ไซอิ๋ว/เล่ม ๑/ตอน ๙

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑๔๐–๑๕๙ สารบัญ



ตอนที่ ๒


บัดนี้ จะกล่าวถึงตำบลเจียบไซ คือ เมืองเชียงอาน อันเป็นเมืองหลวงใหญ่ในเวลานั้น ต่อมา กระษัตริย์ทุกพระองค์ก็ตั้งอยู่เป็นเมืองหลวงในตำบลนี้ตั้งแต่ครั้งวงศ์จิว วงศ์ฉิน วงศ์ฮั่นต่อ ๆ กันลงมา เป็นที่ชัยภูมิ เมืองสง่างาม มั่นคง แลกว้างขวาง แลท่าทางเข้าออกหาที่เปรียบมิได้ มีแม่น้ำใหญ่แปดแม่น้ำล้อมรอบกำแพงเมือง

ครั้งนั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยราชสมบัติ ทรงตั้งยี่ห้อว่า เจงกวน พระองค์เสวยราชสมบัติให้สิบสามปีมาแล้ว ในปีนั้นเป็นปีมะเส็ง ทั่วทุกอาณาเขตชาวประเทศราชแลสามัญราษฎรพากันอยู่เป็นสุขทุกถ้วนหน้า น้ำท่าอาหารบริบูรณ์ ส่วยสาอาการก็เก็บได้เป็นอันมาก ประเทศราชเมืองใหญ่น้อยก็นำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายทุกเมือง

พระเจ้าแผ่นดินที่เป็นเอกราชทั้งหลายที่นอกเขตแดนจีนออกไปก็มีความเกรงกลัวเดชานุภาพกฤษฎาภินิหาร พากันมาอ่อนน้อมถวายราชสาสน์แลเครื่องมงคลราชบรรณาการทุก ๆ ปี

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จออกยังพระที่นั่งบัลลังก์มังกร ข้าราชการผู้ใหญ่น้อยฝ่ายทหารพลเรือนยืนแลนั่งเฝ้าอยู่ตามตำแหน่งพร้อมทั้งซ้ายขวาหน้าหลังเป็นลำดับ

ในเวลานั้น งุยเต็ง ขุนนางผู้ใหญ่ ลุกจากที่นั่งมายืนตรงหน้าพระที่นั่ง ถวายคำนับ แล้วทูลว่า ข้าพระองค์เห็นว่า บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินก็มีความสุขสำราญทุกทั่วหน้าต้องตามแบบโบราณแล้ว แต่โรงเรียนหนังสือในการศึกษาศิลปศาสตร์ยังหาบริบูรณ์ไม่ ปีนี้ถึงกำหนดคราวสอบไล่หนังสือแล้ว ขอพระองค์ได้โปรดสั่งให้มีท้องตราแลประกาศไปให้ทั่วทุกหัวเมืองบรรดาซึ่งอยู่ในพระราชอาณาจักรของพระองค์ให้นักเรียนเข้ามาสอบไล่หนังสือแลศิลปศาสตร์ความรู้ที่ตนได้เล่าเรียนศึกษาไว้ให้เชี่ยวชาญทั้งฝ่ายทหาร แลพลเรือน หรือวิชาโหราศาสตร์ แลชัยภูมิที่ดิน ถ้าสอบไล่ได้ความรู้สมควรจะมีเกียรติยศ จะได้ตั้งแต่งให้รับราชการในตำแหน่งหน้าที่ตามคุณวิทยาแห่งตน ก็จะได้ผู้มีสติปัญญาแลฝีมือเข้ารับราชการบ้านเมืองเป็นกำลังแผ่นดิน พระองค์ก็จะมีความเจริญอยู่ในสิริราชสมบัติอันปราศจากความเดือดร้อนทั่วพระราชอาณาเขตตลอดยืนยาวไปในเบื้องหน้า

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็ง ขุนนางผู้ใหญ่ กราบทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งแก่งุยเต็งว่า ท่านมีความเห็นดังนั้นชอบแล้ว ตรัสดังนั้นแล้วจึงรับสั่งให้ขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ทำประกาศแลให้มีท้องตราออกไปทั่วทุกตำบลแลหัวเมืองน้อยใหญ่ ให้ทราบทั่วกันว่า ถ้านักเรียนหัวเมืองมที่สอบไล่ที่หัวเมืองตนอยู่ได้ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสามไม่ตก สติปัญญาดี ก็ให้เจ้าเมืองกรมการส่งตัวให้มายังเมืองหลวง จะได้สอบไล่ต่อไป

ขุนนางอาลักษณ์ได้รับสั่งแล้วก็ถวายบังคมลาไปจัดการแต่งหมายประกาศแลให้มีท้องตราไปทั่วพระราชอาณาจักรตามรับสั่งของพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้

ในสมัยนั้น ยังมีบ้านหนึ่งเรียกว่า ฮ่องหนง ตำบลไฮ้จิว ตำบลไฮ้จิวนี้อยู่ในมณฑลเมืองเชียงอาน มีชายผู้หนึ่งแซ่ ตั่น ชื่อ กองหยี เป็นคนกำพร้าบิดา ยังมีแต่มารดาชื่อ นางเตียวสี ตั่นกองหยีได้เรียนหนังสือมีสติปัญญารู้ละเอียดลึกซึ้ง คนทั้งหลายชมว่า ตั่นกองหยีเป็นผู้รู้หนังสือดี

เวลาหนึ่ง ตั่นกองหยีเที่ยวเดินเล่มเห็นคนยืนดูหมายประกาศมุงกันอยู่ ตั่นกองหยีก็เข้าไปอ่านดูรู้ความตลอดแล้วก็กลับมาบ้าน เข้าไปหามารดา คำนับ แล้วจึงพูดแก่มารดาว่า บัดนี้ มีหมายประกาศปิดประตูเมือง มีใจความว่า ในเมืองหลวงจะสอบไล่หนังสือ ลูกอยากจะเข้าไปสอบไล่สักครั้งหนึ่ง ถ้าสมคะเนนึกก็จะได้มีเกียรติยศชื่อเสียงปรากฏไปในแผ่นดิน แลงามหน้าแก่บิดามารดา มีความเจริญสุขแก่บุตรภรรยาญาติต่อไปภายหลัง ลูกเห็นความดังนี้ เพราะฉะนั้น ลูกจึงมาบอกให้มารดาทราบ

นางเตียวสีเมื่อได้ฟังบุตรบอกเล่าชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดแก่บุตรว่า ดีแล้ว แม่เห็นชอบด้วย แต่เจ้าจะเข้าไปในเมืองหลวงนั้น เจ้าจงระมัดระวังตัวอย่าให้มีความผิดได้ ถ้าสมประสงค์ได้เกียรติยศ จงทูลลากลับมาหามารดาก่อน มารดาจะได้สิ้นความวิตก

ตั่นกองหยีได้ฟังมารดาให้อนุญาตแลสั่งกำชับดังนั้นแล้ว จึงเรียกคนใช้มาสั่งให้จัดหาเสบียงอาหารพร้อมเสร็จ แล้วจึงคำนับลามารดา มารดาก็ให้พรแลสั่งสอนบุตรด้วยประการต่าง ๆ

ตั่นกองหยีก็ออกจากบ้านตรงไปยังเมืองเชียงอาน เมื่อเดินทางถึงระยะโรงเตี๊ยมก็หยุดพักซื้ออาหารรับประทาน ค่ำก็พักโรงเตี๊ยมดูหนังสือมิได้เห็นแก่หลับนอน ครั้นมาถึงเมืองเชียงอานก็เข้าในกำแพงเมือง เห็นมีหอไล่หนังสือตั้งเรียงรายอยู่หลายหลัง ผู้คนเข้าออกแออัดล้วนแต่พวกนักเรียน ตั่นกองหยีจึงหยุดพักอยู่ข้างนอกคอยท่าเวลา ครั้นถึงเวลาเข้าสอบไล่ ตั่นกองหยีก็จัดแจงเตรียมตัวเข้าไป

เมื่อเวลาตั่นกองหยีเข้าไปสอบไล่นั้น แต่งใจความตามกระทู้จูค้าวถูกต้องทั้งสามประโยค ครั้นสิ้นเวลาไล่แล้ว จูค้าวก็นำคำแก้ของนักเรียนทั้งหลายเข้าไปถวายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรถ้อยคำของตั่นกองหยี พอพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงเซ็นลายพระหัตถ์ตั้งให้ตั่นกองหยีเป็นที่จอหงวน

ครั้นตั่นกองหยีได้รับเกียรติยศเป็นจอหงวนแล้วก็แต่งตัวตามยศ อันธรรมเนียมเมืองจีนนั้น ถ้าใครได้เป็นจอหงวนแล้ว ต้องแห่เป็นฤกษ์รอบเมืองสามวัน เจ้าพนักงานจัดกระบวนแห่เสร็จแล้วก็เชิญจอหงวนขึ้นเกี้ยวหามแห่ไปตามถนนรอบพระนคร ครั้นกระบวนแห่มาถึงหน้าบ้านงุยเต็ง ขุนนางผู้ใหญ่ งุยเต็งนั้นมีบุตรสาวคนหนึ่งอายุสิบหกปีชื่อ นางอุนเกี๋ยว ในเวลานั้น ผู้คนเซ็งแซ่มาดูแห่จอหงวน

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวอยู่บนหอสูงกำลังเสี่ยงทายหาคู่ เมื่อได้ยินเสียงคนแลเสียงพิณพาทย์ฆ้องกลองดังอึกทึกที่หน้าบ้าน นางจึงถือแพรถักที่มีสัณฐานเหมือนตะกร้อเดินมาเยี่ยมหน้าต่างตึกดูกระบวนแห่ เวลานั้น พอเกี้ยวตั่นกองหยีจอหงวนมาถึงหน้าต่างตรงนาง ด้วยบุพเพสันนิวาสของคนทั้งสองเคยสร้างสมมาเป็นคู่กัน ก็บังเอิญลมพัด ม่านที่เกี้ยวจอหงวนแหวกเปิดออกไป จอหงวนแลขึ้นไปเห็นนางอุนเกี๋ยว ต่างให้มีจิตปฏิพัทธ์ผูกใจรักใคร่กันทั้งสองฝ่าย

แต่นางพิจารณาดูตั่นกองหยีเห็นลักษณะอันงาม ทั้งมีกิริยาเรียบร้อย การไล่หนังสือคงเชี่ยวชาญ จึงได้เป็นที่จอหงวน นางคิดเห็นดังนั้นแล้ว จึงเอาลูกตะกร้อแพรโยนลงไปให้ถูกกายจอหงวน

ด้วยธรรมเนียมเมืองจีน ถ้าหญิงคนใดพอใจในบุรุษคนใด ก็เอาแพรซึ่งถักเป็นลูกตะกร้อนั้นโยนไปถูกชายคนใดแล้ว ก็เป็นรู้กันว่า หญิงผู้นั้นพอใจสมัครแก่ชายผู้นั้น

ฝ่ายตั่นกองหยีเมื่อถูกขว้างด้วยตะกร้อแพร แล้วก็หยิบลูกตะกร้อนั้นมาถือไว้ แล้วแลดูที่หน้าต่างหอสูง ได้ยินเสียงมโหรีพิณพาทย์รับร้องออกแซ่เสียงอยู่บนหอนั้น บัดเดี๋ยวใจก็มีหญิงสาว ๆ ประมาณสิบคนเดินออกมาจากประตูใหญ่ตรงเข้ามา แต่หญิงที่มาหน้าสองคนเข้าจับเกี้ยวที่หามตั่นกองหยีไว้ แล้วหญิงที่มาข้างหลังทั้งแปดคนจึงคำนับเชิญตั่นกองหยีว่า นายของข้าพเจ้าซึ่งอยู่บนหอสูงนั้นให้ข้าพเจ้ามาคำนับเชิญท่านจอหงวนขึ้นไปพักบนหอสูงรับประทานน้ำชาแก้เหนื่อยก่อน

จอหงวนได้ฟังดังนั้นจึงลงจากเกี้ยว หญิงพวกนั้นจึงพาจอหงวนเข้าไปในบ้าน จอหงวนเดินตามสาวใช้เข้าไปในบ้านถึงหอนั่งรับแขก

ฝ่ายงุยเต็กกับฮูหยินภรรยาออกมาเชิญจอหงวนให้นั่งตามที่ แล้วต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม พูดจาสนทนาผูกใจเป็นไมตรีกัน ครั้นได้เวลาฤกษ์ดีแล้ว จึงจัดการวิวาหมงคลยกนางอุนเกี๋ยวให้แก่จอหงวน แล้วก็ไหว้เทพยดาฟ้าดิน แลไหว้พ่อตาแม่ยายเสร็จแล้ว จึงจัดการเลี้ยงโต๊ะเป็นการใหญ่สนุกสนานรื่นเริงสำราญตามพรรคพวกวงศาคณาญาติ

ครั้นเสร็จการเลี้ยงโต๊ะแล้ว ก็ต่างคนต่างคำนับลาพากันกลับไปบ้านเรือน นางอุนเกี๋ยวกับจอหงวนก็ได้อยู่ด้วยกันเป็นภรรยาสามีกันตามประเพณี (ไม่ควรกล่าวให้ยืดยาวในข้อนี้)

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เวลาเช้า พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จออกขุนนาง ประทับยังที่พระที่นั่งราชอาสน์ ขุนนางเฝ้าพร้อมกันตามตำแหน่งยศผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ตรัสถามถึงตั่นกองหยีจอหงวนใหม่ว่า จะควรตั้งให้รับราชการตำแหน่งไหน

ขณะนั้น งุยเต็งกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าตรวจดูในพระราชอาณาเขตทุกตำบล ตำแหน่งขุนนางก็บริบูรณ์เต็มหน้าที่ แต่เมืองกังจิวนั้นยังหามีขุนนางผู้จะรักษาเมืองไม่ ขอพระองค์ได้โปรดให้ตั่นกองหยีจอหงวนออกไปเป็นผู้รักษาเมืองกังจิว ก็อาจรับราชการสนองพระเดชพระคุณได้

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย ขณะเมื่องุยเต็งกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินอยู่นั้น ตั่นจอหงวนก็เฝ้าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งหลายในที่นั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงรับสั่งตั้งให้ตั่นจอหงวนใหม่นั้นไปว่าราชการเมืองกังจิวตามคำงุยเต็งทูล แล้วรับสั่งให้เจ้าพนักงานแต่งตราตั้งมอบให้จอหงวนไป

ตั่นจอหงวนได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็คุกเข่าถวายบังคมรับตราตั้งเป็นผู้รักษาเมืองกังจิว พระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จขึ้น งุยเต็งกับจอหงวนก็กลับมายังบ้านแจ้งความให้บุตรภรรยาฟัง ตั่นจอหงวนก็ให้บ่าวไพร่จัดเสบียงอาหารกับครอบครัว พร้อมแล้วจอหงวนกับนางอุนเกี๋ยว ภรรยา ก็พากันเข้าไปกราบลางุยเต็งกับนางฮูหยินผู้เป็นมารดาของภรรยา

ฝ่ายงุยเต็งกับฮูหยินก็ให้ศีลให้พรแก่บุตรเขยแลบุตรสาว ครั้นเสร็จการสั่งเสียกันแล้ว ตั่นจอหงวนก็พาภรรยามาขึ้นเกี้ยว บ่าวไพร่หามออกจากบ้านไป ในเวลานั้น กำลังฤดูร้อน เดือนสาม ผลไม้กำลังออกช่อใบสง่างาม จอหงวนจึงพูดแก่ภรรยาว่า จะต้องแวะไปเยี่ยมมารดาก่อน เพราะจากกันมานานแล้ว พูดดังนั้นแล้วก็พาภรรยากับบ่าวไพร่เดินตรงมายังบ้านมารดา ครั้นถึงแล้ว จอหงวนก็พาภรรยาเข้าไปกราบไหว้มารดาโดยความเคาพแลชื่นชมยินดี

ฝ่ายนางเตียวสีแลเห็นบุตรมียศเป็นขุนนางกลับมาก็มีความยินดียิ่งนัก นางเตียวสีจึงถามตั่นกองหยีผู้บุตรว่า เจ้าได้ภรรยามาด้วยหรือ

จอหงวนจึงแจ้งความแก่มารดาว่า ข้าพเจ้านี้ได้พึ่งบารมีของมารดา เข้าไปสอบไล่ก็ได้ที่จอหงวน มีรับสั่งให้แห่รอบพระนครสามวันตามธรรมเนียมจอหงวนใหม่ บังเอิญกระบวนแห่ไปทางหน้าบ้านท่านไจเสียง นางอุนเกี๋ยวผู้นี้กำลังเสี่ยงทางตะกร้อแพรอยู่ ได้โยนลงมาถูกข้าพเจ้า ท่านไจเสียงผู้บิดากับฮูหยินผู้มารดามีความกรุณา จึงได้ยกนางอุนเกี๋ยวให้เป็นภรรยาข้าพเจ้า ได้ทำการวิวาหมงคลตามธรรมเนียม

บัดนี้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้โปรดมีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกไปว่าราชการเมืองกังจิว ลูกจึงได้แวะเข้ามารับมารดา หมายใจจะเชิญท่านมารดาไปเมืองกังจิวด้วย ท่านมารดาจะเห็นควรประการใด

นางเตียวสีผู้มารดาได้ฟังบุตรบอกดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้คนใช้จัดสิ่งของพร้อมเสร็จ แล้วตั่นจอหงวนพร้อมด้วยมารดาแลภรรยากับบ่าวไพร่ทั้งหลายก็ออกเดินตรงไปยังเมืองกังจิว

ครั้นเดินทางมาได้สองวันถึงตำบลบ๊วยฮวยเตี๊ยมก็หยุดพัก เจ้าของเตี๊ยมแซ่ เล้า ชื่อ เซี้ยวยี่ ออกมาเชิญจองหงวนให้หยุดพัก จอหงวนจึงเชิญมารดากับภรรยาผู้คนบ่าวไพร่เข้าพักอยู่ในเตี๊ยม

เล้าเซี้ยวยี่ก็จัดการรับรองให้สมเกียรติยศ ในขณะนั้น บังเอิญนางเตียวสีป่วยไม่สบาย จึงบอกแก่จอหงวนผู้บุตรว่า มารดาให้มีอาการปวดหัวตัวร้อนไม่ปรกติ ขอลูกจงหยุดพักสักสองสามวัน ให้มารดาค่อยสบายแล้วจึงค่อยไป

จอหงวนได้ฟังมารดาบอกดังนั้นก็รออยู่ตามคำมารดา จึงให้เจ้าของโรงเตี๊ยมไปเที่ยวหายามาให้มารดารับประทาน จอหงวนกับคนทั้งหลายก็ต้องรอพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ครั้นเวลาเช้า ที่หน้าโรงเตี๊ยมมีคนมาร้องขายปลา จอหงวนออกไปดู เห็นปลากิมหลีฮื้อตัวหนึ่งเกล็ดเป็นมีสองคำ จึงซื้อปลาตัวนั้นต่อนายประมงปลาเป็นราคาหนึ่งเหรียญ แล้วหิ้วปลาเข้ามาโรงเตี๊ยม ครั้นพิเคราะห์ดูเห็นกิริยาลูกตาปลาเพ่งดูก็ให้คิดสงสาร คิดแต่ในใจว่า ปลาตัวนี้น่าที่จะเป็นอาหารของมารดาเราแล้ว แต่หาควรที่เราจะทำลายชีวิตปลานี้เสียไม่ ปลานี้เป็นคราวเคราะห์ร้าย ไม่ควรจะเที่ยวมาให้ติดโป๊ะแลอวนเลย พิเคราะห์ดูอาการปลาเหมือนจะกลัวจนหายใจหอบเหงือกปะงาบ ๆ อยู่ เราไม่ควรจะทำลายชีวิตปลานี้เสียเลยเพื่อให้เป็นอาหารของมารดาเรา

จึงกลับคิดว่า ถ้าปล่อยปลาตัวนี้เสีย บางทีจะได้รับผลอันวิเศษในทางกุศลที่เป็นอานิสงส์ ขอความเมตตากรุณาให้ชีวิตเป็นทาน เมื่อใคร่ครวญคิดไปก็เห็นชอบ จึงเรียกนายประมงมา แล้วก็มอบปลานั้นให้ แล้วสั่งว่า ท่านจงนำปลาตัวนี้ไปปล่อยเสียที่เดิม สั่งแล้วก็หยิบอีแปะมาให้นายประมงอีกห้าสิบอีแปะเป็นค่าจ้างให้ช่วยนำปลาไปปล่อยให้ตามคำสั่ง

นายประมงก็รับอีแปะแลปลานำไปปล่อยที่แม่น้ำฮ่องกังตามเดิมตามคำสั่งของจอหงวน แล้วก็กลับไปบ้านเล่าให้บุตรภรรยาฟังว่า จอหงวนนี้ดีจริง ประกอบไปด้วยจิตเป็นกุศล คนอย่างนี้หายากนัก มิใคร่จะมี

ฝ่ายจอหงวนกลับเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้วก็เข้าไปในห้องนอนของมารดา คุกเข่าลงคำนับ แล้วก็เล่าว่า เมื่อเช้านี้ ข้าพเจ้าซื้อปลากิมหลีฮื้อตัวหนึ่งนำเข้ามาวางลงไว้ คิดว่าจะต้มให้มารดารับประทาน เห็นปลาตัวนั้นมีน้ำตาอันไหลออกมา ข้าพเจ้ามีจิตคิดสงสาร ได้ให้เอาปลานั้นไปปล่อยเสียในน้ำแล้ว ข้าพเจ้าจึงมาแจ้งความแก่ท่านผู้มารดาให้ได้โมทนาในกุศลเมตตาด้วย

นางเตียวสีเมื่อได้ฟังบุตรบอกความดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่ยิ่ง จึงพูดแก่บุตรว่า เจ้ามีความเมตตาปล่อยสัตว์ดังนี้มีความดีมาก อายุเจ้าจะเจริญยิ่ง มารดาพลอยมีความยินดีด้วย เดชะผลที่เจ้าปล่อยปลา ดูอาการของมารดาก็ค่อยทุเลาลงเป็นลำดับ แต่ยังอิดโรยด้วยเป็นคนชราอายุมาก

ครั้นพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั้นได้สามวัน จอหงวนคิดวิตกต่อไปด้วยราชการ ครั้นจะรอต่อไปอีกก็เกรงจะช้าเกินกว่ากำหนดในท้องตรา จอหงวนจึงเข้าไปหามารดา คำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้ารับพระอักษรรับสั่งให้รีบไปว่าราชการเมืองกังจิว บัดนี้ วันก็จวนจะถึงกำหนดในท้องตราอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเกรงว่าจะผิดในทางราชการ ไม่ทราบว่ามารดาจะค่อยสบายหรืออย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่าจะรีบไปในวันพรุ่งนี้เช้า

นางเตียวสีผู้มารดาได้ฟังบุตรพูดดังนั้นจึงพูดว่า ตัวของมารดานี้ก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเพราะความชรามากอยู่แล้ว ฤดูนี้เป็นคิมหันตฤดู ร้อนกล้า มารดาวิตกว่า จะไปด้วยเจ้านั้น บางทีจะทำให้โรคกำเริบมากขึ้นได้ ก็จะเกิดความลำบากแก่เจ้า แม่เห็นว่า ถ้าเจ้าหาที่เช่าให้มารดาพักอยู่ไปกว่าจะสิ้นฤดูร้อน เจ้าจึงกลับมารับมารดาไป เห็นจะดีกระมัง ส่วนตัวเจ้าจงรีบไปจัดราชการตามรับสั่งเถิด จะไม่เสียราชการบ้านเมือง

จอหงวนได้ฟังมารดาพูดดังนั้นก็เห็นสมควรตามคำมารดา จึงออกมาข้างนอกบอกแก่นางอุนเกี๋ยว ครั้นตกลงกันแล้ว จอหงวนจึงให้เช่าเรือนหลังหนึ่ง แลจัดคนใช้สอยให้คอยปฏิบัติรักษา แลจัดข้าวปลาเสบียงอาหารไว้พร้อมเสร็จแล้ว จอหงวนจึงเข้าไปเชิญมารดาไปพักอยู่ที่เรือนเช่านั้น จอหงวนจึงฝากมารดาของตนแก่ชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้เคียงแก่เรือนเช่าที่มารดาอยู่แล้ว รุ่งเช้า จอหงวนจึงให้คนจัดข้าวของเสร็จแล้วก็พาภรรยาเข้าไปลามารดา นางเตียวสีผู้มารดาก็ให้โอวาทสั่งสอนบุตรต่าง ๆ จอหงวนกับภรรยาก็คำนับลามารดารีบพาผู้คนบ่าวไพร่ออกเดินทางจะไปยังเมืองกังจิว

จอหงวนเมื่อเวลาเดินทางมีความลำบาก กลางวันก็รีบเดินทาง กลางคืนหยุดพักตามระยะทาง ครั้นเดินมาถึงปากน้ำฮ่องกังก็หยุดพักผู้คนบ่าวไพร่ แล้วเห็นที่ริมฝั่งแม่น้ำมีเรือลำหนึ่ง มีคนอยู่ในเรือสองคน คนหนึ่งชื่อ ฮอง แซ่ เล้า คนหนึ่งชื่อ แพ แซ่ ลี้

ฝ่ายเล่าฮอง ลี้แพ แลเห็นคนยืนอยู่ริมฝั่งจึงถ่อเรือเข้ามาใกล้ แล้วร้องถามว่า ท่านทั้งปวงนี้จะข้ามฟากหรือ

จอหงวนจึงตอบว่า เราจะข้ามไปเมืองกังจิว เจ้าของเรือได้ฟังดังนั้นจึงเทียบเรือเข้ามาริมตลิ่งจะรับ ครั้นเรือเข้าถึงแล้ว จอหงวนกับภรรยาแลบ่าวไพร่ก็พร้อมกันลงเรือจ้าง เจ้าของเรือก็ค้ำเรือออกจากท่าตรงจะไปเมืองกังจิว เวลานั้น เป็นคราวเคราะห์ของตั่นกองหยีร้าย เวรกรรมที่ทำไว้แต่ชาติก่อนติดตามมาให้ผล

เมื่อขณะขนของพากันลงเรือออกจากท่าแล้ว เล่าฮองนั่งอยู่ข้างท้ายเรือ แลเข้าไปในประทุน เห็นนางอุนเกี๋ยวภรรยาจอหงวนรูปร่างงามน่ารัก มีลักษณ์มารยาทงดงามพร้อม เล่าฮองเห็นดังนั้นให้มีจิตกระสันในการประเวณี ก็บังเกิดใจร้ายขึ้นทันที ในขณะนั้น จึงคิดอุบายกับลี้แพเสร็จแล้ว ก็พูดแก่จอหงวนว่า เวลาวันนี้ ลมก็ต้าน หน้าน้ำก็เชี่ยว จะต้องหาที่บังลมพัก ต่อเวลาดึก ลมตก จึงจะไปได้ ว่าแล้วก็ค้ำเรือเข้าไปแอบที่บังลมในที่อันเปลี่ยว ครั้นเวลาดึก สองยาม เห็นจอหงวนกับบ่าวไพร่หลับสนิทหมดแล้ว เล่าฮองกับลี้แพถืออาวุธเข้าไปในประทุนเรือ จับพวกบ่าวไพร่ของจอหงวนฆ่าเสียสิ้น แล้วก็เอาซากศพสิ้นด้วยกันโยนลงในน้ำ แล้วช่วยกันทุบตีจอหงวนจนตาย เอาศพทิ้งลงในน้ำ

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวเห็นเขาฆ่าผัวกับบ่าวไพร่ดังนั้นก็มีความกลัวตกประหม่าเหมือนชีวิตจะออกจากร่าง ครั้นได้สติก็เปิดหน้าต่างท้ายเรือจะกระโจนลงน้ำให้ตายเสีย

เล่าฮองเห็นดังนั้นจึงเข้าจับยุดนางไว้แล้วจึงพูดว่า เจ้าอย่าตายเสียเลย ยอมเป็นภรรยาเรา แล้วสารพัดสิ่งของทั้งปวงเราจะยกให้แก่เจ้าทั้งสิ้น แม้เจ้าขืนดื้อดึงไปไม่ปลงใจด้วยเรา เราจะเชือดเนื้อเจ้าให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ แล้วจะตัดตัวเจ้าเป็นสามท่อนทิ้งลงในน้ำ ให้เจ้าตายตามสามีของเจ้าไป

นางอุนเกี๋ยวได้ฟังอ้ายโจรพูดสำทับคาดคั้นดังนั้นก็คิดตรึกตรองอยู่ ไม่เห็นอุบายอันใดที่จะเอาตัวรอดให้พ้นจากอำนาจของมันได้ จึงพูดว่า เวลานี้ ตัวข้าพเจ้ามีครรภ์อยู่ จะขอผัดพอให้คลอดบุตรแล้ว ก็ตามแต่ท่านจะเมตตาชุบเลี้ยง ไม่ขัดขืนน้ำใจท่าน

เล่าฮองได้ฟังดังนั้นก็ให้บังเอิญเคลิบเคลิ้มเชื่อถือว่านางจะปลงใจด้วยจริง ให้มีความยินดียิ่งนัก จึงมอบเรือจ้างให้ลี้แพจัดแจงหากินต่อไปตามเคย ส่วนตัวเล่าฮองก็รวบรวมเครื่องยศของจอหงวนใส่แต่งตัวเสร็จ แล้วหยิบตราสำหรับเมืองแลสิ่งของเครื่องสำหรับขุนนาง เสร็จแล้วก็พานางอุนเกี๋ยวขึ้นบกเดินตามระยะทางตรงไปยังเมืองกังจิว เมื่อเวลากลางคืนที่เล่าฮองฆ่าพวกบ่าวไพร่จอหงวนแลจอหงวนในวันนั้น ซากอาสภก็กระจัดกระจายลอยไปตามน้ำ แต่ส่วนซากอาสภจอหงวนนั้นบันดาลให้ตกจมอยู่ในที่นั้นไม่เป็นอันตราย เพราะอำนาจบุญของบุตรที่จะได้เป็นเชื้อสายสืบพระพุทธศาสนาต่อไปในภายหน้า

ฝ่ายพวกบริวารของพระยาเล่งอ๋องเที่ยวตรวจตระเวนมาตามลำแม่น้ำ ครั้นมาปะซากศพของจอหงวนก็ตกใจ จึงรีบกลับไปยังบาดาลนำความไปแจ้งแก่พระยาเล่งอ๋องว่า ขอพระองค์ได้ทราบ ในลำแม่น้ำฮ่องกังนั้นไม่ทราบว่า ผู้ใดตีนักเรียนคนหนึ่งตาย แล้วเอาซากอาสภทิ้งจมน้ำอยู่

พระยาเล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงสั่งคนใช้ให้ไปนำเอาศพนั้นมา แล้วพระยาเล่งอ๋องก็ออกมาดูพิจารณาโดยละเอียด แล้วจึงพูดว่า นักเรียนคนนี้เราจำได้ชัดเจนแล้ว คือ เป็นผู้มีคุณแก่เรา ได้ช่วยชีวิตเราเมื่อครั้งก่อน เราแปลงเป็นปลาไปเที่ยวตรวจตามลำแม่น้ำ ชาวประมงจับเราได้ ท่านผู้นี้ได้ซื้อเรามาจากนายประมง แล้วจึงปล่อยเรามา เราจึงได้รอดชีวิต ท่านผู้นี้มีคุณแก่เรามากนัก จำเราจะต้องตอบแทนคุณท่านบ้าง ว่าดังนั้นแล้ว จึงเรียกคนใช้ให้รีบขึ้นไปยังศาลพระภูมิเจ้าที่ ขอรับดวงจิต คือ ชีวิตแลวิญญาณ ของตั่นจอหงวนลงมายังบาดาล

ฝ่ายพระภูมิเจ้าที่เมื่อทราบดังนั้นก็มอบจิตวิญญาณของตั่นจอหงวนมากับคนใช้ของพระยาเล่งอ๋อง คนใช้ก็นำจิตวิญญาณของจอหงวนมาส่งให้แก่พระยาเล่งอ๋อง พระยาเล่งอ๋องจึงถามจิตวิญญาณของตั่นจอหงวน ตั่นจอหงวนก็ชี้แจงตั้งแต่ต้นจนปลายตามที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นให้พระยาเล่งอ๋องทราบทุกประการ

พระยาเล่งอ๋องจึงพูดว่า เดิมท่านได้ปล่อยปลากิมหลีฮื้อตัวนั้น คือ ข้าพเจ้าเอง ท่านได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดชีวิตเป็นมาได้ เวลานี้ ข้าพเจ้าก็ต้องสนองพระคุณท่านช่วยท่านบ้าง

พระยาเล่งอ๋องพูดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ยกศพตั่นจอหงวนไปไว้ในห้องที่ลับ แล้วเอาแก้ววิเศษใส่ปากซากอาสภนั้นไว้ ประสงค์จะมิให้ซากอาสภนั้นเป็นอันตราย ต่อภายหลังสิ้นเคราะห์แล้วจึงจะเอาดวงจิตของท่านใส่ให้ตามเดิม แล้วจึงจะส่งท่านขึ้นไปยังเมืองมนุษย์คิดแก้แค้นอ้ายคนพาล แต่เวลานี้ วิญญาณของท่านต้องอยู่ในบาดาลนี้ก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งให้วิญญาณของท่านเป็นผู้สำเร็จราชการ ดวงจิตจอหงวนรับคำแลขอบคุณพระยาเล่งอ๋อง วิญญาณจอหงวนก็รับราชการอยู่ในบาดาลตั้งแต่นั้นมา

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวเมื่อเวลาตามเล่าฮองไปนั้นก็มีจิตคั่นแค้นเป็นที่สุด แต่ไม่รู้ที่จะคิดประการใด จำใจจำเป็นต้องนิ่งทนความแค้นแลความโศกอยู่ในใจดังนั้น

แล้วมาคิดถึงที่ตนมีครรภ์กับจอหงวนได้สามเดือนเศษแล้ว ยังหารู้ว่าบุตรในครรภ์จะเป็นหญิงหรือชายไม่ ครั้นจะฆ่าตัวตายเสียก็สงสารแก่บุตรที่ในครรภ์ แต่คิดอลักเอลื่ออยู่ไม่รู้ที่จะทำประการใดดี นางเดินพลางคิดพลางตามระยะทางไป ครั้นมาถึงเมืองกังจิว พวกข้าราชการในเมืองรู้ว่า ขุนนางในเมืองหลวงออกมาเป็นผู้รักษาเมือง ก็พากันออกมาต้อนรับเข้าไปในเมือง นำมาพักที่จวนสำหรับเป็นที่อยู่แห่งเจ้าเมืองแต่ก่อน ๆ มา จอหงวนปลอมก็เข้าพักในที่สำหรับเจ้าเมือง

พวกขุนนางกรมการทั้งหลายก็พากันมาคำนับตามธรรมเนียม เล่าฮองจึงพูดแก่ขุนนางทั้งหลายว่า ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ก็เพราะจะรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ท่านทั้งหลายจงเป็นธุระช่วยข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้ายังไม่ทราบการทั่วไปได้ ตัวท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การจึงจะเป็นไปได้ พวกขุนนางทั้งหลายก็มิได้ทราบว่า เล่าฮองเป็นขุนนางปลอม จึงพูดตอบว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ไล่ได้ถึงชั้นจอหงวน อาจสามารถจะรักษาราชการแลราษฎรดุจบุตรของท่าน ส่วนหน้าที่ในโรงศาลพวกข้าพเจ้าก็เคยกระทำมาแล้ว ขอท่านได้โปรดแนะนำความเจริญสุขทั่วไปทั้งในเมืองแลนอกเมือง พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอพึ่งบุญบารมีท่านสืบไป ครั้นสนทนากันตามธรรมเนียมแล้ว ก็พากันลาเจ้าเมืองปลอมกลับไป

ตั้งแต่เล่าฮองมาอยู่เมืองกังจิว ก็มิได้มีผู้ใดรู้ว่าเล่าฮองเป็นโจรไม่ ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เล่าฮองมีกิจธุระออกจากที่อยู่ไปตรวจราชการ มิได้อยู่ที่จวน

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวนั่งอยู่บนหอเย็นตรึกตรองถึงตัวด้วยตกอยู่ในที่ลำบากยากแค้น แล้วกลับหวนคิดถึงนางเตียวสีผู้มารดาของจอหงวนซึ่งได้ความลำบากพักอยู่กลางทาง จะร้ายดีประการใดก็ไม่ทราบ ขณะเมื่อตรึกตรองอยู่นั้น บังเอิญให้ร่างกายของนางเมื่อยเพลีย ท้องก็ให้เจ็บปวดสาหัสจนเหลือที่จะทน ก็ซบหน้าลงกับพื้น แทบจะสิ้นสมปฤดี พอลมกรรมชวาตพัดส่ง นางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย ในขณะนั้น นางอุนเกี๋ยวได้ยินเหมือนเสียงคนมากระซิบบอกที่หูว่า เจ้าจงจำคำของเราไว้ เราคือดาวน่ำเต็กแชกุน พระกวนอิมให้เรานำเอาบุตรมาให้เจ้า บุตรคนนี้นานไปเมื่อหน้าถ้าเติบใหญ่จะมีชื่อเสียงปรากฏในแผ่นดิน จะมีบุญญาธิการเชี่ยวชาญมาก เจ้าจงอุตส่าห์รักษาไว้ให้ดี เมื่อภายหน้าแม่ลูกจะได้พบกัน ถ้าเล่าฮองมันกลับมาเห็นว่า เจ้าคลอดบุตรเป็นชาย มันก็จะเอาทารกไปฆ่าเสีย เจ้าจงแก้ไขด้วยปัญญาของเจ้าให้จงดี แต่สามีของเจ้านั้นเวลานี้ยังอยู่ในบาดาล พระยานาครับเอาไปเลี้ยงไว้ มีความสุขสบาย ยังหาเป็นอันตรายไม่ ต่อไปภายหน้าผัวเมียจะได้พบกัน

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวก็ตกใจลืมตาขึ้นแลดูมิได้เห็นผู้ใด นางมีความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ชะรอยจะเป็นผู้วิเศษจะมาบอกให้ นางจำได้ทุกสิ่งทุกประการ เห็นว่า สามีคงจะยังไม่เป็นอันตรายเป็นแท้ เหตุนี้คงจะเป็นเทพาอารักษ์มาช่วยบอกให้ จึงอุ้มบุตรขึ้นวางตัก แล้วไม่รู้ที่จะทำประการใด นั่งเป็นทุกข์อยู่

ฝ่ายเล่าฮองเมื่อกลับมาเข้าในห้อง เห็นนางอุนเกี๋ยวอุ้มบุตรอยู่ มีความริษยาแลโกรธขึ้งยิ่งนัก จึงพูดแก่นางอุนเกี๋ยวว่า เด็กคนนี้เอาไว้ไม่ได้ เจ้าจงส่งมาให้เรา เราจะเอาไปโยนน้ำเสีย จึงจะได้

นางอุนเกี๋ยวเมื่อได้ฟังเล่าฮองว่าดังนั้นก็ตกใจ แต่แกล้งทำใจดีตอบเล่าฮองว่า ท่านอย่าเพ่อทำใจเร็ววู่วาม คนทั้งหลายล่วงรู้จะเป็นที่กินแหนงว่า เหตุใดท่านจึงได้เอาบุตรที่รักไปทำเสียดังนั้นเล่า ผิดวิสัยแลธรรมดามนุษย์ทั้งหลาย จะเกิดความครหานินทาขึ้น รอแต่พอเวลาค่ำ ข้าพเจ้าจะนำเอาไปทิ้งน้ำเสีย จึงจะไม่มีเหตุการณ์ต่อไป ท่านจะเห็นเป็นประการใด

เล่าฮองได้ฟังนางอุนเกี๋ยวชี้แจงดังนั้นก็เห็นจริง สำคัญเสียว่า นางเป็นใจด้วย ก็มีความยินดี พอคนใช้เข้ามาบอกว่า มีพวกโจรป่าเข้ามาแย่งชิงสิ่งของของราษฎรชาวตลาด เล่าฮองได้ฟังดังนั้นจึงสั่งนางอุนเกี๋ยวว่า ตัวเราจะรีบไประงับโจรผู้ร้ายข้างนอกเมือง เจ้าอยู่ข้างหลัง จงเอาทารกนี้ไปโยนน้ำเสียโดยเร็ว ครั้นสั่งนางดังนั้นแล้ว เล่าฮองก็ออกมาข้างหน้า จัดแจงผู้คนบ่าวไพร่ยกออกจากบ้านไป

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวเมื่อเห็นเล่าฮองออกไปแล้วจึงคิดว่า แม้เอาลูกคนนี้ไว้ เล่าฮองมันกลับมาก็คงไม่รอด จำเป็นจะต้องเอาไปลอยน้ำเสียโดยเร็ว เมื่อจะเป็นตายประการใดก็แล้วแต่กุศลผลกรรม เดชะบุญเทพยดาฟ้าดินช่วยชักนำให้รอดชีวิต เมื่อภายหน้าก็คงจะได้พบกัน ครั้นนางคิดดังนั้นแล้วก็กัดนิ้วมือของตนให้โลหิตไหลออก แล้วก็เอาโลหิตเขียนหนังสือบอกเหตุการณ์ทุกข์ยากตั้งแต่ต้นจนปลาย แล้วเขียนแซ่แลชื่อบิดา มารดา แลวงศาคณาญาติทุกประการ ครั้นเขียนแล้วก็พบซ่อนไว้ แล้วมามีความวิตกต่อไปภายหน้าว่า ไปพบปะกันเข้าก็จะไม่รู้จักบุตร จำจะต้องทำสำคัญในกายตัวแห่งบุตรไว้ คิดแล้วนางจึงแข็งใจกัดนิ้วเท้าข้างซ้ายของบุตรให้เป็นรอยไว้เป็นสำคัญ เสร็จแล้วก็เอาเสื้อชั้นในของนางห่อบุตรพลางร้องไห้พลาง แล้วก็กลัวอ้ายโจรมันจะกลับมา บุตรจะเป็นอันตราย นางเหลียวซ้ายแลขวาเห็นเวลาว่างคน ก็อุ้มบุตรออกไปจากตึก เดินแอบลงไปตามริมฝั่งแม่น้ำ นั่งคร่ำครวญอาลัยบุตรอยู่มิใคร่จะจากบุตรได้ ให้พะวักพะวนดุจชีวิตจะขาดจากร่างกายแตกทำลายลงไปในเวลานั้น เดชกุศลผลบุญคนทั้งสองที่จะได้พบกันในภายหน้า บังเอิญให้นางเห็นกระดานแผ่นหนึ่งอยู่ในที่นั้น นางจึงวางบุตรลงไว้ ลงไปลากกระดานนั้นมาที่ริมตลิ่ง แล้วจึงยกมือขึ้นประนมนมัสการตั้งสัตย์อธิษฐานว่า ตัวข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าอุนเกี๋ยวมีความสัตย์สุจริตต่อสามี ขอให้เทพยดาที่รักษาแม่น้ำยมนานทีช่วยบุตรข้าพเจ้าให้พ้นจากอันตราย ด้วยอำนาจเทพยดาฟ้าดินทั้งหลายซึ่งสิงสถิตอยู่ในฝั่งน้ำจงช่วยอภิบาลบำรุงรักษาบุตรข้าพเจ้าด้วย อธิษฐานแล้วก็วางบุตรลงเหนือแผ่นกระดาน เอาผ้าคาดเอวผูกติดแก่กระดาน แล้วเอาหนังสือที่เขียนด้วยโลหิตฉบับนั้นวางสอดไว้ในผ้าบนอกบุตร เสร็จแล้วนางก็แข็งใจเสือกกระดานให้ลอยไปตามกระแสน้ำไหล ยืนแลตามดูจนลับตา แล้วก็แข็งใจกลั้นความโศกกลับมายังบ้าน ครั้นเล่าฮองกลับมา นางก็เล่าความให้ฟังทุกประการ เล่าฮองก็ค่อยคลายความวิตก

ฝ่ายทารกเมื่อมารดาวางบนกระดานเสือกลอยมาในน้ำ ก็ไหลตรงไปถึงน้ำท่าวัดกิมซัวยี่ ก็เข้าเกยติดอยู่กับริมฝั่งน้ำที่วัดกิมซัวยี่ ในวัดนั้นมีสมภารใหญ่องค์หนึ่งนามเรียกว่า ฮวดเม้งท้ายซือ คือ เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นผู้ถือสิกขาวินัยเคร่งครัดมาก ได้บรรลุธรรมถึงฌานสมาบัติเบื้องตน (ในคำกล่าวดูเหมือนจะแจ้งมรรคผล)

ฝ่ายพระอาจารย์ฮวดเม้งท้ายซือเวลานั้นเข้าที่ระงับอารมณ์อยู่ ได้ยินเสียงเด็กร้องอยู่ข้างท่าน้ำ มีความประหลาดใจ ก็ลุกเดินออกมาตรงลงไปที่ท่าน้ำ จึงพิเคราะห์ดูตามเสียงทารกร้อง จึงเห็นที่ริมฝั่งมีเด็กน้อยนอนอยู่บนแผ่นกระดาน ก็ให้คิดพิศวงประหลาดใจมาก จึงรีบเดินลงไปที่ทารก แก้ผ้าที่รัดเด็กออก จึงเห็นหนังสือฉบับหนึ่งอยู่บนอกเด็ก พระอาจารย์จึงหยิบหนังสือนั้นมาคลี่ออกอ่านดู ก็รู้มูลเหตุของเด็กนั้นทุกประการ จึงอุ้มเด็กนั้นกลับมายังกุฎีโดยความกรุณา ตั้งชื่อให้เรียกว่า กังลิ้ว แปลว่า ลอยคลอง พระอาจารย์จึงเก็บหนังสือฉบับนั้นซ่อนไว้ แล้วจึงสั่งแก่ศิษย์ทั้งหลายให้เลี้ยงเด็ก เอานมแลเนยป้อน แลอาบน้ำ ให้นอนตามเวลา ครั้นจำเนียรกาลมา เด็กกังลิ้วนั้นก็เติบใหญ่อายุได้สิบแปดปี พระอาจารย์ฮวดเม้งเห็นเด็กกังลิ้วเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ก็ให้ปลงผมบวชเป็นหลวงจีน พระอาจารย์ให้นามว่า เหี้ยนจึง ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เป็นฤดูเดือนห้า อากาศกำลังร้อนจัด พวกสานุศิษย์ทั้งหลายพากันมานั่งใต้ร่มไม้ ต่างก็สังวัธยายข้อวัตรปฏิบัติ ในเวลานั้น มีเถรโค่งรูปหนึ่งเป็นคนเลอะเทอะ พูดจาโฮกฮาก ไม่รู้จักข้อวัตรปฏิบัติ แต่ทำอวดรู้ถามศาสนาแก่หลวงจีนเหี้ยนจึง หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ตอบแก้ไขได้ต่าง ๆ ครั้นถึงคราวหลวงจีนเหี้ยนจึงถามบ้าง เถรโค่งก็จนในข้อความที่ถาม จึงได้มีความอายแก่เพื่อนศิษย์ทั้งหลาย บันดาลโทสะกล้า เหลือที่จะอดกลั้น จึงต่อว่าหลวงจีนเหี้ยนจึงด้วยคำหยาบว่า อ้ายเดรัจฉาน ไม่รู้สึกตัว ชื่อแซ่ก็ไม่มี พ่อแม่ก็ไม่รู้จัก ยังจะทำอวดรู้ เป็นผู้วิเศษกว่าคนทั้งหลายหรือ

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังคำเถรโค่งด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบช้าดังนั้น ก็มีความอายแก่พวกศิษย์วัดด้วยกัน อุตส่าห์กลั้นน้ำตาเดินเข้าไปหาพระอาจารย์ ครั้นถึงก็คลานเข้าไปกราบไหว้ แล้วก็คุกเข่าลง ร้องไห้พลาง ถามพระอาจารย์พลางว่า อันธรรมดาเกิดมาในโลกมีรูปแลนามนั้น ก็ย่อมอาศัยครรภ์แห่งมารดาโดยการอสัทธรรมแห่งบิดา จึงได้เกิดได้มีแห่งรูปนามของมนุษยชาติ ขอพระอาจารย์ได้โปรดบอกนามของบิดาแลมารดาแห่งข้าพเจ้าว่า อยู่ที่ใดตำบลใด ชื่อไร แซ่ใด ข้าพเจ้าจะได้รู้จักไว้ เพื่อจะได้สนองพระเดชพระคุณท่าน ถามดังนั้นแล้วก็ก้มหน้าลงร้องไห้

ฝ่ายพระอาจารย์ฮวดเม้งท้ายซือได้ฟังหลวงจีนเหี้ยนจึงถามดังนั้นแลร้องไห้อยู่ ให้มีจิตสังเวชเป็นที่สุด จึงพูดว่า ถ้าอยากจะทราบเรื่องของบิดามารดา จงตามมาในกุฎี จึงจะรู้ได้ ว่าแล้วพระอาจารย์ก็ลุกเดินเข้าไปในกุฎี หลวงจีนเหี้ยนจึงก็เดินตามเข้าไป พระอาจารย์จึงหยิบหนังสือลับกับเสื้อชั้นในของมารดาหลวงจีนเหี้ยนจึงที่ซ่อนไว้นั้นออกมาส่งให้ดู

หลวงจีนเหี้ยนจึงรับเสื้อกับหนังสือมาดูตั้งแต่ต้นจนปลาย ก็รู้เรื่องว่า บิดามารดาชื่อนั้น แลถูกโจรทำร้ายได้ความคับแค้นแสนสาหัส ครั้นอ่านทราบเรื่องแล้วก็ร้องไห้จนสลบลงกับที่

ฝ่ายพระอาจารย์เห็นดังนั้นก็เข้าช่วยบีบนวดเส้นสายแก้ไข หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ฟื้นขึ้น จึงพูดว่า เกิดมาอายุได้สิบแปดปีแล้ว ก็ยังไม่เห็นหน้าบิดาแลมารดาว่าเป็นอย่างไร แลทั้งมิได้ทดแทนพระคุณเลย มาวันนี้จึงรู้ชัดได้ ถ้าไม่มีพระอาจารย์อุปถัมภ์เลี้ยงดู ที่ไหนเลยจะได้มีชีวิตรอดมาถึงเพียงนี้

ครั้นค่อยคลายความโศกแล้ว จึงกราบเรียนพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจะขอกราบลาพระอาจารย์ไปเที่ยวเสาะแสวงหามารดา ถ้าพบปะกันแล้ว จะได้สืบหาย่าแลศพบิดา จะได้สนองพระคุณท่านซึ่งเป็นต้นแซ่แลตระกูล ถ้าเสร็จธุระแล้ว จึงจะกลับมานมัสการพระอาจารย์ต่อไป

ฝ่ายพระอาจารย์ฮวดเม้งท้ายซือได้ฟังหลวงจีนเหี้ยนจึงลาดังนั้นก็ยอมอนุญาตให้ไป แล้วกำชับสั่งหลวงจีนเหี้ยนจึงว่า แม้นจะไปหามารดา จงเอาหนังสือที่เขียนด้วยโลหิตกับเสื้อของมารดานั้นไปด้วยเพราะเป็นสิ่งสำคัญเครื่องหมาย แลให้ทำกิริยาเหมือนไปเที่ยวเรี่ยไร เมื่อเดินไปตามหนทางที่จะเข้าเมืองกังจิวนั้น จงตรงเข้าไปที่จวน ถ้าถึงศาลที่ชำระความแล้ว จงทำกิริยาเป็นทีหลวงจีนบ้านนอกร้องขอเรี่ยไร คงจะได้พบกับมารดาสมความปรารถนา

หลวงจีนเหี้ยนจึงครั้นได้ฟังพระอาจารย์แนะนำสั่งสอนดังนั้นแล้ว ก็นมัสการลาออกมาข้างนอก จัดแจงเอาของสำคัญของมารดาใส่ย่าม เสร็จแล้วก็ออกจากวัด ตั้งหน้าตรงไปยังเมืองกังจิว

เมื่อเดินไปเกือบใกล้จะถึงเมืองเข้าแล้ว ให้บังเอิญเวลานั้นเล่าฮองมีกิจสำคัญอย่างหนึ่ง ก็จัดแจงผู้คนบ่าวไพร่ออกจากบ้านจะไปข้างนอกเมือง โดยเทพยดาเข้าดลใจที่จะให้แม่ลูกได้พบกัน

ครั้นหลวงจีนเหี้ยนจึงมาถึงเมืองกังจิวก็เดินเข้าไปยังศาลาว่าการหน้าจวน แกล้งทำเป็นร้องเรี่ยไร

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวเมื่อเวลากลางคืนที่ล่วงไปนั้นนางนิมิตฝันเห็นไปว่า เห็นพระจันทร์เหมือนข้างแรมไม่เต็มดวงบริบูรณ์ ครั้นนางพิจารณาดูไปก็กลับเห็นเต็มดวงสว่างเหมือนอย่างเดิม ครั้นตื่นขึ้นแล้วก็นั่งตรึกตรองคิดถึงความนิมิตฝัน แล้วหวนคิดถึงนางเตียวสีผู้แม่ผัวว่า เมื่อจอหงวนจากมาก็ยังป่วยอยู่ยังหาหายเป็นปรกติไม่ ไม่ทราบว่าจะร้ายดีประการใด แลคิดถึงบุตรชายที่ลอยน้ำไปนั้นจะเป็นตายประการใดก็ไม่ทราบ ถ้ามีผู้เก็บได้เลี้ยงไว้ ป่านนี้ก็ได้สิบเก้าปีแล้ว นางนั่งคร่ำครวญถึงสามีแลบุตรอยู่ดังนั้น พอได้ยินเสียงคนมาเรี่ยไร จึงเดินออกมาที่หน้าหอ แลเห็นหลวงจีนหนุ่มน้อยเดินร้องเรี่ยไรอยู่ นางจึงถามว่า หลวงจีนองค์นี้อยู่สำนักที่วัดใด จึงเที่ยวมาเรี่ยไรจนถึงที่นี่

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงเห็นมารดามาถามดังนั้นจึงบอกว่า ข้าพเจ้าอยู่วัดกิมซัวยี่ เป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์ฮวดเม้งท้ายซือ

นางจึงตอบว่า ถ้าท่านอยู่วัดกิมซัวยี่แล้ว ขอนิมนต์หยุดพักก่อน นางจึงเรียกคนให้พาหลวงจีนขึ้นมาบนหอนั่ง แล้วจึงให้คนใช้ยกน้ำชามาถวาย แล้วนางสั่งให้สาวใช้หาเครื่องแจถวาย นางสาวใช้ก็จัดเครื่องแจมาถวาย

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงรับประเคนแล้วก็นั่งฉันตามสมณเพศ นางอุนเกี๋ยวนั่งพิเคราะห์ดูหลวงจีนหนุ่มน้อยมีลักษณะกิริยามารยาทรูปโฉมคล้ายคลึงเหมือนตั่นจอหงวนผู้สามี จะนั่งเดินก็ดูไม่ผิดกับจอหงวน นางเห็นดังนั้นก็ยิ่งนึกสงสัยอยู่ในใจ ครั้นจะถามก็เกรงความจะแพร่งพราย นางจึงอุบายลวงสาวใช้ให้ไปเสียให้พ้นในที่นั้น แล้วนางจึงถามหลวงจีนว่า ท่านบวชตั้งแต่เล็กมาหรือบวชเมื่อใหญ่ บิดามารดาชื่อไรแซ่ใด บิดามารดาอยู่พร้อมกันหรือประการใด

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังมารดาถามดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ได้บวชตั้งแต่เล็ก บวชเมื่ออายุได้สิบแปดปี ข้าพเจ้ามีความทุกข์ร้อนคับแค้นมากนัก เพราะกรรมเวรของข้าพเจ้า ด้วยบิดาของข้าพเจ้าต้องรับโจรภัยถึงแก่ความตาย มารดาของข้าพเจ้าตกอยู่ในมือโจร พระอาจารย์บอกให้มาในเมืองกังจิวว่า จะได้พบท่านผู้มารดา ข้าพเจ้าจึงได้ทำเป็นมาเรี่ยไร ทั้งนี้ ก็เพื่อประสงค์จะได้พบแก่มารดาผู้บังเกิดเกล้า ข้าพเจ้าเมื่อยังเล็กชื่อกังลิ้ว ครั้นบวชแล้ว ท่านอาจารย์ให้นามว่า เหี้ยนจึง

นางได้ฟังหลวงจีนบอกดังนั้นจึงบอกว่า อุนเกี๋ยวนั้นคือชื่อของฉันเอง ท่านมีอะไรเป็นพยานบ้างหรือไม่เล่า

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ยินนางบอกชื่อดังนั้นก็รู้แน่ว่ามารดา ลุกจากเก้าอี้ คุกเข่าลงตรงหน้ามารดา แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปเป็นอันมาก แล้วจึงพูดว่า ถ้ามารดายังมีความสงสัยอยู่ไม่เชื่อ ข้าพเจ้ายังมีสิ่สำคัญคือหนังสือเขียนด้วยโลหิตแลเสื้อเป็นพยานอยู่ จึงหยิบหนังสือแลเสื้อออกมาส่งให้มารดา

นางอุนเกี๋ยวรับเอาเสื้อกับหนังสือมาพิจารณาดู ก็รู้แน่ว่าเป็นบุตรจริง ต่างคนต่างก็ร้องไห้รักกันเป็นอันมาก แล้วนางจึงบอกหลวงจีนผู้บุตรว่า ท่านรีบกลับไปวัดเสียโดยเร็วเถิด ถ้าช้าอยู่ อ้ายโจรมันกลับมาจะสงสัย อัตรายจะมี

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังมารดาว่าดังนั้นจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเกิดมาได้สิบแปดปีแล้ว พึ่งได้พบมารดาวันเดียวนี้ มารดาจะให้ข้าพเจ้าละมารดาไปเสียนั้น ข้าพเจ้ามีความอาลัยเป็นที่สุดแล้ว ไม่สามารถจะทิ้งมารดาไปได้

นางอุนเกี๋ยวจึงปลอบบุตรว่า ท่านจงเชื่อมารดาเถิด ด้วยอ้ายเล่าฮองผู้นี้ใจคอมันร้ายกาจหยาบช้านัก ถ้ามันมาพบเราแม่ลูกเข้า บางทีมันจะฆ่าเสียทั้งสองคน จงกลับไปเสียก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ มารดาจะทำเป็นป่วย เพราะเดิมได้บนไว้ว่า จะถวายรองเท้าหลวงจีนสักร้อยคู่ มารดาจะไปแก้บนที่วัด จึงค่อยพบกันใหม่ อุบายที่มารดาคิดนี้เห็นพอจะเอาตัวรอดได้ พ่อจงรีบกลับไปเสียก่อนเถิด

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังมารดาชี้แจงดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงคำนับลามารดารีบกลับไปยังวัด

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวครั้นหลวงจีนผู้บุตรกลับไปแล้ว นางก็แกล้งทำเป็นป่วยไม่มีความสบาย ตั้งแต่นางได้พบแก่บุตรแล้วก็มีความดีใจหาที่เปรียบมิได้ ครั้นว่าเห็นเล่าฮองจวนจะกลับมา นางแกล้งทำนอนครางอยู่บนเตียงนอน

เล่าฮองกลับมาเห็นนางนอนครางอยู่ดังนั้น จึงถามว่า เจ้าเจ็บป่วยเป็นประการใดหรือ

นางจึงตอบว่า เมื่อฉันยังเล็กอยู่นั้น ได้อธิษฐานไว้ว่า จะถวายรองเท้าให้หลวงจีนร้อยคู่ ก็ยังหาได้ถวายไม่ เมื่อประมาณสักได้ห้าวันมาแล้ว ฉันฝันเห็นว่า มีหลวงจีนองค์หนึ่งถือดาบมายืนตรงหน้าร้องทวงรองเท้า ตั้งแต่วันนั้นมา ใจคอก็ไม่สบายเลย จึงได้ป่วยเจ็บมาดังนี้ เล่าฮองได้ฟังนางบอกดังนั้นจึงพูดว่า การเล็กน้อยเท่านั้นทำไมจึงไม่บอกให้รู้ จะได้จัดแจงแก้เสีย พูดดังนั้นแล้วจึงออกมาหน้าจวน ขึ้นนั่งที่ว่าราชการ เรียกคนใช้ซ้ายขวามาสั่งว่า ให้ไปบอกชาวบ้านในกำแพงเมืองกังจิวทุก ๆ บ้านให้ทราบทั่วกันว่า ให้จัดทำรองเท้าหลวงจีนบ้านละคู่ กำหนดห้าวันให้นำมาส่งให้พร้อมกัน คนใช้ก็ไปสั่งตามคำเจ้าเมืองปลอมสั่งทุกประการ

ฝ่ายพวกชาวบ้านได้ฟังคนใช้ของเจ้าเมืองมาสั่ง ก็รีบจัดหาแลทำ ครั้นเสร็จแล้วก็นำมามอบให้พนักงานทุก ๆ คน

ฝ่ายเล่าฮองครั้นเห็นราษฎรนำรองเท้าเข้ามาส่งตามคำสั่งครบแล้ว จึงเข้าไปบอกแก่นางอุนเกี๋ยวว่า รองเท้าได้จัดหามาพร้อมแล้ว

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวเมื่อเล่าฮองมาบอกดังนั้นจึงถามว่า ในแขวงเมืองนี้ วัดไหนเป็นวัดใหญ่ เล่าฮองบอกว่า วัดกิมซัวยี่นั้นเป็นวัดใหญ่ หลวงจีนดูเคร่งครัดเรียบร้อยดี เจ้าจงไปทำการแก้บนที่วัดนั้นเถิด

นางอุนเกี๋ยวได้ฟังเล่าฮองบอกดังนั้นก็ดีใจด้วยสมปรารถนา แกล้งพูดว่า ฉันได้ยินเขาพูดกันว่า วัดกิมซัวยี่เป็นวัดใหญ่งดงามดี ควรจะไปแก้บนในวัดนั้น

เล่าฮองจึงเรียก อ่อง ลี้ คนใช้ทั้งสอง ให้จัดเรือลำใหญ่หนึ่งลำ ครั้นจัดเสร็จแล้ว คนใช้ทั้งสองก็เข้ามาบอกกับนางว่า เรือจัดไว้เสร็จแล้ว

นางอุนเกี๋ยวจัดข้าวของ แลรองเท้าร้อยคู่ กับธูป เทียน สิ่งของต่าง ๆ เสร็จแล้ว จึงเรียกสาวใช้ที่สนิทให้ขนของลงเรือ ครั้นขนเสร็จแล้ว นางก็พร้อมด้วยบ่าวไพร่พากันลงเรือออกจากท่าแจวตรงไปยังวัดกิมซัวยี่

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงเมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว ตรงเข้าไปกราบพระอาจารย์ เล่าความซึ่งได้ไปพบแก่มารดาให้พระอาจารย์ฟังทุกประการ พระอาจารย์ก็มีความยินดี

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มีชายคนใช้ของนางอุนเกี๋ยวมาบอกว่า วันนี้ นางฮูหยินจะเอาของมาแก้บน ขอท่านท้ายซือได้ทราบ

พระอาจารย์ฮวดเม้งท้ายซือได้ฟังคนใช้มาบอกดังนั้น จึงเรียกศิษย์ทั้งหลายให้ไปคอยรับที่หน้าท่า

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวฮูหยินครั้นเรือมาถึงหน้าท่าวัดแล้ว จึงให้บ่าวไพร่ขนของเข้าไปในวัด แล้วนางก็เดินเข้าไปในวัด เห็นหลวงจีนทั้งหลายมายืนคอยรับอยู่ นางก็กระทำคำนับหลวงจีนทั้งปวง แล้วก็เดินมายังพระอุโบสถใหญ่ จึงจุดธูปเทียนบูชาพระยูไล แล้วก็เดินไปยังศาลาใหญ่ข้างหน้าวัด

ฝ่ายพระอาจารย์ฮวดเม้งพร้อมด้วยหลวงจีนลูกวัดทั้งหลายก็มานั่งคอยรับอยู่ในศาลา ครั้นนางขึ้นมาบนศาลาแล้วก็กระทำนมัสการ นางจึงให้จัดเครื่องแจถวาย แล้วจัดรองเท้าใส่ถาดไปยกตั้งไว้ในศาลา นางจึงเข้ามาบอกแก่ท่านอาจารย์ฮวดเม้งท้ายซือว่า รองเท้านี้ดีฉันถวายหลวงจีนทั่วทุกองค์ ท่านอาจารย์จึงให้ศิษย์ยกไปถวายพระทั่วทุกองค์

ครั้นเสร็จธุระแล้ว หลวงจีนทั้งหลายต่างคนก็ต่างกลับไปที่อยู่

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงเห็นหลวงจีนทั้งหลายกลับไปกุฎีหมดแล้ว จึงเข้ามานั่งใกล้มารดา นางอุนเกี๋ยวจึงบอกแก่หลวงจีนเหี้ยนจึงผู้บุตรว่า จงถอดรองเท้าออกให้มารดาดูสิ่งสำคัญสักหน่อย

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังมารดาว่าดังนั้น จึงถอดรองเท้าแลถุงเท้าออกให้มารดาดู

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวพิจารณาดูเห็นนิ้วปลายเท้าข้างซ้ายนั้นขาดไปนิ้วหนึ่งเหมือนสำคัญของนาง นางจึงรู้ชัดว่า บุตรของตัวแน่ สองคนแม่ลูกก็ร้องไห้รักกันเป็นอันมาก ครั้นค่อยคลายความโศกแล้วก็พากันมานมัสการพระอาจารย์ขอบพระเดชพระคุณของท่านที่ได้อุปถัมภ์เลี้ยงดูมา

พระอาจารย์ฮวดเม้งจึงพูดว่า เวลานี้ แม่กับลูกได้มาพบกันแล้ว เราวิตกว่า อ้ายเล่าฮองถ้ามันรู้จะมีเหตุอันตราย นางจงรีบกลับไปเสียเถิด

นางได้ฟังพระอาจารย์ตักเตือนให้สติดังนั้นก็เห็นจริง จึงสั่งหลวงจีนเหี้ยนจึงผู้บุตรว่า พ่อจงรีบไปเมืองเชียงอานเสาะหาตายายได้แล้วแจ้งเหตุให้รู้ จงเอากำไลทำด้วยไม้หอมแลหนังสือสำคัญฉบับนี้เข้าไป เมื่อเดินทาง จงแวะไปที่ตำบลบ้านฮ่องจิวตั้งแต่นี้ไประยะทางประมาณพันห้าร้อยโยชน์เศษ ข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งหนึ่ง ยี่ห้อเตี๊ยมนั้นชื่อ บ๊วยฮวย เดิมบิดาพาย่ากับมารดาจะมาเมืองกังจิวได้แวะพักที่เตี๊ยมนั้น บังเอิญให้ย่าป่วยไข้มาไม่ได้ บิดาของพ่อจึงให้ย่าพักอยู่ที่นั่น หวังใจว่าจะไปถึงเมืองกังจิวแล้วจะได้กลับไปรับย่า ก็บังเอิญพบอ้ายโจรร้ายเข้าปล้นจึงเป็นเหตุ ตั้งแต่นั้นมาก็มิได้ข่าวว่าจะเป็นตายร้ายประการใด ถ้าพ่อไปถึงแล้ว จงแวะสืบถามดู ก็คงจะรู้ข่าวดีแลร้ายได้ แล้วจงรีบเข้าไปยังเมืองหลวงไปหาตากับยาย ตาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ไจเสียง จงเอาหนังสือส่งให้ตาดูรู้ความ แล้วจะได้กราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ทรงทราบ แล้วจะได้ยกทัพมาจับตัวอ้ายโจรเล่าฮองแก้แค้นให้บิดา อย่าหลงลืม มารดาอยู่ช้าไม่ได้ อ้ายโจรมันจะสงสัย นางพร่ำสั่งหลวงจีนเหี้ยนจึงผู้บุตรเสร็จแล้วจึงลาพระอาจารย์เดินออกมาจากวัดรีบกลับมายังบ้าน

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงครั้นมารดากลับไปแล้ว หยิบหนังสือฉบับหนึ่งกับกำไลทำด้วยไม้หอมขอนหนึ่งกลับมาที่พัก แล้วจัดแจงสิ่งของ เสร็จแล้วก็เข้าไปลาพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็ให้ศีลให้พรต่าง ๆ หลวงจีนเหี้ยนจึงนมัสการรับพรพระอาจารย์ แล้วก็ออกจากวัดเดินตรงไปยังตำบลฮ่องจิว แต่เดินทางมาได้สองสามเวลาสิ้นทางได้ประมาณพันห้าร้อยโยชน์เหมือนคำมารดาบอกไว้ ก็ลุถึงตำบลฮ่องบ้วนจิว จึงเที่ยวสืบถามตามชาวบ้านมาข้างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้พบเตี๊ยมโรงหนึ่งมียี่ห้อว่า บ๊วยฮวยเตี๊ยม จึงถามเจ้าของเตี๊ยมว่า นางเตียวสีอยู่ที่ไหน เจ้าของเตี๊ยมบอกว่า เดิมก็อยู่ในโรงเตี๊ยมของข้าพเจ้า ครั้นมาอยู่หน่อย ไม่มีค่าเช่าจะให้สามสี่ปีมาแล้ว บัดนี้ ตาก็เสียแลไม่เห็นอะไรแล้ว ไปอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ริมประตูเมือง ที่ริมนั้นมีเตาเผากระเบื้องเจ้าของเขาทิ้งเสียนมนานแล้ว ยายเตียวสีก็ไปอาศัยอยู่ที่เตานั้น เช้า ๆ เคยออกมานั่งริมถนนขอทานชาวบ้านแถวนี้อยู่เสมอ ๆ นิมนต์ท่านไปถามดูเถิด

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังเจ้าของโรงเตี๊ยมบอกดังนั้น ให้เกิดความสังเวชสลดจิตคิดสงสารประหนึ่งว่าจะอดกลั้นน้ำตาไว้มิได้ แต่อุตสาหะแข็งใจรีบลาเจ้าของเตี๊ยมไปยังเตาเผากระเบื้องตามคำเจ้าของโรงเตี๊ยมบอก

ครั้นมาถึงเตาเผากระเบื้องก็แลเห็นยายแก่คนหนึ่งจักษุบอดนั่งอยู่ที่นั่น ก็เข้าใจแน่ว่าคงเป็นย่าของตัว จึงเดินเข้าไปนั่งลงแล้วถามว่า ย่าทำไมจึงมาอยู่ที่นี่เล่า

ฝ่ายนางเตียวสีเมื่อได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกว่าย่า จึงถามว่า ใครมาเรียกข้าว่าย่า สำเนียงเสียงเหมือนตั่นกองหยีลูกชายข้า

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังย่าพูดดังนั้นก็มีความยินดี รู้แน่ว่าย่าของตนแท้แล้ว จึงตอบว่า ฉันมิใช่ตั่นกองหยี ฉันเป็นลูกชายของตั่นกองหยี นางอุนเกี๋ยวนั้นคือมารดาของฉันเอง

นางเตียวสีได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ เข้าลูบคลำตัวหลวงจีน แล้วจึงถามว่า บิดาทำไมจึงไม่มาด้วยเล่า

.หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังย่าถามดังนั้นจึงตอบว่า บิดานั้นเมื่อเดินทางไปกับมารดา เจ้าของเรือจ้างเป็นโจร เข้าปล้นทุบตีบิดาถึงแก่ความตาย เอาศพบิดาทิ้งน้ำเสีย แต่มารดานั้นเอาไปจะให้เป็นภรรยา มารดาผัดแก่โจรว่า ยังมีครรภ์อยู่ ขอให้บุตรคลอดออกจากครรภ์ก่อน โจรก็ยอมตามคำของมารดา ครั้นฉันคลอดออกมาได้วันหนึ่ง อ้ายโจรจะให้มารดาฆ่าฉันเสีย มารดาขัดอาญาอ้ายโจรไม่ได้ จึงเอาฉันใส่กระดานลอยไปถึงวัดกิมซัวยี่ ท่านสมภารเลี้ยงฉันไว้จนเติบใหญ่แล้ว ท่านจึงบอกให้ฉันไปตามมารดา หลวงจีนเหี้ยนจึงเล่าความทุกประการให้ย่าฟังตั้งแต่ต้นจนตามมาพบย่า ณ บัดนี้

นางเตียวสีจึงถามว่า เหตุใดจึงรู้ว่าย่ามาอยู่ที่เตาเผากระเบื้องนี้เล่า

หลวงจีนเหี้ยนจึงจึงตอบว่า มารดาบอกให้ฉันแวะมาหาย่าที่นี้ บัดนี้ หนังสือแลกำไลทำด้วยไม้หอมเป็นสำคัญก็ให้มาพร้อมแล้ว หลวงจีนเหี้ยนจึงก็ส่งให้ถึงมือท่านย่า ย่ารับของสองสิ่งมาคลำดูก็แน่ใจแล้วจึงพูดว่า ลูกของข้าคิดว่าได้ดีมียศขึ้นจะลืมมารดาเสีย เราคิดว่า ลูกจะเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณของบิดามารดา ไม่ทราบเลยว่า เป็นเหตุถึงแก่ชีวิต พูดดังนั้นแล้วย่าหลานก็ร้องไห้คร่ำครวญไปต่าง ๆ เป็นอันมาก

ครั้นค่อยคลายความโศกแล้ว ท่านย่าจึงพูดว่า เดชะบุญเทพยดาฟ้าดินปกป้องรักษาให้บังเกิดหลานขึ้น จึงไม่สูญแซ่ ได้มาพบปะกันรู้จักกัน

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงพิจารณาดูย่าเห็นจักษุทั้งสองข้างเสีย จึงถามว่า ทำไมตาย่าจึงได้มืดไปเสียทั้งสองข้างดังนี้

นางเตียวสีผู้ย่าจึงตอบว่า เพราะย่าคิดถึงบิดาเจ้า จึงร้องไห้ทุกวัน ๆ นัยน์ตาจึงได้มัวหมอง จนแลไม่เห็นเพราะเหตุที่คิดถึงบิดามารดาของเจ้า

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังย่าบอกดังนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น ยกมือขึ้นประนม ตั้งสัตยาอธิษฐานว่า ขอเดชะ เทพยดาอารักษ์ซึ่งรักษาฟ้าดินทั้งหลาย จงเล็งเห็นความสัตย์ปฏิญาณแห่งข้าด้วย บิดามารดาเกิดตัวข้าพเจ้ามาอายุได้สิบแปดปีแล้ว ก็ยังหาได้ตอบแทนฉลองพระเดชพระคุณบิดามารดาของข้าพเจ้าไม่ บัดนี้ ข้าพเจ้ารับคำสั่งของมารดามาตามหาย่าผู้มีพระคุณแก่บิดา ข้าพเจ้าก็พบแล้ว แต่บังเอิญย่าของข้าพเจ้าจักษุมืดไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอเอาชิวหาของข้าพเจ้าเลียตาย่าข้าพเจ้า จงขอให้ตาย่าข้าพเจ้ากลับสว่างขึ้นดังแต่ก่อนเถิด ครั้นตั้งอธิษฐานแล้ว หลวงจีนเหี้ยนจึงก็เลียนัยน์ตาด้วยปลายลิ้นทั้งสองข้าง สักครู่หนึ่ง นัยน์ตานางเตียวสีก็สว่างขึ้นอย่างเดิม แลเห็นหลวงจีนผู้เป็นหลาน จึงพูดว่า เป็นหลานของย่าจริงแล้ว ด้วยลักษณะรูปร่างไม่ผิดแก่ตั่นกองหยีเลย พูดพลางก็เข้าลูบคลำหลวงจีนผู้เป็นหลาน แลมีความยินดีเป็นอันมาก

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงเห็นย่าตาสว่างดีแล้ว จึงพาย่าออกจากเตาเผากระเบื้อง แล้วพาตรงไปยังเตี๊ยมเล่าเซี้ยวยี่ เอาเงินของตนออกใช้หนี้ที่ค้างย่าอยู่แต่ก่อน แล้วก็ออกเงินใหม่เช่าห้องหนึ่งให้ย่าพักอาศัยอยู่ ให้เงินเจ้าของเตี๊ยมไว้ซื้ออาหารให้ย่ารับประทาน เสร็จแล้วจึงบอกแก่ย่าว่า ย่าจงรอพักอยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะเข้าไปยังเมืองหลวง ว่าอย่าช้าสักเดือนหนึ่ง ฉันจะกลับมารับย่าไป

นางเตียวสีได้ฟังหลวงจีนผู้หลานว่าดังนั้นจึงกำชับแก่หลานว่า ถ้าพ่อไปพบตายายแล้ว จงรีบกลับมาโดยเร็ว เพราะย่าแก่ชรามากอยู่แล้ว

หลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังย่าสั่งกำชับดังนั้นก็ลาออกจากเตี๊ยมเดินตรงไปยังเมืองหลวง เมื่อเดินมานั้น ในใจให้คิดถึงย่าแลมารดาเป็นอันมากมิได้ขาดเลย

ครั้นมาถึงเมืองเชียงอานแล้ว ก็เดินเข้าในประตูเมืองทางถนนทิศตะวันออก เที่ยวสืบถามตามชาวบ้านถึงท่านไจเสียงผู้เป็นตา ชาวบ้านทั้งหลายก็บอกให้ต่อ ๆ มา หลวงจีนเหี้ยนจึงก็เดินตรงมาตามชาวบ้านบอก ถึงบ้านหนึ่งโตใหญ่ สังเกตดูเห็นจะเป็นบ้านไจเสียงผู้เป็นตาแน่แล้ว ก็เดินตรงมาที่ประตูบ้าน จึงบอกแก่ผู้ที่เฝ้าประตูว่า ข้าพเจ้านี้เป็นวงศ์ญาติแก่ท่านไจเสียง จะมาหาเพราะมีกิจธุระร้อน ขอท่านได้นำคำที่ข้าพเจ้าบอกนี้ไปเรียนแก่ท่านไจเสียงให้ทราบ

คนเฝ้าประตูได้ฟังหลวงจีนบอกดังนั้นก็เข้าไปกราบเรียนแก่ท่านไจเสียงว่า ข้างนอกมีหลวงจีนหนุ่มน้อยผู้หนึ่งว่าเป็นญาติของท่าน จะเข้ามาหา ว่ามีธุระร้อน จะมาแจ้งความแก่ท่าน

งุยเต็งได้ยินคนเฝ้าประตูบอกดังนั้นก็นึกสงสัยว่า เราก็ไม่มีวงศ์ญาติเป็นหลวงจีนเลย นางฮูหยินภรรยาพูดว่า เมื่อคืนนี้ฉันฝันว่า นางอุนเกี๋ยวลูกสาวของเรานั้นกลับมา ชะรอยจะเป็นตั่นจอหงวนบุตรเขยของเรานั้นจะมีหนังสือฝากมาบอกข่าวอะไรบ้าง จะฝากหลวงจีนมาบ้างดอกกระมัง

ท่านไจเสียงได้ฟังภรรยาว่าดังนั้นจึงสั่งนายประตูให้ไปพาหลวงจีนเข้ามาในบ้าน ขึ้นบนตึกหอนั่งแล้ว หลวงจีนเห็นท่านไจเสียงกับภรรยาผู้เป็นตายายเหมือนแก่มารดาของตัว ก็ให้มีจิตคิดถึงมารดาขึ้นมาทันทีจนน้ำตาไหล แข็งใจเดินตรงเข้าไปนำหนังสือออกส่งให้ท่านไจเสียง ท่านไจเสียงรับหนังสือมาอ่านดูทราบความตั้งแต่ต้นจนปลายทุกประการแล้วก็ร้องไห้

นางฮูหยินผู้ภรรยาเห็นดังนั้นจึงถามว่า เหตุใดท่านดูหนังสือแล้วก็ร้องไห้ ไจเสียงจึงเล่าความตามหนังสือให้ภรรยาฟังทุกประการ ภรรยาได้ทราบความดังนั้นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนสลบไป

พวกสาวใช้ทั้งหลายเห็นดังนั้นก็เข้านวดฟั้นจนนางฟื้นคืนได้สติมา ไจเสียงจึงพูดแก่ภรรยาว่า อย่าเศร้าหมองทุกข์ร้อนไปเลย เราจะไปกราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ทรงทราบ จึงค่อยยกทัพขึ้นไปจับตัวอ้ายคนร้ายแก้แค้นแทนบุตรเขยแลบุตรสาว พูดแล้วก็สั่งคนใช้ให้จัดที่ให้หลวงจีนผู้หลานอยู่สำนักเป็นสุขสำราญมิให้อนาทรร้อนใจ

ครั้นเวลารุ่งเช้า งุยเต็งก็แต่งตัวขึ้นเกี้ยวให้คนหามเข้าในพระราชวัง ครั้นถึง ก็ลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปในพระราชวังเข้าในท้องพระโรง เวลานั้น พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสด็จออกขุนนางเฝ้าพร้อมกันตามตำแหน่งหน้าที่ผู้ใหญ่ผู้น้อยฝ่ายทหารพลเรือน งุยเต็งจึงกราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ว่า ซึ่งพระองค์โปรดให้ตั่นจอหงวนขึ้นไปรักษาราชการเมืองกังจิวนั้น เมื่อไปตามทาง ตั่นจอหงวนถูกผู้ร้ายปล้นฆ่าตายเสียแล้ว อ้ายผู้ร้ายเก็บเครื่องยศแลท้องตราได้ นำไปยังต่อกรมการผู้รั้ง กรมการผู้รั้งไม่ทราบเหตุก็เชื่อถืออ้ายผู้ร้าย อ้ายผู้ร้ายก็รักษาว่าการบ้านเมืองอยู่จนทุกวันนี้ถึงสิบแปดปีมาแล้ว งุยเต็งกราบทูลเหตุผลต้นปลายทุกประการให้พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ทรงทราบทุกประการ

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงทราบดังนั้น ทรงพระพิโรธเป็นอันมาก จึงรับสั่งให้เกณฑ์ทหารม้ารักษาพระองค์เป็นอันมาก มอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้แก่งุยเต็งคุมทหารหกหมื่นรีบยกขึ้นไปยังเมืองกังจิวกำจัดอ้ายพวกเหล่าร้ายเสีย

งุยเต็งถวายบังคมลาออกมาจากที่เฝ้า ตรงไปยังที่ประชุมทหาร จัดพลทหารเสร็จแล้ว ได้เวลาฤกษ์ดี งุยเต็งจึงพาหลวงจีนเหี้ยนจึงผู้หลานยกกองทัพออกเดินไป กลางวันก็เดิน กลางคืนก็หยุดพัก รอนแรมมาตามระยะทางเปรียบประดุจนกบิน

ครั้นกองทัพจวนจะถึงเมืองกังจิวฟากข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือ งุยเต็งแม่ทัพก็ให้ตั้งค่ายลงพักพลทหาร แล้วงุยเต็งจึงเอาป้ายทองอาญาสิทธิ์ส่งให้ม้าใช้ไปบอกนายทหารกองมณฑลที่รักษาเมืองกังจิวให้รีบมาโดยเร็วในคืนวันนี้ให้จงได้

ทหารม้าใช้รับป้ายอาญาสิทธิ์แล้ว ก็คำนับลาขึ้นม้ารีบขับไปยังกองทหารมณฑล ตรงเข้าไปแจ้งความแก่นายทหาร เอาป้ายอาญาสิทธิ์ส่งให้ แล้วบอกว่า งุยเต็งแม่ทัพใหญ่มีบัญชาสั่งให้ท่านผู้กำกับกองทหารมณฑลรีบไปหาท่านแม่ทัพโดยเร็วในคืนวันนี้

นายทหารกองมณฑลได้ฟังก็ตกใจ หารู้ว่าจะมีเหตุการณ์ประการใดไม่ ก็รีบแต่งตัวขึ้นม้ามากับทหารม้าใช้

ครั้นถึง ก็เข้าไปคำนับท่านแม่ทัพใหญ่ แล้วก็ถอยมายืนคอยฟังบัญชาอยู่

ฝ่ายงุยเต็งครั้นเห็นนายทหารกองมณฑลมาแล้ว ก็เล่าเหตุซึ่งเป็นมาแล้วแต่หลังให้นายทหารกองมณฑลฟังทุกประการ แล้วสั่งว่า ท่านจงกลับไปที่ประชุมทหาร เร่งเกณฑ์ทหารกองมณฑลมาสมทบกับกองเราโดยเร็ว อย่าให้เนิ่นช้า

นายทหารกองมณฑลได้ฟังท่านแม่ทัพบัญชาสั่งดังนั้น ก็คำนับลารีบด่วนมายังที่ประชุมทหาร เรียกทหารมาแจ้งความให้ฟัง แล้วก็จัดแจงเครื่องศัสตราอาวุธ พร้อมแล้วก็รีบเดินมายังกองทัพใหญ่ หยุดพักพลทหารรอคำสั่งแม่ทัพ

ฝ่ายงุยเต็งครั้นรู้ว่ากองทหารมณฑลมาพร้อมแล้วก็ยินดี เรียกทหารออกจากค่ายเข้าสมทบกันเป็นกองใหญ่ ยกลงเรือข้ามฟากในเวลาพลบค่ำ ครั้นถึงฝั่งแล้วก็ยกทหารขึ้นบก รีบเดินกองทัพเข้าประตูเมือง นายประตูยังหาทันจะปิดประตูเมืองไม่ งุยเต็งเร่งทหารให้เข้าล้อมจับผู้ว่าราชการเมือง ในขณะนั้นก็ยังหาทันจะสว่างไม่ ทหารก็ทลายประตูโจมเข้าไปในห้องได้หลายคน

ฝ่ายเล่าฮองกำลังนอนอยู่ในตึก ได้ยินเสียงประทัด แลกลอง ม้าล่อ ดังสนั่น พวกทหารตรูกันเข้าจับตัวเล่าฮองได้ก็มัดไว้แน่นหนา แล้วพาตัวมาให้ท่านแม่ทัพ งุยเต็งให้ทหารไปจับตัวพวกบริวารบ่าวไพร่โจรที่เป็นใจแก่เล่าฮองมาได้ประมาณพันเศษ สั่งให้เอาไปยังสนามฆ่าเสียทั้งสิ้น แล้วจึงสั่งให้นายทหารรวมพลทหารออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง งุยเต็งลงม้าขึ้นบนหอนั่งนั่งบนเก้าอี้สั่งให้สาวใช้ไปเชิญนางอุนเกี๋ยวให้ออกมาหา

ครั้นสาวใช้เข้าไปบอกนางอุนเกี๋ยว นางอุนเกี๋ยวได้ทราบความว่า บิดาให้ทหารจับเล่าฮองแลพวกโจรไปประหารชีวิตหมดแล้ว นางก็มีความยินดี อยากจะออกมาหาบิดา แต่มีความอาย ด้วยตัวมาตกอยู่ในมือโจรเพราะความจำใจ คนทั้งหลายก็ล่วงรู้จะครหาติเตียนต่าง ๆ จะอยู่ไปก็จะได้รับแต่ความอดสู้ดูร้ายไม่มีที่สุด นางคิดดังนั้นแล้วก็ไล่สาวใช้ให้ออกไปเสีย นางเอาผ้าผูกกับลูกกรงหน้าต่างตึก ผูกคอแขวนอยู่

ฝ่ายสาวใช้เห็นอาการประหลาดก็วิ่งมาบอกแก่หลวงจีนว่า มารดาของท่านดูเหมือนจะผูกคอตาย ท่านจงรีบไปดูโดยเร็วเถิด

ฝ่ายหลวงจีนเหี้ยนจึงได้ฟังสาวใช้บอกดังนั้นก็ตกใจ มิทันจะได้บอกเหตุการณ์แก่งุยเต็งผู้เป็นตา ก็รีบเข้ามาโดยเร็ว พอถึงห้องมารดาก็เห็นมารดาผูกคออยู่กับลูกกรงหน้าต่าง ก็เข้าแก้ผ้าที่ผูกคอมารดาได้ นางยังหาทันสิ้นใจไม่ แล้วคุกเข่าลงคำนับพูดแก่มารดาว่า ข้าพเจ้ากับท่านแม่ทัพผู้เป็นตาได้ยกพลทหารมากำจัดโจรแก้แค้นได้แล้ว เหตุใดมารดาจึงจะทำลายชีวิตเสียดังนี้เล่า ถ้ามารดาตายแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ขออยู่ จะต้องทำลายชีวิตตายตามมารดาไป

เมื่อขณะแม่ลูกพูดกันอยู่นั้น ท่านงุยเต็งก็เข้ามาในห้องพูดแก่บุตรว่า บิดามาแก้แค้นอ้ายโจรได้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงมาทำลายชีวิตเสียเล่า

นางอุนเกี๋ยวเมื่อได้ฟังบิดาถามดังนั้นจึงคำนับบิดาแล้วพูดว่า ลูกได้ยินคำโบราณท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นหญิงต้องมีผัวเดียวจนตลอดชีวิต จึงจะมีชื่อเสียงหอมตลอดโลก ความเจ็บแค้นด้วยอ้ายโจรฆ่าสามีของข้าพเจ้าเสียจะแก้แค้นแทนสามีก็ไม่ได้ แล้วมิหนำซ้ำมาอยู่กับอ้ายโจร จะมีหน้าอยู่ดูหน้าผู้ใดได้ ซึ่งจำใจอยู่กับอ้ายโจรนั้นก็เพราะตั้งใจจะรักษาบุตรในครรภ์ไว้ จึงได้ผ่อนตามเวลา วันนี้ มาเห็นหน้าบุตรกับบิดายกพลทหารมากำจัดอ้ายผู้ร้ายได้แล้ว บิดาก็ได้แก้แค้นแทนลูกได้แล้ว ลูกจะมีหน้าอยู่ต่อไปอย่างไรได้ เพราะคนทั้งหลายเขาหาเห็นในดวงจิตของลูกไม่ว่าดีชั่วประการใด ลูกจะขอตายตามผัวไปดีกว่าจะอยู่เป็นมนุษย์ต่อไป นางอุนเกี๋ยวเมื่อพูดแก่บิดาแล้วก็สะอึกสะอื้นไปเป็นอันมาก

งุยเต็งจึงพูดว่า ซึ่งการณ์มาเป็นแล้วทั้งนี้ก็เป็นความจำเป็น มิใช่เจ้าจะเอาใจออกหากจากผัวเจ้าเมื่อไร ซึ่งเป็นทั้งนี้ก็โดยผลกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อนติดตามสนองให้โทษ แต่ข้อที่เจ้ามีความสุจริตซื่อตรงก็มีหลักฐานพยานอยู่ ที่เจ้าอุตสาหะคิดการทุกอย่างจนบุตรของเจ้าได้นำความไปแจ้งแก่บิดา จึงได้รู้ความ ก็เพราะความดีของเจ้า แสดงให้เห็นได้ว่า เจ้ามิได้ลุ่มหลงปลงรักแก่อ้ายโจร ย่อมเป็นไปตามความจำเป็น เจ้าจงคิดหักใจเสียเถิด อย่าคิดอดสูใจไปเลย ว่าพลางงุยเต็งก็ร้องไห้ นางอุนเกี๋ยวกับหลวงจีนเหี้ยนจึงก็ร้องไห้

งุยเต็งจึงพูดแก่บุตรว่า จงระงับดับความโศกเสีย บัดนี้ อ้ายโจรร้ายเราก็จับตัวได้แล้ว เจ้าจงตามเราไปยังสนามที่ฆ่าคน จะได้ลงโทษอ้ายผู้ร้ายแก้แค้นเสียให้สิ้น งุยเต็งครั้นพูดดังนั้นแล้วก็พาลูกหลานออกจากห้องเดินมานอกประตูจวน ขึ้นเกี้ยวมีทหารแห่หน้าหลังมายังสนามที่ฆ่าคน งุยเต็งเห็นคนโทษพร้อมกันแล้วก็มีความยินดี จึงสั่งให้ทหารเอาอ้ายเล่าฮองกับอ้ายลี้แพมัดมือมัดเท้าขึงเหยียดออก ให้พนักงานเฆี่ยนคนละร้อยที แล้วทำฉลากปิดบนศีรษอ้ายผู้ร้ายบอกให้รู้ทั่วกันว่า อ้ายผู้ร้ายคนนี้ที่ฆ่าตั่นกองหยีจอหงวน แล้วให้เอาตัวอ้ายลี้แพคว่ำลงบนม้า แล้วให้เอาตะปูตรึงให้ติดกับม้าไม้ แล้วให้ลากม้าไม้ออกไปกลางตลาด ให้เพชฌฆาตเอามีดเชือดเนื้อเป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ทรมานให้สาสมที่ใจมันเป็นพาลกระทำแก่ท่านไม่เกรงกลัวพระราชอาญาแผ่นดินแลบาปกรรม แล้วก็ตัดศีรษะเสียบประจานไว้ที่หนทางสามแพร่งเพื่อให้คนทั้งหลายดูอย่าให้เอาเยี่ยงอย่างอ้ายคนร้ายต่อไป

ครั้นกระทำโทษลี้แพเสร็จแล้ว จึงสั่งให้ทหารคุมตัวอ้ายเล่าฮองไปยังแม่น้ำฮ่องกังที่ตำบลเล่าฮองฆ่าจอหงวนนั้น

ฝ่ายงุยเต็ง พร้อมด้วยนางอุนเกี๋ยว แลหลวงจีนเหี้ยนจึงผู้หลาน ก็ยกกองทัพตรงไปยังแม่น้ำฮ่องกัง ครั้นถึงแล้ว งุยเต็งจึงให้พักไพร่พลอยู่ริมแม่น้ำ ให้พนักงานจัดเครื่องเซ่นจะพลีกรรมเซ่น เสร็จแล้ว

งุยเต็งกับบุตรสาวแลหลานชายก็จุดธูปเทียน เสร็จแล้วงุยเต็งสั่งพนักงานให้เอาตัวอ้ายเล่าฮองมัดเข้ากับเสาแล้ว ก็ให้ผ่าอกเอาหัวใจตับไตใส่จานตั้งบนโต๊ะเซ่นตั่นกองหยีผู้เป็นที่จอหงวน แล้วให้เอาหนังสือคำบวงสรวงเซ่นมาอ่าน แล้วให้เผาไฟ

นางอุนเกี๋ยวกับหลวงจีนเหี้ยนจึงผู้บุตรก็พากันร้องไห้เศร้าโศกเป็นอันมาก

ฝ่ายพวกบริวารของพระยานาคที่เคยเที่ยวตรวจเหตุการณ์ในท้องทะเลในวันนั้นตรวจมาถึงปากอ่าวฮ่องกัง เห็นคนเป็นอันมากกำลังเซ่นไหว้อยู่ จึงแอบเข้าริมฝั่งตรวจดู เห็นหนังสือที่สำหรับเซ่นลอยน้ำมา จึงเก็บเอาไว้ แล้วก็กลับลงไปยังบาดาล นำหนังสือนั้นขึ้นถวายพระยานาค

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องรับหนังสือมาอ่านดูก็รู้ว่า พวกญาติเขาเซ่นไหว้ตั่นกองหยี ด้วยตั่นกองหยีก็เป็นเวลาสิ้นเคราะห์แล้วด้วย จำเราจะต้องช่วยอุปถัมภ์จึงจะควร ครั้นดำริในใจแล้วดังนั้น จึงใช้ขุนนางตะพาบน้ำให้ไปเชิญตัวตั่นกองหยีมา พาตัวเข้าไปคำนับพระยาเล่งอ๋อง พระยาเล่งอ๋องจึงพูดว่า ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยท่านเป็นอันมาก บัดนี้ ท่านงุยเต็งผู้เป็นบิดาภรรยาของท่าน กับนางอุนเกี๋ยว ภรรยาของท่าน แลบุตรชายของท่าน พร้อมกันทั้งสามคนมาเซ่นไหว้ท่านอยู่ที่ปากน้ำฮ่องกัง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะส่งท่านให้กลับไปเข้ารูปตามเดิม แต่ข้าพเจ้ามีของเล็กน้อยจะขอคำนับขอบคุณท่าน ว่าแล้วพระยาเล่งอ๋องจึงหยิบบู่อี่จูเม็ดหนึ่ง กับพลอยวิเศษอีกสองเม็ด แพรสิบม้วน เข็มขัดมณีสายหนึ่ง แล้วบอกว่า ของเหล่านี้ข้าพเจ้าให้แก่ท่าน ขอจงรับไว้เอาเป็นเครื่องระลึกแห่งข้าพเจ้าด้วยเถิด บัดนี้ วงศ์ญาติของท่านพากันมาพร้อมอยู่ที่แม่น้ำฮ่องกังแล้ว เชิญท่านขึ้นไปเถิด จะได้พบกัน ข้าพเจ้าจะให้บริวารของข้าพเจ้าพาท่านขึ้นไปส่ง

วิญญาณตั่นกองหยีครั้นได้ฟังพระยานาคบอกดังนั้นก็มีความยินดี กับเห็นของวิเศษที่พระยาเล่งอ๋องให้โดยความสุจริตจึงคำนับนับของเหล่านั้น แล้วก็คุกเข่าลงคำนับลาพระยานาค

พระยานาคจึงสั่งให้วิญญาณ จิต แลซากศพตั่นจอหงวนขึ้นไปยังปากน้ำฮ่องกัง

พวกบริวารได้ฟังพระยาเล่งอ๋องสั่งดังนั้นก็พร้อมกันแบกศพตั่นกองหยีแลรับเอาวิญญาณรีบขึ้นไปยังริมฝั่งแม่น้ำ แล้วเอาวิญญาณใส่เข้าในซากศพตั่นกองหยีปล่อยให้ลอยขึ้นมาเหนือหลังน้ำ แล้วก็พากันกลับไปยังบาดาล

ฝ่ายงุยเต็ง นางอุนเกี๋ยว หลวงจีนเหี้ยนจึง เมื่อเวลาเซ่นไหว้ก็ร้องไห้คร่ำครวญรำพันไปต่าง ๆ ตามประสาที่มีความอาลัยแลคิดถึงตั่นจอหงวน

ฝ่ายคนใช้แลผู้คนทั้งหลายซึ่งพร้อมกันอยู่ ณ ที่นั้นแลไปในน้ำเห็นศพลอยติดอยู่ริมฝั่ง จึงร้องบอกพวกกันให้ดูอยู่อื้ออึงไปทั้งนั้น

ฝ่ายนางอุนเกี๋ยวเมื่อขณะนั่งร้องไห้อยู่นั้นได้ยินเสียงคนร้องบอกกันเซ็งแซ่ ก็แลไปดู ครั้นเห็นซากอาสภก็จำได้ว่าเป็นศพของตั่นกองหยี นางเห็นดังนั้นแล้ว ในอกใจให้ตื่นตันเต็มไปด้วยความโศก ลมปะทะขึ้นมา นางก็ลมลงปราศจาสติสมปฤดี

ฝ่ายคนทั้งหลายก็พากันวิ่งมาดูที่ริมแม่น้ำเป็นอันมาก โดยมิได้ทราบเหตุการณ์ว่าเป็นประการใด

ฝ่ายตั่นกองหยีจอหงวนเมื่อวิญญาณเข้าสู่ร่างกายแล้ว ลมอัสสาสะปัสสาสะก็เดินเข้าออกตามทวารทั้งเก้า วิญญาณก็แล่นตามเส้นประสาทรูป สักประเดี๋ยวก็ยืดมือแลเท้าออกได้ มีความรู้สึกสัมผัสตลอดทั่วอวัยวะ ก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่งได้ แต่ยังงงงวยอยู่ คนทั้งหลายเห็นดังนั้นอกใจให้สะดุ้งหวาดไหวไปทุกคน

ฝ่ายท่านงุยเต็ง นางอุนเกี๋ยว เมื่อเห็นตั่นกองหยีแน่ถนัดแก่ใจแล้ว งุยเต็งก็จูงมือหลวงจีนหลานชายเข้ามานั่งใกล้ นางอุนเกี๋ยวก็มานั่งใกล้ล้อมตั่นจอหงวนอยู่รอบข้าง แล้วก็พากันร้องไห้อยู่ในที่นั้น

ฝ่ายตั่นกองหยีเมื่อฟื้นแล้วแต่ยังงงงวยอยู่ ครั้นได้ยินเสียงร้องไห้ก็ลืมตาขึ้นแลดู เห็นนางอุนเกี๋ยวผู้เป็นภรรยา กับท่านงุยเต็งผู้เป็นพ่อตา แลหลวงจีนหนุ่มน้อยอีกคนหนึ่ง เข้านั่งอยู่ริมตัวพากันร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ก็ให้มีจิตคิดสงสัย จึงถามว่า ทำไมท่านทั้งปวงจึงได้พากันมานั่งร้องไห้อยู่ในที่นี้

นางอุนเกี๋ยวเมื่อได้ฟังสามีถามดังนั้นจึงบอกว่า ตัวท่านอ้ายโจรมันตีตายแล้วโยนทิ้งลงในน้ำ ตัวข้าพเจ้าอ้ายโจรมันจับเอาไปขังไว้ ครั้นคลอดบุตรแล้วเป็นชายคือหลวงจีนคนนี้ ได้พึ่งบารมีท่านฮวดเม้งท้ายซือเลี้ยงมาจนโต จึงให้ไปหาพบแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ให้หนังสือลับเข้าไปในเมืองเชียงอาน บิดาขาพเจ้าทราบเหตุการณ์แล้วจึงได้ทราบทูลพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จึงให้ยกกองทัพมาจับตัวอ้ายโจรฆ่า แลให้ผ่าอกอ้ายเล่าฮองเอาหัวใจตับปอดเซ่นไหว้ท่าน เมื่อขณะเซ่นไหว้อยู่ก็พอแลเห็นศพท่านลอยขึ้นมา ข้าพเจ้ากับบิดาก็พากันดีใจ เหตุไฉนท่านจึงได้กลับคืนเป็นมาได้ ขอท่านได้ชี้แจงให้ข้าพเจ้าแลบิดาฟัง

ฝ่ายตั่นกองหยีเมื่อได้ฟังภรรยาถามดังนั้นก็กลับได้สติระลึกรู้สึกตามเหตุผลที่เป็นแล้วแต่หลัง จึงหันหน้ามาคำนับท่านงุยเต็ง แล้วก็กอดหลวงจีนผู้บุตรเข้าไว้มิอาจกลั้นน้ำตาได้ จึงเล่าความเดิมตั้งแต่มาพักที่บ๊วยฮวยเตี๊ยมซึ่งได้ซื้อปลากิมหลีฮื้อไปปล่อยโดยความเมตตา มิได้รู้ว่า ปลาตัวนั้นคือพระยาเล่งอ๋อง ในเมื่อโจรตีตายแล้ว จึงได้พบพวกบริวารของพระยาเล่งอ๋องพาศพไปให้พระยาเล่งอ๋อง ตั่นจอหงวนเล่าความที่ได้กล่าวมาแล้วทุกประการ จนถึงเวลาที่พระยาเล่งอ๋องให้บริวารนำศพแลวิญญาณมาส่ง จึงได้ลอยขึ้นมาดังนี้ สิ่งของที่พระยาเล่งอ๋องให้มาก็ยังอยู่ในเสื้อ อนึ่ง ตัวข้าพเจ้าก็มิได้นึกว่าจะมีบุตรชายมาดังนี้ไม่ แลท่านแม่ทัพก็ได้ยกพลทหารมาปราบปรามคนร้ายแก้แค้นได้แล้ว การที่เป็นมาแล้วทั้งนี้ก็เพราะอาศัยเวรกรรมของข้าพเจ้าที่ได้ทำไว้แต่หนหลัง เวลานี้ก็เห็นจะหมดเวรแล้ว จึงได้มาพบบุตรภรรยาพร้อมหน้ากัน ก็เห็นจะเป็นเพราะกุศลหนหลังช่วยเราเป็นแน่ พูดแล้วต่างคนก็มีความยินดีทุกคน

แต่บรรดาขุนนางนายทัพนายกองทั้งหลายต่างคนก็มาเยี่ยมท่านจอหงวนถามทุกข์สุขกันตามความนับถือ คนทั้งหลายมีความยินดีในที่จอหงวนได้กลับคืนเป็นมาได้

ฝ่ายท่านงุยเต็งแม่ทัพใหญ่จึงให้จัดโต๊ะแลสุรามาเลี้ยงกัน บรรดาขุนนางแลพลทหารทั้งหลายเป็นการรื่นเริงยินดีทั่วกัน งุยเต็งจึงให้ยกพลทหารกลับเข้าเมืองหลวง ครั้นเดินทัพมาถึงบ้านบ๊วยฮวยเตี๊ยม งุยเต็งจึงให้หยุดพักอยู่ที่นั้น ตั่นกองหยีกับหลวงจีนเหี้ยนจึงก็รีบเดินไปหานางเตียวสี

ฝ่ายนางเตียวสีในเวลากลางคืนวันเมื่อจะพบแก่บุตรแลนัดดา ฝันเห็นว่า ต้นพฤกษาต้นหนึ่งตายแห้งแล้วกลับออกดอกแลใบอีกดูงดงามอย่างเดิม ครั้นนางตื่นขึ้นแล้ว เวลาเช้า ออกมานั่งอยู่ที่ประตูโรง ได้ยินเสียงกามาร้องเป็นสำเนียงรื่นเริง นางจึงมานึกแต่ในใจว่า เห็นบุตรนัดดาเราคงจะมาถึงกระมัง กาจึงได้มาร้องเป็นสำเนียงไพเราะอย่างนี้ นางนั่งนึกรำพึงอยู่ดังนั้น

ฝ่ายตั่นกองหยีกับหลวงจีนบุตรก็พากันมาถึงโรงที่นางเตียวสีอาศัยอยู่ หลวงจีนเหี้ยนจึงเห็นย่านั่งอยู่ที่ประตูโรง จึงชี้ให้บิดาดูว่า โน่นแน่ะ ไม่ใช่ย่าหรือ

ฝ่ายตั่นกองหยีเมื่อได้เห็นมารดาของตนแล้วก็ตรงเข้ามาคุกเข่าลงคำนับมารดา แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญไปต่าง ๆ

ฝ่ายนางเตียวสีเมื่อได้เห็นบุตรเข้ามาคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้า ก็จำได้แน่ว่าเป็นบุตรของตน จึงกอดบุตรเข้าไว้ แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญรำพันไปต่าง ๆ ตามประสาแม่ลูกที่จากกันไปช้านาน ครั้นค่อยคลายความโศกแล้ว ตั่นกองหยีก็เล่าเรื่องทุกข์ยากให้มารดาฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย แล้วตั่นกองหยีก็ชำระเงินให้แก่เจ้าของเตี๊ยม เสร็จแล้วก็พามารดากับหลวงจีนผู้บุตรมายังกองทัพ นางอุนเกี๋ยวก็มาคำนับนางเตียวสีตามธรรมเนียม ต่างก็เล่าความทุกข์ให้กันฟัง แล้วพากันสรรเสริญหลวงจีนเหี้ยนจึงซึ่งมีความอุตสาหะพยายามช่วยบิดา มารดา แลย่าจนสำเร็จ ย่อมเป็นการดีในโลกนี้แลโลกหน้า

ฝ่ายงุยเต็งเห็นว่าได้พบปะพร้อมกันแล้ว จึงสั่งพลทหารให้ยกเดินตรงไปยังเมืองหลวง แต่หยุดพักรอนแรมเป็นหลายวันจนถึงเมืองเชียงอาน งุยเต็งจึงสั่งนายหมวดนายกองให้พาพลทหารทั้งหลายไปยังที่พักอยู่ตามเดิม แล้วงุยเต็งก็พานายเตียวสี ตั่นกองหยี นางอุนเกี๋ยว หลวงจีนเหี้ยนจึง พร้อมกันเข้ามายังบ้าน นางฮูหยินรู้ก็ออกมาต้อนรับคำนับกันตามลำดับวงศ์ญาติ ต่างมีความโสมนัสยินดีต่อกันแลกันทุกคน นางฮูหยินจึงสั่งให้จัดโต๊ะเลี้ยงดูกันเป็นที่รื่นเริงสำราญ งุยเต็งจึงให้นามการที่ประชุมกันในครั้งนี้ว่า ต้วนอีหวย แปลว่า พรั่งพร้อมกัน

ครั้นเสร็จการเลี้ยงโต๊ะกันแล้ว ต่างคนก็ไปยังที่พักแห่งตน ครั้นเวลารุ่งเช้า งุยเต็งจัดแจงแต่งตัวชวนตั่นจอหงวนกับหลวงจีนเหี้ยนจึงออกจากบ้านเข้าไปในพระราชวังเตรียมคอยเฝ้าอยู่พร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง

ฝ่ายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ถึงเวลาก็เสด็จออกยังพระที่นั่งกิมล่วนเต้ย งุยเต็งก็เข้าไปคุกเข่าถวายคำนับ แล้วก็กราบทูลประพฤติเหตุซึ่งได้ไปจัดการปราบปรามผู้ร้ายที่เมืองกังจิวกับได้ตัวจอหงวนกลับมาให้ทรงทราบทุกประการ แล้วจึงกราบทูลต่อไปว่า ตั่นจอหงวนนั้นสมควรจะให้รับราชการในตำแหน่งกรมอาลักษณ์ได้

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ได้ทรงฟังงุยเต็งกราบทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงโปรดพระราชทานยศตั้งให้ตั่นจอหงวนเป็น ต้ายหักสือ ผู้สำเร็จราชการในกรมอาลักษณ์

ตั่นจอหงวนครั้นได้รับพระราชทานที่ตั้งแล้วก็คุกเข่าลงถวายบังคมรับตำแหน่งที่ต้ายหักสือ แล้วลุกขึ้นถอยหลักออกไปยืนเฝ้าตามตำแหน่ง

พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานปลูกกุฎีให้หลวงจีนเหี้ยนจึงอยู่ระงับจิตเป็นบรมสุขยังวัดอั่งฮกยี่ เจ้าพนักงานก็ถวายบังคมลาไปจัดการทำกุฎีถวายหลวงจีนเหี้ยนจึงตามรับสั่ง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ก็เสด็จขึ้น ขุนนางข้าราชการก็ออกจากเฝ้ากลับบ้านเรือน งุยเต็ง ตั่นกองหยี หลวงจีนเหี้ยนจึง ก็กลับมายังบ้าน

ฝ่ายวงศ์ญาติทั้งหลายครั้นทราบว่า ตั่นกองหยีได้มียศ แลหลวงจีนเหี้ยนจึงได้รับพระราชทานกุฎีวิหารอยู่ดังนั้น ก็มีความยินดีให้ศีลให้พรต่าง ๆ แลคำนับขอบพระคุณสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน แล้วต่างคนต่างกลับไปยังที่อยู่แห่งตน ๆ

ครั้นอยู่มา พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้เสวยราชสมบัติเป็นบรมสุขใช้ยี่ห้อเจงกวนได้สิบสามปี




ตอน ๘ ขึ้น ตอน ๑๐