เหตุใดไทยจึงพูดซ้อนคำ ฯลฯ/ผู้วายชนม์

จาก วิกิซอร์ซ
พระราชพัสดุรักษ์ (เนตร เนตรศิริ)

ประวัติพระราชพัสดุรักษ์

พระราชพัสดุรักษ์ (เนตร เนตรศิริ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ณบ้านในตลาดพลู คลองบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เป็นบุตรคนที่ ๒ ของนายพลาย มหาดเล็ก และนางสำฤทธิ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๖ คน ซึ่งขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่คนเดียว คือ นายช่วง เนตรศิริ น้องคนสุดท้อง

พระราชพัสดุรักษ์มีบุตรซึ่งมีอายุอยู่จนเป็นผู้่ใหญ่ คือ

๑. นายร้อยตรี ขุนทัศนวิภาค (ชิต เนตรศิริ) ประจำกรมแผนที่ทหารบก (ถึงแก่กรรมแล้ว)

๒. นางยุติกรดำรงสิทธิ์ (เชื้อ รสานนท์) ภรรยาพระยุติกรดำรงสิทธิ์ ข้าราชการสังกัดกระทรวงยุตติธรรม

๓. พระประมณฑ์ปัญญา (ประมณฑ์ เนตรศิริ) รับราชการกระทรวงเศรษฐการ

๔. นายแพทย์อรุณ เนตรศิริ ประจำศิริราชพยาบาล

๕. นางสาวพจนา เนตรศิริ

๖. นายไพบูลย์ เนตรศิริ

เมื่ออายุได้ ๘ ปี พระราชพัสดุรักษ์ได้ไปอยู่กับพระอาจารย์เผือกซึ่งเป็นลุงณสำนักวัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) ตำบลคลองบางกอกใหญ่ และได้ศึกษาวิชาหนังสือไทยและมคธจากสำนักนั้น

พระราชพัสดุรักษ์ได้เริ่มเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็กเวรเดชเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๓ ขณะมีอายุได้ ๑๗ ปี มีตำแหน่งเป็นมหาดเล็กยาม และมีหน้าที่เป็นพนักงานน้ำร้อน ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ ๘ บาท

พระราชพัสดุรักษ์ได้รับราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะตลอดมาเป็นเวลา ๔๗ ปี จึงได้ออกจากราชการ รับพระราชทานบำนาญเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ขณะออกจากราชการ ได้รับพระราชทานเงินเดือน ๆ ละ ๓๐๐ บาท

พระราชพัสดุรักษ์ได้รับพระราชทานยศทางกรมมหาดเล็กเป็นรองหัวหมื่น และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ตามลำดับ ดังนี้:—

พ.ศ. ๒๔๓๓ เป็นนายราชภัณฑ์ภักดี

พ.ศ. ๒๔๓๗ เป็นหลวงราชบุตรบำรุง

พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นพระสมานบริกร

พ.ศ. ๒๔๖๐ เป็นพระราชพัสดุรักษ์

ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศรืยาภรณ์ในรัชชกาลที่ ๕ คือ

ตรามงกุฎ ชั้นที่ ๕

ตราช้างเผือก ชั้นที่ ๕

เหรียญราชรุจิยากาไหล่ทอง

เหรียญประพาศยุโรป

เหรียญทวีธาภิเศกเงิน

เหรียญรัชมงคลเงิน

เหรียญรัชมังคลาภิเศกเงิน

เข็มพระชนมายุสมงคล

ในรัชชกาลที่ ๖ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ คือ

ตรามงกุฎ ชั้นที่ ๔

ตราช้างเผือก ชั้นที่ ๔

เหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ ๔

เหรียญราชรุจิยากาไหล่ทอง

เหรียญจักรพรรดิมาลา

เข็มข้าหลวงเดิม

เข็มพระบรมนามาภิธัย

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕ พระราชพัสดุรักษ์ ครั้งยังเป็นนายราชภัณฑ์ภักดี ได้ย้ายมาประจำโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวัง และมีหน้าที่เป็นพระอภิบาลของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ และหม่อมเจ้าในพระเจ้าน้องยาเธออีกหลายพระองค์ซึ่งทรงศึกษาวิชาณโรงเรียนนั้น โดยเหตุที่พระราชพัสดุรักษ์มีหน้าที่ราชการดังนี้ จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงราชบุตรบำรุง (อาลักษณ์คิดนามถวายว่า หลวงบำรุงราชบุตร แต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงแก้เป็น หลวงราชบุตรบำรุง)

พระราชพัสดุรักษ์ได้มีโอกาสตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาศหัวเมืองต่าง ๆ แทบทุกคราว และนอกประเทศได้ตามเสด็จถึงสิงคโปร์และปีนัง ในสมัยรัชชกาลที่ ๖ ก็ได้มีโอกาสตามเสด็จประพาศหัวเมืองหลายครั้ง แม้พื้นความรู้เดิมจะได้มาจากวัด โดยที่สมัยนั้นไม่มีโรงเรียนดี ๆ จะเรียนเหมือนสมัยนี้ก็ตาม แต่โดยเหตุที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายตลอดมา จึงเท่ากับได้เข้าวิทยาลัยชั้นสูงวิทยาลัยหนึ่ง เป็นเหตุให้พระราชพัสดุรักษ์มีการศึกษาทางวัฒนธรรมเป็นอย่างดี ทำให้มีสติปัญญา ความชั่งใจ และความคิดความเห็นอันไม่ล้าสมัย แม้แต่บุตรหลานที่ได้มีโอกาสเข้าโรงเรียนดี ๆ และได้เคยไปต่างประเทศมามาก ถึงคราวจนปัญญาเข้า ก็ยังต้องมาพึ่งความคิดความเห็น และมักจะได้รับคำแนะนำที่ตนเองคิดไม่ถึงกลับไปเสมอ

พระราชพัสดุรักษ์มีนิสสัยมัธยัสถ์ แต่ไม่เหนียวแน่น ในการทำบุญทำทาน แม้จะตั้งต้นชีวิตด้วยได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเพียงปีละ ๘ บาท และได้เงินเดือนในตอนออกจากราชการเพียงเดือนละ ๓๐๐ บาท ก็ยังอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบไว้หาผลประโยชน์โดยชอบธรรมตามพระราชกำหนดกฎหมาย สระสมทรัพย์ไว้บำรุงตนและครอบครัวให้เป็นสุขได้ทั่วกัน อุปถัมภ์บุตรให้ได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุดที่จะพึงทำได้ และประกอบการกุศลทาน สร้างถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณะประโยชน์ไว้หลายอย่าง แม้เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว ก็ยังมีมรดกตกเหลือเป็นเครื่องเกื้อกูลภรรยาและบุตรหลานพอควรแก่อัตตภาพ

พระราชพัสดุรักษ์เชื่อมั่นในพุทธภาษิตว่า "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนของตนเป็นที่พึ่งตนเอง และได้นำหลักนี้มาใช้แก่บรรดาบุตรที่เติบโดไปแล้วทุกคน ทั้ง ๆ ที่ได้เคยเป็นพระพี่เลี้ยงเจ้านายมา แต่ก็ยังมีเจ้านายบางพระองค์ไม่ทราบว่า บุตรของพระราชพัสดุรักษ์รับราชการอยู่กับพระองค์ จนกระทั่งได้ทรงทราบเองโดยเผอิญ

พระราชพัสดุรักษ์เป็นผู้รักษาอนามัยจัด และเคร่งในการกินอยู่หลับนอนมาก ถึงเวลาอาบน้ำ ต้องอาบ ถึงเวลานอน ต้องนอน ถึงเวลารับประทาน ต้องรับประทาน ไม่มีการรับประทานนอกเวลาเลย ทั้งเป็นผู้ชอบออกกำลังกายเสมอ และการออกกำลังกายของท่าน ก็คือ ใช้แครงรดน้ำสวน ซึ่งท่านได้ทำเป็นอาจิณ แม้พวกลูก ๆ ซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มก็ไม่ทนออกแรงด้วยวิธีนี้อยู่ได้นานเท่ากับท่านซึ่งมีอายุถึง ๘๐ เศษ

พระราชพัสดุรักษ์ป่วยเป็นลมอัมพาตถึงแก่กรรมโดยอาการสงบดุจคนนอนหลับเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๘ เวลา ๕ นาฬิกา ณบ้านคลองบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี

พระราชพัสดุรักษ์เป็นบุคคลชะนิดที่เรียกว่า สร้างตนเองเป็นพุทธมามกะ เป็นผู้ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม มีความซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที เป็นที่พึ่งของบุตร ภรรยา และญาติมิตร เป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยจะป่วยไข้ เป็นผู้ได้รับราชการนานถึง ๔๗ ปี และมีอายุยืนยาวถึง ๘๒ ปี เมื่อถึงคราวมรณภาพ ก็มิได้ป่วยไข้ทนทุกข์ทรมาน เมื่อสิ้นชีพไปแล้ว ก็มิได้ทำให้บุตรภรรยาได้รับความเดือดร้อน ดังที่เรียกกันว่า คนตายขายคนเป็น จึงนับว่า เป็นผู้ที่มาดีและไปดีด้วยประการทั้งปวง.

เจ้าภาพ
วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒