ข้ามไปเนื้อหา

เรื่องสั้น ๆ ของครูเทพ/เรื่อง 1

จาก วิกิซอร์ซ
พุทธสาสนากับการเผยแผ่แผนใหม่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการประชุมเรื่องพระพุทธสาสนาที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (พวกเหล่านี้เขาถือลัทธมหายาน) พุทธสาสนิกญี่ปุ่นและจีนผู้แตกฉานในการสาสนาและผู้ได้รับการศึกษาแผนปัจจุบันอันมีชื่อเสียงได้แสดงความเห็นในที่ประชุมนั้น รวมความพอเป็นเค้าเงื่อนได้ดังนี้—

เป็นหน้าที่สำคัญของพุทธสาสนิกที่จะแผ่สาสนาของตนไปในหมู่ชาวยุโรปและอเมริกา เพราะศิวิลัยเซชั่นของเขาเป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากทั่วโลกที่เกิดขึ้นแล้วบัดนี้ ด้วยความกดขี่และเอาชะนะกัน ศิวิลัยเซชั่นเช่นนี้ใช่อื่น คือ ปฏิปทาในทางที่มนุษย์จะทำลายมนุษย์ด้วยน้ำมือของมนุษย์เองเท่านั้น ความยุ่งยากทั้งปวงจะหาอะไรยิ่งไปกว่าเงินและอำนาจอันเป็นรากเง่าแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงเล่า? และถ้าจะว่าไปอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ความหลงไปในทางโลกมากเกินส่วน จนทางธรรมขาดไป นักปราชญ์ทางตะวันตกพิจารณาความเจริญแห่งมนุษย์ในทางไบโอโลยี (ชีวะวิทยา หรือวิทยาศาสตร์ว่าด้วยชีพรมทั้งสัตว์และพืช) เท่านั้น ความก้าวหน้า จึงเป็นไปเพื่อเพาะตัณหา คือ ความอยาก และเพื่อความเจริญอัตตะ คือ ตัวตน ซึ่งพุทธสาสนาสอนตรงข้าม คือ ให้เอาชนะตัณหา และให้ปราบอัตตะ โดยให้รู้จักอนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวตน ชาวตวันออกก็เผอิญเห็นความเจริญทางโลกีย์และอำนาจทางอาวุธขอชาวตวันตกเป็นวิเศษเสียด้วย จึงเลยกลายเป็นการช่วยกันส่งเสริมความยุ่งยากที่เกิดขึ้นแล้วบัดนี้ให้แผ่สร้านไปทั่วโลก การประทุษฐ์ร้ายกัน การสาละวนแต่จะกอบโกยเงิน เป็นของธรรมดา ส่วนพวกมั่งมี แม้เป็นพวกน้อยนิดเดียว ก็ปราบพวกมากมาย คือ ฝูงชนทั้งหลาย เอาไว้ในอำนาจได้ ชาติก็ปราบชาติ อย่างชนปราบชนโดยทำนองเดียวกัน มหาอำนาจสองสามประเทศเป็นผู้ชี้ต้นตายชี้ปลายเป็นของชาติทั้งหลายนับไม่ถ้วนในโลกนี้ ใครจะอยู่สุขด้วยวิธีของตนหาได้ไม่ ทั้งโลกจะต้องยุ่งเหยิงตามกันไปในวิธียุ่งเหยิงของชาวตวันตกที่เรียกว่า ศิวิลัยเซชั่น นี้เอง ความเจริญแก่โบราณอาศัยสาสนาและธรรม คือ คำสั่งสอนของศาสดาทั้งหลายเป็นที่ตั้ง แต่ความเจริญสมัยนี้อาศัยเงินและอำนาจเพื่อปฏิบัติตัณหา คือ ความอยากใหญ่ เป็นปัจจัย.

ความเจริญสมัยใหม่นี้ก็มี "สาสนาพระศรีอาริย์" เป็นที่หมายในเบื้องหน้าอยู่เหมือนกัน แต่การปกครองอย่างประชาบาล ที่เรียกว่า "เดมอคราซี" คือ เอาเสียงของราษฎรเป็นใหญ่ก็ดี หรือแม้ "โซเชียลิสซัม" ซึ่งจะให้มนุษย์เป็นมนุษย์เท่ากันหมดก็ดี ยังไม่แก้ความชั่วร้ายของ Capitalism (อำนาจเงิน) และความอุบาทวของ Imperialism (จักพรรดิเดช) ได้เลย พูดง่าย ๆ ก็คือ เงินและอำนาจยังได้ชัยชนะอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น วิธีประชาบาลเหล่านี้ก็ยังหาใช่ "สาสนาพระศรีอาริย์" แห่งความเจริญปัจจุบันไม่ แทนที่จะตั้งหน้าปราบผลร้ายต่าง ๆ เหล่านั้น เรามาช่วยกันตัดรากเง่าของมันมิดีกว่าหรือ? รากเง่าที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากเหล่านี้ ก็คือ ตัณหา ซึ่งพระพุทธสาสนารู้จักดีและสั่งสอนไว้มาก เหตุฉะนั้น สาสนาพุทธนี้แหละจะเป็น "สาสนาพระศรีอาริย์" ให้แก่ความเจริญแผนปัจจุบันนี้ คำสั่งสอนของขงจู๊ หรือพระเยซู หรือพระมหะหมัด เดี๋ยวนี้ไม่พอเสียแล้ว วิทยาศาสตร์เข้ามาทำให้คนเสื่อมคลายในคำสั่งสอนของศาสดานั้น ๆ ยังเหลือแต่พระพุทธสาสนาเท่านั้นที่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ดูหมิ่นได้ และที่จะช่วยแก้ความยุ่งยากแห่งสมัยใหม่ได้ ด้วยเหตุที่เป็นสาสนาสั่งสอนให้ปฏิบัติเพื่อรู้จักตน (รู้จักทุกข์ อนิจจฺ อนัตตา) อันเป็นมรรคาให้ขึ้นสู่ภูมิสูงจนถึงที่สึด คือ ความสำเร็จมรรคผล.

วิธีแผ่สาสนาพุทธเพื่อช่วยโลกนี้ ปฐมกิจที่จะต้องทำ ควรตั้งมหาวิทยาลัยกลางสำหรับสอนพุทธสาสนาและวิธีเผยแผ่ หลักสูตร์ของมหาวิทยาลัยนี้จะต้องสอนภาษาสำคัญต่าง ๆ สอนวิทยาศาสตร์ และสอน Philosophies ซึ่งเป็นของชาวตวันตกด้วย (ถ้าเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอย่างใหม่ดีถึงเพียงนี้ แม้ชาวยุโรปก็ดูถูกไม่ได้ กลับจะต้องนับถือ) ผู้สำเร็จวิชาจากมหาวิทยาลัยนี้จะเป็นธรรมกถึกหรือนักประพันธ์ผู้เผยแผ่พุทธสาสนาต่อไป การแสดงธรรมจะไม่ต้องคอยให้มีใครเชิญ ธรรมจะไม่ต้องคอยให้คนเข้ามาสู่ เพราะธรรมจะเข้าไปสู่คนเอง โดยมีคนอยู่ที่ไหน ธรรมก็จะเข้าไปที่นั่น ไม่ว่าตามถนนหรือในตลาด ในรถไฟหรือในเรือ ในโรงทหาร โรงพยาบาล โรงงาน คุกตรางทั่วไป (วิธีสาสนาใหม่ในยุโรปที่เรียกว่า Salvation Army เป็นเช่นนี้ทีเดียว) ความปรารถนาเบื้องต้น ก็คือ จะให้คนสามัญเกิดมีเมตตาจิตร์ต่อกันและกัน ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ และมีความเพียรในอันจะประกอบการเลี้ยงชีพ การสอนของของมหาวิทยาลัยนี้ นอกจากหน้าที่ทางอบรมมนุษย์ ยังมีหน้าที่ทำการสงเคราะห์โดยตรงเมื่อเกิดสงครามหรือมหาภัยต่าง ๆ ในเวลาปกติก็อุดหนุนทางกสิกรรม ช่วยคนยากไร้ คนชรา และหญิงหม้าย ให้ที่พักระหว่างทาง และช่วยในกิจการที่เป็นสาธารณะประโยชน์ทั่วไป (ดีกว่าสอนให้ปฏิบัติฉะเพาะตัวถ่ายเดียวซึ่งเขาติได้ว่า ตระหนี่)

หัวใจของพุทธสาสนานั้นไม่เลือกชาติไม่เลือกประเทศ ย่อมเผยแผ่ไปทั่สเมทนีดล องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสละครอบครัวและประเทศเพื่อสงเคราะห์สัตว์โลกแล้ว บรรดาศิษย์ผู้นับถือพระองค์ควรจะเอาอย่างพระองค์แผ่เมตตาจิตร์แก่เพื่อนมนุษย์ทั่วไป สาสนาใดที่ฉะเพาะชาติหรือซ้ำเป็นอุปกรณ์แห่งการเมือง สาสนานั้นในที่สุดก็ต้องเสื่อม พระพุทธสาสนาไม่มีเขาไม่มีเรา ย่อมแผ่ไปเพื่อความสุขแห่งสัตว์โลกทั้งมวญ จึงควรเป็นสาสนาของโลก (และเป็นสาสนาพระศรีอาริย์ให้ศิวิลัยเซชั่นหรือความเจริญสมัยใหม่นี้ได้จริง ๆ)

ที่ประชุมนี้ เมื่อได้ตกลงในทางการหลายข้อแล้ว ก็ได้ตกลงตั้งชุมนุมสมาคมพุทธสาสนากลางขึ้น ชุมนุมสมาคมนี้จะเป็นที่ตั้งแห่งการเผยแผ่พระบรมพุทโธวาท เพื่อประโยชน์แก่โลกสืบไป สำนักงานใหญ่จะตั้งที่เมืองจีนหรือเมืองญี่ปุ่น เขาหากล่าวไว้ด้วยไม่ แต่ถ้าหากจะมาตั้งในประเทศสยาม ข้าพเจ้าก็ไม่ขัดข้อง ถึงเขาสเออะเรียกพวกเราว่า หินยาน และเมื่อประชุมกัน ก็ไม่อยากบอกเรา หรือบอก แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบ อันที่จริง พวกนี้ไม่สู้ล้าหลังสมัยนัก เห็นสำคัญในการศึกษาแผนปัจจุบันอยู่มาก ดังวิชาที่จะสอนในมหาวิทยาลัยเป็นตัวอย่าง ความคิดอ่านก็น่าเอ็นดู แต่ความทยานอยากจะให้สาสนาของตัวเป็นสาสนาของโลก และเป็นสาสนาพระศรีอาริยเมตตรัยของศิวิลัยเซชั่นแผนปัจจุบัน จะเป็นผลแห่งการศึกษาของเขา หรือเป็นเพียงเมตตาจิตร์ซื่อ ๆ หรือเป็นตัวตัณหาเองที่อยากเป็นเจ้าโลก หรือทั้งสามอย่างคละกัน ก็ขอให้ท่านผู้อ่านวินิจฉัยเองเถิด.

มหายานหรือหินยานดังเขาให้ชื่อ หรืออุตตรนิกายหรือทักษิณนิกายดังเราอยากจะเรียกก็ดี ย่อมเป็นลัทธิพระพุทธสาสนาด้วยกัน ในสมัยเนื่องด้วยวันวิสาขชุณมีแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดาจารย์แห่งเรา เราจึงมาพร้อมเพรียงกันกระทำสักการะบูชาโดยระลึกถึงคุณพระรัตนไตรด้วยประการฉะนี้.