ไซอิ๋ว/เล่ม ๑/ตอน ๑๐

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๐๗–๒๓๕ สารบัญ



ที่เมืองเชียงอาน นอกกำแพงเมืองมีลำแม่น้ำใหญ่ชื่อ แม่น้ำเกียฮ้อ ข้างริมฝั่งแม่น้ำข้างทิศใต้มีโรงกระท่อมเล็กหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ของคนหาปลา ริมข้างเหนือเป็นของคนตัดฟืน

มีชายนักเรียนสองคนเป็นเพื่อนมิตรสหายกัน ชายทั้งสองคนเดิมเข้าไปไล่หนังสือตกไม่ได้ ก็เลยคบกันเป็นมิตรสหายอย่างสนิท เที่ยวหากินตามสบาย ไม่ชอบอยู่ในบังคับใคร ผู้หนึ่งชื่อ เตียวเส่า ชอบหากินในทางตกเบ็ดตีอวน คนหนึ่งชื่อ ลี้เตี้ย ชอบหากินตามป่าตัดฟืนขาย

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ต่างคนก็ต่างไปหากินตามถนัดของตัว ฝ่ายเตียวเส่าไปหาปลามาได้ก็กลับมา ฝ่ายลี้เตี้ยตัดฟืนมาได้ก็มาถึงบ้าน พร้อมกันแล้วก็พากันเข้าไปในเมืองเชียงอานไปเที่ยวเร่ขาย ครั้นขายได้เงินแล้วก็พากันกลับออกนอกกำแพงเมือง จึงพากันเข้าในโรงเตี๊ยมที่เขาขายสุราแห่งหนึ่ง ให้เจ้าของสุราจัดกับแกล้มแลสุราพร้อม แล้วสองสหายก็ชวนกันเสพสุรา พอสบายแล้วก็คิดเงินค่าสุราแลสิ่งของให้แก่เจ้าของโรงเตี๊ยม เสร็จแล้วก็ออกจากเตี๊ยมเดินมาจะกลับบ้าน คนทั้งสองเดินพลางพูดกันไปพลาง ฝ่ายเตียวเส่าพูดว่า เราได้พิเคราะห์ดูคนเราในทุกวันนี้ ที่รู้จักการมาหลงโลภฟังคำเขายกยอชื่อเสียงจนไม่รู้สึกความไม่เที่ยงที่จะมีมาถึงตัว ที่หลงเพ้อละเมอเมาเกียรติยศเป็นขุนนาง ดุจดังว่านอนอยู่ในระหว่างอกเสือ รักเจ้านายโปรดปรานถ้าจะเปรียบก็เหมือนเลี้ยงงูพิษหรืองูอยู่ในมือเสือฉะนั้น คิดไปดูก็สู้เราหากินด้วยตนเองไม่ได้ ความสุขของเราอย่างนี้ไม่ต้องอยู่ในบังคับใคร สบายตามภูมิลำเนาทางป่าแลทางน้ำอย่างนี้ดีกว่า ข้ามไปวันหนึ่งก็เป็นที่เย็นใจได้

ฝ่ายลี้เตี้ยได้ยินเตียวเส่าพูดดังนั้นจึงตอบว่า พี่พูดดังนั้นก็นับว่าเป็นคติได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ในน้ำสู้ตามภูมิลำเนาเขาไม้ไม่ได้

เตียวเส่าจึงตอบว่า ในภูมิลำเนาป่าเขาไม้นั้นสู้ในกระแสชลไม่ได้ คนทั้งสองโต้แย้งกันไปมาหาตกลงไม่ ลี้เตี้ยจึงชวนเตียวเส่าว่า เราทั้งสองพูดกันก็หาแพ้ชนะกันไม่ อย่าเลย เรามาร้องเพลงโต้กันคนละบทพอได้แก้รำคาญดีกว่าเถียงกัน แล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะกัน เตียวเส่าจึงพูดว่า เชิญน้องร้องก่อน แล้วเราจะร้องตอบต่อทีหลัง

ครั้นพูดกันดังนั้นแล้ว สองคนก็เดินพลางร้องเพลงพลาง บัดเดี๋ยวก็มาถึงต้นทางแยก คนทั้งสองก็ยกมือต่างคำนับจะลากัน เตียวเส่าจึงร้องบอกแก่ลี้เตี้ยว่า เจ้าไปทางป่าเขา จงระวังระไวให้ดี บางทีพบเสือเข้า เจ้าจะทำประการใด เราวิตกว่า วันพรุ่งนี้จะไม่มีเพื่อนที่เคยเดินด้วยกัน

ลี้เตี้ยได้ฟังเตียวเส่าพูดดังนั้นก็นึกขัดใจ จึงพูดว่า ทำไมท่านจึงพูดเป็นลางร้ายแรงดังนั้น ถ้าพูดดังนี้ ตัวของพี่ก็จงระวังให้จงดีเถิด เพราะว่าถึงพี่จะไปในทางน้ำ บางทีพายุแลคลื่นใหญ่จะซัดตัวพี่ให้จมน้ำดอกกระมัง พี่จงระมัดระวังให้ดี

เตียวเส่าจึงตอบว่า ตัวเราทั้งชาติไม่ต้องวิตกด้วยคลื่นลมจะซัดพัดพาให้จมน้ำ

ลี้เตียจึงพูดว่า ทำไมจึงพูดเช่นนี้ เราจะกำหนดได้หรือ อันกิจบนอากาศย่อมเป็นวิสัยแลธรรมดาที่จะพึงเป็น หามีผู้ใดที่จะกำหนดแน่รู้เวลาที่จะเป็นได้ไม่

เตียวเส่าจึงพูดว่า ซึ่งเจ้าพูดดังนั้นก็จริงอยู่ แต่เจ้ายังไม่รู้เหตุ แต่เรารู้เหตุกำหนดได้ว่าไม่เป็นไร

ลี้เตี้ยจึงพูดว่า พี่หากินในท้องมหาสมุทร มีการร้ายมาก ทำไมจึงพูดว่าไม่เป็นไร

เตียวเส่าจึงตอบว่า เจ้ายังไม่แจ้ง บัดนี้ ในเมืองเชียงอาน ที่ต้นทางถนนใหญ่ที่ประตูเมืองข้างทิศตะวันตก มีจีนแสผู้หนึ่งชื่อ อวนซิ้วเซ้ง เป็นหมอดูอยู่ทุกวัน เราเอาปลาไปให้จีนแสตัวหนึ่ง จีนแสก็จับยามให้ว่า เราจะตีอวนทางทิศไหนดี จีนแสพิเคราะห์แล้วก็ชี้ทิศให้ไปตีอวนทางทิศนั้น เราก็ได้กุ้งปลามามาก ๆ ทุกวัน วันก่อนนี้ เราได้เอาปลากิมหลีฮื้อไปให้จีนแสตัวหนึ่ง จีนแสก็จับยามให้ว่า วันนี้ จะไปตีอวน จงไปทางแม่น้ำเกียฮ้อที่ปากน้ำ จะลงอวนก็ลงข้างทิศตะวันออก แล้วลากอวนมาข้างทิศตะวันตก คงจะได้กุ้งปลาเต็มลำเรือ ถ้าพรุ่งนี้เราได้ปลาสมประสงค์ เราจะได้เอาไปขายในเมือง เราก็จะได้อัฐมาซื้อสุรากิน เราทั้งสองจะร้องเพลงพลางกินสุราพลางให้มีความสุขสำราญ มิดีหรือ

คนทั้งสองครั้นพูดกันดังนั้นแล้ว ก็ต่างคนต่างลาแยกทางกันไป

เมื่อขณะคนทั้งสองพูดจาโต้ตอบชี้แจงกันดังนั้น มีพวกบริวารของพระยาเล่งอ๋องเที่ยวตรวจมาตามลำแม่น้ำ ครั้นได้ยินคนทั้งสองพูดกันดังนั้นก็แอบคอยฟัง ครั้นรู้แจ้งในเหตุการณ์ดังนั้นแล้วก็รับกลับไปยังบาดาลเข้าไปเฝ้าพระยาเล่งอ๋อง ครั้นถึงจึงทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ วันนี้ ข้าพเจ้าไปตรวจตามลำแม่น้ำแลมหาสมุทร พอไปถึงฝั่งแม่น้ำเกียฮ้อพบชายสองคน คนหนึ่งแซ่ เตียว ชื่อ เส่า คนหนึ่งแซ่ ลี้ ชื่อ เตี้ย คนทั้งสองเดินพูดกันอยู่ริมฝั่งน้ำว่า ในเมืองเชียงอาน ที่ริมประตูเมืองข้างทิศตะวันตก มีจีนแสคนหนึ่งตั้งโต๊ะเป็นหมอดูดูให้แก่ชาวเมืองเชียงอานทั้งหลาย เตียวเส่าเคยไปให้จีนแสดูอยู่ทุกวัน จีนแสดูให้เตียวเส่าว่า วันนี้ จะลงอวนก็ให้ไปทางแม่น้ำเกียฮ้อที่ปกน้ำ จะลงอวนให้ลงข้างทิศตะวันออก ลากอวนมาข้างทิศตะวันตก คงจะได้กุ้งปลาเต็มลำเรือ แม้ว่าจีนแสคนนี้ดูให้อย่างนี้ ถ้าจริงเช่นจีนแสทาย บริวารน้ำของเราเตียวเส่าคงจะจับไปหมด ขอพระองค์ได้โปรด พวกสัตว์พาหนะของพระองค์จะหมดสิ้นไปโดยเร็ว พระองค์จะได้พาหนะที่ไหนมาใช้สอย ข้าพเจ้าได้ทราบความมาดังนี้ ขอพระองค์ได้ทรงพระดำริให้มาก

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องครั้นได้ทราบดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่า จำเราจะไปฆ่าจีนแสผู้นี้เสียจึงจะได้ ครั้นว่าแล้วก็จัดแจงแต่งกายจะขึ้นไปยังเมืองเชียงอาน เวลานั้น กำลังขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประชุมกันพร้อมอยู่ในที่นั้น จึงพากันทูลทัดทานพระยาเล่งอ๋องว่า ขอพระองค์ได้ทรงระงับพระทัย เพราะมีคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า การสิ่งใดที่มีผู้นำมาบอกเล่า พระองค์ยังมิได้เห็น อย่าเพ่อให้ฟังเอาเป็นจริงก่อน ถ้าพระองค์จะไปในเวลากำลังโกรธเช่นนี้ ฤทธาอานุภาพของพระองค์ก็มาก หากจะเกิดเป็นลมเป็นฝน ข้าพเจ้าวิตกว่า จะไหวหวั่นโกลาหลไปทั้งเมืองเชียงอาน ไพร่บ้านพลเมืองจะพากันตื่นตกใจ เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงทราบจะพระพิโรธ ก็จะมิลงโทษพระองค์ได้หรือ ขอพระองค์จงแปลงกายขึ้นไปทดลองดูก่อนว่า จีนแสนั้นจะทายเหตุการณ์ภายหน้าถูกต้องได้จริงจังหรือไม่ ถ้าจีนแสทายถูกแม่นยำจริงดังนั้น เห็นช่องฆ่าได้ก็จะได้ฆ่าเสีย แม้ว่าเป็นการเคลื่อนคลาดไม่สมจริงก็จะทุกข์ร้อนอะไรมี

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องครั้นได้ฟังพวกขุนนางพูดทัดทานแลชี้แจงดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ค่อยบรรเทาความโกรธลง จึงร่ายมนต์แปลงกายเป็นชายหนุ่มนักเรียนแล้วก็ออกจากปราสาทจุ้ยเจียยี่ขึ้นมายังเมืองเชียงอาน ครั้นถึงก็เดินตรงมายังประตูเมืองข้างทิศตะวันตก ที่ประตูเมืองเห็นหมู่ชนชายหญิงแออัดกันอยู่ จึงเดินเข้าไปใกล้ แลเห็นป้ายแขวนที่ประตูหน้าบ้านก็รู้แน่ว่า หมอดูอยู่ที่นี่ จึงเดินเข้าไปใกล้ แลเห็นจีนแสนั่งอยู่ กำลังคนมาหาให้จีนแสดูทายตามเคราะห์ดีแลเคราะห์ร้าย นักเรียนแปลงจึงเบียดคนเข้าไปคำนับแล้วก็นั่งลง

ฝ่ายจีนแสเห็นนักเรียนหนุ่มน้อยดังนั้น ก็ยกน้ำชาให้กิน แล้วจึงถามว่า ท่านมามีกิจธุระอย่างใดหรือ นักเรียนแปลงจึงตอบว่า ขอท่านจีนแสได้โปรดดูอากาศเบื้องบนนั้นว่าจะเป็นประการใด ขอท่านจีนแสได้พิเคราะห์ให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง

จีนแสอวนซิ้วเซ้งเมื่อได้ฟังถามดังนั้น จึงยกมือขึ้นจับยามตรวจดูก็รู้ได้ว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีฝน จึงบอกแก่นักเรียนผู้นั้นว่า แม้นเมฆตั้งคลุ้มฟ้าหมอกล้อมป่าอยู่ ลักษณะอย่างนี้ทายว่า ณ วันพรุ่งนี้จะมีฝน

นักเรียนแปลงจึงถามต่อไปว่า พรุ่งนี้ฝนจะตกเวลาใด ฝนตกมากน้อยเท่าใด น้ำท่วมลึกกี่ศอกกี่องคุลี ขอท่านจีนแสโปรดพิเคราะห์ทายให้แน่ ข้าพเจ้าจะมีรางวัลคำนับท่านให้ถึงใจ

จีนแสได้ฟังนักเรียนแปลงถามดังนั้นจึงนับนิ้วมือพิเคราะห์ดูโดยละเอียด แล้วจึงพูดว่า เวลาพรุ่งนี้ เช้าสามโมงเมฆจะตั้ง สี่โมงเช้าฟ้าจะร้อง ถ้าถึงเวลาเที่ยงฝนจะตก บ่ายสองโมงฝนจะหยุด ประมาณน้ำในเมืองจะท่วมลึกสามศอกเศษ สามองคุลี เม็ดฝนมีสี่สิบแปดเม็ด

นักเรียนแปลงได้ฟังดังนั้นทำเป็นหัวเราะ แล้วพูดแก่จีนแสว่า ข้าพเจ้าขออนุญาตแก่ท่านจีนแส ถ้าท่านจีนแสทายดังนี้ แม้ว่าถูกต้องตามเวลาของท่านทายแล้ว ข้าพเจ้าจะคำนับรางวัลท่านห้าสิบตำลึงทอง แม้ไม่ถูกตามเวลาที่ท่านกำหนดไว้นั้น ข้าพเจ้าจะขอทำลายป้ายที่แขวนเสียด้วยกระบองเหล็กให้แหลกละเอียด ท่านจงรีบออกจากบ้านนี้ไป ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ไล่ท่านให้ออกไปพ้นเมืองเชียงอาน ไม่ให้อยู่ที่นี่เพื่อจะหลอกลวงคนทั้งหลายต่อไป ดังนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด

ฝ่ายจีนแสอวนซิ้วเซ้งได้ฟังนักเรียนพูดคำมั่นคงดังนั้น จึงตอบแก่นักเรียนผู้นั้นว่า ข้าพเจ้ายอมขอรับสัญญาแก่ท่าน ถ้าฝนไม่ตกไม่หยุดฟ้าไม่ร้องตามเวลา น้ำไม่เท่าที่ข้าพเจ้ากำหนดตามสัญญา ก็ให้ท่านทำตามสัญญาเถิด

ฝ่ายนักเรียนแปลงครั้นพูดสัญญาแก่จีนแสเสร็จแล้วก็ลาออกไปจากบ้านจีนแส ครั้นลับตาแล้วก็ชำแรกพสุธากลับลงไปยังบาดาล ครั้นถึงสถานที่อยู่แล้วก็คลายมนต์กลับเป็นพระยาเล่งอ๋องไปตามเดิม

ฝ่ายหมู่บริวารทั้งหลายก็พากันเข้ามาคำนับถามว่า วันนี้ พระองค์ขึ้นไปยังเมืองเชียงอานสืบข่าวจีนแสหมอดูนั้น ได้ความเป็นประการใดบ้าง

พระยาเล่งอ๋องจึงบอกว่า มีจีนแสผู้หนึ่งชื่อ อวนซิ้วเซ้ง ดูลักษณะก็ยังอ่อน ท่วงทีร่างกายก็งาม สมควรเป็นผู้รู้อยู่ เราได้ถามจีนแสว่า ช่วยดูฤกษ์บนอากาศว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จีนแสจับยามแล้วทายว่า พรุ่งนี้จะมีฝน เราจึงซักถามว่า เวลาใดจะมีฝน จีนแสว่า เวลาเช้า สามโมงเมฆจะตั้ง สี่โมงฟ้าจะร้อง เที่ยงฝนจะตก บ่ายสองโมงฝนจะหยุด น้ำในเมืองจะลึกสามศอกกับสามองคุลี มีเม็ดฝนสี่สิบแปดเม็ด เราจึงพนันว่า ถ้าแม้ถูก เราจะให้ทองคำห้าสิบตำลึง แม้ว่าผิด เราจะทำลายป้ายแลขับไล่จีนแสมิให้อยู่ในเมืองเชียงอาน จีนแสก็ยอมรับตามเราพูดสัญญา

พวกบริวารทั้งจึงพูดว่า พระองค์ก็เป็นใหญ่ในมหาสมุทร มหาสมุทรทั้งแปดก็อยู่ในอำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น แลหมู่เทพยดาทั้งหลายก็รู้จักแก่พระองค์ เมขลาแลรามสูรอสุรีก็ย่อมฟังอำนาจของพระองค์ จะมีฝนหรือไม่มีฝนพระองค์ก็คงรู้ได้โดยได้รับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ก่อน เหตุใดจีนแสจึงจะทายทักล่วงหน้าหมายมั่นเอาอย่างนี้ จะมิผิดหรือ ครั้นพวกบริวารทูลแก่พระยาเล่งอ๋องดังนั้นแล้วก็พากันหัวเราะ

ในทันใดนั้น ได้ยินเสียงบนอากาศร้องเรียกว่า พระยาเล่งอ๋องผู้เป็นใหญ่ในลำแม่น้ำมหาสมุทรเกียฮ้อ เชิญท่านมารับท้องตราของเง็กเซียงฮ่องเต้ ในเมื่อเวลากำลังประชุมอยู่พร้อมกันนั้นต่างก็แหงนหน้าแลขึ้นไปดู จึงเห็นกิมอีลักสือ ราชทูต ถือท้องตราของเง็กเซียงฮ่องเต้เหาะลอยอยู่ในอากาศ

พระยาเล่งอ๋องก็แต่งตัวจุดธูปเทียนแล้วยืนขึ้นคำนับ กิมอีลักสือก็ลอยลงมาใกล้พระยาเล่งอ๋อง แล้วจึงส่งท้องตราให้แก่พระเล่งอ๋อง แล้วก็เหาะกลับไปยังสวรรค์ พระยาเล่งอ๋องครั้นเห็นเทวราชทูตกลับไปแล้วก็คลี่ท้องตราออกอ่านดู ใจความมีว่า ให้พระยาเล่งอ๋องมีหมายเกณฑ์ออกไปให้พระยาเล่งอ๋องทั้งแปดมหาสุมทรกระทำให้ฝนตกลงมายังเมืองเชียงอานในวันพรุ่งนี้ เวลาเช้าสามโมงให้ตั้งเมฆ ครั้นถึงเวลาเช้าสี่โมงให้ฟ้าร้อง ถ้าถึงเวลาเที่ยงให้ฝนตก บ่ายสองโมงจึงให้ฝนหยุด น้ำในเมืองเชียงอานให้มีบริบูรณ์ลึกสามศอก สามองคุลีเศษ ให้มีสี่สิบแปดเม็ดฝน

พระยาเล่งอ๋องครั้นได้ทราบความในท้องตราดังนั้นสิ้นสติตกตะลึง จึงพูดว่า จีนแสอวนซิ้วเซ้งนี้ทำนายแม่นยำยิ่งนัก มิได้ผิดเลยสักเส้นผมหนึ่ง พระยาเล่งอ๋องจึงพูดแก่บริวารทั้งหลายว่า ในมนุษยโลกนี้ยังมีคนวิเศษถึงอย่างนี้ ล่วงรู้ตลอดได้ทั้งดินฟ้าอากาศ พระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้นแล้วก็ยิ่งมีความวิตกมากขึ้น

ในขณะนั้น มีขุนนางปลาตนหนึ่งจึงทูลว่า พระองค์จงวางพระทัยเถิด ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่งซึ่งจะให้จีนแสที่ทายไว้นั้นให้ผิดจงได้

พระยาเล่งอ๋องจึงถามว่า อุบายของท่านจะทำประการใดจึงจะให้ผิดจากคำทำนายของจีนแสได้

ขุนนางปลาจึงทูลว่า ขอพระองค์จงทำให้น้ำฝนผิดประมาณ ทั้งเวลาก็อย่าให้ตรงตามกำหนด เกินหรือลดลงให้ผิดคำจีนแสทาย แล้วพระองค์ก็จะปรับโทษจีนแสได้ตามความปรารถนา จะต้องวิตกทำไมมี

พระยาเล่งอ๋องครั้นได้ฟังขุนนางปลาพูดดังนั้นก็ค่อยคลายความวิตกเห็นชอบไปด้วย มิได้คิดว่าตนจะมีความผิดที่กระทำให้ผิดจากรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ไม่ สมด้วยคำโบราณท่านกล่าวว่า หวังใจจะให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นกลับมาถึงตัว เหมือนพระยาเล่งอ๋องผู้นี้

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องครั้นรุ่งเช้าจึงมีหมายไปยังพระพาย แลรามสูร แลเมฆฟ้า แลเล่งอ๋องทั้งแปดทิศให้มาประชุมพร้อมกันบนอากาศเมืองเชียงอาน ให้มีฝนในเวลาเช้าพรุ่งนี้ ครั้นพวกเทพบุตรพนักงานทำฝนได้ทราบหมายดังนั้นต่างก็มาเตรียมกันอยู่พร้อมบนอากาศที่ตรงเมืองเชียงอานคอยรอคำสั่งพระยาเล่งอ๋องผู้เป็นประธานอยู่

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องเมื่อส่งหมายไปแล้ว ก็จัดจัดแจงตัว ชำแรกแผ่นดินขึ้นจากบาดาล เหาะตรงไปยังเมืองเชียงอาน ครั้นถึงจึงสั่งว่า เช้าสี่โมงตั้งเมฆ เวลาเที่ยงให้ฟ้าร้อง บ่ายให้ฝนตก บ่ายสี่โมงให้ฝนหยุด ให้มีน้ำมาก ท่วมในเมืองลึกสามศอกถ้วน มีเม็ดฝนสี่สิบเม็ด[1]

ฝ่ายเทพบุตรแลเล่งอ๋องทั้งหลายได้ฟังคำสั่งพระยาเล่งอ๋องผู้เป็นประธานแล้ว ต่างก็เตรียมการของตน ๆ ครั้นถึงเวลากำหนดแล้ว ต่างก็ทำตามสั่ง บันดาลเมฆแลลมฝนให้มีขึ้นในอากาศตามหน้าที่พนักงานแห่งตน ๆ ครั้นเสร็จแล้ว ต่างก็มาคำนับพระยาเล่งอ๋องลากับไปยังที่อยู่ของตน

พระยาเล่งอ๋องครั้นทำฝนให้ตกแล้ว แลทำให้เคลื่อนคลาดเวลา แลเศษเม็ดฝนให้ลดน้อยแล้ว ก็ยินดี จึงคิดว่า เราทำให้ผิดที่จีนแสทำนายไว้ได้แล้ว จำเราจะเลยไปปรับโทษจีนแสตามที่เราได้สัญญาไว้ คิดดังนั้นแล้วก็แปลงกายเป็นนักเรียนหนุ่มน้อยเหาะลอยลงมาพื้นแผ่นดิน แล้วก็เดินมายังจีนแสหมอดู ครั้นถึงก็เข้าทุบป้ายแตกแล้วก็จับโยนทิ้งเสีย แล้วเดินเข้าถีบประตูพังลง แลกระชากกลอนประตูถือเดินเข้าไปข้างใน เห็นจีนแสอวนซิ้วเซ้งนั่งอยู่ จึงร้องว่า อ้ายจีนแส ทำไมมึงยังไม่ออกไปให้พ้นบ้านพ้นเมืองอีกเล่า ยังจะมานั่งไขว่ห้างอยู่ที่นี่ทำไม เอ็งอวดดีทำนายว่าฝนจะตก ครั้นฝนตกก็ไม่ถูกต้องตามเวลาที่ทายไว้ เศษฝนก็ผิดไม่ถูกตามสัญญา เราจะยกชีวิตให้ จงรีบออกไปเสียโดยเร็ว

ฝ่ายจีนแสนั่งอยู่บนเก้าอี้ แลเห็นนักเรียนมาทำกิริยาหยาบช้าดังนั้น ก็มิได้หวาดหวั่นอะไร แกล้งนั่งเฉย แล้วก็ทำเป็นหัวเราะเสีย

พระยาเล่งอ๋องเมื่อได้เห็นกิริยาจีนแสทำดังนั้น ก็ยิ่งบันดาลความโกรธมากขึ้น ตรงเข้าไปใกล้ ยกไม้กลอนประตูขึ้นเงื้อจะตี แลร้องว่า จงไปเสียให้พ้นที่นี่ อย่านั่งอยู่ ไม่กลัวความตายหรือ

จีนแสอวนซิ้วเซ้งได้ฟังนักเรียนแปลงว่าดังนั้น ก็กระทำเป็นแหงนหน้ามองดูฟ้า หัวเราะ แล้วก็ตอบว่า อันความตายเราไม่กลัว โดยเหตุว่า เราไม่มีความผิดอะไรที่จะมีโทษให้ถึงแก่ความตาย เรามีความวิตกถึงแต่ตัวท่านจะถึงที่ตายเป็นแน่ ท่านดีแต่หลอกผู้อื่น จะมาหลอกเราด้วยนั้นไม่ได้ เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นพระยาเล่งอ๋อง แลเป็นใหญ่อยู่ในลำแม่น้ำเกียฮ้อมิใช่หรือ ท่านแกล้งแปลงรูปเป็นนักเรียนมาล่อลวงเอาความ เราจะบอกให้ท่านรู้สึกตัว ท่านขัดรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ เปลี่ยนแปลงเวลาให้ผิดจากคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าโลก วันพรุ่งนี้ท่านจะตายหรือเราจะตายก็จงคอยดูเถิด พูดแล้วก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องเมื่อได้ฟังจีนแสพูดดังนั้น ก็ให้ตกตะลึง อกใจให้เต้นสั่นระรัวไปทั้งกาย เสโทก็ซึมซาบอยู่โซมกาย กลอนประตูที่ถือก็หลุดจากมือ จึงย่อตัวลงคำนับจีนแส แล้วพูดอ้อนวอนว่า ขอท่านจีนแสได้เมตตาข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด ขอท่านจีนแสได้ช่วยแก้ไขให้ชีวิตข้าพเจ้ารอดด้วยเถิด ว่าพลางพระยาเล่งอ๋องก็ร้องไห้

ฝ่ายอวนซิ้วเซ้งจีนแสเห็นพระยาเล่งอ๋องร้องไห้คร่ำครวญอยู่ดังนั้น ก็มีจิตสงสาร จึงพูดว่า ข้าพเจ้าไม่มีอุบายอันใดที่จะแก้ให้ท่านรอดพ้นจากความตายได้ เป็นแต่จะชี้ทางให้ อันจะพ้นหรือมิพ้น จะเอาจริงเข้าก็จะยังไม่ได้ แต่ก็ลองดูตามบุญตามกรรม เผื่อจะพ้นได้บ้างดอกกระมัง

พระยาเล่งอ๋องจึงถามว่า หนทางใดที่จะรอดตายได้บ้าง ขอท่านได้โปรดแนะนำให้ทราบเถิด ข้าพเจ้าจะกระทำตาม

จีนแสอวนซิ้วเซ้งจึงบอกว่า วันพรุ่งนี้เวลาเที่ยง เง็กเซียงฮ่องเต้คงมีรับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชฌฆาตฆ่าตัวท่าน แต่งุยเต็งเป็นขุนนางอยู่ในพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ท่านจงรีบไปหาพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้โดยเร็วเถิด อ้อนวอนขอให้พระองค์ช่วย

พระยาเล่งอ๋องได้ฟังจีนแสชี้แจงแนะนำดังนั้น ก็มีความยินดีเป็นอันมาก คุกเข่าลงคำนับแล้วก็ลาจีนแสรีบไป เมื่อเวลาออกจากบ้านจีนแสนั้น ก็พอเป็นเวลาจวนค่ำ พระยาเล่งอ๋องก็ไม่กลับลงไปยังบาดาล เหาะลอยอยู่ในอากาศ ครั้นเวลาเที่ยงคืนเห็นเงียบสงัดแล้ว ก็แหวกกลีบเมฆลอยลงมายังพื้นพสุธาดล เดินตรงเข้าในทวารพระราชวังข้างใน เวลานั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้บรรทมอยู่บนพระแท่นหลับสนิท ทรงพระสุบินนิมิตว่า พระองค์ทรงพระดำเนินออกจากพระราชมนเทียรสถานไปยังพระราชอุทยานสวนดอกไม้ ทอดพระเนตเห็นมานพหนุ่มน้อยคนหนึ่งเดินตรงเข้ามา ครั้นใกล้พระองค์ ก็คุกเข่าลงถวายคำนับ แล้วร้องไห้ทูลว่า ขอให้พระองค์ช่วยชีวิตไว้ด้วยเถิด แล้วทูลว่า คนนั้นคือเป็นพระยาเล่งอ๋องผู้ใหญ่อยู่ในแม่น้ำเกียฮ้อ เหตุด้วยทำการละเมิดรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ คือ ให้ฝนแลลมให้ผิดเวลาแลกำหนด บัดนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้มีรับสั่งให้งุยเต็งขุนนางของพระองค์เป็นเพชฌฆาต วันพรุ่งนี้เวลาเที่ยงก็จะเอาตัวข้าพเจ้าไปยังสนามที่จะประหารชีวิต ข้าพเจ้าก็คงจะถึงแก่ความตาย ขอพระองค์ได้โปรดช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด ข้าพเจ้าจะมิได้ลืมพระเดชพระคุณของพระองค์เลย

ในพระสุบินว่า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสแก่พระยาเล่งอ๋องว่า ถ้างุยเต็งเป็นเพชฌฆาตจริงแล้ว เราจะช่วยแก้ไขให้พ้นซึ่งความตาย ท่านอย่ามีความวิตกเลย จงกลับไปเถิด

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องได้ฟังพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงรับว่าจะช่วยดังนั้น ก็มีความยินดี จึงลุกขึ้นถวายคำนับขอบพระคุณ แล้วก็ลากลับไป

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เมื่อทรงพระสุบินนิมิตเห็นไปดังนั้นแล้ว ก็สะดุ้งตื่นฟื้นรู้สึกพระองค์ เสด็จลุกจากพระแท่นที่พระบรรทม ทรงพระราชดำริรำพึงอยู่แต่ในพระทัย พอได้อรุณรุ่งสว่างก็เสด็จเข้าที่สรง ทรงเสวย แล้วก็เสด็จออกประทับยังพระที่นั่งกิมล่วนเต้ย ขุนนางฝ่ายพระทหารพลเรือนเฝ้าพร้อมตามตำแหน่งหน้าที่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นขุนนางเฝ้าอยู่พร้อมหน้ากันหมด ยังขาดแต่งุยเต็งขุนนางผู้ใหญ่ผู้เดียวยังไม่เห็นมา พระองค์จึงรับสั่งแก่ชีมงกง กุนซือ ว่า เมื่อคืนนี้ เราฝันไปว่า มีชายหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาคำนับแล้วบอกว่า ตัวเป็นพระยาเล่งอ๋อง อยู่แม่น้ำเกียฮ้อ บัดนี้ มีความผิดโดยละเมิดเทวโองการ จะให้ประหารชีวิตพระยาเล่งอ๋อง รับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชฌฆาตฆ่าพระยาเล่งอ๋องในเวลาเที่ยงวันนี้ ขอให้เราช่วย เราเห็นพระยาเล่งอ๋องมาร้องขอให้เราช่วยชีวิตดังนั้น เราก็ได้ออกปากรับว่าจะช่วย ดังนี้ ไม่ทราบว่าจะเป็นประการใด เวลานี้ก็ไม่เห็นงุยเต็งเข้ามา เราฝันดังนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด

ชีมงกงได้ฟังรับสั่งถามดังนั้นจึงทูลว่า พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตดังนี้ ควรให้หางุยเต็งเข้ามาเฝ้า แล้วกักตัวงุยเต็งไว้ให้อยู่ในพระราชวังจนสิ้นเวลา ก็คงจะช่วยชีวิตพระยาเล่งอ๋องไว้ได้ตามความที่พระองค์ทรงพระสุบินนิมิตนั้น

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังชีมงกง กุนซือ ทูลดังนั้น ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ขันทีออกไปตามตัวงุยเต็งให้เข้ามาเฝ้าโดยเร็ว ขันทีถวายบังคมรับรับสั่ง รีบไปยังบ้านงุยเต็ง

ฝ่ายงุยเต็งเมื่อเวลากลางคืนก่อนนั้นยังอยู่บนหอสูงพิจารณาดูฤกษ์บนในเวลาดึกเงียบสงัด บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงบนอากาศเหมือนเสียงนกการเวกร้อง งุยเต็งจึงเหลือบขึ้นไปดู ก็เห็นราชทูตเทวบุตรถือท้องตราเหาะมา ครั้นใกล้หอสูงที่งุยเต็งนั่งอยู่ ก็เหาะลอยลงมาใกล้ตัวงุยเต็ง จึงส่งท้องตรานั้นให้งุยเต็ง แล้วก็ลาเหาะกลับไป

งุยเต็งคำนับรับท้องตราแล้วก็จุดธูปเทียนคำนับบูชา คลี่หนังสือออกอ่าน ในท้องตรามีความว่า พระยาเล่งอ๋องในมหาสมุทรเกียฮ้อมีความผิด ด้วยขัดรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ โทษถึงประหารชีวิต บัดนี้ มีรับสั่งให้งุยเต็งเป็นเพชฌฆาตฆ่าผู้ผิด ไปยังอากาศในเวลาเที่ยงพรุ่งนี้ เอาตัวพระยาเล่งอ๋องไปตัดศีรษะเสีย งุยเต็งทราบดังนั้นแล้วก็ตั้งพิธีบูชาจะเข้าที่ระงับจิตไปปรากฏในสวรรคเทวโลก เพราะฉะนั้น จึงมิได้มาในที่เฝ้า

ฝ่ายพวกขันทีครั้นมาถึงบ้านงุยเต็งแล้ว ก็เข้าไปหางุยเต็งบนหอสูง เห็นงุยเต็งกำลังจัดแจงเครื่องบูชา ก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับ แล้วกราบเรียนว่า บัดนี้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามท่านให้เข้าไปเฝ้าโดยเร็ว ไม่ทราบว่าจะมีราชการสิ่งใด

งุยเต็งได้ทราบดังนั้นก็รีบแต่งตัว ครั้นเสร็จแล้วก็ชวนขันทีออกจากบ้านรีบเข้าไปยังพระราชวัง ครั้นถึง งุยเต็งก็เข้าไปยังพระที่นั่ง ถวายบังคม แล้วจึงทูลว่า พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า โดยมีกิจธุระจึงมิได้เข้ามาเฝ้า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ข้าพเจ้าผู้มีความผิด

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า เราไม่ถือโทษท่านดอก เราเห็นว่า ท่านหายไป จึงให้ไปตามท่านมา ปรารถนาจะใคร่คิดราชการบ้านเมืองให้มีความสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ต่อไปในเบื้องหน้า เมื่อเวลาที่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้รับสั่งอยู่กับงุยเต็งนั้น ก็จวนเวลาที่ขุนนางจะออกจากเฝ้าอยู่แล้ว ขุนนางทั้งหลายเห็นได้เวลาแล้วก็ถวายบังคมลาพากันออกจากที่เฝ้า

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นขุนนางไปหมดแล้ว จึงรับสั่งแก่งุยเต็งว่า เชิญท่านเข้าไปข้างในด้วยกัน แล้วเสด็จลงจากพระที่นั่ง ทรงพระราชดำเนินเข้าในพระราชมนเทียรฝ่ายใน งุยเต็งก็เดินตามเสด็จเข้าในห้องพระตำหนัก ถวายบังคม แล้วก็นั่งยังเก้าอี้

เวลาจวนจะเที่ยงอยู่แล้ว พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งแก่พวกขุนนางพนักงานให้นำกระดานหมากรุกมาตั้งบนโต๊ะ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสแก่งุยเต็งว่า ไจเสียงมาเดินหมากรุกกับเราดูเล่นสักกระดานหนึ่งพอแก้รำคาญ

งุยเต็งได้ฟังรับสั่งดังนั้น มิได้ทราบในพระราชอุบาย ก็ถวายบังคมขยับเก้าอี้เข้าไปให้ใกล้โต๊ะ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็ทรงจับตัวหมากรุกเดิน งุยเต็งก็จับตัวหมากรุกเดิน ต่างเดินไปมากันอยู่ดังนั้น ยังมิได้ทันจะแพ้ชนะแก่กัน เวลานั้น พระอาทิตย์ตรงเที่ยงเป็นมัชฌันติกสมัย งุยเต็งจะจับตัวหมากรุกเดิน บังเอิญให้หัวของตัวอ่อนพับซบหน้าลงกับโต๊ะม่อยหลับไป

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นอาการงุยเต็งเป็นดังนั้น ก็ทรงนิ่งอยู่โดยเข้าพระทัยว่า งุยเต็งอดนอน จึงนิ่ง หวังพระทัยว่า จะให้งุยเต็งระงับกายสักครู่หนึ่งพอพ้นเวลาเที่ยง งุยเต็งตกใจตื่นขึ้น ก็ลงจากเก้าอี้ คุกเข่าถวายบังคม แล้วทูลว่า ขอพระองค์ได้โปรด โทษข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย โดยข้าพระองค์มีความประมาทมาหลับในที่เฝ้าดังนี้ มีความผิดเป็นอันมากนัก

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระสรวล ตรัสแก่งุยเต็งว่า เราได้อนุญาตแก่ท่านแล้ว จงลุกขึ้นมาเล่นกันใหม่เถิด

งุยเต็งได้ฟังรับสั่งทรงพระอนุญาตแล้ว ก็ถวายบังคมลุกขึ้นนั่งตามเดิม

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้รับสั่งให้นางพนักงานเรียกหมากรุกถวายใหม่ ครั้นเรียงเสร็จแล้วก็ทรงเตือนงุยเต็งให้เดินก่อน งุยเต็งถวายบังคมแล้วก็เดินหมากรุกไปตาหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงทรงจับตัวหมากรุกจะทรงเดิน ก็พอได้ยินเสียงข้างนอกอึกทึกร้องกันวุ่นวายเซ็งแซ่ บัดเดี๋ยวใจ เห็นชีมงกงกับซินซกโป๊หิ้วศีรษะมังกรเข้ามาในพระราชตำหนัก แล้ววางลงต่อหน้าที่พระที่นั่ง แล้วกราบทูลว่า ยังไม่เคยพบเห็นการอย่างนี้เลย ดูเป็นความประหลาดอัศจรรย์ใจมากนัก

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงตรัสถามขุนนางทั้งสองว่า อันศีรษะมังกรนี้ท่านเอามาแต่ข้างไหน

ชีมงกง ซินซกโป๊ จึงกราบทูลว่า ทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่ถนนจับยี่เถย มีเสียงดังอยู่บนอากาศในกลับเมฆ บัดเดี๋ยวศีรษะมังกรก็หล่นลงมา การอัศจรรย์ดังนี้ข้าพระองค์เห็นเป็นความประหลาดมาก จึงได้มากราบทูลให้ทรงทราบ

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังขุนนางทั้งสองกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งถามงุยเต็งว่า การประหลาดดังนี้ท่านจะเห็นเป็นประการใด

งุยเต็งจึงกราบทูลว่า ซึ่งเกิดการนี้ ข้าพระองค์เป็นผู้ประหารชีวิตพระยาเล่งอ๋องเอง ขอพระองค์ได้ทรงทราบ อย่าทรงพระวิตกสงสัยเลย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงตรัสว่า ก็เมื่อท่านนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเรา ไม่เห็นไปข้างไหน แล้วก็ไม่เห็นท่านมีอาวุธสิ่งใด ทำไมจึงจะไปฆ่าพระยาเล่งอ๋องได้ เรามีความสงสัยนัก ขอท่านจงชี้แจงให้เราทราบด้วย

งุยเต็งจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ เมื่อคืนนี้ ข้าพระองค์ได้รับท้องตราของเง็กเซียงฮ่องเต้มีรับสั่งให้เทพบุตรนำลงมาให้ ให้ข้าพระองค์เป็นเพชฌฆาตสำหรับฆ่าพระยาเล่งอ๋อง ครั้นเทพยดาคุมตัวพระยาเล่งอ๋องมาที่สนามบนอากาศแล้ว ข้าพระองค์จึงได้ไปประหารชีวิตพระยาเล่งอ๋องเสียตามเทวบัญชา เมื่อขณะข้าพระพุทธเจ้าเล่นหมากรุกอยู่กับพระองค์ ข้าพระองค์ได้เผลอสติหลับไป ดวงจิตก็ออกจากกายลอยขึ้นไปยังสนามบนอากาศได้เพื่อไปตัดศีรษะพระยาเล่งอ๋อง เพราะฉะนั้น ศีรษะพระยาเล่งอ๋องจึงได้ตกลงมาจากอากาศ ขอพระองค์ได้ทรงทราบฝ่าพระบาท

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้นก็ทรงพระโสมนัสยินดี แล้วก็กลับเสียพระราชหฤทัยยิ่งนัก (ในที่นี้มีคำถามว่า เหตุใดทรงยินดีแล้วจึงกลับทรงเสียพระทัยอีกเล่า มีคำแก้ว่า ที่ทรงยินดีนั้น เพราะงุยเต็งเป็นขุนนางของพระองค์ แลยังได้รับหน้าที่ในสวรรค์ด้วย ที่ทรงเสียพระทัยนัก เพราะตั้งพระทัยจะช่วยชีวิตพระยาเล่งอ๋อง ก็มิได้สมดังพระราชประสงค์ จึงเสียพระทัย)

แล้วพระองค์มีรับสั่งให้ซินซกโป๊นำศีรษะมังกรไปแขวนไว้ที่ตลาด แล้วป่าวร้องให้ราษฎรทั้งหลายทราบว่า การที่เป็นเช่นนี้มิใช่เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงหรือให้โทษแก่บ้านเมืองแต่ประการใดเลย แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่งุยเต็งตามสมควร ขุนนางทั้งสามก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังกลับไปบ้านเรือนแห่งตน

เวลานั้นประมาณบ่ายสักสองโมงเศษ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จกลับไปประทับบนพระแท่นที่พระบรรทม ในพระทัยของพระองค์ให้เศร้ามองขุ่นมัว พระกายให้มีพระอาการอ่อนเปลี้ยไปมิได้เป็นปรกติ ในคืนวันนั้น เวลาสองยามเศษ พระองค์ได้ยินเสียงนอกประตูตำหนักเหมือนเสียงคนร้องไห้ ในพระทัยให้สะดุ้งหวั่นหวาดปราศจากความผาสุก ไม่สบายพระทัยเลย บางทีให้เคลิ้มพระสติเห็นไปว่า พระยาเล่งอ๋องมือถือหิ้วศีรษะของตัวเองมาทั้งโลหิตแล้วร้องเรียกว่า ถังไทจง เอาชีวิตมาใช้ให้เรา จงเอาชีวิตมาเดี๋ยวนี้ แล้วพูดว่า เมื่อเวลาคืนวันวานนี้ ท่านรับเต็มปากว่า จะช่วยชีวิตเรา ทำไมจึงปล่อยให้งุยเต็งไปฆ่าเราเสีย ตัวเรากับท่านจะต้องลงไปให้ถึงพระยามัจจุราช จึงจะรู้ผิดแลชอบ พระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้นแล้วก็เข้ามาจับยึดข้อพระกรพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไว้ แล้วก็กระชากฉุดไปมา หาวางพระกรของพระองค์ไม่

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะร้องก็ไม่ออก ให้อึดอันจนพระเสโทโซมพระศิรกาย ในเวลานั้น จะว่าเคลิ้มหรือจะว่าฝันก็หาแน่ได้ไม่ บัดเดี๋ยว พระองค์ทอดพระเนตรเห็นทางทิศอาคเนย์บนอากาศในกลีบเมฆมีนางเทพอัปสรองค์หนึ่งถือกิ่งสนเหาะตรงมาใกล้พระองค์ แล้วเอากิ่งสนที่ถือมานั้นฟาดศีรษะมังกร มังกรก็วางพระกรของพระองค์ แล้วเห็นพระยาเล่งอ๋องร้องไห้เดินสะอึกสะอื้นไปทางทิศประจิมเฉียงเหนือ

(มีคำอธิบายว่า ที่พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นนางเทพอัปสรถือกิ่งสนนั้น คือ พระกวนอิมที่มาพักอยู่ศาลพระภูมิได้มาช่วยขับปิศาจพระยาเล่งอ๋อง)

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ ครั้นฟื้นได้พระสติสมประดีแล้ว ทรงร้องด้วยพระสุระเสียงอันดังโดยที่ตกพระทัยกลัวปิศาจมังกร

ฝ่ายพวกนางสนมแลนางพนักงานได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ตกใจกันทุกคน ในคืนวันนั้น พากันมีความวิตก ไม่ทราบว่าจะมีเหตุผลประการใด พากันตรวจตรา หาเป็นอันที่จะหลับนอนไม่ เห็นพระเจ้าแผ่นดินหวาดสะดุ้งอยู่จนสว่าง

ฝ่ายขุนนางทั้งหลาย ครั้นถึงเวลาเฝ้า ก็เข้ามาพร้อมกันยังท้องพระโรงคอยเตรียมเฝ้า ก็มิได้เห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกตามเคย คอยเฝ้าอยู่จนเวลาเช้าสามโมง จึงเห็นขันทีออกมาจากข้างในบอกแก่ขุนนางทั้งปวงว่า มีรับสั่งให้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายว่า วันนี้ ไม่สบายพระทัย ไม่เสด็จออก ขอเชิญท่านทั้งหลายกลับไปเถิด ครั้นบอกแล้วขันทีก็กลับเข้าข้างใน

ฝ่ายขุนนางทั้งหลายเมื่อได้ทราบกระแสรับสั่งแล้วก็ต่างคนกลับบ้าน แลมีความสงสัยด้วยไม่รู้ว่าทรงพระประชวรหรือเป็นประการใด แต่เวลาเฝ้าก็พากันเข้ามาคอยเฝ้า ก็มิได้เห็นพระเจ้าแผ่ดินเสด็จออก แต่เป็นดังนั้นมาประมาณสักห้าวันแล้วก็ไม่เห็นเสด็จออก บรรดาขุนนางทั้งปวงอยากจะใคร่ทราบแลจะใคร่เข้ามาเฝ้าทูลถามพระอาการประชวน ก็หาได้มีโอกาสที่จะได้เฝ้าแลทูลถามพระอาการได้ไม่

อยู่มาวันหนึ่ง เห็นขันทีพาไทอุย หมอหลวง เข้าไปข้างใน ขุนนางทั้งปวงก็พากันวิตกไปต่าง ๆ

ฝ่ายขันทีพาหมอเข้าไปถึงแล้ว นางไท้ฮ่องเฮ้า พระราชมารดา จึงรับสั่งให้ไทอุยประกอบพระโอสถที่ชื่อพระทัย จะให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวย

ไทอุยได้รับสั่งแล้วก็จัดแจงประกอบพระโอสถที่ชื่นพระอารมณ์ขึ้นถวาย ครั้นพระองค์เสวยพระโอสถแล้ว ไทอุยก็ถวายบังคมลากลับออกมา บรรดาขุนนางที่ยังอยู่ที่พระทวารพระราชวังคอยฟังข่าว เห็นไทอุยออกมา จึงถามหมอว่า พระเจ้าแผ่นดินประชวรนั้นโดยพระอาการเป็นพระโรคอะไร หมอบอกว่า พระองค์ประชวรนั้น ทางวาโยธาตุไม่ปรกติ ให้เคลิบเคลิ้มพระสติ มักให้เห็นเป็นปิศาจผีสางมาหลอกหลอนพระทัยให้หวั่นไหว ทั้งธาตุก็วิการ ไม่มีกำลัง วิตกว่า พระชนม์จะไม่ยาวยืนเกินกว่าเจ็ดไปได้

บรรดาขุนนางทั้งปวง เมื่อได้ฟังไทอุย หมอหลวง บอกดังนั้น ต่างก็มีความวิตกเป็นอันมาก ครั้นไทอุยบอกพระอาการแก่ขุนนางดังนั้นแล้ว ก็คำนับลาขุนนางกลับไปที่อยู่

ขณะนั้น มีขันทีออกมาจากข้างใน บอกว่า นางไท้ฮ่องเฮ้ามีรับสั่งให้หาชีมงกง ซินซกโป๊ อวยชีจง ทั้งสามคน ให้เข้าไปเฝ้าข้างในเดี๋ยวนี้

ชีมงกง ซินซกโป๊ อวยชีจง ทราบว่า มีรับสั่งให้หาดังนั้น ขุนนางทั้งสามก็เดินตามขันทีเข้าไปในพระตำหนัก ครั้นถึง ขุนนางทั้งสามก็ถวายบังคมแล้วนั่งตามที่ตามลำดับกัน

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นขุนนางทั้งสามเข้ามาเฝ้าก็มีพระทัยยินดี จึงมีพระราชดำรัสตรัสแก่ขุนนางทั้งสามว่า เมื่อเราอายุได้สิบเก้าปี ยกกองทัพไปเที่ยวหัวเมืองฝ่ายใต้ฝ่ายเหนือ ซอกซอนไปทุกหนทุกแห่ง ก็ไม่เคยเห็นปิศาจผีสางอะไรที่ไหน มาเมื่อสองสามคืนนี้ ให้เห็นเป็นคนถือศีรษะมังกรมาหลอกหลอนแลพูดจาทำทีคล้ายปิศาจ เราวิตกด้วยไม่เคยเป็นเลย ท่านทั้งหลายจะคิดประการใด

อวยชีจงได้ฟังรับสั่งดังนั้นจึงกราบทูลว่า พระองค์คิดตั้งบ้านเมืองครอบครองราชย์สมบัติ ได้ฆ่าคนเสียนับไม่ถ้วน ก็ยังไม่มีปิศาจที่ไหนมารบกวน บัดนี้ จะมีปิศาจที่ไหนมาเล่า

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งว่า แม้ว่าท่านจะใคร่ทราบความจริง จงคอยฟังดูที่ประตูตำหนัก ถ้าถึงเวลาที่เราจะเข้านอน ก็คงจะได้ยินเสียงดุจเอาอิฐเอาทรายมาขว้างปา แล้วก็จะได้ยินเสียงร้องไห้แลโห่ร้องกระทำอาการต่าง ๆ ท่านคงจะได้เห็นความจริงตามที่เราเล่าให้ท่านฟัง

ซินซกโป๊จึงทูลว่า ขอพระองค์จงวางพระทัยเถิด คืนวันนี้ ข้าพระองค์กับท่านอวยชีจงจะเฝ้าคอยอยู่ที่ประตูพระตำหนักข้างนอก คอยดูว่า จะเป็นปิศาจผีสางอะไร

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังซินซกโป๊ทูลดังนั้น ก็ทรงพระอนุญาตโปรดให้ขุนนางทั้งสองอยู่ตามคำที่กราบทูล ชีมงกงครั้นเห็นเวลาบ่ายแล้วก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังกลับไปบ้าน

ฝ่ายซินซกโป๊กับอวยชีจงก็พักอยู่ข้างพระทวารพระราชวังชั้นใน ครั้นเวลาพลบค่ำ ขุนนางทั้งสองก็จัดแจงแต่งตัวถืออาวุธยืนเฝ้าประตูนอกพระตำหนักใกล้ที่พระบรรทมจนตลอดราตรีรุ่งสว่าง ก็ไม่เห็นปิศาจผีสางอะไร ในคืนวันนั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงพระบรรทมหลับสนิทเป็นปรกติ มิได้ยินเสียงปิศาจแลสิ่งใด เงียบสงัดไปได้คืนหนึ่ง

ครั้นเวลาเช้า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงบำเหน็จรางวัลให้ขุนนางทั้งสองเป็นอันมาก แล้วพระองค์ตรัสว่า ตั้งแต่เราไม่สบายมาหลายเวลาแล้ว จะนอนก็ไม่ปรกติเลยสักคืนหนึ่ง หากเมื่อคืนนี้ได้ท่านทั้งสองมาอยู่ จึงได้นอนหลับสนิท ค่อยมีความสบายขึ้นเป็นอันมาก เชิญท่านทั้งสองกลับไปพักให้สบายเถิด เวลาค่ำจึงค่อยเข้ามาคอยระวังเราอีก

ขุนนางทั้งสองได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมลาออกจากพระราชวังไป ตั้งแต่นั้นมา ขุนนางทั้งสองก็เข้ามาคอยเฝ้าระวังอยู่ดังนั้น ถึงสามสี่วันมาก็เห็นเงียบสงัดอยู่ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเลย

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เห็นขุนนางทั้งสองเข้ามาเฝ้าระวังอยู่ดังนั้นทุกคืน ได้รับความลำบาก หาเป็นอันจะได้หลับนอนไม่ พระองค์มีความเกรงใจขุนนางทั้งสองเป็นอันมาก ครั้นมาวันหนึ่ง จึงรับสั่งให้ขุนนางทั้งปวงให้เข้าไปเฝ้า พระองค์จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งหลายว่า ตัวเราเมื่อสองสามคืนนี้ก็เป็นสุขปรกติดี แต่เราเห็นว่า ซินซกโป๊ อวยชีจง ท่านทั้งสองมีความลำบาก เราคิดว่า จะให้ช่างเขียนเข้ามาวาดรูปท่านทั้งสองไปปิดไว้ที่ประตูแลในที่อยู่ของเรา จะไม่ต้องลำบากแก่ท่านทั้งสอง ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด

ขุนนางทั้งหลายก็เห็นชอบพร้อมกันตามกระแสพระราชดำริ จึงให้ช่างเขียนเข้ามาวาดรูปซินซกโป๊กับรูปอวยชีจง ครั้นช่างทั้งสองเขียนรูปขุนนางทั้งสองแล้ว จึงให้เจ้าพนักงานนำไปปิดที่ประตูพระตำหนักข้างใน ตั้งแต่นั้นมา ชนทั้งหลายจึงได้เขียนรูปซินซกโป๊แลรูปอวยชีจงปิดประตูบ้านแลศาลเจ้า สมมุติว่า เป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ป้องกันปิศาจได้ เป็นธรรมเนียมต่อ ๆ มาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่นั้นมาได้สองสามวันก็เงียบสงัด

ครั้นอยู่มาหลายเวลา ก็ได้เสียงก้องดังอยู่ที่หลังตำหนักห้องเครื่องนอกประตูออกไป แต่ได้ยินเสียงดุจกองทัพยกเข้ามาเสียงหวั่นไหว อิฐทรายสาดเข้ามา ในคืนวันนั้น พระโรคพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็กลับกำเริบมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า พระองค์จึงรับสั่งให้หาขุนนางทั้งหลายเข้าไปเฝ้าโดยเร็ว

พระเจ้าถังไทจง ครั้นพระองค์เห็นขุนนางเข้ามาเฝ้าอยู่พร้อมกันแล้ว จึงมีพระราชดำรัสแก่ขุนนางว่า ประตูข้างหน้าก็ปรกติเงียบดีแล้ว แต่คืนนี้ ประตูข้างหลักตำหนักเราได้ยินเสียงดุจยกกองทัพเข้ามา แลเสียงร้องอึกทึกทั้งขว้างอิฐทรายเข้ามา แลเสียงกู่ร้องออกเซ็งแซ่ ตัวเราให้มีใจหวาดหวั่น โรคจึงกำเริบหนักยิ่งขึ้นกว่าเก่า

ชีมงกงจึงกราบทูลว่า ประตูนอกเงียบสงัดดีแล้ว เพราะให้ซินซกโป๊ อวยชีจง รักษา ประตูข้างหลังยังไม่มีผู้ใดรักษา ข้าพระองค์ขอให้งุยเต็งรักษาเฝ้าระวังอยู่ จึงจะควร

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังชีมงกงกราบทูลดังนั้น ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งให้งุยเต็งไปเฝ้ารักษาประตูหลัง

งุยเต็งได้ฟังรับสั่งแล้ว ก็ถวายบังคมลามาจัดแจงแต่งตัว มือถือง้าวแลเกียม[2] ซึ่งสำหรับฆ่ามังกร ออกไปยังประตูหลังพระตำหนัก เฝ้าอยู่คืนหนึ่งจนสว่าง ก็ไม่มีผีสางอะไร หรือมีเสียงร้องโห่เกรียวกราวก็หามิได้ ประตูหน้าหลังก็เงียบสงัดไปหมด แต่พระโรคของพระเจ้าแผ่นดินนั้นก็ยิ่งหนักขึ้นทุกที

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางไท้ฮ่องเฮ้า พระราชมารดาของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ เห็นพระราชบุตรทรงพระประชวรมีพระอาการมาก ไม่ไว้พระทัยแก่ราชการ จึงมีรับสั่งให้ขันทีออกไปเชิญขุนนางเข้าไปเฝ้าในพระราชวังชั้นใน เพื่อพระเจ้าแผ่นดินจะได้สั่งราชการบ้านเมือง

ขุนนางทั้งปวงเมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วจึงพากันเข้ามาในพระราชวังข้างใน ครั้นถึงพร้อมกันแล้วก็ถวายบังคมพร้อมกัน ยืนเฝ้าตามตำแหน่ง

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้บรรทมอยู่บนแท่น เห็นขุนนางมาพร้อมกันแล้ว จึงรับสั่งเรียกชีมงกงให้เข้าไปใกล้ แล้วตรัสว่า ให้จัดแจงราชการบ้านเมืองทุกหน้าที่ แลเป็นผู้สำเร็จราชการทั้งสิ้น

ครั้นพระองค์ทรงมอบราชการแก่ชีมงกงแล้ว จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานเอาน้ำพระสุคนธ์มาสรง ครั้นสรงเสร็จแล้วก็ผลัดภูษาทรงใหม่ แล้วเสด็จประทับบนพระแท่น ขณะนั้น งุยเต็งจึงคุกเข่าถวายบังคมคลานเข้ามายกพระหัตถ์พระเจ้าแผ่นดินทูนศีรษะของตัวไว้ แล้วก็กราบทูลว่า ขอพระองค์จงวางพระทัยเถิด ข้าพระองค์จะช่วยฉลองพระเดชพระคุณให้พระองค์มีพระชนมายุเจริญนานไปได้

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูบดังนั้น จึงตรัสว่า โรคของเราเหลือมือแพทย์ที่จะรักษา เห็นเป็นปัจฉิมที่สุดแล้ว ท่านจะทำประการใดจึงจะหายได้ ขอให้เราทราบในอุบายแลความคิดของท่าน

งุยเต็งกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีหนังสือฉบับหนึ่งถวาย เพื่อพระองค์จะได้เอาติดไปในเมื่อพระองค์ลงไปในเมืองล่าง ถึงที่ฮองโตประตูชั้นต้น มีขุนนางสมุห์บัญชีใหญ่แซ่ ทุย ชื่อ ปัง พระองค์เอาหนังสือฉบับนี้ส่งให้สมุห์บัญชีนั้นเถิด เขาจะได้ช่วยให้พระองค์กลับมาเมืองมนุษย์ได้

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งถามว่า ทุยปังนั้นคือผู้ใด

งุยเต็งกราบทูลว่า ทุยปังนั้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของพระเจ้าเชียงหงวนฮ่องเต้ เดิมเป็นที่กำนัน ครั้นภายหลังเลื่อนเป็นที่กรมท่า เมื่อเป็นมนุษย์เป็นเพื่อนสนิทกันกับข้าพระองค์ ครั้นตายแล้วได้ลงไปเป็นที่สมุห์บัญชีใหญ่ในยมโลก พนักงานทำบัญชีเกิดแลตายของมนุษย์ที่ในศาลฮองโต เมื่อเวลาข้าพระองค์นอนหลับก็ได้พบปะกันเสมอ ๆ

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงทรงรับหนังสือนั้นมาใส่ไว้ในมือเสื้อ แล้วพระองค์ก็หลับพระเนตร พระวาโยก็อ่อนลงไปทุกที จนหมดอัสสาสปัสสาสประสาทเช่นบุคคลอันไม่มีชีวิตแล้ว

ฝ่ายพวกนางสนมข้างในแลขุนนางทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นก็พากันร้องไห้สงสารพระเจ้าแผ่นดินเป็นอันมาก ครั้นแล้วก็ให้เจ้าพนักงานยกพระศพขึ้นบนแท่นสุวรรณยังตำหนักแปะเฮ้าเต้ย จัดแจงแต่งเครื่องประดับตามพระเกียรติยศแห่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน แต่ยังหาได้เชิญพระศพเข้าในหีบซึ่งสำหรับใส่พระศพพระเจ้าแผ่นดินไม่ เพราะงุยเต็งให้รอไว้ก่อน ฝ่ายราชการบ้านเมือง ชีมงกงกับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงก็ช่วยกันจัดแจงดูแลว่าราชการบ้านเมืองโดยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุร้ายแรงแต่อย่างใด

เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ[แก้ไข]

  1. ต้นฉบับไทยพิมพ์ผิดว่า "สี่สิบเบ็ดเม็ด" ทำให้ไม่แน่ใจว่า เป็นสี่สิบเอ็ด หรือสี่สิบเจ็ด วิกิซอร์ซตรวจต้นฉบับจีนพบว่า เป็นสี่สิบ จึงแก้เป็นสี่สิบ ดังความต่อไปนี้

    "至次日,點札風伯、雷公、雲童、電母,直至長安城九霄空上。他挨到那巳時方布雲,午時發雷,未時落雨,申時雨止,卻只得三尺零四十點。改了他一個時辰,剋了他三寸八點。"

    ("The next day he ordered the Duke of Wind, the Lord of Thunder, the Boy of Clouds, and the Mother of Lightning to go with him to the sky above Chang'an. He waited until the hour of the Serpent before spreading the clouds, the hour of the Horse before letting loose the thunder, the hour of the Sheep before releasing the rain, and only by the hour of the Monkey did the rain stop. There were only three feet and forty drops of water, since the times were altered by an hour and the amount was changed by three inches and eight drops.")

  2. "เกียม" หรือสำเนียงกลางว่า "เจี้ยน" (劎 jiàn) หมายความว่า กระบี่




ตอน ๙ ขึ้น ตอน ๑๑