อธิบายเบ็ดเตล็ดในเรื่องพงศาวดารสยาม/เรื่อง 6
ในสยามประเทศนี้ เมื่อก่อนพุทธศักราช ๑๘๒๖ ยังไม่มีหนังสือไทย ใช้กันแต่หนังสือคฤนถ์ซึ่งพวกพราหมณ์พามาแต่อินเดีย แลต่อมาใช้หนังสือขอมซึ่งพวกขอมคิดแปลงมาแต่หนังสือคฤนต์ ตามที่เคยเห็นศิลาจารึก เห็นใช้เขียนแต่ภาษามคธ ภาษาสันสกฤต แลภาษาขอม ไม่เคยพบจารึกอักษรคฤนถ์เปนภาษาไทยเลย กฎหมายไทยที่ตั้งขึ้นเมื่อกรุงสุโขทัยเปนราชธานีตอนก่อน พ.ศ. ๑๘๒๖ จะให้แปลกลับเปนภาษาขอมหรือภาษาสันสกฤต หรือบางทีจะมีวิธีเขียนภาษาไทยด้วยตัวหนังสือคฤนถ์แลหนังสือขอมอย่างแปลร้อยได้ ข้อนี้หาทราบไม่ แต่การจดลงเปนหนังสือ ไม่ว่าภาษาใด คงเปนหน้าที่พราหมณ์ เพราะผู้ที่รู้หนังสือแลเจ้าตำหรับกฎหมายในเวลานั้นมีอยู่แต่ในพวกพราหมณ์ ด้วยเหตุนี้ พราหมณ์จึงเปนเจ้าหน้าที่สำคัญในการรักษากฎหมายมาแต่โบราณ แม้จะดูในทำเนียบศักดินาพลเรือนในกฎหมายที่ปรากฎอยู่ทุกวันนี้ ก็จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งลูกขุนณศาลหลวงที่สูงศักดิ์ชื่อเปนพราหมณ์ทั้งนั้น สมเด็จพระร่วงเจ้าพระองค์ที่มีพระนามจารึกไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหง หรือที่เรียกในหนังสืออื่น มีหนังสือชินกาลมาลินีเปนต้น ว่า พระยารามราช เปนผู้คิดหนังสือไทยขึ้นเมื่อปีมะแม จุลศักราช ๖๔๕ มหาศักราช ๑๒๐๕ ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๒๖ เมื่อมีหนังสือไทยขึ้นแล้ว กฎหมายก็ตั้งขึ้นต่อมา หรือกฎหมายเก่าที่มีอยู่แล้ว จึงได้เริ่มจดลงแลรักษามาในหนังสือไทย แต่ความรู้หนังสือไทยแพร่หลายเร็วมาก ข้อนี้มีพยานเห็นได้ด้วยศิลาจารึกภาษาไทยรุ่นเก่าใช้ตัวหนังสือไทยตามแบบของพระเจ้าขุนรามคำแหงทั่วทุกเมืองในอาณาจักรลานนาไทยตลอดขึ้นไปจนกรุงศรีสัตนาคนหุต เพราะความต้องการหนังสือสำหรับเขียนภาษาไทยมีอยู่ด้วยกันทุกประเทศที่ชาติไทยได้เปนใหญ่ เมื่อเกิดแบบตัวหนังสือมีขึ้น ทุกประเทศก็ยอมรับใช้หนังสือนั้นโดยเห็นประโยชน์ มิต้องมีผู้ใดบังคับบัญชา
ขณะเมื่อสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สร้างกรุงศรีอยุธยา แม้หนังสือไทยพึ่งมีขึ้นได้เพียง ๖๗ ปี ก็เชื่อได้ว่า คงจะได้ใช้ตลอดลงมาจนถึงเมืองอู่ทองแล้ว บันดากฎหมายที่ตั้งขึ้นตั้งแต่สร้างกรุงศรีอยุธยามา เข้าใจว่า เขียนเปนหนังสือไทยทั้งนั้น แต่ประหลาทอยู่หน่อยที่ข้าพเจ้ายังได้พบพระราชกฤษฎีกาเพียงในแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชาแลแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐมีที่เมืองพัทลุงเขียนเส้นดินสอดำในกระดาษ ยังใช้อักษรแลภาษาเขมรหลายฉะบับ จะเปนด้วยเหตุใด ข้าพเจ้ายังคิดไม่เห็นจนทุกวันนี้ ได้ให้ต้นหนังสือนั้นไว้ในหอพระสมุดวชิรญาณ ผู้ใดจะตรวจดูก็ได้
กฎหมายครั้งกรุงศรีอยุธยาที่เราจะรู้ได้ในเวลานี้อยู่ในกฎหมายพิมพ์ ๒ เล่ม ซึ่งต้นฉบับพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดฯ ให้ชำระเรียบเรียงไว้เมื่อปีชวด จุลศักราช ๑๑๖๖ พ.ศ. ๒๓๔๗ แลหมอบรัดเลได้พิมพ์จำหน่ายในครั้งแรกเมื่อปีรกา จุลศักราช ๑๒๓๕ พ.ศ. ๒๔๑๖ ยังมีกฎหมายครั้งกรุงเก่าที่ไม่ได้พบหรือไม่เอาเข้าเรื่องเมื่อชำระกฎหมายในรัชชกาลที่ ๑ อยู่อีกบ้าง หอพระสมุดฯ ได้ไว้สัก ๒–๓ เล่ม ลักษณทำกฎหมายแต่โบราณมาคงจะทำเปนชั้น ๆ ดังนี้ คือ
ชั้นที่๑เมื่อแรกตั้งกฎหมาย ตั้งด้วยประกาศพระราชกฤษฎีกาบอกวันคืน เหตุผล แลพระราชนิยม อย่างพระราชกฤษฎีกาที่ยังแลเห็นได้ในพระราชกำหนดเก่า พระราชกำหนดใหม่ แลกฎหมายพระสงฆ์ เหล่านี้ล้วนเปนพระราชกฤษฎีกา เปนกฎหมายที่แรกตั้งอย่างนั้น
ชั้นที่๒เมื่อพระราชกฤษฎีกามีมาก ๆ เข้า จะสอบค้นยาก จึงตัดทอนพระราชกฤษฎีกาเก่า คงไว้แต่ใจความเปนย่ออย่างกลาง ดังจะเห็นได้ในกฎหมาย ๓๖ ข้อ แลกฎหมายหมวดพระราชบัญญัติ
ชั้นที่๓เพื่อจะจัดระเบียบกฎหมายเก่าให้สดวกแก่สุภาตุลาการให้ค้นได้โดยง่าย นาน ๆ จึงมีการชำระกฎหมายครั้งหนึ่ง อย่างเราเรียกทุกวันนี้ว่า ทำประมวลกฎหมาย คือ รวบรวมกฎหมายเก่าจัดเปนหมวด ๆ ตามลักษณความ ตัดเหตุผลวันคืนที่ตั้งกฎหมายออกเสีย คงไว้แต่ใจความซึ่งเปนพระราชนิยม เรียงเข้าลำดับเปนมาตรา ๆ ในลักษณนั้น ๆ
วิธีชำระกฎหมายดังกล่าวมานี้สำหรับทำแต่กฎหมายเก่าที่ตั้งมานาน ๆ แล้ว แต่กฎหมายที่ออกใหม่ก็ยังคงออกอย่างพระราชกฤษฎีกาตามเดิม ทำอย่างนี้เปนวิธีมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ในครั้งหลังที่สุด การชำระกฎหมายได้ทำเมื่อปีชวด ฉศก จุลศักราช ๑๑๖๖ พ.ศ. ๒๓๔๗ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เวลานั้น หนังสือกฎหมายครั้งกรุงเก่าคงจะเปนอันตรายหายสูญไปเสียเมื่อเสียกรุงฯ เปนอันมาก พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงรวบรวมค้นหาได้เท่าใด ก็เอามาเรียบเรียงตรวจแก้ตัดทอดทำเปนกฎหมายฉบับหลวงขึ้นใหม่ คือ ฉบับพิมพ์เปน ๒ เล่มนั้น มีกฎหมายชั้นกรุงรัตนโกสินทรอยู่ในนั้น ๔ ลักษณ คือ (๑) พระราชบัญญัติ (๒) กฎหมายพระสงฆ์ (๓) พระราชกำหนดใหม่ ๓ ลักษณนี้ตั้งในรัชกาลที่ ๑ กับ (๔) ลักษณโจร ๕ เส้น ตั้งในรัชกาลที่ ๓ รวมเข้าเมื่อพิมพ์ ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ กฎหมาย ๒ เล่มพิมพ์นั้น เชื่อได้ว่า คงตามรูปกฎหมายครั้งกรุงเก่า แลเปนบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในครั้งกรุงเก่าเปนอันมาก จะเห็นได้ว่า กฎหมายตอนปลายกรุงเก่าที่ได้ตัดความเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ แต่ยังไม่ทันแยกเข้าลักษณตามประมวลก็มี คือ กฎหมาย ๓๖ ข้อ แลมีกฎหมายที่ยังเปนพระราชกฤษฎีกายังไม่ได้ตัดความทีเดียวอยู่ในพระราชกำหนดเก่าก็อีกหลายสิบบท
วันคืนที่ใช้ในกฎหมายครั้งเก่า วิธีนับรอบปีตามนักษัตร คือ ชวด ฉลู เปนต้น รู้ได้แน่ว่า ใช้มาแต่ครั้งสุโขไทยแล้ว ด้วยมีปรากฎในศิลาจารึกตั้งแต่ครั้งพระเจ้าขุนรามคำแหง วิธีนับสัปตมวารคือ วันอาทิตย์ วันจันทร์ เปนต้น แลนับเดือนตามจันทรคติ ก็ใช้มาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ด้วยปรากฎในศิลาจารึกเหมือนกัน แต่ศักราชครั้งสุโขทัยใช้มหาศักราช ถึงศิลาจารึกในสมัยกรุงศรีอยุธยาชั้นต้นเพียงในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ก็ใช้มหาศักราช แต่ศักราชที่ปรากฎอยู่ในบานแผนกกฎหมายดูใช้ศักราชหลายอย่างปะปนกัน แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ใช้พุทธศักราช รัชกาลต่อ ๆ มาใช้พุทธศักราชบ้าง มหาศักราชบ้าง จุลศักราชบ้าง แลยังมีศักราชอีกอย่างหนึ่งซึ่งข้าพเจ้ายังทราบไม่ได้ว่า ศักราชอะไร โหรเรียกว่า ศักราชจุฬามณี แต่สืบเอาเรื่องเอาเกณฑ์จากโหรยังไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงเรียกไว้ว่า "ศักราชกฎหมาย" ศักราชทั้ง ๔ อย่างนี้จะสอบในหนังสือกฎหมายให้ได้ความว่า แผ่นดินไหนใช้ศักราชอะไร รู้ไม่ได้ ด้วยบานแผนกกฎหมายในแผ่นดินเดียวกันใช้ศักราชต่างกันก็มี ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ที่ศักราชในบานแผนกกฎหมายสับสนกันไป จะเปนเพราะเมื่อเวลาชำระหรือคัดเขียนหนังสือกฎหมายในชั้นหลัง ๆ ผู้คัดอยากจะให้เข้าใจง่าย เลยคิดคำนวณบวกทอนศักราชซึ่งผิดกันกับอย่างที่ใช้อยู่ในเวลานั้นให้เปนอย่างเดียวกัน จับผิดได้ที่ปีนักษัตรที่ควรเปนคู่ ลงศกแลศักราชเปนคี่มีอยู่หลายแห่ง ยังเมื่อสมเด็จพระเจ้าปราสาททองลบศักราชเอาปีกุญเปนสัมฤทธิศก ก็ทำให้ศักราชเคลื่อนไป ๒ ปี ศักราชที่ใช้ในบานแผนกกฎหมายทั้ง ๔ อย่างสอบได้ดังนี้ คือ (๑) พระพุทธศักราชในกฎหมาย ต้องใช้เกณฑ์เลข ๑๑๘๒ ลบเปนจุลศักราช (๒) มหาศักราชในกฎหมาย ต้องใช้เกณฑ์ ๕๕๘ ลบเปนจุลศักราช (๓) ศักราชกฎหมาย (ปรากฎในบานแพนกแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แลสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ ข้าพเจ้าได้ลองสอบดู น้อยกว่ามหาศักราช ๓๐๐ ปีถ้วน) ลบด้วยเกณฑ์เลข ๒๕๘ เปนจุลศักราช (๔) จุลศักราชเปนศักราชที่ตั้งขึ้นในเมืองพะม่าก่อน น่าจะพึ่งเอาเข้ามาใช้ในราชการเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชตั้งแต่เกี่ยวข้องกับเมืองหงสาวดี
บานแพนกในกฎหมาย ใช้พุทธศักราชแลมหาศักราชลงมาจนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่นั้นมา เปนจุลศักราชเปนพื้น
เมื่อสมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ตั้งเปนอิศรณกรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็เปนธรรมเนียมที่จะต้องตั้งแบบแผนพระราชประเพณีแลพระราชกำหนดกฎหมายสำหรับพระนคร กฎหมายที่ตั้งครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ จะมีอะไรบ้าง รู้ไม่ได้หมดอยู่เอง แต่ตรวจดูตามบานแพนกในกฎหมาย ๒ เล่ม ได้ความว่า กฎหมายเหล่านี้ได้มีมาแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ คือ
ลักษณพยาน ตั้งเมื่อปีขาล โทศก พ.ศ. ๑๘๙๔ (จุลศักราช ๗๑๒)
ลักษณอาญาหลวง กำหนดโทษ ๑๐ สถาน ตั้งเมื่อปีเถาะ ตรีศก พ.ศ. ๑๘๙๕ (จุลศักราช ๗๑๓)
ลักษณรับฟ้อง ตั้งเมื่อปีมะแม สัปตศก พ.ศ. ๑๘๙๙ (จุลศักราช ๗๑๗)
ลักษณลักพา ตั้งเมื่อปีมะแม สัปตศก พ.ศ. ๑๘๙๙ (จุลศักราช ๗๑๗)
ลักษณอาญาราษฎร์ ตั้งเมื่อปีรกา นพศก พ.ศ. ๑๙๐๑ (จุลศักราช ๗๑๙)
ลักษณโจร ตั้งเมื่อปีกุญ เอกศก พ.ศ. ๑๙๐๓ (จุลศักราช ๗๒๑)
ลักษณเบ็ดเสร็จ ว่าด้วยที่ดิน ตั้งเมื่อปีกุญ เอกศก พ.ศ. ๑๙๐๓ (จุลศักราช ๗๒๑)
ลักษณผัวเมีย ตั้งเมื่อปีชวด โทศก พ.ศ. ๑๙๐๔ (จุลศักราช ๗๒๒)
ลักษณผัวมีย อีกตอน ๑ ตั้งเมื่อปีฉลู ตรีศก พ.ศ. ๑๙๐๕ (จุลศักราช ๗๒๓)
ลักษณโจร ว่าด้วยสมโจร ตั้งเมื่อปีมะเมีย อัฐศก พ.ศ. ๑๙๑๐ (จุลศักราช ๗๒๘)
กฎหมายรัชกาลอื่นครั้งกรุงเก่าที่มีบานแพนกและศักราชบอกไว้ ปรากฎอยู่ในกฎหมาย ๒ เล่มดังนี้
กฎหมายลักษณอาญาศึก (อยู่ในลักษณขบถศึก) ตั้งเมื่อปีขาล จุลศักราช ๗๙๖ (สงสัยว่า จะเปนปีขาล จุลศักราช ๘๕๖ ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ด้วยกล่าวถึงศักดินามีในกฎหมายนั้น)
ทำเนียบศักดินาข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน ตั้งเมื่อปีจอ พุทธศักราช ๑๙๙๘ (จุลศักราช ๘๑๖)
ทำเนียบศักดินาหัวเมือง ตั้งเมื่อปีจอ ฉศก พุทธศักราช ๑๙๙๘ (จุลศักราช ๘๑๖)
ลักษณขบถ (อยู่ในลักษณขบถศึก) ตั้งเมื่อปีฉลู มหาศักราช ๑๓๗๓ จุลศักราช ๘๑๙
เพิ่มเติมลักษณอาชญาหลวง ไม่ปรากฎวัน
กฎมนเทียรบาล ตั้งเมื่อปีขาล จุลศักราช ๘๒๐
เพิ่มเติมลักษณรับฟ้อง เมื่อปีวอก พุทธศักราช ๑๙๕๖ (จุลศักราช ๘๗๔)
ลักษณพิศูจน์ ตั้งเมื่อปีมะแม จุลศักราช ๘๙๗ (ที่พระเทียรราชาเสี่ยงเทียน เห็นจะเปนเวลากำลังนิยมกันด้วยเรื่องพิศูจน์ เสี่ยงเทียนอยู่ในวิธีพิศูจน์อย่าง ๑)
เพิ่มเติมลักษณอาญาหลวง เมื่อปีรกา พุทธศักราช ๒๐๙๓ (จุลศักราช ๙๑๒)
พระราชกฤษฎีกาบำเหน็จศึก (อยู่ในลักษณขบถศึก) ตั้งเมื่อปีมเสง จุลศักราช ๙๕๕
พระธรรมนูญกระทรวงศาล ตั้งเมื่อปีชวด ศักราชกฎหมาย ๑๒๔๔ (จุลศักราช ๙๘๖)
พิกัดเกษียณอายุ ตั้งเมื่อปีรกา จุลศักราช ๙๙๕
ลักษณอุทธรณ์ ตั้งเมื่อปีกุญ มหาศักราช ๑๕๕๕ (จุลศักราช ๙๙๗)
พระธรรมนูญตรากระทรวง ตั้งเมื่อปีกุญ สัปตศก มหาศักราช ๑๕๕๕ (จุลศักราช ๙๙๗)
ลักษณทาส ตั้งเมื่อปีฉลู นพศก มหาศักราช ๑๕๕๗ (จุลศักราช ๙๙๙)
เพิ่มเติมลักษณทาส เมื่อปีกุญ เบญจศก ศักราชกฎหมาย ๑๒๖๓ (จุลศักราช ๑๐๐๕ ควรเป็นปีมแม)
ในพระราชกำหนดเก่า บท ๑ ปีมแม เบญจศก จุลศักราช ๑๐๐๕
เพิ่มในลักษณอาชญาหลวง ห้ามไม่ให้ยกลูกสาวให้ชาวต่างประเทศ เมื่อปีกุญ นพศก ศักราชกฎหมาย ๑๒๖๗ (จุลศักราช ๑๐๐๙)
ลักษณกู้หนี้ ตั้งเมื่อปีชวด สัมฤทธิศก ศักราชกฎหมาย ๑๒๖๘ (จุลศักราช ๑๐๑๐)
พระราชกำหนดเก่า บท ๑ ปีฉลู เอกศก จุลศักราช ๑๐๑๑ กฎหมาย ๓๖ ข้อ บท ๑ ปีขาล โทศก จุลศักราช ๑๐๑๒
เพิ่มเติมลักษณรับฟ้อง เมื่อปีกุญ ตรีศุก มหาศักราช ๑๕๙๑ (จุลศักราช ๑๐๓๓)
ในกฎหมาย ๓๖ ข้อ ๑๒ บท ระหว่างปีมโรง จุลศักราช ๑๐๒๖ จนปีเถาะ จุลศักราช ๑๐๔๙
พระราชกำหนดเก่า ๔ บท ระหว่างปีจอ จุลศักราช ๑๐๓๒ จนปีเถาะ จุลศักราช ๑๐๓๔
มูลคดีวิวาท ว่าด้วยตัดสินปันหมู่ ตั้งเมื่อปีชวด จุลศักราช ๑๐๕๒
ในกฎหมาย ๓๖ ข้อ บท ๑ ปีวอก จุลศักราช ๑๐๕๔
ลักษณตุลาการ ตั้งเมื่อปีชวด จุลศักราช ๑๐๕๘
ในกฎหมาย ๓๖ ข้อ ๑๘ บท ระหว่างปีฉลู จุลศักราช ๑๐๗๑ จนปีมแม จุลศักราช ๑๐๘๙
เพิ่มเติมลักษณตุลาการ เมื่อปีวอก จุลศักราช ๑๐๙๐
เพิ่มเติมมูลคดีวิวาท ว่าด้วยปันสมรส ตั้งเมื่อปีกุญ จุลศักราช ๑๐๙๓
พระราชกำหนดเก่า ๒๕ บท ระวางปีกุญ จุลศักราช ๑๐๖๙ จนปีกุญ จุลศักราช ๑๐๙๓
เพิ่มเติมมูลคดีวิวาท ว่าด้วยจำหน่ายเลข เมื่อปีฉลู จุลศักราช ๑๐๙๕
ลักษณวิวาท ตั้งเมื่อปีมเสง เอกศก ศักราชกฎหมาย ๑๓๖๙ (จุลศักราช ๑๑๑๑)
เพิ่มเติมลักษณทาส เมื่อปีกุญ สัปตศก ศักราชกฎหมาย (เข้าใจว่า ๑๓๗๕ จุลศักราช ๑๑๑๗)
ในกฎหมาย ๓๖ ข้อ ๕ บท ระวางปีฉลู จุลศักราช ๑๐๙๕ จนปีจอ จุลศักราช ๑๑๑๖
พระราชกำหนดเก่า ๒๖ บท ระวางปีฉลู จุลศักราช ๑๑๑๙ จนปีขาล จุลศักราช ๑๑๒๐
สารบารพ์กฎหมายครั้งกรุงเก่าที่กล่าวมานี้ ตามที่ตรวจดู เท่าที่รู้ได้ในกฎหมาย ๒ เล่ม ยังมีบานแผนกบางแห่งที่ศักราชและปีวิปลาศ ไม่แน่ใจว่า จะเปนในแผ่นดินไหน จึงไม่ได้เอามาลงไว้ ผู้อ่านสารบารพ์นี้ควรสังเกตแต่เค้าความว่า กฎหมายกรุงเก่าที่ยังปรากฎอยู่ทุกวันนี้ได้ตั้งในแผ่นดินใด ๆ บ้าง แต่จะเข้าใจไปว่า แผ่นดินนั้นนั้นจะได้ตั้งแต่กฎหมายซึ่งกล่าวในสารบารพ์นี้เท่านั้นก็ดี หรือกฎหมายลักษณใดที่กล่าวไว่ในสารบารพ์ว่า ตั้งในแผ่นดินใด จะพึงมีแต่ในแผ่นดินนั้นก็ดี นั้นไม่ได้ เพราะกฎหมายที่เราได้เห็นพิมพ์ไว้ในกฎหมาย ๒ เล่ม เปนของที่ได้ตัดทอนแก้ไข เรียกรวมโดยนามว่า "ชำระ" มาหลายครั้งหลายคราว
ลักษณจัดหมวดประมวลกฎหมายครั้งกรุงเก่า อย่างเห็นในกฎหมายฉบับพิมพ์ ๒ เล่ม พิเคราะห์ดูตามรูปกฎหมายแลเนื้อความที่ปรากฎในหมวดพระธรรมศาสตร์ ทำให้เข้าใจว่า แต่เดิม ประมวลกฎหมายไทยเห็นจะจัดเปนหมวดหมู่อย่าง ๑ แต่จะเปนอย่างไรรู้ไม่ได้ชัด อยู่มาในกาลครั้งหนึ่ง น่าจะเปนในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช เมื่อกรุงศรีอยุธยายังเกี่ยวข้องกับกรุงหงสาวดีอยู่ ได้กฎหมายมนูธรรมศาสตร์ซึ่งแปลเปนภาษารามัญเข้ามาในเมืองไทย แลมีผู้มาแปลมนูธรรมศาสตร์จากภาษารามัญออกเปนภาษาไทย แต่จะแปลเมื่อใด ข้อนี้ถ้าจะคาดตามเรื่องในพระราชพงศาวดาร ก็น่ายุติว่า คงจะแปลในแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชนั้นเอง หรือมิฉนั้น ก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ เพราะในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรติดการทัพศึก เห็นจะไม่มีเวลาแปล
ที่เรียกว่า ธรรมศาสตร์ของพระมโนสาร หรือ มนู นี้ เปนต้นเค้าของกฎหมายในมัธยมประเทศ เปนหนังสือคัมภีร์ใหญ่โตมาก ข้าพเจ้าได้สดับเรื่องราวเล่ามาจากรามัญประเทศว่า เดิมมอญได้มาเปนภาษาสันสกฤต มีพระภิกษุรูป ๑ มาแปลออกเปนภาษามคธที่เมืองรามัญ (แล้วจึงมีผู้แปลออกเปนภาษารามัญอีกที ๑) ข้าพเจ้าได้ให้สืบหาหนังสือพระธรรมศาสตร์รามัญ พึ่งได้มาไม่ช้านัก เปนหนังสือน้อยกว่าพระธรรมศาสตร์อินเดียเปนอันมาก มีภาษามคธชั่วแต่มาติกากฎหมาย นอกนั้นเปนภาษารามัญ ได้วานพระยาโหราฯ แต่ยังเปนหลวงโลกทีป ซึ่งเปนผู้รู้ภาษารามัญ แปลออกดู ได้ความตามมาติกามูลคดีวิวาทของรามัญตรงกับพระธรรมศาสตร์มัธยมประเทศ แลตำนานที่กล่าวในพระธรรมศาสตร์รามัญถึงเรื่องพระเจ้ามหาสมมตราชตรงกับในพระธรรมศาสตร์ของไทย แต่นอกจากนั้นไปคนละทางหมด ข้าพเจ้าเข้าใจว่า พระธรรมศาสตร์มัธยมประเทศซึ่งเปนภาษาสันสกฤตเปนหนังสือในสาสนาพราหมณ์แลเปนหนังสือคัมภีร์ใหญ่ เมื่อพระเอามาแปลที่เมืองรามัญ จะเลือกแปลแต่บางแห่ง แลแปลงเนื้อความที่แปลนั้นให้เปนหนังสือฝ่ายพระพุทธสาสนาด้วย ไทยเราได้พระธรรมศาสตร์มาจากมอญ ดังปรากฎอยู่ในคาถาคำนมัสการข้างต้น เห็นจะได้มาเมื่อกฎหมายไทยเรามีเปนแบบแผนแลจัดเปนหมวดหมู่อยู่อย่างอื่นแล้ว มาจัดเอาเข้ามาติกาพระธรรมศาสตร์เมื่อทีหลัง จึงเข้าไม่ได้สนิธ ข้อนี้จะแลเห็นได้ถนัดในกฎหมาย แม้สังเกตแต่มาติกามูลคดี ๆ รามัญว่า มี ๑๘ เท่าธรรมศาสตร์มัธยมประเทศ แต่มูลคดีในพระธรรมศาสตร์ไทยขยายออกไปเปน ๒๙ เห็นผิดกันมากอยู่ดังนี้ จึงเข้าใจว่า เมื่อจะจัดกฎหมายไทยให้เปนหมวดตามพระธรรมศาสตร์ จะเอาเข้าไม่ได้สนิธ จึงทำอย่างขอไปที จะยกตัวอย่างมาไว้ให้ดูได้ดังนี้
ตตฺถ อฏฺฏา ทฺวิธา วุตฺตา | มูลสาขปฺปเภทโต | |
มูลฏฺฐารสธา สาขา | ติทินฺนาทิอเนกธา | |
อิณํ ธนํ สนฺนิธานํ | อสกํ ปริกีณิกํ | |
อธมฺมธนวิภาคํ | ธนํ ทตฺวา ปจฺฉา คเณฺห | |
ภติกสฺส ปลิโพโธ | พหุมชฺเฌสุ สมฺมุเข | |
ยํ วจนํ กเถตฺวาน | ปจฺฉา ปุน กเถนฺติ ตํ | |
กีณิตฺวา ปุน อิจฺฉติ | วิกีณิตฺวา วิวตฺตติ | |
ทฺวิปทา วา จตุปฺปทา | สพฺเพ มนุสฺสภตฺติกา | |
ปฐวีวิภตฺติวาจา | อญฺญํ โทสปโรหิตํ | |
ปรฆาตํ ฆรํ คจฺเฉ | อิตฺถิปุริสวิกฺกเต | |
วิภตฺติธนเหตุ | อกฺขวตฺตปริภาโค | |
เอเต มูลา อฏฺฐารส | ธมฺมสตฺเถ ปกาสิตา |
แปลเปนมูลคดี ๑๘ อย่าง สอบกับพระธรรมศาสตร์มัธยมประเทศของอาจารย์แมกสมุเลอ ได้คำแปลดังนี้
๑ | อิณํ ธนํ | หนี้สิน | Nonpayment of debts | |||
๒ | สนฺนิธานํ | ของฝาก | Deposit and pledge | |||
๓ | อสกํ | มิใช่ของตน | Sale without ownership | |||
๔ | ปริกีณิตํ | หุ้นส่วน | Concerns among partners | |||
๕ | อธมฺมธนวิภาคํ | แบ่งสินมิเป็นธรรม | Partition of inheritance | |||
๖ | ธนํ ทตฺวา ปจฺฉา คเณฺห | ให้สินแก่เขาแล้วกลับคืนเอาเล่า | Resumption of gift | |||
๗ | ภติกสฺส ปลิโพโธ | ไม่ให้เงินค่าจ้าง | Nonpayment of wages | |||
๘ | พหุมชฺเฌ สุสมฺมุเข | ไม่ทำตามสัญญา | Nonperformance of agreement | |||
ยํ วจนํ กเกตฺวาน | ||||||
ปจฺฉา ปุน กเถนฺติ ตํ | ||||||
๙ | กีณิตฺวา ปุน อิจฺฉติ | ซื้อแล้วคืนเล่า | Recission of sale and purchase | |||
๑๐ | วิกีณิตฺวา วิวตฺตติ | ขายแล้วอยากได้คืน | ||||
๑๑ | ทฺวิปทา วา จตุปฺปทา | วิวาทเหตุสวิญญาณกทรัพย์ | Dispute between owner of cattle and his servants | |||
สพฺเพ มนุสฺสภตฺติกา | ||||||
๑๒ | ปฐวีวิภตฺติวาจา | แบ่งที่ดินเรือกสวนไร่นา | Dispute regarding boundaries | |||
๑๓ | อญฺญํ โทสปโรหิตํ | ใส่ความท่าน | Defamation | |||
๑๔ | ปรฆาฏํ | ฆ่าฟันท่าน | Assault, robbery and violence | |||
๑๕ | ฆรํ คจฺเฉ | ลัก ทำชู้ | Theft and adultery | |||
๑๖ | อิตฺถิปุริสวิกเต | ลักษณผัวเมีย | Duties of man and wife | |||
๑๗ | วิภตฺติธนเหตุ | ลักษณแบ่งสิน | Partition of inheritance | |||
๑๘ | อกฺขวตฺตปริภาโค | ลักษณเล่นการพนัน | Gambling and betting |
แสดงมูลแห่งตุลาการ ๑๐ ประการ
อินทฺภาโส ธมฺมานุญฺโญ | สกฺขิ จ สกฺขิเฉทโก | |
อญฺญมญฺญํ ปฏิภาโส | ปฏิภาณญฺจ เฉทโก | |
อฏฺฏคาโห อฏฺฏกูโฏ | ทณฺโฑ โจทกเฉทโก | |
อกฺขทสฺสาทสญฺเจว | เอเต มูลา ปกิตฺติตา |
มูลคดีแห่งตุลาการ ๑๐ ประการที่แปลไว้ในกฎหมาย เทียบด้วยกฎหมายกรุงเก่า เปนดังนี้
๑ | อินฺทภาโส | อินฺทภาษ | ได้แก่ | ลักษณอินทภาษแลลักษณตุลาการ | ||||
๒ | ธมฺมานุญฺโญ | พระธรรมนูญ | ได้แก่ | พระธรรมนูญ | ||||
๓ | สกฺขี | พยาน | ได้แก่ | ลักษณพยาน | ||||
๔ | สกฺขิเฉทโก | ตัดพยาน | เอาไว้ใน | ลักษณรับฟ้อง | ||||
๕ | อญฺญมญฺญํ ปฏิภาโส | แก้ต่างว่าต่าง | เอาไว้ใน | ลักษณรับฟ้อง | ||||
๖ | ปฏิภาณญฺจ เฉทโก | ตัดสำนวน | เอาไว้ใน | ลักษณรับฟ้อง | ||||
๗ | อฏฺฏคาโห | รับฟ้อง | ได้แก่ | ลักษณรับฟ้อง | ||||
๘ | อฏฺฏกูโฏ | ประวิง | เอาไว้ใน | ลักษณรับฟ้อง | ||||
๙ | ทณฺโฑ | พรหมทัณฑ์ | เอาไว้ใน | กรมศักดิ์ | ||||
๑๐ | โจทกเฉทโก | ตัดฟ้อง | เอาไว้ใน | ลักษณรับฟ้อง |
อิณญฺจ รญฺโญ ธนโจรหารํ | อธมฺมทายชฺชวิภตฺตภาคํ | |
ปรสฺส ทานํ คหณํ ปุเนว | ภติกอกฺขปฺปฏิจารธุตฺตา | |
ภณฺฑญฺจ เกยฺยาวิกยาวหารํ | เขตฺตาทิอารามวนาทิฐานํ | |
ทาสึ จ ทาสํ ปหรญฺจ ขุํสา | ชายมฺปตีกสฺส วิปตฺติเภทา | |
สงฺคามโทสาปิ จ ราชทุฏฺโฐ | ราชาณสุงฺกาทิวิวาทปตฺโต | |
ปรมฺปสโยฺหปิ จ อตฺตาอาณํ | อีติยกาโร วิวโธ ปเรสํ | |
ฐานาวิติกกมฺมพลากเรน | ปุตฺตาทิอาทาคมนา สเหว | |
เหตุํ ปฏิจฺจมฺมธิการณํ วา | อคฺฆาปนายู จ ธนูปนิกฺขา | |
อาถพฺพนีกาปิ จ ภณฺฑเทยฺยํ | เต ตาวกาลีกคณีวิภาคํ | |
ปจฺจุทฺธรนฺตํ ตุ วิวาทมูลา | เอกูนติงฺสาทิวิธาปิ วุตฺตา | |
โปรากวีนา วรธมฺมสตฺเถติ |
มูลคดีวิวาท ๒๙ ประการที่แปลไว้ในกฎหมาย เทียบด้วยกฎหมายกรุงเก่า เปนดังนี้
๑ | อิณํ ธนํ | กู้หนี้ | ได้แก่ | ลักษณกู้หนี้ | ||||
๒ | รญฺโญ ธนโจรหารํ | ฉ้อพระราชทรัพย์ | เอาไว้ใน | ลักษณอาญาหลวง | ||||
๓ | อธมฺมทายชฺชวิภตฺตภาคํ | มรดก | ได้แก่ | ลักษณมรดก | ||||
๔ | ปรสฺสํ ทานํ คหณํ ปุเนว | ให้ปัน | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๕ | ภติกา | จ้างวาน | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๖ | อกฺขปฺปฏิจารธุตฺตา | เล่นพนัน | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๗ | ภณฺฑญฺจ เกยฺยาวิกยํ | ซื้อขาย | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๘ | อวหารํ | โจรกรรม | ได้แก่ | ลักษณโจร | ||||
๙ | เขตฺตาทิฐานํ | ที่นา | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๑๐ | อารามวนาทิฐานํ | ที่สวน | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๑๑ | ทาสึ ทาสํ | ทาส | ได้แก่ | ลักษณทาส | ||||
๑๒ | ปหรญฺจ ขุํสา | ตบตีด่าว่า | ได้แก่ | ลักษณวิวาท | ||||
๑๓ | ชายมฺปติกสฺส วิปตฺติเภทา | ผัวเมีย | ได้แก่ | ลักษณผัวเมีย | ||||
๑๔ | สงฺคามโทสา | สงคราม | ได้แก่ | ลักษณอาญาศึก | ||||
อยู่ในลักษณขบถศึก | ||||||||
๑๕ | ราชทุฏฺโฐ | ขบถ | ได้แก่ | ลักษณขบถ อยู่ใน | ||||
ลักษณขบถศึก | ||||||||
๑๖ | ราชาณํ | ลเมิดพระราชบัญญัติ | ได้แก่ | ลักษณอาญาหลวง | ||||
๑๗ | สุงฺกาทิวิวาทปตฺโต | อากรขนอนตลาด | เอาไว้ใน | ลักษณอาญาหลวง | ||||
๑๘ | ปรมฺปสฺโยฺห | ข่มเหงท่าน | ได้แก่ | ลักษณอาญาราษฎร์ | ||||
๑๙ | อีติยกาโร | ที่กระหนาบคาบเกี่ยว | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๒๐ | ฐานาวิติกกมฺมพลากร | บุกรุก | เอาไว้ใน | ลักษณอาญาราษฎร์ | ||||
๒๑ | ปุตตาทิอาทาคมนา สเหว | ลักพา | ได้แก่ | ลักษณลักพา | ||||
๒๒ | เหตุํ ปฏิจฺจ อธิกรณํ | สาเหตุ | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๒๓ | อคฺฆาปนายู | เกษียณอายุ | ได้แก่ | กรมศักดิ์ | ||||
๒๔ | ธนูปนิกฺขา | ฝากทรัพย์ | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๒๕ | อาถพฺพนิกา | กระทำกฤตยาคม | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๒๖ | ภณฺฑเทยฺยํ | เช่า | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๒๗ | ตาวกาลิกํ | ยืม | เอาไว้ใน | ลักษณเบ็ดเสร็จ | ||||
๒๘ | คณีวิภาคํ | ปันหมู่ชา | ให้แก่ | มูลคดีวิวาท | ||||
๒๙ | ปจฺจุทธรนฺตํ | อุทธรณ์ | ได้แก่ | ลักษณอุทธรณ์ |
กฎหมายกรุงเก่าอยู่นอกมาติกานี้ มีพระธรรมศาสตรเพราะเปนต้นมาติกา ๑ กฎมนเทียรบาล ๑
ที่หนังสือพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระเอกาทศรถทรงตั้งพระราชกำหนดกฎหมายพระอัยการ น่าเข้าใจว่า จะจัดประมวลกฎหมายเข้ามาติกาธรรมศาสตรอย่างว่ามานี้เอง แต่เมื่อข้าพเจ้าไปกราบทูลหาเรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีรับสั่งว่า คาถาที่ปรากฎในกฎหมายไทย ตั้งแต่คำนมัสการจนพระธรรมศาสตร สำนวนภาษามคธวิปลาศไม่เรียบร้อย คล้ายกับคาถาคำนมัสการในหนังสือไตรภูมิพระร่วง เกือบจะสันนิษฐานว่า ผู้แต่งเปนคนเดียวกันได้ ดังนี้
ทางภาษาในหนังสือเปนหลักสำหรับวินิจฉัยเวลาแลประเภทที่แต่งหนังสืออยู่อย่าง ๑ ซึ่งจะไม่นำพาไม่ได้ เมื่อปรากฎว่า มีคาถาซึ่งแต่งครั้งสุโขทัย (คือ คาถานมัสการในหนังสือไตรภูมิพระร่วง) แห่ง ๑ แลคาถาในพระธรรมศาสตร์กฎหมายไทยอีกแห่ง ๑ เปนสำนวนเดียวกัน ถ้าเชื่อว่า คาถาไตรภูมิพระร่วงแต่งครั้งสุโขทัย ก็จะเชื่อว่า คาถาพระธรรมศาสตร์ไทยแต่งครั้งสมเด็จพระเอกาทศรถไม่ได้อยู่เอง เพราะห่างกันหลายร้อยปีนัก จะว่า ได้พระธรรมศาสตรฉบับรามัญเข้ามาแต่ครั้งสุโขทัย แต่งคาถาพระธรรมศาสตรไทยขึ้นคราว ๆ เดียวกัน จัดกฎหมายเข้าเปนหมวดหมู่ตามพระธรรมศาสตรอย่างกล่าวมาแล้วแต่ครั้งสุโขทัย ส่วนข้างภาษาไทยในกฎหมาย ก็เห็นได้ว่า โดยมากเปนของแต่งใหม่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี เปนข้อขัดข้องแก่การที่จะตัดสินอยู่ มีทางที่จะสันนิษฐานอิกอย่าง ๑ คือ คาถาคำนมัสการเรื่องไตรภูมิพระร่วงนั้น ของเดิมภาษามคธจะไม่มี จะพึ่งมาแต่งขึ้นใหม่ในครั้งกรุงเก่า ถ้าเช่นนั้น ความสันนิษฐานที่ว่า พึ่งจัดกฎหมายเข้าหมวดพระธรรมศาสตรเมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถพอจะเปนได้ การสอบกฎหมายทางที่เนื่องด้วยพงศาวดารดังอธิบายมานี้แสดงโดยอัตโนมัติของข้าพเจ้า อาจจะผิดจะพลาดได้ ถ้าผิดพลาดไป ข้าพเจ้าขออภัยแก่ท่านผู้อ่าน