตามพระสุพรรณบัฏมักจะเหมือนกันโดยมาก จึงต้องสมมติพระนามขึ้นสำหรับเรียกฉะเพาะพระองค์ เรื่องนี้มีความลำบากเปนอุทาหรณ์ แม้ในครั้งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง คือ เมื่อรัชกาลที่ ๒ เรียกรัชกาลที่ ๑ ว่า แผ่นดินสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็เปนอันถูกต้องเรียบร้อยมาตลอดรัชกาลที่ ๒ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ มีรัชกาลที่ล่วงแล้วเปน ๒ รัชกาลขึ้น เกิดเรียกกันขึ้นว่า แผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่พอพระราชหฤทัย รับสั่งว่า ถ้ารัชกาลที่ ๑ เปนแผ่นดินต้น รัชกาลที่ ๒ เปนแผ่นดินกลาง รัชกาลที่ ๓ ก็จะกลายเปนแผ่นดินสุดท้าย เปนอัปมงคล จึงประกาศให้เรียกรัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ ตามพระนามพระพุทธรูปซึ่งทรงสร้างขึ้นเปนพระบรมราชูทิศไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้เรียกพระนามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๑ ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๒ ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ มาถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า เรื่องนามแผ่นดินควรจะกำหนดไว้เปนยุติเสียแต่แรกทีเดียว จึงถวายพระนามรัชกาลที่ ๓ ว่า พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนรัชกาลของพระองค์เองให้เรียกว่า พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเปนทำเนียมสืบต่อมาจนบัดนี้

พระนามพระเจ้าแผ่นดินที่ล่วงรัชกาลไปแล้วซึ่งสมมติเรียกในราชการครั้งกรุงศรีอยุธยา เรียกตามต้นพระนามในพระสุพรรณบัฏบ้าง เรียกตามพระนามพิเศษบ้าง แต่โดยมากนั้นเรียกตามพระนามเดิมที่ปรากฎแก่คนทั้งหลายเมื่อก่อนพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ๆ ได้ผ่านพิภพ ยกตัวอย่างดังพระนามพระเจ้าแผ่นดินที่เรียกว่า พระราเมศวร พระมหินทร พระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระรัษฎา พระยอดฟ้า พระเชษฐา พระอาทิตยวงศ์ เจ้าทองจันทน์ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ เจ้าฟ้าไชย เหล่านี้เปนพระนามแต่ครั้งยังเปนลูกหลวงทั้งนั้น พระนามที่เรียกว่า พระบรมราชา พระรามราชา พระอินทราชา พระไชยราชา พระมหาธรรมราชา พระศรีสุธรรมราชา เหล่านี้ บรรดาที่ใช้คำว่า ราชา ไว้ท้าย ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เปนพระนามสำหรับเจ้าครองเมือง พระนามพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาที่เรียกพระนามพิเศษและเรียกอย่างปากตลาดอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดารมาปรากฎที่สมมตใช้ในราชการเปนอย่างอื่นมีอยู่ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าหลายพระองค์ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงอนุมัตินำมาใช้ในพระราชนิพนธ์ คือ

สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ใช้ว่า สมเด็จพระรามาธิเบศร์

สมเด็จพระเพทราชา ใช้ว่า สมเด็จพระธาดาธิเบศร์

สมเด็จพระเจ้าเสือ ใช้ว่า สมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี

สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ใช้ว่า สมเด็จพระภูมินทราชาธิราช

สมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ ใช้ว่า สมเด็จพระมหาบรมราชา

(แต่พระนามนี้ เมื่อได้ต้นฉบับพม่ามาแปลสอบใน พ.ศ. ๒๔๕๕ เรียกพระนามพระเจ้าบรมโกษฐในบางแห่งว่า พระมหาธรรมราชา เรียกพระมหาธรรมราชาซึ่งเปนพระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวรว่า พระสุธรรมราชา ดังนี้)

พระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาพระองค์ใดจะมีพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่าอย่างไร จะทราบในเวลานี้ไม่ได้แน่นอนอยู่เอง ข้าพเจ้าได้สอบพระนามตามที่ปรากฎในหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา และในบานแพนกกฎหมาย (ต้องขอบอกไว้หน่อยว่า ศักราชที่ลงไว้ในกฎหมายผิดอยู่หลายแห่ง บางทีศักราชจะพาให้ข้าพเจ้าหลงรัชกาลไปได้บ้าง) พระนามพิสดารตามที่พบมีอยู่ดังนี้

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

 ในกฎหมายลักษณขบถศึก สมเด็จพระบรมนาถบพิตรสิทธิสุนทรธรรมเดชา มหาสุริยวงศ์ องค์บุรโษดม บรมมหาจักรพรรดิศร บวรธรรมิกมหาราชาธิราช (เข้าใจกันว่า พระนามนี้ผูกขึ้นเพราะ ๆ หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัว เท่านั้น)

 กฎมนเทียรบาล สมเด็จพระรามาธิบดีบรมไตรโลกนาถ มหามงกุฎเทพยมนุษย์ บริสทุธิสุริยวงศ์ องค์พุทธางกูรบรมบพิตร

 กฎหมายศักดินาในกรุง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนายกดิลกผู้เปนเจ้า

 กฎหมายศักดินาหัวเมือง สมเด็จพระรามาธิบดีศรีบรมไตรโลกนาถ

 กฎหมายลักษณขบถศึก สมเด็จบรมมหาจักรพรรดิรามาธิบดี

 กฎหมายลักษณขบถศึก สมเด็จบรมมหาจักรพรรดิศรรามาธิบดี (๕ กับ ๖ ถ้าศักราชพลาด คงเปนกฎหมายแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ)

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒

กฎหมายลักษณรับฟ้อง สมเด็จมหาจักรพรรดิราชราเมศวรบรมนาถบรมบพิตร

สมเด็จพระไชยราชาธิราช

กฎหมายลักษณพิศูจน์ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมจักรพรรดิศร บวรธรรมิกมหาราชาธิราช

สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช

ตามหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดเลขา สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์วงศ์กุรสุริโยดม บรมมหาธรรมราชาธิราชราเมศร ปวเรศธรรมิกราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรเทพสมมติราช บรมบพิตร

สมเด็จพระเอกาทศรถ

ตามหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา พระศรีสรรเพ็ชญ์ สมเด็จบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิสวรรยราชาธิบดินทร ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร์ ตรีภูวเนตรนาถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวไสย สมุทัยตโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทราธาดาธิบดีศรีวิบุลย์ คุณรุจิตรฤทธิราเมศวรธรรมิกราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพตรีภูวนาธิเบศร์ โลกเชษฐวิสุทธิ คตามกุฎเทศมหาพุทธางกูร บรมบพิตร

กฎหมายลักษณขบถศึกตั้งก่อนเสวยราชย์ สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

กฎหมายพระธรรมนูญ สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร

สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

กฎหมายพระธรรมนูญ กรมศักดิ์ ลักษณอาญาหลวง ๒ แห่ง ลักษณเบ็ดเสร็จ รวม ๕ แห่งในกฎหมาย สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ตามหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา สมเด็จพระบรมราชาธิราชธิบดีศรีสรรเพ็ชญ์ บรมมหาจักรพรรดิศวรราชาธิราชราเมศวรธรรมธราธิบดี ศรีสฤษฎิรักษสังหาร จักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีวิบุลย์คุณอขนิฐ จิตรรุจีตรีภูวนาทิตย์ ฤทธิพรหมเทพาดิเทพบดินทร์ ภูมินทราธิราช รัตนากาศมนุวงศ์ องค์เอกาทศรุทร์ วิสุทธิยโศดม บรมอาชวาธยาไศรย สมุทัยดโรมนต์ อนนตคุณวิบุลยสุนทรบวรธรรมิกราชเดโชไชย ไตรโลกนาถบดินทร์ วรินทราธิราชชาติพิชิต ทิศพลญาณสมันตมหันตวิปผาราฤทธิวิไชย ไอศวรรยาธิบัติขัตติยวงศ์ องค์ปรมาธิบดีตรีภูวนาธิเบศร์ โลกเชษฐวิสุทธ มกุฎรัตนโมฬีศรีปทุมสุริยวงศ์ องค์สรรเพ็ชญ์พุทธางกูร บรมบพิตร

กฎหมายลักษณรับฟ้อง สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร

สมเด็จพระเพทราชา

ตามหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา สมเด็จพระมหาบุรุษวิสุทธิเดชอุดมบรมจักรพรรดิ

สมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ

กฎหมายลักษณทาส สมเด็จพระรามาธิบดินทรนรินทรบรมมหาจักรพรรดิราเมศวร ราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพ ตรีภูวนาธิเบศร์ บรมบพิตร

กฎหมายลักษณทาสอิกแห่ง ๑ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีบรมมหาจักรพรรดิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพ ตรีภูวนาธิเบศร์ บรมบพิตร

กฎหมายมูลคดีวิวาท สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุธรรมราชบรมจักรพรรดิศวรบรมบพิตร

สมเด็จพระเจ้าสุริยามรินทร์

ตามหนังสือพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา สมเด็จพระบรมราชามหาอดิศรบวรสุจริตทศพิธธรรมธเรศร์ โลกเชษฐนายกอุดม บรมนาถบพิตร

พิเคราะห์ดูพระนามพระเจ้าแผ่นดินที่ปรากฎดังแสดงมา ข้าพเจ้าเข้าใจว่า พระนามพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่าตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ ต้นพระนามจะเหมือนกันโดยมาก ตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองลงมาจนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เห็นจะใช้พระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ทุกพระองค์ ถ้าจะใช้พระนามอื่น ก็มีเมื่อครั้งพระบรมราชาพงัวเข้ามาครองราชสมบัติ บางทีจะใช้พระนามขึ้นต้นพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช เพราะเวลานั้น สมเด็จพระราเมศวร ซึ่งใช้พระนาม สมเด็จพระรามาธิบดี ยังมีพระองค์อยู่ และพระเจ้าแผ่นดินในราชวงศ์นั้นที่ใช้พระนาม สมเด็จพระบรมราชาธิราช เอาอย่างก็จะมีบ้าง คือ เจ้าสามพระยา เปนต้น นอกจากนี้ เห็นจะใช้พระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ทุกพระองค์มาจนสมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ราชสมบัติ เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ ใช้พระนามขึ้นในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์ และใช้พระนามนี้ต่อมาจนตลอดราชวงศ์นั้น ถึงพระเจ้าทรงธรรมใช้ขึ้นพระนามว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ พระเจ้าปราสาทซึ่งพบหลักฐานรู้แน่ว่า อยู่ในราชวงศ์เดียวกันกับพระเจ้าทรงธรรม ก็ใช้พระนามว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ ใช้พระนามนี้ลงมาจนตลอดราชวงศ์ของพระเจ้าปราสาททองมาถึงสมเด็จสมเด็จพระเพทราชาตั้งราชวงศ์ใหม่ (ไม่พบหลักฐานว่า ขึ้นต้นพระนามในพระสุพรรณบัฏว่าอย่างไรแน่ แต่) ข้าพเจ้าเชื่อว่า จะกลับใช้พระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี ด้วยได้เห็นในบานแพนกกฎหมายในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐใช้พระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี และในโองการแช่งน้ำของพราหมณ์ก็ใช้พระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี คงจะใช้พระนามนี้จนพระเจ้าสุริยามรินทร์ บางทีจะใช้ขึ้นพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราช เพราะขุนหลวงหาวัดยังมีพระองค์อยู่ ครั้นถึงกรุงธนบุรี กลับใช้พระนามว่า "สมเด็จพระเอกาทศรถ" อิกเปนแน่ ด้วยได้พบหนังสือพระราชโองการแลศุภอักษรที่มีในครั้งกรุงธนบุรีใช้พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร หลายแห่ง ศุภอักษรที่เจ้าประเทศราชมีมายังใช้คำว่า "ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบพิตร" ต่อมาจนในชั้นกรุงรัตนโกสินทร พึ่งมาเปลี่ยนในรัชกาลที่ ๔ ตอนหลังว่า ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏในชั้นกรุงรัตนโกสินทรนี้ รัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ขึ้นพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี เหมือนกันทั้ง ๓ พระองค์ จึงเปนเหตุให้เห็นว่า แต่ครั้งกรุงเก่าก็จะซ้ำกันเหมือนอย่างนี้ ลักษณะขึ้นต้นพระนามพระเจ้าแผ่นดินในพระสุพรรณบัฏพึ่งมาเปลี่ยนเปนฉะเพาะพระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ ในกรุงรัตนโกสินทรนี้สืบมา

พระนามพระเจ้าแผ่นดินตามที่ใช้ในบานแพนกกฎหมายโดยมากใช้แต่ว่า "สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว" ไม่ได้ออกพระนามฉะเพาะพระองค์ใด สร้อยพระนามก็ดูมักจะแต่งแต่โดยต้องการให้ไพเราะ จึงผิด ๆ กันไป แม้พระนามที่ขึ้นต้นบางทีก็หันไปเอาความไพเราะเปนสำคัญ จึงมีพระนามที่ใช้ในบานแพนกกฎหมายอยู่หลายแห่งซึ่งรู้ได้เปนแน่ว่า มิใช่พระนามที่ใช้ฉะเพาะพระองค์พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใด ที่เปนดังนี้เปนด้วยอาลักษณ์ (หรือผู้ใด) ที่มีหน้าที่แต่งบานแพนกกฎหมายแต่โบราณไม่ได้คิดการยืดยาวมาถึงประโยชน์ของคนภายหลัง คิดฉะเพาะแต่เวลานั้นเสมอจะเรียกว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" อย่างให้เพราะ ๆ ให้เปนพระเกียรติ คติที่ใช้พระนามตามที่ขึ้นต้นพระสุพรรณบัฏจะมีแต่ในบางสมัยหรือในผู้แต่งบานแพนกแต่บางคน จึงเห็นได้ในบานแพนกกฎหมายที่ใช้พระนาม พระรามาธิบดี มีมากแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ กับพระเจ้าบรมโกษฐใช้พระนาม "พระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร" แต่ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเปนมากกว่าแผ่นดินอื่น

ข้อวินิจฉัยในเรื่องลักษณพระนามต่าง ๆ ของพระเจ้าแผ่นดินในชั้นกรุงเก่าดังกล่าวมานี้ ว่าตามความเห็นของข้าพเจ้าเอง จะผิดชอบอย่างไรแล้วแต่ท่านผู้ศึกษาโบราณคดีจะตัดสินเทอญ

ลายมือชื่อของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ลายมือชื่อของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

บรรณานุกรม[แก้ไข]

  • ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (2468). อธิบายพระนามพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร. [มหาอำมาตย์ตรี พระยาภรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) พิมพ์ช่วยในการพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงทองย้อย เสนีณรงค์ฤทธิ์ จจ. เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2468].

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก