ไซอิ๋ว/เล่ม ๑/ตอน ๑๑

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๓๕–๒๖๑ สารบัญ



เมื่อขณะพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้สวรรคตนั้น พระวิญญาณเคลิบเคลิ้มดุจเมื่อเวลานอนหลับฝัน วิญญาณนั้นออกจากพระราชวังไป ทอดพระเนตรเห็นไปว่า ทหารรักษาพระองค์มาเชิญเสด็จให้พระองค์เที่ยวประพาสป่า พระองค์ก็เสด็จประทับยังราชรถ แล้วเสด็จไปได้สักครู่หนึ่ง ทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นก็หายไป พระองค์เห็นดังนั้นก็ตกพระทัย ลงจากราชรถทรงพระดำเนินไปแต่พระองค์เดียวอยู่ในพงป่ารก พระองค์ยิ่งตกพระทัยสะดุ้งหวาด จะหาหนทางที่จะเดินออกไปก็ไม่มี พอได้ยินเสียงคนร้องมาข้างหลังพระองค์ว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จมาถึงที่นี่แล้วหรือ พระองค์ได้ยินก็ตกพระทัย จึงเหลียวไปดู ก็เห็นคนผู้นั้นใส่หมวกดำพนมมือคุกเข่าคำนับอยู่ข้างริมทางเดิน แล้วผู้นั้นจึงทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด ข้าพเจ้ามารับเสด็จช้าไป

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสถามว่า ท่านนี้คือผู้ใด ทุยปังจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าเมื่ออยู่ในมนุษยโลกนั้นเป็นขุนนางของพระเจ้าเชียงหงวนฮ่องเต้ ข้าพเจ้าแซ่ ทุย ชื่อ ปัง บัดนี้ ข้าพเจ้าลงมาอยู่ในเมืองนรกนี้ได้เป็นสมุห์บัญชีใหญ่สำหรับตรวจดูคนเกิดแลตาย เมื่อวันก่อน ข้าพเจ้าเห็นพระยาเล่งอ๋องลงมาบอกแก่ข้าพเจ้าว่า จะกล่าวโทษพระองค์ต่อพระยาเงียมฬ่ออ๋อง ข้าพเจ้าจึงคิดว่า พระองค์จะต้องลงมา จึงได้มาคอยรับพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าช้าไปนั้น ขอพระองค์ได้โปรดพระราชทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นมีพระทัยยินดียิ่งนัก จึงจับมือทุยปังแล้วตรัสว่า ขอบใจท่านอุตสาหะทนลำบากมาคอยรับเรา เราขอบใจท่านเป็นอันมาก แล้วจึงตรัสแก่ทุยปังว่า งุยเต็งซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของเรานั้นมีหนังสือฉบับหนึ่งฝากมาถึงท่านจีนแส บังเอิญมาพบท่านดังนี้ก็ดีแล้ว แล้วพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงชักหนังสือออกจากมือเสื้อส่งให้ทุยปัง ทุยปังคำนับรับหนังสือจากพระหัตถ์ แล้วทุยปังคลี่ออกอ่าน ในใจความว่า ข้าพเจ้า งุยเต็งผู้น้อง ขอคำนับแจ้งความมายังท่านทุยปังผู้พี่แลที่นับถือของข้าพเจ้าทราบ ด้วยข้าพเจ้าคิดถึงเมื่อเวลาเคยเที่ยวอยู่ด้วยกันกับท่านเมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก มาบัดนี้ ไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของท่าน เพราะต่างคนต่างอยู่ จะได้พบก็แต่เมื่อเวลาฝัน ข้าพเจ้าพึ่งทราบว่า ท่านได้เลื่อนที่มีเกียรติยศขึ้น ก็มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง แต่ขัดด้วยอยู่คนละแห่ง ไม่รู้ที่ว่าจะทำอย่างไรได้ บัดนี้ มีเหตุด้วยเจ้าของข้าพเจ้าสวรรคตลงมายังเมืองล่าง คงจะได้โต้ตอบด้วยธุระความอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านผู้เป็นที่นับถือช่วยธุระในการซึ่งเกิดมีในพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าขอฝากพระเจ้าแผ่นดินของข้าพเจ้าไว้ในท่าน แลขออุบายของท่านให้ช่วยแก้ไขให้พระองค์ได้กลับมายังมนุษยโลกด้วยสติปัญญาแห่งท่าน พระคุณของท่านจะอยู่แก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้

ครั้นทุยปังอ่านหนังสือทราบความตลอดแล้วทุกประการก็มีความยินดียิ่งนัก จึงทูลแก่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า งุยเต็งนั้นเมื่อวันก่อนได้ถอดหัวใจไปฆ่าพระยาเล่งอ๋อง การนั้นข้าพเจ้าได้ทราบก่อนแล้ว ขอบคุณเขาได้ไปเยี่ยมบุตรนัดดาของข้าพเจ้าอยู่เสมอ ๆ บัดนี้ ได้ฝากหนังสือมาให้ข้าพเจ้า ขอพระองค์จงวางพระทัย ไว้เป็นธุระข้าพเจ้า จะให้พระองค์ได้กลับไปยังมนุษยโลกเสวยราชสมบัตินานไปได้อีก

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นมีพระทัยยินดียิ่งนัก สรรเสริญคุณขอบใจทุยปัง แล้วทอดพระเนตรเห็นที่ข้างริมถนนมีเด็กเชงอี ท่งจือ สองคนถือธงแลสัปทนมาทูลว่า บัดนี้ พระยามัจจุราช คือ เงียมฬ่ออ๋อง สั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญพระองค์เสด็จไปยังปราสาทซิมล้อเต้ย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้น พระองค์จึงตรัสชวนทุยปัง แลเชงอี ท่งจือ ทั้งสอง ดำเนินไป บัดเดี๋ยวก็ถึงกำแพงเมืองมีประตูบานใหญ่เป็นเหล็กเลื่อนขึ้นไป ขันรอกไว้ข้างบน ที่ประตูกำแพงเมืองเห็นป้ายแขวน มีอักษรใหญ่ตัวทองเจ็ดตัวอ่านได้ความว่า ฮิวเป๊งตี้ฮู้กุ๊ยมึงกวน แปลว่า ประตูเมืองผียมโลก

ท่งจือทั้งสองนำพระองค์เข้าในกำแพงเมือง เดินไปตามถนนประมาณสักครู่หนึ่ง ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าถังโกโจ พระราชบิดา เดินหน้า หลีปั้นป้า พระอนุชา เดินตามหลังสวนทางมา พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ดีพระทัย จะกระทำคำนับ รูปทั้งสองก็หายไป

ครั้นเดินต่อไปอีกก็เห็นหลีเกียนเสง หลีง่วนกิจ พี่น้อง กับอึงท้ายสวย คนใช้ เดินสวนทางมา คนทั้งสามเห็นจึงออกขวางหน้า ร้องว่า หลีซิบิ๋นมาแล้วหรือ ก็เข้ายึดเอามือพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตกพระทัย จะหลบหลีกก็หาทันไม่ คนทั้งสามก็เข้ายึดชายเสื้อไว้

ทุยปังเห็นดังนั้นก็ร้องเรียกยมบาล ยมบาลหน้าเขียวมีเขี้ยวมาตวาดให้คนทั้งสามนั้นถอยไป

กวนเสง กับง่วนกิจ อึงท้ายสวย ได้ยินเสียงยมบาลตวาดดังนั้นก็ตกใจ จึงได้ปล่อยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้แล้วก็วิ่งหลบหายไป

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จไปสักครู่หนึ่ง ก็แลเห็นตึกเป็นแถวเรียงรายดูเรียบร้อยสง่างาม พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้หยุดยืนพิจารณาดู เห็นข้างในจัดแจงประดับประดูงดงามยิ่งนัก หน้าประตูมีโคมแขวนอยู่คู่หนึ่ง บัดเดี๋ยว แลเห็นพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบลงจากบันไดเดินออกมาคำนับรับพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ทรงคำนับพระยาเงียมฬ่ออ๋องเป็นอันดี แล้วพระองค์ตรัสแก่พระยาเงียมฬ่ออ๋องว่า ขอเชิญท่านทั้งสิบเดินไปก่อน

พระยามัจจุราชจึงพูดว่า พระองค์เป็นเจ้ามนุษย์ ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นเจ้าฝ่ายเมืองผี พระองค์ควรทรงพระดำเนินก่อน จึงจะถูกต้องด้วยแบบอย่าง

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ต้องคดีเขาฟ้องร้อง ท่านทั้งหลายเป็นตุลาการ ควรจะเดินหน้าข้าพเจ้า จึงจะชอบ

เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบก็จะให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เดินไปข้างหน้าก่อน ต่างเถียงกันไปมาหลายหน เงียมฬ่ออ๋องพูดว่า เชิญท่านผู้อยู่เมืองบนเดินขึ้นหน้าไปก่อน ข้าพเจ้าทั้งสิบหาความรังเกียจมิได้เลย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบไม่มีความรังเกียจแล้ว จึงได้ทรงพระดำเนินไปก่อน ครั้นถึงซิมล้อเต้ยแล้ว ต่างคำนับกันนั่งที่ตามสมควร

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ประทับอยู่สักครู่หนึ่ง พระยามัจจุราชที่หนึ่ง คือ ชีนก๊วง จึงถามพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า ข้าพเจ้าขออนุญาตพระองค์ จะขอถามความสักข้อหนึ่ง คือ พระยาเล่งอ๋องแม่น้ำเกียฮ้อนั้นมาร้องว่า พระองค์ได้รับคำแก่เขาว่าจะช่วยให้พ้นซึ่งโทษนั้น แล้วกลับให้งุยเต็ง ขุนนางของพระองค์ ไปฆ่าเขาถึงแก่ความตายนั้น การเป็นจริงอย่างไร ขอพระองค์ได้โปรดชี้แจงให้ข้าพเจ้าทั้งสิบทราบโดยละเอียดเถิด

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ฟังพระยามัจจุราชถามดังนั้น จึงตอบว่า การทั้งนี้ข้าพเจ้ารับได้ว่า จริง แต่ไม่ทราบว่า งุยเต็งถอดดวงจิตได้ ซึ่งพระเจ้าเง็กเซียงฮ่องเต้มีรับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชฌฆาตฆ่าพระยาเล่งอ๋องนั้น ในเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ได้เรียกงุยเต็งให้เข้ามาอยู่ในพระราชวัง ข้าพเจ้าได้ชวนงุยเต็งเล่นหมากรุกอยู่ ก็หวังใจว่า งุยเต็งคงจะมิได้ไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องได้ ครั้นประเดี๋ยวหนึ่ง เห็นงุยเต็งม่อยหลับไปสักครู่หนึ่ง แล้วก็ตื่นขึ้นเล่นหมากรุกด้วยข้าพเจ้าอีกต่อไป ข้าพเจ้าหาได้ทราบว่า งุยเต็งถอดดวงจิตไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องไม่ การที่ข้าพเจ้าได้รับปากไว้ก็ได้ช่วยเต็มกำลังอยู่แล้ว หาได้ทอดทิ้งธุระของพระยาเล่งอ๋องไม่ ซึ่งโทษของพระยาเล่งอ๋องถึงแก่กรรมตายด้วยการจำเป็นอยู่อย่างนี้ จะมาเอาโทษแก่ข้าพเจ้าผู้ไม่มีความผิด เป็นแต่จะช่วยก็ช่วยไม่ตลอดเท่านั้น จะถูกหรือ ขอท่านทั้งสิบจงโปรดวินิจฉัยให้เป็นยุติธรรมเถิด

ฝ่ายพระยามัจจุราชทั้งสิบได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้การชี้แจงดังนั้น ก็เห็นจริง พร้อมกันคำนับ แล้วจึงตอบว่า พระยาเล่งอ๋องนี้เมื่อจะปฏิสนธิมาเกิดเป็นใหญ่อยู่ในบาดาล ในสารบบเกิดตายของน่ำเต๊าแชกุนนั้นก็ได้กำหนดแน่แล้วว่า พระยาเล่งอ๋องนี้จะต้องตายด้วยมืองุยเต็ง ขุนนางในเมืองมนุษย์ ด้วยเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ได้ทราบอยู่ก่อนแล้ว แต่พระยาเล่งอ๋องมาฟ้องร้องให้ชำระ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทราบว่า พระองค์จะลงมา คงจะได้สอบถามให้ทราบซึ่งความจริงแลเท็จว่า จะเป็นประการใด ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ไดส่งพระยาเล่งอ๋องให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉานแล้ว ข้าพเจ้าทั้งหลายขอขมาโทษเพราะรีบรัดให้พระองค์ลงมา ขอพระองค์ได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด

พระยามัจจุราชทั้งสิบพูดดังนั้นแล้วจึงเรียกทุยปัง สมุห์บัญชี ให้เอาสารบบบัญชีเกิดตายมาตรวจดูว่า พระองค์จะรับความสุขนั้นได้สักเท่าใด

ทุยปังได้ยินพระยามัจจุราชทั้งสิบสั่งดังนั้น ก็รีบเข้าไปในห้องบัญชี หยิบเอาสารบบมหากระษัตริย์ที่อยู่ในชมพูทวีปมาตรวจดูตั้งแต่ต้นลงไป ดูมาจนถึงพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ใช้ย่อว่า เจงกวน กำหนดเสวยราชสมบัติได้สิบสามปีแล้ว จึงหยิบเอาพู่กันเขียนเติมบนอักษรหนึ่งนั้นอีกสองแต้ม สิบสามกลับเป็นสามสิบสาม มากขึ้นไปอีกยี่สิบปี ครั้นทุยปังเขียนเติมลงแล้วก็เอาสารบบนั้นมาสั่งให้พระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องดู เงียมฬ่ออ๋องจึงตรวจดูมาถึงยี่ห้อ จงกวน คือ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะได้เสวยราชสมบัติสามสิบสามปี เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบตกใจ จึงถามพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า พระองค์เสวยราชสมบัติมาได้กี่ปีแล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงตอบว่า ข้าพเจ้าครองราชสมบัติมาได้สิบสามปีแล้ว

เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า พระองค์จงวางพระทัยเถิด ด้วยพระองค์ยังจะทรงพระชนม์อยู่ในราชสมบัติอีกยี่สิบปี ซึ่งพระองค์ลงมาครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องตลอดแล้ว พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะส่งพระองค์กลับขึ้นไปยังมนุษยโลก

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็กระทำคำนับขอบใจพระยามัจจุราชทั้งสิบโดยความยินดี

เงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบจึงสั่งทุยปัง จูท้ายอุ้ย ขุนนางทั้งสอง ให้ไปส่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ขึ้นไปยังมนุษยโลก ขุนนางทั้งสองก็เชิญพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้เสด็จ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็คำนับลาเงียมฬ่ออ๋องโดยเคารพ เงียมฬ่ออ๋องก็คำนับตอบแล้วก็ตามออกมาส่งยังประตูนอก

เมื่อพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จออกมานอกประตูแล้ว จึงถามเงียมฬ่ออ๋องว่า บนเมืองข้าพเจ้า ฝ่ายข้าราชการสบายดีอยู่หรือเป็นประการใด ท่านทราบโปรดให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง

เงียมฬ่ออ๋องจึงบอกว่า บนเมืองของท่านนั้น ข้าราชการสบายดีอยู่ด้วยกันหมด วิตกแต่น้องสาวของพระองค์เห็นอายุจะไม่ยืนไปนาน

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่เงียมฬ่ออ๋องว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปแล้ว ไม่มีสิ่งของใดที่จะนำมาขอบคุณท่าน มีแต่ผลแตงโมงามดี จะให้คนนำมาฝากท่านโดยความนับถือ

เงียมฬ่ออ๋องได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กลับไป

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงดำเนินไป จูท้ายอุ้ยถือธงนำหน้า ทุยปังตามหลัง พระองค์เสด็จออกจากกำแพงเมืองนรกแล้วก็เดินตามขุนนางซึ่งนำหน้า เมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินอยู่ ได้ทอดพระเนตรไปตามหนทางที่พระองค์เคยมา พระองค์เห็นมิใช่ทางเก่า จึงถามว่า ทางนี้มิผิดไปแล้วหรือ

ทุยปังจึงทูลว่า ในเมืองนรกนี้ แม้ได้ออกไปแล้ว หนทางนี้ไม่มีกลับมาได้ ข้าพเจ้าจึงจะส่งพระองค์ออกไปทางนี้ อีกประการหนึ่ง หวังจะพาพระองค์ให้เที่ยวทอดพระเนตรขุมนรกแล้วจึงจะส่งพระองค์ไปยังรูปเดิม

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นแล้วก็เดินตามขุนนางทั้งสองไป

ครั้นถึงภูเขาหนึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมลงมาถึงพื้นดิน พระองค์จึงตรัสถามว่า ที่แห่งนี้เรียกว่า ภูเขาอะไร

ทุยปังจึงทูลว่า ในนรก ภูเขานี้เรียกว่า ป๊วยอิมซัว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้เห็นแล้วก็มีพระทัยหวั่นหวาด จึงตรัสแก่ทุยปังว่า ทำไฉนเราจึงจะไปได้ ทุยปังทูลว่า พระองค์จงวางพระทัยเถิด ข้าพเจ้าทั้งสองจะนำพระองค์ไปให้จงได้

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงฟังขุนนางทั้งสองกราบทูลดังนั้นก็เสด็จตามไป แต่พระทัยให้ระรัวแลไม่เป็นสมประดี

ครั้นข้ามพ้นเขานั้นมาแล้ว เดินมาถึงแห่งหนึ่งเข้า เห็นขุมนรกหลายขุม ได้ยินแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญออกแซ่หู จึงตรัสถามทุยปังว่า แห่งนี้เป็นอะไร จึงได้ยินเสียงแต่คนร้องคร่ำครวญออกแซ่ไป

ทุยปังจึงทูลว่า ที่แห่งนี้เป็นหลังเขาป๊วยอิมซัว มีขุมนรกสิบแปดขุม

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงถามว่า เป็นอย่างไรจึงเรียกสิบแปดขุม

ทุยปังทูลว่า ขุมที่หนึ่งเรียกว่า เตี้ยวกึนเง็ก คือ ทำโทษเอาศิลาก้อนใหญ่แขวนติดกับมือแลเท้า แล้วเอาเชือกผูกกลางตัวแขวนขึ้นไว้ในที่สูง ขุมที่สองเรียกว่า ฮิ่วตัวเง็ก คือ ขังอยู่ในที่มืดไม่มีแสงสว่าง ขุมที่สามเรียกว่า ฮ้วยกังเง็ก คือ จับคนที่มีโทษใส่ในบ่อไฟซึ่งกำลังไฟลุกอยู่มิรู้ดับ สามขุมนี้ คือ มนุษย์ทำบาปทำกรรมหลายประการต้องมารับโทษเหล่านี้ ขุมที่สี่เรียกว่า ฮองโตเง็ก คือ มีหนอนตัวโตเท่าลำตาลเกาะกินที่ปากนักโทษเป็นอาหาร ขุมที่ห้าเรียกว่า ปัดจี้เง็ก คือ เอาเบ็ดเกี่ยวลากเอาลิ้นออก ขุมที่หกเรียกว่า เล็กฝอยเง็ก คือ ทำโทษถลกหนังออก แล้วเอาน้ำเกลือน้ำแสบราดรด สามขุมนี้คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ไม่ซื่อตรง ไม่มีความกตัญญู แลไม่ถือศาสนา แลพูดว่า ตัวเป็นคนดี ปากหวาน หน้าพระ ใจดุจงู เพราะฉะนั้น ตายแล้วจึงต้องมาทนทรมานอยู่ในขุมทั้งสามนี้ ขุมที่เจ็ดเรียกว่า บั้วซิเง็ก คือ เอานักโทษใส่ในสีหิน แล้วหมุนสีจนละเอียด ขุมที่แปดเรียกว่า ชัดเต๊าเง็ก คือ เอาคนโทษใส่ในครกหิน แล้วก็ตำจนละเอียด ขุมที่เก้าเรียกว่า เซียปังเง็ก คือ จับนักโทษนอนลง แล้วเอาเกวียนเหล็กเข็นขึ้นทับบนตัว สามขุมนนี้ คือ คนอยู่บนมนุษยโลกดวงจิตมืดมัวไม่เสมอ แต่งฝีปากพูดให้คนหลงเสียทรัพย์แลความสุขต่าง ๆ ครั้นตายแล้วต้องลงมาสู่กรรมทรมานทุกข์อยู่ในสามขุมนี้ ขุมที่สิบเรียกว่า ห่านจุ๊ยเง็ก คือ เอานักโทษใส่ในน้ำหนาวซึ่งมีกลิ่นเหม็นอย่างที่สุด ขุมที่สิบเอ็ดเรียกว่า ทุกขราชเง็ก คือ เอาคนโทษถลกหนังทั้งตัว ให้แร้งกาปากเหล็กจิกกิน ขุมที่สิบสองเรียกว่า ชูเตี่ยงเง็ก คือ เอาคนโทษลากไส้ออกมา สามขุมนี้ คือ คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ทำบาปด้วยการค้าขายฉ้อด้วยปากสัดปากทะนานแลตาชั่งตาเต็ง แลดูถูกคนโง่คนจน เพราฉะนั้น ครั้นเมื่อตายแล้วจึงต้องมาตกนรกอยู่ในสามขุมนี้ ขุมที่สิบสามเรียกว่า อิ้วฮ้อเง็ก คือ เอาคนโทษใส่ในหม้อน้ำมันต้มจนละเอียด ขุมที่สิบสี่เรียกว่า เฮกอ่ำเง็ก คือ เอาคนโทษขึ้นบนม้าไม้ แล้วเอาเลื่อยชักกลางตัว ขุมที่สิบห้าเรียกว่า โตซัวเง็ก คือ เอานักโทษโยนขึ้นเขาดาบ สามขุมนี้ คือ คนที่อยู่ในมนุษยโลกทำบาปด้วยใช้อำนาจเบียดเบียดคนซื่อตรงซึ่งตั้งอยู่ในทานศีลภาวนะให้ได้ความเดือดร้อน ทั้งวาจาก็สอพลอ แลมีใจอันริษยาให้เขาได้ความขุ่นหมองใจเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อตายแล้วต้องลงมาเกิดในนรกสามขุมนี้ ขุมที่สิบหกเรียกว่า ฮ่อยตี้เง็ก คือ เอานักโทษใส่ลงไปในบ่อโลหิตให้กินน้ำเลือด ขุมที่สิบเจ็ดเรียกว่า ออพี่เง็ก คือ เอานักโทษทรมานใส่ในบ่อน้ำกรดให้มีแต่ความเจ็บแสบทุกเวลาไม่มีเวลาหยุด ขุมสิบแปดเรียกว่า ฉิ่นเซียนเง็ก คือ เอานักโทษเกี่ยวขึ้นตาเต็ง สามขุมนี้คนทำบาปในมนุษยโลกนั้นคิดอุบายล่อลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว แลคิดฆ่าชีวิตเขาเอาทรัพย์ แลเลี้ยงสัตว์ฆ่าสัตว์ขาย เพราะทำบาปเหล่านี้ ครั้นตายแล้วจึงลงมาตกนรกอยู่ในสามขุมนี้ ยากที่จะพ้นได้ แลไม่มีเวลาที่จะกลับตัวได้ เรียกฟ้าเรียกดินก็ไม่ช่วยได้ หน้านิ่วคิ้วย่นอกใจให้ระรัวสั่นหวาดเสียวขุ่นหมองอยู่ทุกชั่วลมหายใจเข้าออก เพราะเหตุนี้ ผู้ซึ่งอยู่ในมนุษยโลกไม่ควรจะมีความประมาทประพฤติความชั่วกระทำการอกุศล ควรจะรีบคิดถึงตนที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นชาติอันประเสริฐ ควรแสวงหาสรณะที่พึ่งถึงพระรัตนตรัย คิดให้เห็นความไม่เที่ยงที่จะอยู่ในโลกนี้ ไม่ทราบว่า เวลาใดความแตกความดับจะมีมาถึงตน เกิดมาแล้วเปรียบเหมือนปล่อยมือจากยอดตาลอันสูง มีอย่างเดียวแต่ที่จะลิ่วลอยลงมากระแทกกับพื้นพสุธาดลฉันใด ไม่ต่างแกผู้ที่เกิดมามีรูปกายชีวิตแล้วก็มีแต่ความจะแตกความดับ คือ แก่ เจ็บ ตาย วิโยค พลัดพราก เท่านั้น ทำชั่วก็จะไปสู่ที่ชั่ว ทำดีก็จะไปสู่ที่ดี

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังทุยปังพรรณนาขุมนรกทั้งสิบแปดขุมให้ฟังทุก ๆ ขุมแล้ว ในพระทัยให้หวาดเสียวสะดุ้งกลัวเป็นที่สุด ครั้นแล้วก็เลยมาสักประเดี๋ยว แลเห็นพวกยมบาลถือธงมานั่งคอยรับอยู่ที่สะพาน ทุยปังแลเห็นแล้วจึงร้องเรียกพวกยมบาลให้เดินนำหน้าข้ามสะพานทองไป

ยมบาลทั้งหลายได้ฟังดังนั้นต่างก็ถือธงนำเดินข้ามสะพานไป

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เมื่อเดินตามยมบาลไปถึงกลางสะพาน จึงทอดพระเนตรแลไปข้างริมนั้นมีอีกสะพานหนึ่งเรียกว่า สะพานเงิน บนสะพานเห็นคนเดินข้ามไปมา เห็นยมบาลถือธงนำหน้า คนที่เดินตามเหล่านั้นแต่งกายงดงามสามสี่คน เห็นจะเป็นคนมีความกตัญญูซื่อตรง เห็นเดินตามพวกถือธงนั้นไป แลอีกข้างหนึ่งก็มีสะพาน ใต้สะพานเห็นมีลมคลื่นเป็นฟูฝอยล้วนแต่น้ำเลือดเสียงร้องไห้ออกแซ่เซ็งไปไม่หยุด

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสถามทุยปังว่า สะพานนี้ชื่ออะไร ทุยปังทูลว่า สะพานนี้เรียกว่า ใน่ห่อเกี้ยว ถ้าพระองค์กลับไปมนุษยโลกแล้ว อย่าลืม ขอพระองค์จงแสดงให้ทราบทั่วกัน คือ สถานนี้ยาวได้หนึ่งโยชน์ กว้างสามเกรียก สูงแลลึกร้อยศอก ราวที่จับอาศัยนั้นไม่มี ใต้สะพานมีสิ่งของที่ร้ายกาจต่าง ๆ แลข้างริมสะพานทั้งสองข้างนั้นมียมบาลดุร้ายคอยขยับเขี้ยวคำรามจะคอยประหารอยู่ใต้สะพานนี้ พวกที่ต้องทรมานโทษทนทุกขเวทนาอยู่หาที่เปรียบมิได้

ผู้ซึ่งมาตกอยู่ใต้สะพานนี้ก็เพราะเดิมทำบาปกรรมด่าว่าคนผู้ใหญ่ที่มีศีลมีธรรม แลจิตใจก็มัวหมองหมกมุ่นด้วยเมถุนธรรมไม่มีประมาณ มาตกอยู่ใต้สะพานนี้ ถูกสุนัขปากเหล็ก งูทองแดง แย่งกันกัดเคี้ยวกินเป็นภักษาหารทนทุกขเวทนาไม่มีวันที่จะพ้นได้

เวลาทุยปังกราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้อยู่นั้น ฝ่ายพวกยมบาลก็คำนับลากลับไผ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีพระทัยหวาดเสียว พระกายสั่นระรัวไปทั้งพระองค์ ทุยปัง จูท้ายอุ้ย จึงนำพระองค์กำเนินต่อไป พอข้ามพ้นเขตสะพานชื่อใน่ห้อเกี้ยวแลพ้นแม่น้ำเลือดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวก็มาถึงแห่งหนึ่งมีกำแพงล้อมเรียกว่า กำแพงอ้วงเซี้ย แปลว่า กำแพงกันพวกผีปิศาจที่ตายโหง พระองค์ได้ยินเสียงร้องเรียกว่า หลีซิบิ๋นมาหรือ หลีซิบิ๋นมาแล้ว

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ยินเรียกดังนั้นก็มีความสะดุ้งหวาดในพระทัย แล้วทอดพระเนตรไปเห็นพวกหนึ่งศีรษะไม่มีเป็นอันมาก ปิศาจผีเหล่านั้นก็กรูกันมากั้นหน้าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไว้ แล้วก็ร้องทวงชีวิตว่า จงเอาชีวิตของเรามา ท่านจงเอาชีวิตของเราคืนมา เมื่อพระองค์ได้ยินปิศาจร้องดังนั้น ในพระทัยให้หวาดเสียวสะดุ้งกลัว จึงร้องเรียกทุยปังว่า ท่านจงช่วยเราด้วยเถิด

ทุยปังจึงทูลว่า แม้พระองค์มีเงินหรืออีแปะ ข้าพเจ้าจึงจะช่วยพระองค์ได้

ทุยปังจึงทูลว่า พวกปิศาจตายโหงเหล่านี้ คือ พวกที่พระองค์คุมทหารไปเที่ยวรบพุ่งฆ่าฟันตายในเมื่อคราวรบกันนั้น ครั้นวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่มีที่จะอาศัย ด้วยตนมิได้ทำกุศลอันใดไว้ เพราะฉะนั้น จึงมิได้ไปเกิดในที่ดี ๆ ต้องมาอยู่ทนทุกขเวทนาอยู่อย่างนี้ แลมีความอดอยาก ไม่มีเสบียงแลโสหุ้ยจะได้เจือจานให้อิ่มได้ ถ้าพระองค์มีเงินหรืออีแปะให้ทานแจกให้แก่สัตว์จำพวกนี้ ข้าพเจ้าจึงจะช่วยได้

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นจึงตอบว่า เราลงมาโดยทางข้อความส่วนหนึ่ง หามีเงินแลอีแปะติดตัวเรามาไม่ จะเอาที่ไหนมาให้ทานเล่า ทุยปังจึงว่า มีคนผู้หนึ่งมีเงินหลายคลังได้ฝากไว้ในเมืองนรกนี้ ขอพระองค์ได้ทำหนังสือขอยืม ข้าพเจ้าจะรับเป็นประกันให้ ถ้าพระองค์กลับไปยังมนุษยโลกแล้ว จึงค่อยคืนเงินให้แก่ท่านผู้นั้น

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสถามทุยปังว่า คนผู้เจ้าของเงินอยู่ที่ไหน

ทุยปังกราบทูลว่า คนเจ้าของเงินนั้นอยู่ในอาณาเขตของพระองค์ในหัวเมืองห้อล้ำ คายฮองฮู้ แซ่ เซียง ชื่อ เลี้ยง มีเงินสิบสามคลัง พระองค์จงยืมสักคลังหนึ่งแจกให้ทาน แล้วเมื่อพระองค์กลับขึ้นไปจึงใช้ให้เซียงเลี้ยงเสีย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น แล้วจึงทำหนังสือยืมเงิน ให้ทุยปังลงชื่อรับประกัน

ทุยปังจึงให้ผู้รักษาคลังเบิกเงินขนเงินออกมากองไว้นอกคลัง แล้วพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงเอาเงินนั้นให้จูท้ายอุ้ยแจกให้แก่พวกผีสัตว์นรกเหล่านั้นพอเป็นเสบียงโสหุ้ยเท่า ๆ กัน แล้วทุยปังจึงร้องประกาศแก่พวกผีทั้งหลายว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงหลีกออกไปให้พ้น ข้าพเจ้าจะบอกแก่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ทำการกุศลแผ่อานิสงส์ให้พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้ไปเกิดที่สุขคติ

ฝ่ายพวกผีสัตว์นรกทั้งหลายครั้นได้รับทานแจกแล้ว แลได้ฟังทุยปังพูดดังนั้น ต่างก็คำนับ แล้วก็กลับไปที่อยู่ของตน

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ครั้นแจกทานแล้ว พระองค์ก็ดำเนินไปกับด้วยทุยปังแลท้ายอุ้ย ออกมาพ้นที่นั้นแล้วเดินมาถึงแห่งหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นมีคนหลายจำพวก แลมีประตูอยู่หกประตู พระองค์จึงตรัสถามทุยปังว่า ที่แห่งนี้มีทางอยู่หกทาง เรียกว่า ทางอะไร

ทุยปังกราบทูลว่า ที่แห่งนี้ คือ แสดงว่า สัตว์ทั้งหลายซึ่งยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเวียนเกิดแลเวียนตายยังหาแน่ลงไม่ ในแห่งนี้ยังมีอีกนามหนึ่งเรียกว่า จ๊วนล้วนเต๊า แปลว่า วนเวียน คือ หกทางนี้ ผู้ใดตั้งอยู่ในกรรมบถสิบ ก็ได้ไปเกิดในทางเทวดา ผู้ใดซื่อสัตย์กตัญญู ก็ได้ไปเกิดในมนุษย์ ผู้ใดจิตใจมากไปด้วยโทสะ ก็ได้ไปเกิดในทางยักษ์ ผู้ใดตระหนี่เหนียวแน่น ในจิตคับแคบ ก็ไปเกิดในทางเปรตอสุรกาย ผู้ใดจิตตั้งไปในอันฆ่าสัตว์ แลฉ้อโกง แลเป็นมิจฉาทิฐิ ก็ไปเกิดในนรก ผู้ใดจิตมักพลิกแพลง ไม่มั่นคง ไม่ซื่อตรง เป็นคนอกตัญญู ก็ไปเกิดในทางสัตว์เดรัจฉาน ขอพระองค์จงจำไว้ เมื่อกลับไปยังมนุษยโลกแล้ว จงประกาศบอกให้รู้ทั่วกัน คนทั้งหลายจะได้ไม่ประพฤติความชั่วร้าย ประกอบแต่การดี กุศลผลบุญจะได้แก่พระองค์เป็นอันมาก

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น ก็ทรงกำหนดจดจำไว้ในพระทัยโดยละเอียด

ทุยปัง ครั้นกราบทูลให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงทราบทุกประการแล้ว จึงพาพระองค์ไปทางมนุษย์ ครั้นถึงต้นทางแล้ว ทุยปังก็คำนับทูลว่า ขอพระองค์จงตรงไปทางนี้ ข้าพเจ้าขอลากลับไปแล้ว ถ้าพระองค์กลับไปถึงแล้ว พระองค์จงจำให้ได้ ซึ่งจะทำการมหากุศลนั้นอย่าได้ลืมเสียเลย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสตอบว่า ขอบใจท่านอุตส่าห์มาตามส่งโดยทางไกลแลชี้แจงให้ข้าพเจ้าได้ทราบการดีแลชั่วทุกประการ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปถึงแล้ว คงจะไม่ลืมถ้อยคำของท่านที่พร่ำสอนแนะนำให้แก่ข้าพเจ้า ขอเชิญท่านจงกลับไปเถิด ทุยปังคำนับลาแล้วก็กลับไป

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ครั้นทุยปังกลับไปแล้ว ก็ทรงพระดำเนินไปกับท้ายอุ้ยตามทางมนุษย์นั้น เวลาที่เดินมาตามทางนั้น ท้ายอุ้ยแลไปเห็นม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ริมทางที่จะไป มีบังเหียนเครื่องเบาะอานพร้อม ท้ายอุ้ยจึงจับม้าตัวนั้นยึดไว้ แล้วเชิญพระเจ้าแผ่นดินถังให้ขึ้นทรงม้า

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นดังนั้น จึงขึ้นทรงม้า แล้วก็ขับไปโดยเร็วดุจลูกเกาทัณฑ์ ท้ายอุ้ยตามรักษาอยู่ข้างม้าพระที่นั่งติดไปด้วยกัน

ครั้นมาถึงแห่งหนึ่ง เห็นแม่น้ำใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ทอดพระเนตรดูกระแสน้ำ เห็นปลากิมหลีฮื้อคู่หนึ่งผุดโผล่ว่ายเวียนเล่นกันอยู่ พระองค์รอม้าพระที่นั่งทอดพระเนตรปลาจนเพลินเผลอพระทัยไป ท้ายอุ้ยแลเห็นดังนั้นจึงร้องว่า พระองค์ทำไมจึงหยุด ไม่รีบขับม้า ถ้ารออยู่ช้าจะเสียเวลาเปล่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้หลงดูปลาเพลินพระองค์ ไม่ใคร่จะขับม้าพระที่นั่งไปได้ ท้ายอุ้ยจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ทำไมจึงยังไม่ไปเล่า ว่าแล้วก็เข้าตบหลังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ แล้วก็ผลักพระองค์ลงไปในแม่น้ำ วิญญาณของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ออกพ้นจากเมืองนรกกลับมายังเมืองมนุษย์ วิญญาณก็กับปฏิสนธิต่อติดกับรูปเดิม

ฝ่ายไท้ฮ่องเฮ้า กับฮ่องเฮ้า นางพระสนมทั้งหลาย กับพวกข้าราชการขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งพร้อมกันไว้ทุกข์ตามประเพณีทุก ๆ คน มาประชุมพร้อมกันที่แปะเฮ้าเต้ยที่ตั้งพระศพไว้นั้น ไท้ฮ่องเฮ้า กับฮ่องเฮ้า แลขุนนางทั้งหลายปรึกษากันคิดจะตั้งฮ่องไทจือ พระราชโอรส ขึ้นเสวยราชสมบัติ แต่งุยเต็ง ขุนนางผู้ใหญ่ พูดขัดไว้ว่า ท่านทั้งหลายจงคอยรออีกสักเวลาหนึ่งเถิด พระองค์จะกลับคืนมา

ฝ่ายเค้าเก๊งจงซึ่งเป็นพระราชวงศ์เจ้าผู้ใหญ่จึงพูดว่า ท่านงุยเต็งพูดดังนี้จะมิผิดไปหรือ วิสัยน้ำหกจากถ้วยแล้ว จะกลับคืนเข้าถ้วยได้หรือ ซึ่งท่านพูดดังนี้ ข้าพเจ้าสงสัยอยู่

งุยเต็งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้เคยเรียนทางโหราศาสตร์มีทิพจักษุ จึงได้เห็นแลรู้ได้ว่า พระองค์คงจะไม่สวรรคตเป็นแน่ กำลังเค้าเก๊งจงพูดอยู่กับงุยเต็งดังนั้นก็พอได้ยินเสียงร้องว่า ทำไมจึงบังคับให้เราตายดังนี้เล่า

เวลาที่กำลังประชุมพร้อมกันทุก ๆ คนได้ยินเสียงในหีบพระศพร้องเสียงดังออกมาดังนั้น ก็ตกใจทุก ๆ คน ต่างคนต่างไม่อาจเข้าใกล้หีบพระศพ ขุนนางทั้งหลายก็กรูมาอยู่ที่ชีมงกงกับงุยเต็งทั้งสิ้น ที่ใจกล้า คือ ซินซกโป๊ กับอวยชีจง ก็พากันขึ้นบนพระแท่นที่ตั้งหีบใส่พระศพ แล้วถวายบังคมคุกเข่าลงข้างหีบพระศพ แล้วจึงร้องกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด พระองค์ล่วงไปไม่วางพระทัยด้วยราชการสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว พวกข้าพระองค์อยู่ที่นี้พร้อมกันแล้ว จงรับสั่งเถิดตามที่พระองค์ทรงพระวิตก พวกข้าพระพุทธเจ้าจะรับฉลองพระเดชพระคุณตามรับสั่ง อย่าได้ทรงหลอนหลอกดังนี้เลย พวกข้าราชการทั้งหลายจะพากันตกใจกลัว

ในทันใดนั้น งุยเต็งพูดว่า ไม่ใช่หลอกหลอกอะไรดอก คือพระองค์จะฟื้นคืนมาเป็นแน่แล้ว พวกพนักงานจงเร่งเอาเครื่องมือมาเปิดฝาหีบโดยเร็ว

ครั้นเปิดฝาหีบขึ้นแล้ว ก็เห็นพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นนั่งอยู่ในหีบ ตรัสว่า เมื่อแต่กี้ใครทำให้เราตาย นี่ใครมาช่วยแก้ให้เรารอดชีวิตมาเล่า

ชีมงกงจึงเข้าประคองพระองค์ แล้วทูลว่า ขอพระองค์จงเสด็จออกจากหีบเถิด พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมาเฝ้าอยู่พร้อมกันในที่นี้แล้ว

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงลืมพระเนตร ทรงตรัสว่า เมื่อแต่กี้เรารับหนีพวกปิศาจร้ายมาปะแม่น้ำ จะจมน้ำตายเสียแล้ว

ขุนนางทั้งหลายจึงทูลถามว่า พระองค์พบแม่น้ำอะไรที่ไหน

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า เราขี่ม้ารีบมาถึงแห่งหนึ่งมีแม่น้ำใหญ่ เราเห็นปลากิมหลีฮื้อสองตัวเล่นน้ำอยู่ริมฝั่ง เราดูเพลินไป ท้ายอุ้ยมีความดูถูก ผลักเราลงไปในน้ำ จมน้ำแทบจะสิ้นชีวิต

งุยเต็งได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ดังนั้น จึงทูลว่า วิญญาณของพระองค์ยังไม่ปรกติ ขอเชิญพระองค์เสด็จออกจากหีบเถิด ว่าแล้วก็เข้าพยุงพระเจ้าแผ่นดินออกจากหีบให้ขึ้นประทับบนพระแท่น แล้วให้ขันทีเรียกไทอุย หมอหลวง เข้ามาโดยเร็ว ครั้นหมอหลวงเข้ามาถึงแล้วก็ประกอบพระโอสถถวาย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยพระโอสถแล้ว พระทัยก็เป็นปรกติ คิดตั้งแต่วันสวรรคตมาจนถึงวันที่ฟื้นคืนมารวมเป็นสามวัน ครั้นพระองค์ฟื้นแล้ว พระทัยก็เป็นปรกติ ไม่มีความกระวนกระวาย ในเวลานั้นจวนจะค่ำอยู่แล้ว ขุนนางทั้งหลายเห็นพระองค์เป็นปรกติดีอยู่ จึงพร้อมกันถวายบังคมลาออกจากพระราชวังใน

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าที่พระบรรทมตลอดราตรี พระทัยก็เป็นปรกติ มีความสำราญในพระทัย มิได้มีวี่แววหวาดเสียวสิ่งใด พอเวลาจวนรุ่ง พระองค์ก็ตื่นจากพระบรรทม ทรงแต่งพระองค์ ครั้นเสร็จแล้ว พอสว่างดี พระองค์ก็เสด็จออกขุนนาง ประทับยังพระที่นั่งบัลลังก์แก้วมังกร ขุนนางทั้งซ้ายขวาก็ถวายบังคมพร้อมกัน แล้วต่างก็นั่งที่ตามลำดับยศ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายจะมีกิจสิ่งใดก็จงบอกเรามาเถิด ถ้าไม่มีกิจธุระสิ่งใดก็จงพากันกลับบ้านของท่านเถิด

เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้น ขุนนางฝ่ายขวา คือ ชีมงกง กับงุยเต็ง ฝ่ายซ้าย คือ ซินซกโป๊ ฮืนคาช้อ อวยชีจง ห้านายนี้ ลุกมาพร้อมกันจากที่ คุกเข่าลงตรงหน้าที่นั่ง ถวายบังคม แล้วจึงทูลว่า พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตในเหตุซึ่งประชวนเหตุใดจึงได้ช้านัก ขอพระองค์จงโปรดเล่าเรื่องที่พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสเล่าความในเมืองนรกให้ขุนนางทั้งปวงฟังโดยละเอียดทุกประการ แล้วพระองค์รับสั่งต่อไปว่า เราได้รับคำสั่งของพระยามัจจุราชทั้งสิบว่า ถ้าเรากลับมาถึงแล้ว จะฝากแตงโมไปตอบคุณพระยามัจจุราช แลเมื่อเราออกจากซิมล้อเต้ยแล้วเดินกลับมาตามทาง ได้เห็นคนที่ทำบาป แลคนไม่ซื่อ ไม่ตรง อกตัญญู กระทำซึ่งปาณาติบาตฆ่าสัตว์ ฉ้อลัก คดโกง กระทำตาชั่งตาเต็ง แลกาเมสุมิจฉาจาร พลิกแพลง กลับกลอก คิดอุบายให้เขาผู้อื่นได้ความเดือดร้อนแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงต้องตกลงไปอยู่ในนรก ได้รับโทษใส่ครกตำศีรษะ เผาไฟ ถลกหนัง ต้มน้ำมันบ้าง ลอกหนัง เกี่ยวเบ็ด ทำทรมานให้ได้ความลำบากต่าง ๆ เราเห็นแล้วก็หวาดเสียว ครั้นพ้นแห่งนั้นมาแล้วถึงอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า กำแพงเมืองผีตายโหง ในกำแพงนั้นผีตายโหงมากนับไม่ถ้วน เมื่อเราเดินมาถึง พวกผีเหล่านั้นกรูกันมาล้อมขวางหน้าเราไว้ เดินไปหาได้ไม่ ได้พึ่งทุยปังเป็นประกันยืมเงินของเซียงเลี้ยงอยู่ที่เมืองห้อล้ำ เอาเงินนั้นออกบริจาคแจกเป็นทานให้แก่พวกผีเหล่านั้น แล้วจึงได้เดินมาได้ ทุยปังได้สั่งเราว่า ถ้ากลับมายังมนุษยโลกแล้ว จงทำมหากุศลอุทิศส่งไปให้พวกผีเหล่านั้น พวกผีเหล่านั้นจะได้พ้นจากเวรกรรม ได้ไปเกิดในที่ชอบ การเป็นดังนี้ ท่านทั้งหลายจงทราบเถิด

ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสเล่าดังนั้น ก็พร้อมกันสรรเสริญพระบารมีของพระองค์หาที่เปรียบมิได้ แล้วขุนนางผู้ใหญ่จึงสั่งให้ทำหมายประกาศบอกกันให้รู้ทั่วทั้งไพร่บ้านพลเมืองว่า จะทำบุญเป็นการฉลองพระเจ้าแผ่นดินถังเป็นการกุศลใหญ่

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานกรมเมืองปล่อยนักโทษในกองมหันตโทษประมาณสี่ร้อยคนกว่า โปรดปล่อยให้กลับไปบ้านเรือนทุก ๆ คน

ฝ่ายพวกนักโทษทั้งหลายมีความชื่นชมยินดีถวายพรแก่พระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็พากันกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเรือนตน

ครั้นเสร็จการปล่อยนักโทษแล้ว พวกขุนนางจึงทำหนังสือปิดตามประตูเมืองให้ทราบทั่วกันว่า ด้วยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้กำหนดจะบริจาคทานให้แก่คนกำพร้าอนาถากระยาจก แลสนมข้างในพระองค์ก็โปรดปล่อยให้ออกไปตามอัธยาศัยของตัวทุกคนประมาณสามพันหกร้อยคน ครั้นเสร็จการกุศลแล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์แต่งหนังสือเป็นคำสั่งสอนปิดไว้ทุก ๆ ประตูในแลนอกพระนคร ไพร่บ้านพลเมืองให้รู้ทั่วกัน ในหนังสือนั้นมีความว่า

ฟ้าดินกว้างใหญ่ พระอาทิตย์พระจันทร์ส่องแสงสว่าง อาณาเขตกว้างยาว เทวดาเทพารักษ์มิได้เข้าแก่คนผิดชั่วร้ายอันมีอุบายคดโกงต่าง ๆ ผลกรรมที่ตนกระทำลงไว้แล้วจะให้ผลแก่ตนจงได้

ผู้ที่ซื่อตรง สุจริต กตัญญู มีเมตตาปรานี แลอดทนไม่ไหลไปตามความปรารถนา ได้สร้างสมกุศลผลกรรมส่วนชอบ คงจะติดตามมอบความสุขในโลกนี้แลโลกหน้า คนพาลสันดานชั่วร้ายร้อยพันคนจะสู้คนสุจริตอันตั้งอยู่ในยุติธรรมแต่คนหนึ่งก็มิได้ คนมีพาหนะแลฤทธิ์เดชเชี่ยวชาญอย่างไรก็สู้บุญกุศลไม่ได้ ผู้ซึ่งมีมารยากระทำให้ผู้อื่นเห็นว่า ตนเป็นคนดีมีเมตตาจิต อุตส่าห์ดูคัมภีร์แลตำราหวังให้คนทั้งหลายนิยม แต่ดวงจิตกอปรไปด้วยทุจริตลามก คนผู้นั้นแม้จะเป็นผู้รู้พระคัมภีร์ของพระอริยะเจ้าก็ป่วยการเล่าเรียนเสียเปล่า ๆ เพราะตนมิได้รับรสพระสัทธรรม

สิ้นคำสั่งสอนของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้แต่เท่านี้ ครั้นชาวเมืองทั้งหลายได้ดูได้อ่านได้ฟังก็พากันมีความพอใจ คนที่มีความศรัทธา จิตก็ตั้งอยู่ในทางกุสลด้วยกันทุกคน ๆ ในเวลานั้น รับสั่งให้อาลักษณ์แต่งหนังสือประกาศหาผู้ที่จะรับอาสานำแตงโมไปให้พระยาเงียมฬ่ออ๋องยังเมืองนรก ขุนนางเจ้าพนักงานก็ทำประกาศไปปิดไว้ตามรับสั่งทุกประตูเมือง แล้วพระองค์รับสั่งแก่อวยชีจงให้เบิกเงินพระคลังข้างที่นำไปยังเมืองห้อล้ำใช้ให้เซียงเลี้ยง อวยชีจงได้รับสั่งแล้วก็เบิกเงินนำไปยังเมืองห้อล้ำตามรับสั่ง

เมื่อปิดประกาศที่ประตูเมืองได้สักสามวัน มีชายผู้หนึ่งแซ่ เล่า ชื่อ ช้วน เป็นคนอยู่ตำบลเมืองกุนจิ๋ว เล่าช้วนเป็นคนมีทรัพย์บริบูรณ์ มีบุตรด้วยสองคน เมื่อวันจะมีเหตุ นางลี้จุ๋ยเน้ย ภรรยาเล่าช้วน เห็นหลวงจีนมาเรี่ยไรการบุญ นางมีใจศรัทธา ถอดกำไลออกจากข้อมือถวายให้หลวงจีนไป เล่าช้วนเห็นดังนั้นก็มีความโกรธ จึงพูดคำเสียดสีต่าง ๆ ว่า ภรรยาไม่อยู่ในอำนาจสามีอย่างนี้ ทำเอาตามใจของตนเอง นับว่า เป็นหญิงอย่างหยาบเลวที่สุด

นางลี้จุ๋ยเน้ยได้ยินผัวพูดเสียดสีหยาบคายดังนั้น นางให้มีความอัปยศแก่คนทั้งหลายยิ่งนัก นางมีความโทมนัสเป็นกำลัง ครั้นเล่าช้วนมีกิจธุระมิได้อยู่บ้าน นางจึงให้บุตรทั้งสองนอนหลับ แล้วนางก็เอาผ้ามาผูกคอของนางเองแขวนที่ริมฝาเรือนขาดใจตาย

ฝ่ายเล่าช้วนครั้นเสร็จธุระแล้วกลับมาบ้านเห็นนางลี้จุ๋ยเน้ย ภรรยา ผูกคอตายเสียแล้ว ก็ร้องไห้เศร้าโศกไปต่าง ๆ ครั้นค่อยคลายความโศกลงแล้ว จึงเอาศพภรรยาไปฝังเซ่นไหว้ แล้วก็กลับมาบ้านเห็นบุตรร้องไห้ ด้วยว่าบุตรยังกินนมอยู่ ผู้เลี้ยงเด็กไม่มีนมจะให้เด็กกิน เด็กก็ร้องทั้งกลางวันแลกลางคืน

เล่าช้วนเห็นดังนั้นก็เสียใจเป็นอันมาก ไม่อยากจะเห็นบุตรเพราะรำคาญใจ ครั้นหมายประกาศปิดประตูเมืองได้สองสามวัน เล่าช้วนก็ตรึกตรองว่า เราตายเสียดีกว่า เพื่อจะได้ลงไปเมืองนรกพบแก่ภรรยาของเรา ตกลงในใจดังนั้นก็ละบุตรแลทิ้งเรือนเสีย ออกจากบ้านตรงไปยังประตูเมืองฉีกเอาหมายประกาศ แล้วก็เข้ามายังพระราชวัง ให้เจ้าพนักงานนำเข้าเฝ้าพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะขออาสานำแตงโมไปถวายพระยามัจจุราช ณ เมืองนรก

ขณะนั้น กำลังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ยังประทับตรัสอยู่กับขุนนาง เห็นเล่าช้วนเข้ามาอาสาจะนำแตงโมไปถวายพระยามัจจุราชดังนั้น พระองค์มีความยินดีพระทัยยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เล่าช้วนไปยังหอกิมเต็ง เล่าช้วนก็ถวายบังคมลาไปตามรับสั่ง พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งแก่ขุนนางทั้งหลายให้เลือกแตงโมผลใหญ่สองผลใส่ถาดทองเอาไปยังหอกิมเต็งจัดแจงให้เล่าช้วนเอาไป

ฝ่ายขุนนางทั้งหลายได้ฟังรับสั่งดังนั้น ก็พากันถวายบังคมลาออกมาจัด เสร็จแล้วจึงพากันมายังหอกิมเต็ง จึงให้เล่าช้วนคุกเข่าลง แล้วเอาถาดแตงโมวางบนศีรษะเล่าช้วน ข้อมือก็ให้ผูกอีแปะทองคำของหลวง ปากให้อมยาพิษ ครั้นยาพิษแล่นไปทั่วสรรพางค์กาย เล่าช้วนก็นิ่งแน่ไป วิญญาณก็ออกจากรูป ศีรษะก็ทูนถาดแตงโมนั้นไป ครั้นวิญญาณของเล่าช้วนมายังประตูชื่อ กุ๊ยหมึงกวน เล่าช้วนจึงบอกแก่นายประตูว่า ได้เอาแตงโมลงมาถวายเงียมฬ่ออ๋อง

ฝ่ายทหารผีที่เฝ้าประตูเมื่อได้ฟังเล่าช้วนบอกดังนั้นแล้วก็นำเล่าช้วนมายังปราสาทซิมล้อเต้ย ครั้นถึง เล่าช้วนก็เอาแตงโมเข้าไปตั้งข้างใน คุกเข่าลงคำนับ แล้วก็ทูลว่า ข้าพเจ้าผู้ได้ถือรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้นำแตงโมมาถวายฉลองพระเดชพระคุณ ขอพระองค์ได้ทราบ

พระยาเงียมฬ่ออ๋องทั้งสิบจึงพูดว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีบุญบารมีมาก ทั้งมีความสัตย์ไม่เสื่อมคลาย พูดดังนั้นแล้วจึงให้พนักงานรับเอาผลแตงโมไปเก็บไว้ แล้วจึงถามเล่าช้วนว่า เจ้าอยู่ที่ไหน

เล่าช้วนว่า ข้าพเจ้าอยู่ตำบลบ้านกุนจิ๋ว แซ่ เล่า ชื่อ ช้วน เพราะด้วยนางลี้จุ๋ยเน้ย ภรรยาข้าพเจ้า ผูกคอตายทิ้งลูกเล็กไว้สองคน ข้าพเจ้ามีความเสียใจ จึงได้ทิ้งบ้านเรือแลบุตรสองคนเสีย เข้ารับอาสาฉลองพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินถังเอาแตงโมมาถวายพระองค์ดังนี้

พระยามัจจุราชได้ฟังเล่าช้วนบอกดังนั้น จึงสั่งให้ยมบาลไปตรวจดูวิญญาณของนางลี้จุ๋ยเน้ย ถ้าอยู่จงรีบพาเอามาโดยเร็ว

ยมบาลได้ฟังรับสั่งเงียมฬ่ออ๋องดังนั้นก็รีบไปเที่ยวหาวิญญาณนางลี้จุ๋ยเน้ย ครั้นพบแล้วก็นำวิญญาณนั้นมา ครั้นดวงจิตของนางลี้จุ๋ยเน้ยเข้ามาเห็นเล่าช้วนผู้สามีแล้ว ผัวเมียก็ร้องไห้รักกัน ครั้นคลายความโศกลงบ้างแล้ว ฝ่ยเมียจึงคำนับตอบขอบคุณพระยายมซึ่งได้โปรดให้ผัวเมียพบกัน

ฝ่ายพระยาเงียมฬ่ออ๋องจึงเอาสารบบเกิดตายมาตรวจดูจนถึงชื่อเล่าช้วนกับนางลี้จุ๋ยเน้ย เห็นอายุยังไม่ถึงกำหนดตาย พระยาเงียมฬ่ออ๋องจึงให้ยมบาลคุมวิญญาณคนทั้งสองส่งกลับขึ้นไปยังมนุษยโลกตามเดิม ยมบาลจึงทูลแก่พระยามัจจุราชว่า ร่างกายนางลี้จุ๋ยเน้ยทรุดโทรมเสียแล้ว พระยามัจจุราชจึงสั่งว่า ให้เอารูปของนางลี้เง็กเอ็งซึ่งเป็นน้องสาวของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้นั้นแทนเถิด




ตอน ๑๐ ขึ้น ตอน ๑๒