ไซอิ๋ว/เล่ม ๑/ตอน ๒

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๓–๔๒ สารบัญ



ครั้นอยู่มาประมาณได้หกเจ็ดปีแล้ว มาวันหนึ่ง พระอาจารย์ประชุมสานุศิษย์ทั้งหลายพร้อมกัน พระอาจารย์ก็ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ แสดงในพระไตรลักษณญาณ แลพระไตรสรณาคมน์ แลพระไตรปิฎกธรรม แลญาณสามกิจสิบหกในอริยสัจซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาแท้ แลถ้อยคำของพระอิสีดาวบสแลคำของนักปราชญ์ทั้งหลายมีขงจู๊เป็นต้น แต่ในพระพุทธศาสนา คำที่เรียกว่าภาษิตนั้นมีอยู่สี่ประการ คือ หนึ่ง พุทธภาษิต สอง สาวกภาษิต สาม อิสีภาษิต สี่ เทวดาภาษิต รวมคำภาษิตเป็นความแสดงธรรมคำสอนเพื่อให้ลุแจ้งเห็นจริงลงเป็นหนึ่งในดวงจิต เป็นใจความดังนี้ ธรรมที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายนั้น คือ อมตธรรม อันท่านจัดเป็นอสังขตธรรม ได้แก่ พระนฤพาน ให้ผู้ปฏิบัติกระทำความเพ่งธรรมนั้นอยู่เป็นอารมณ์เสมอ

เมื่อขณะกำลังพระอาจารย์แสดงธรรมอยู่นั้น ซึงหงอคงฟังคำแสดงธรรมเกิดปีติยิ่งนัก ก็เกาหูแลเกาคางกระทำกิริยาหน้าเลิกรื่นเริงแลกระโดดโลดเต้นตบมือตามวิสัยเดิมของตนที่เป็นชาติวานร

ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือเหลือบมาเห็นเข้า จึงถามซึงหงอคงว่า กำลังในที่ประชุมสดับธรรมเทศนาอยู่พร้อมกัน ทำไมตัวจึงไม่รักษากิริยาสำรวมกายวาจาทำเป็นบ้าหลังตบมือโลดเต้นอย่างนั้นเล่า

ซึงหงอคงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าตั้งใจฟังพระอาจารย์แสดงธรรมไพเราะเพราะหูจับใจ เกิดปีติโสมนัสศรัทธาหาที่เปรียบมิได้ ก็เผลอสติไปโดยอำนาจปีติ จึงบังเกิดความไหวติงไปทั่วกายแลใจ ขอพระอาจารย์เจ้าได้กรุณายกโทษให้แก่ข้าพเจ้า

พระอาจารย์จึงถามว่า ตัวฟังเพราะหูนั้น ยังจะรู้สึกหรือไม่ว่า ตนมาอยู่ในถ้ำนี้ได้กี่ปีแล้ว

หงอคงจึงตอบว่า มากแลน้อยเท่าใดตามเวลากาลนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถจะทราบได้ แต่ข้าพเจ้าจำได้ว่า เคยไปเก็บฟืนข้างเขานั้น เห็นต้นชมพู่งามที่ข้าพเจ้าเคยเก็บกินอิ่มเจ็ดครั้งแล้ว

พระอาจารย์จึงพูดว่า ที่หลังเขานั้นเรียกว่า ลันท้อซัว ตัวเคยเก็บลูกชมพู่กินเจ็ดครั้งนั้นคือ กำหนดไว้เจ็ดปี ตัวมาอยู่กับเราประสงค์จะเรียนรู้ธรรมเพื่อมรรคผลในที่สุดอย่างไรหรือ จงชี้แจงความประสงค์ในใจเจ้า

หงอคงตอบว่า ขอพระอาจารย์ได้โปรดแล้วแต่จะเมตตาให้เรียนธรรมอันใดที่ควรแก่มรรคผลจะพึงได้แลถึง ข้าพเจ้าก็จะปฏิบัติตามทุกประการกว่าจะสำเร็จได้

พระอาจารย์จึงชี้แจ้งว่า ในพระคัมภีร์มีสามร้อยหกสิบคัมภีร์ ทุก ๆ คัมภีร์ย่อมประกอบเป็นทางมรรคผลได้ เราไม่รู้ว่า ตัวเจ้าจะพอใจเรียกคัมภีร์ใด

ซึงหงอคงจึงตอบว่า ขอพระอาจารย์โปรดใคร่ครวญดูว่า คัมภีร์ใดจะควรแก่นิสัยสันดานแห่งข้าพเจ้า

(๑)   พระอาจารย์จึงว่า เราจะให้เจ้าเรียนพระคัมภีร์ซุดหมึ้ง คือ เวท เจ้าจะชอบหรือไม่

ซึงหงอคงถามว่า คัมภีร์ซุดหมึ้งอธิบายว่าอย่างไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดแสดงให้ข้าพเจ้าทราบด้วย

พระอาจารย์จึงว่า ซุดหมึ้งนั้น คือ เชิญเจ้าเข้าทรง แลเชิญเทพารักษ์เรียกปิศาจต่าง ๆ ได้ทำกิริยาเหล่านี้เป็นอารมณ์

หงอคงถามอาจารย์ว่า ถ้าเรียนกิจเหล่านี้เสร็จแล้ว ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายหรือ อาจารย์ตอบว่า ไม่พ้น หงอคงว่า ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าของดไว้ก่อน ยังไม่เรียน

(๒)   พระอาจารย์บอกว่า ถ้าดังนั้น จะให้เรียนหลิวหมึ้ง จะพอใจหรือไม่

หงอคงถามว่า คัมภีร์หลิวหมึ้งมีความว่ากระไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ

พระอาจารย์บอกว่า หลิวหมึ้งนั้น คือ จับยาม ดูฤกษ์ คูณหารพระเคราะห์ร้ายดี แลแพทย์ยาอันจะรักษาโรคต่าง ๆ หมอดูภูมิศาสตร์แผนที่ดีร้าย กะหมายยึดเหล่านี้เป็นอารมณ์

หงอคงถามว่า เรียนคัมภีร์เหล่านี้จะอายุยืนไม่ตายหรือไม่ ขอพระอาจารย์ได้โปรดชี้แจง

พระอาจารย์จึงพูดว่า แม้ท่านอยากจะเรียนทางอายุยืนนั้นต้องเหมือนเสาตั้งอยู่กลางเรือน

หงอคงถามว่า เสาตั้งอยู่กลางเรือนนั้นอย่างไร ข้าพเจ้าคนโง่ยังหาเข้าใจไม่ ขอท่านได้กรุณาโปรดอธิบาย

พระอาจารย์จึงพูดว่า เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย เมื่อจะปลูกเรือน ก็หวังใจจะให้มั่นคงยืนยาว จึงยกเสาขึ้นตั้งค้ำอยู่กลางเรือน ย่อมไม่ทรุดไม่เซ เรือนจึงตั้งอยู่นานได้

หงอคงว่า ถ้าเช่นนั้น กิริยาที่ทำเพียงเท่านั้น ข้าพเจ้ายังไม่เห็นว่าจะยั่งยืนดำรงถาวรไปได้สักเท่สใด ข้าพเจ้าของดก่อน ยังไม่เรียน

(๓)   พระอาจารย์ว่า ถ้าดังนั้น เราจะสอนให้เจ้าเรียนทางเจ่งหมึ้ง คือ ระงับ เจ้าจะพอใจหรือไม่

หงอคงถามพระอาจารย์ว่า เจ่งหมึ้งนั้นคือมีความประการใด

พระอาจารย์ตอบว่า อดอาหาร ทำในใจให้หมดความกระสับกระส่าย เข้าที่หลับตาถือศีลห้ามเจรจาต่าง ๆ นั่งขัดสมาธินิ่งอยู่กับที่ไม่ไหวติง

หมอคงถามว่า ถ้าทำกิจเหล่านี้สำเร็จแล้วไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายอายุยืนหรือ อาจารย์ว่า ดุจอิฐบนหัวตึก หงอคงหัวเราะแล้วถามว่า ทำไมจึงเปรียบเหมือนอิฐบนหัวตึก มีความอธิบายว่าอย่างไร

พระอาจารย์ตอบว่า เหมือนอิฐบนหัวตึกนั้น คือ เมื่อคนทั้งหลายจะคิดก่อตึกย่อมไปขุดเอาดินมาปั้นเป็นรูปอิฐแล้ววางอยู่ หาได้เอาเข้าไฟเผาให้สุกไม่ ครั้นมีฝนตกลงมาถูกอิฐนั้นก็ละลายไปกับน้ำฝนฉะนั้น

หงอคงพูดว่า อย่างนี้ไม่มั่นคงยืนยาวอะไร ข้าพเจ้าไม่อยากเรียน

(๔)   พระอาจารย์จึงว่า จะให้เรียนคัมภีร์ต่องหมึ้ง ตัวจะพอใจหรือไม่

หงอคงจึงถามพระอาจารย์ว่า จะให้เรียนคัมภีร์ต่องหมึ้งนั้นเป็นประการใด

พระอาจารย์ตอบว่า คัมภีร์ต่องหมึ้งนั้นประกอบการภายนอก คือ ประกอบน้ำให้เป็นไฟ ประกอบไฟให้เป็นน้ำ จับศรยิงหน้าไม้ เล่นแร่แปรธาตุ กิริยาเหล่านี้คือคัมภีร์ต่องหมึ้ง

หงอคงถามว่า กิริยาเหล่านี้จะให้อายุยืนไม่ตายนั้นจะได้หรือไม่ พระอาจารย์ตอบวย่า คัมภีร์นี้จะยืนยาวเหมือนกับดวงจันทร์ในน้ำ คือ เป็นแต่เงาเท่านั้น

หงอคงจึงถามว่า เหตุใดจึงเหมือนแก่ดวงเดือนในน้ำเล่า

พระอาจารย์ตอบว่า ดวงเดือนอยู่กลางอากาศ แต่เงาอยู่ในน้ำ ถึงอยู่ในน้ำก็จริง แต่จะหยิบหรือจะจับก็จะไม่ถูก ครั้นถึงที่แล้วก็เปล่าไป ไม่มีรูปแลลักษณะ แลไม่มั่นคง ไม่เป็นแก่นสารอะไร ย่อมเป็นอนัตตาทั้งสิ้น มิใช่ตัวตน

หงอคงจึงพูดว่า แม้มิใช่ตัวตนแลมิใช่แก่นสารอะไร ไม่ควรจะเรียน

ท่านอาจารย์โผเถโจ๊ซือได้ยินหงอคงว่า ไม่เรียน ท่านก็ลงมาจากธรรมาสน์ เดินตรงเข้ามาถึงหงอคง จึงถามว่า ตัวเป็นเช่นวานร เหตุไรสอนอย่างนี้ก็ไม่เรียน สอนอย่างโน้นก็ไม่เรียน พระอาจารย์ฉวยได้ไม้บรรทัด ตีลงตรงศีรษะหงอคงสามที แล้วพระอาจารย์ก็หันหลังกลับเข้ากุฎีปิดบานประตูเสีย

เวลานั้น เป็นในที่ประชุมพร้อมกันเห็นว่า พระอาจารย์มีความโกรธหงอคง ต่างก็มีความตกใจทุก ๆ คน พากันเห็นไปว่า พระอาจารย์มีความโกรธหงอคงเป็นอันมาก เพราะหงอคงพูดโต้ตอบกวนใจพระอาจารย์ พากันบ่นว่าหงอคงต่าง ๆ

ขณะนั้น หงอคงมิได้มีความวิตกทุกข์ร้อนอะไรเลย ยิ่งมีความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก ด้วยหงอคงคิดเห็นเป็นปัญหาของพระอาจารย์ ก็นิ่งตรึกตรองอยู่ในใจว่า คือที่พระอาจารย์ตีศีรษะเราสามทีนั้น ได้แก่ เวลาสามยาม พระอาจารย์คงจะบอกธรรมวิเศษให้แก่เราเป็นแน่ ครั้นเวลาค่ำลงในคืนวันนั้น หงอคงก็ทำเป็นนอนด้วยสานุศิษย์ทั้งหลายตามเดิม หงอคงตั้งใจรอคอยเวลากว่าจะถึงกำหนด

ครั้นถึงเวลาเข้าแล้ว หงอคงก็ค่อยย่องเบา ๆ จัดแจงนุ่งห่มเสร็จแล้วก็ออกจากห้องเดินไปทางหลังกุฎีพระอาจารย์ เห็นประตูเปิดอยู่ก็ดีใจ หงอคงจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้อง เห็นพระอาจารย์กำลังหลับอยู่ จึงนั่งคอยอยู่ที่หน้าเตียงประมาณสักครู่หนึ่ง พระอาจารย์ก็รู้สึกตัว เหยียดสองเท้า ปากก็ร้องคำเป็นสัมมาทิฐิมรรคว่า ยากนักยากหนาจริง ๆ อยากให้ธรรมอันวิเศษง่าย ๆ แต่ไม่พบคนที่มีศรัทธาความเชื่อจริง ๆ จึงไม่ควรให้ธรรมอันวิเศษ แม้จะบอกให้ก็จะเสียธรรม ถึงจะสอนก็จะป่วยการเสียเวลา

หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้นจึงร้องบอกพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าสานุศิษย์ผู้จะศึกษาธรรมอยู่นี่แล้ว ขอท่านได้กรุณาให้ทานธรรมแก่ข้าพเจ้าเถิด

ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้ยินเสียงหงอคงแล้วก็ลุกขึ้นห่มผ้านั่งอยู่บนเตียง ทำตวาดหงอคงว่า ทำไมเอ็งไม่อยู่ข้างนอก ล่วงเลยเข้ามาในนี้ทำไม ข้าหลับนอนอยู่ เอ็งไม่รู้หรืออย่างไร

หงอคงจึงตอบว่า เมื่อเวลาวานนี้ พระอาจารย์ทำปริศนาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า พระอาจารย์คงจะสอนธรรมวิเศษให้แก่ข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น พอเวลาได้สามยาม ข้าพเจ้าจึงได้เข้ามา เห็นพระอาจารย์ยังหลับอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ได้ จึงได้คอยอยู่จนพระอาจารย์ตื่นแลกล่าวถ้อยคำเป็นสัมมาทิฐิมรรคขึ้นแล้ว จึงสามารถเข้ามาใกล้ได้ดังนี้

ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือเมื่อได้ฟังหงอคงพูดดังนั้นก็นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ จึงเห็นว่า ชะรอยเทพยดาฟ้าดินให้หงอคงกิดมา จึงสามารถอาจตีความของเราออกได้ฉะนี้

หงอคงเห็นเป็นโอกาสก็พูดต่อไปว่า ในที่นี้ไม่มีคน ขอพระอาจารย์ได้เมตตาชี้ธรรมอันไม่ตายให้แก่ข้าพเจ้าเถิด

พระอาจารย์จึงพูดแก่หงอคงว่า ตัวเจ้ามีนิสัยในทางธรรมแล้ว เราจะชี้แจงอธิบายในมูลธรรมให้เจ้า ขยับเข้ามาให้ใกล้ จงระงับ สงบกายวาจา คอยเงี่ยโสตสดับ เราจะบอกซึ่งธรรมอันวิเศษปราศจากความเศร้าหมองแลอายุก็ยืนยาว

หงอคงคำนับกราบลง แล้วก็ค่อย ๆ คลานขยับเข้าไปใกล้ แล้วก็นั่งคุกเข่า พนมมือ สำรวมจิต แลรักษาอิริยาบถเป็นอันดี ตั้งใจฟังธรรมที่พระอาจารย์จะบอกทางให้

ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซือจึงแสดงหัวใจธรรมการลึกล้ำวิเศษให้แจ่มแจ้งแนบเนียนรอบคอบปลอดโปร่งโดยละเอียด อาศัยความปฏิบัติไม่พูดแก่ใคร สำรวมทั้งสิ้นมูลภาคของกำลัง จึงสำเร็จได้ คือ รักษาธรรมที่ได้แจ้งแก่ใจแล้วนั้นอย่าให้หวั่นไหวรั่วไหลล้นออกไปได้ อุตสาหะทำจิตให้บริบูรณ์ตามธรรมควรแก่ธรรม ก็จะสำเร็จมรรคผลพ้น มนุษย์แลเทวดาทั้งหลายไม่สามารถจะมาเบียดเบียนได้ ในเวลานั้น พระอาจารย์ได้แสดงธรรมแก่ซึงหงอคงให้เห็นซึ่งมูลรากของธรรมแล้ว หงอคงมีจิตอันสว่างใสบริสุทธิ์บริบูรณ์ เต็มไปด้วยกุศลธรรมที่ตนได้สดับ สว่างแจ้งในการสังวัธยายขึ้นสู่วาจาขึ้นใจ แล้วก็นมัสการพระบารมีคุณแห่งธรรม แล้วก็กราบลาพระอาจารย์กลับมาที่อยู่ของตน ตั้งใจสำรวมกิจอยู่ในธรรมได้สามปีเศศ

วันหนึ่ง พระอาจารย์ขึ้นธรรมาสน์ประชุมสานุศิษย์ทั้งหลายแสดงธรรม พระอาจารย์จึงถามศิษย์ทั้งหลายว่า หงอคงไปไหน หงอคงได้ยินเสียงพระอาจารย์ก็เข้ามาใกล้บอกว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่

พระอาจารย์จึงถามว่า ตัวปฏิบัติบวชเรียนเป็นอย่างไรบ้าง หงอคงตอบพระอาจารย์ว่า มูลแห่งธรรมค่อยแจ่มแจ้งในสันดานมั่นคงบ้างแล้ว อาจารย์จึงพูดว่า ตัวลุมูลสันดานเข้าในมูลราก สดับเข้าในภาคนั้นแล้ว จงตั้งใจระวังภัยสามประการอันร้ายแรง

หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดแนะดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่เป็นนาน แล้วจึงถามพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าเคยได้ฟังว่า บารมีมรรคผลก็แรงยืนยงคงเสมอฟ้าไฟน้ำประกอบกัน ร้อยขัยก็ไม่เกิดได้ เหตุใดจะยังมีภัยสามอย่างอันร้ายแรงอีกเล่า

พระอาจารย์จึงตอบว่า ซึ่งภัยทั้งสามมีการธรรมดา เพราะของก่อสร้างซึ่งเกิดแต่ดินน้ำลมไฟเบียดเบียนศูนย์จันทร์ซึ่งกันแลกัน ก็จะสำเร็จต่อภายหลัง ถ้าตั้งสติสดับก็มีราศีเพิ่มอายุ แต่ต่อไปห้าร้อยปีข้างหน้า ฟ้าจะผ่าลงมา ไฟฟ้าจะฟาดตัวเจ้า จงเร่งระวังตัว ทำให้แจ่มแจ้งบริสุทธิ์เห็นมูลสันดาน แล้วจงเร่งหลีกหลบหนีให้พ้น อายุก็จะยืนเสมอฟ้า ถ้าหลีกไม่พ้น ตัวเจ้าก็จะสิ้นชีวิต แล้วต่อไปข้างหน้าอีกห้าร้อยปี ไฟกรดจะมาไหม้เจ้า ไฟที่จะเผาเจ้านั้นไม่ใช่ไฟฟ้า ไม่ใช่ไฟมนุษย์ ไฟนั้นเรียกนามว่า ขันธอัคคี คือ ไฟในกายของตัวเจ้าเกิดขึ้นเองจะเผาผลาญร่างกาย ที่มีอาการสามสิบสองก็จะย่อยยับดับไปสิ้น ความรักษาได้สักพันปีทุกข์ทรมานหนเดียวก็จะสิ้นไป แล้วไปข้างหน้าอีกห้าร้อยปี ฟ้าจะให้ลม คือ ไฟลมอันมิใช่ลมสี่ทิศ เป็นลมที่หน้าผากของเจ้า เป่าเข้าภายในท้องแทรกทวารทั้งเก้า กระดูกแลเนื้อก็จะป่นละเอียด ร่างกายก็จะหลุดร่วงแยกแตกกันไปหมดสิ้น เพราะฉะนั้น ไฟร้ายแรงเหล่านี้ ตัวเร่งหลักหลบให้พ้นได้แล้ว อายุก็จะยืนได้นานเท่าฟ้าแลดิน

หงอคงได้ฟังอาจารย์พูดดังนั้น ให้บังเกิดขนพองสยองเกล้า จึงคำนับกราบพระอาจารย์ แล้ววิงวอนว่า ขอท่านได้กรุณาสอนธรรมที่จะหลีกหนีให้พ้นภัยสามนั้นให้ต่อไป

พระอาจารย์จึงพูดว่า ซึ่งภัยสามอย่างนั้นก็ยังมีทางที่จะหลีกหนีได้อยู่ ไม่ยากอะไร โดยมีกิริยาคาบฟ้าคาบดินสองอย่าง คาบฟ้านั้นคือกิริยาเทียนกังสามสิบหก คาบดินนั้นคือตี้ซัวมีกิริยาเจ็ดสิบสองคาบ ตามแต่จะเรียนอย่างไหน ถ้าผู้ใดเรียนได้สำเร็จตลอดแล้ว ก็จะหนีพ้นภัยทั้งสามนั้นได้

หงอคงจึงบอกแก่ท่านอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าจะขอเรียนตี้ซัวคาบดิน ขอพระอาจารย์ได้โปรดบอกคาบดินให้แก่ข้าพเจ้าเถิด

พระอาจารย์จึงว่าแก่หงอคงว่า ถ้าตัวอยากเรียนกิริยาคาบดิน ก็จงขยับเข้ามาให้ใกล้ พระอาจารย์ก็กระซิบบอกอุปเท่ห์ให้แก่หงอคงด้วยอุบายแลวิธีลัทธิต่าง ๆ หงอคงก็ได้ลุแก่คาบที่พระอาจารย์ประสิทธิ์ให้ โปร่งปรุทุกสิ่งอย่างยิ่งขึ้นไปทุกวัน ๆ

หงอคงก็ค่อยฝึกจนถึงนฤมิตบิดเบือนแปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่าง แลทรงกำลังพลัง มีฤทธากล้าหาญ อยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์โผเถโจ๊ซือกับสานุศิษย์ทั้งหลายนั่งอยู่หน้าลานวัดพร้อมกัน พระอาจารย์จึงถามหงอคงว่า ตัวเรียนวุฒิวิทยาได้กระทำให้สำเร็จมโนรถแล้วดังปรารถนาหรือ

หงอคงจึงตอบพระอาจารย์ว่า ข้าพเจ้าได้อุตสาหพยายามประกอบกิจการบำเพ็ญเพียรภาวนาสำรวมเวท ได้บรรลุธรรมวิเศษส่วนอิทธิฤทธิ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

พระอาจารย์จึงว่า ถ้าเจ้าร่ำเรียนทำให้สำเร็จได้จริงดังนั้นแล้ว เจ้าจงสำแดงวิทยาให้เราดูให้เห็นปรากฏแก่ชนทั้งหลายซึ่งอยู่พร้อมกันในสถานที่นี้

หงอคงจึงสำรวมจิตบริกรรมกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ก้าวเดินจากพื้นดินได้ห้าก้าว ลอยขึ้นไปบนอากาศหายลับไปประมาณเคี้ยวหมากจืดแล้วก็กลับมา ประมาณเหาะไปได้สักสามโยชน์คือพันสองร้อยเส้น หงอคงก็ลงมาต่อหน้าพระอาจารย์แล้วยกมือขึ้นคำนับ กล่าววาจาว่า ข้าพเจ้าเหาะได้อย่างนี้

พระอาจารย์จึงว่า ที่เหาะได้อย่างนี้เรียกว่า อาศัยเมฆ ไม่ใช่ดั้นเมฆ โบราณเขาดั้นเมฆเหาะไปได้รอบจักรวาล จึงเรียกว่า ดั้นเมฆ

หงอคงอ้อนวอนพระอาจารย์ว่า ขอท่านได้กรุณาโปรดสอนให้ข้าพเจ้าเรียนวิชาดั้นเมฆได้ด้วยเถิด พระอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอนให้หงอคงท่องบ่นสังวัธยายจนขึ้นใจจำได้แลประกอบบริกรรมทำทดลอง ก็สำเร็จได้ดังประสงค์ทุกสิ่งทุกประการ พวกสานุศิษย์ทั้งหลายจึงถามหงอคงว่า พระอาจารย์สั่งสอนให้ท่านเหาะเหินเดินอากาศได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านได้เรียนทำสำเร็จดังประสงค์แล้วทุกประการหรือ หงอคงตอบว่า ข้าพเจ้าได้เรียนรู้แลทำได้ทุกประการแล้ว

พวกเพื่อนศิษย์ทั้งหลายจึงว่า ถ้ากระนั้น ท่านคงทำให้ข้าพเจ้าชมเห็นประจักษ์แก่ตาบ้างจะได้หรือไม่

หงอคงจึงว่า ท่านทั้งหลายจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด ขอให้ท่านบอกมา ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านดูทุกประการ พวกเพื่อนศิษย์จึงขอให้นฤมิตเป็นต้นพฤกษาใหญ่ หงอคงก็ร่ายพระเวทสำรวมจิตบริกรรมภาวนา ร่างกายก็สูญหายกลายเป็นต้นพฤกษาใหญ่สูงเทียมเมฆ พวกสานุศิษย์ก็ตบมือหัวเราะกันเป็นอันดังออกแซ่ไป

ฝ่ายพระอาจารย์โผเถโจ๊ซืออยู่ในกุฎีได้ยินเสียงคนร้องดังนั้นก็ตกใจ จึงจับไม้เท้าเดินออกมาถามว่า ใครอยู่ข้างนอก ทำอะไรกัน เสียงอึกทึก

พวกสานุศิษย์ทั้งหลายนั่งอยู่พร้อมกันตอบว่า มิได้อึกทึก เป็นแต่หงอคงสำแดงฤทธิ์นฤมิตตนเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมเมฆ พวกข้าพเจ้าเห็นเป็นอัศจรรย์พากันพิศวงยินดีในวิชาของหงอคงที่ทำฤทธิ์ได้เช่นนั้น

พระอาจารย์จึงตวาดว่า เมื่อตะกี้เราได้ยินเสียงออกแซ่ ดูดังมิใช่คนบวชเรียน ทำการฟุ้งซ่านเช่นนี้จะเป็นอันบวชเรียนอะไรได้

พวกศิษย์ทั้งหลายจึงบอกว่า เมื่อตะกี้ พวกข้าพเจ้านั่งอยู่พร้อมกัน ได้ขอให้หงอคงสำแดงวิชาที่เขาได้จากพระอาจารย์ให้ดู เขาจึงได้ทำให้ดู

ฝ่ายพระอาจารย์เมื่อได้ฟังศิษย์ทั้งหลายบอกดังนั้นจึงว่า พวกเจ้าหลีกไปเสียให้พ้น แลไปบอกหงอคงให้เข้ามานี่ พวกศิษย์ทั้งหลายก็พากันหลีกไปแลบอกหงอคงว่า พระอาจารย์ให้หาตัว หงอคงก็เข้ามาหมอบกราบแลเคารพอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงถามหงอคงว่า ตัวแผลงฤทธิ์เดชอวดดีต่อหน้าคนเป็นอันมากอย่างนั้นให้เขาเห็น ถ้าเขาจะขอให้ตัวสอน ถ้าตัวจะไม่สอนให้เขา ก็จะเกิดภัยอันตรายขึ้นแก่ตัว เราจะป้องกันตัวเจ้ามิได้

หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้นก็กราบลงแล้วขอโทษพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงว่า เราไม่เอาโทษเจ้าดอก แต่ตัวเจ้าจะอยู่ในที่นี้ต่อไปไม่ได้

หงอคงได้ยินพระอาจารย์พูดดังนั้นมีความเสียใจเป็นที่สุด จึงเรียนถามพระอาจารย์ว่า เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พระอาจารย์จะให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่า

พระอาจารย์จึงบอกว่า เจ้ามาจากที่ใด ก็จงกลับไปอยู่ในสถานที่นั้นเถิด

หงอคงได้ฟังพระอาจารย์ว่าดังนั้น ก็นิ่งนึกอยู่ใจเป็นนาน จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เดิมเรามาจากทิศบูรภาพ เมืองเง่าล่ายก๊ก เขาฮวยก๊วยซัว จุ๊ยเลียมต๋อง ครั้นนึกขึ้นได้แล้วก็นิ่งอยู่

พระอาจารย์จึงบอกแก่หงอคงว่า ตัวจงรีบไปให้พ้นจากที่นี้ ช้าไปตัวจะไม่รอดพ้นจากความตาย

หงอคงรับคำอาจารย์แล้วก็นมัสการลาพระอาจารย์แลเพื่อนศิษย์ทั้งหลาย แล้วพระอาจารย์จึงว่าแก่หงอคงว่า ตัวกลับไปคงจะมีเหตุ ถ้ามีเหตุประการใด ตัวจะแผลงฤทธิ์แผลงเดชด้วยประการใด ๆ ถ้าใครจะถามว่า ได้เล่าเรียนมาจากไหน ใครเป็นครูบาอาจารย์ เจ้าอย่าได้บอกออกชื่อเราว่าเป็นครูบาอาจารย์แห่งเจ้าเลยเป็นอันขาด ถ้าเจ้าบอกเล่าใครว่า เจ้าเป็นสานุศิษย์แห่งเรา แลออกชื่อเรา เรารู้แล้วจะจับตัวเจ้ามาถลกหนังหัวเสีย แลสับกระดูกเจ้าให้ป่นละเอียด แลจะกดวิญญาณของเจ้าให้ลงไปตกอยู่ในนรกใต้เถรเทวทัตอยู่ชั่วชั่วกัปชั่วกัลป์ มิให้ตัวกลับมาได้อีกต่อไป

หงอคงเมื่อได้ฟังพระอาจารย์กำชับสั่งเสียดังนั้นแล้ว หงอคงก็คำนับกราบลาพระอาจารย์ออกจากถ้ำ จึงสำรวมจิตบริกรรมพระเวทคาถา กายาก็ลอยขึ้นดั้นเมฆข้ามมหาสมุทรใหญ่ บัดเดี๋ยวใจก็แลเห็นเขาฮวยก๊วยซัว จุ๊ยเลียมต๋อง จึงนึกในใจว่า เมื่อไปกระดูกก็หนักกายก็หนัก ครั้นรู้วิชาเล่าเรียนสำเร็จ กระดูกก็เบาตัวก็เบาไปทั้งสิ้น คนในโลกนี้ไม่มีความเพียร ถ้าใครมีความเพียรเหมือนแก่เราก็สามารถจะรู้ได้ดีจนสว่างไสวเช่นเราฉะนี้ หงอคงจึงสะกดเมฆให้ลดลงถึงพื้น แล้วก็เดินตรงเข้าไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ก็ได้ยินเสียงนกหกร่ำร้องออกแซ่ไปเหมือนหนึ่งจะแสดงความยินดีต้อนรับฉะนั้นโดยเหตุที่เห็นหงอคงกลับมา หงอคงครั้นกลับมาถึงสำนักถ้ำแล้วก็ร้องเรียกบริวารลิงทั้งหลายแลบอกว่า เรามาถึงแล้ว

ฝ่ายบริวารลิงทั้งหลายที่อยู่ตามภูเขาแลอยู่พุ่มไม้ เมื่อได้ยินเสียงมุ้ยเก้าอ๋อง ก็พรั่งพรูกันมาห้อมล้อมมุ้ยเก้าอ๋อง แล้วคุกเข่าลงคำนับ จึงถามมุ้ยเก้าอ๋องว่า ไต้อ๋องตั้งแต่ไปจากข้าพเจ้าทำไมจึงนานนัก ข้าพเจ้าทั้งหลายตั้งใจคอยท่านดุจว่าเวลาหิวคอยจะกินอาหารฉะนั้น อยู่ภายหลังถูกอ้ายปิศาจร้ายชื่อว่า หุนซีหม้อกุน มาแย่งชิงที่ถ้ำ พวกข้าพเจ้าสู้รบไม่คิดแก่ชีวิต แต่สู้มันมิได้ มันจับเอาพวกบริวารแลลูกหลานไปเป็นอันมากแล้ว เป็นบุญนักหนาที่ไต้อ๋องได้กลับมาเวลานี้ ถ้าแม้ไต้อ๋องยังไม่กลับมา พวกข้าพเจ้าออกสู้รับ มันคงจะจับไปได้หมดทั้งสิ้น

หงอคงได้ยินพวกบริวารเล่าให้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ตบมือ กระทืบเท้า แหงนหน้า นัยน์ตากลอก ออกปากว่า อ้ายยักษ์ผีดิบมันบังอาจ สามารถมาข่มเหงบริวารของเราอย่างนี้ เราจะไปตามแก้แค้นมันให้จงได้

พวกบริวารจึงบอกว่า อ้ายพวกปิศาจนั้นมันอยู่ข้างทิศอุดร หงอคงถามว่า ใกล้หรือไกล ประมาณทางสักเท่าไร พวกบริวารบอกว่า เมื่อมันมาก็มีพายุ เมื่อมันไปก็เป็นหมอกมืดคลุ้ม ไม่รู้ว่าหนทางไปมาจะใกล้ไกลสักเท่าใด

หงอคงจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น เราจะไปสืบดูก่อน ว่าแล้วหงอคงก็บริกรรมร่ายพระเวทคาถาเหาะลอยขึ้นไปบนอากาศไปทางทิศอุดร พิเคราะห์ดูเห็นภูเขาหนึ่งยอดเยี่ยมตระหง่านสูงเทียมเมฆ มีลำธารแลห้วยเหวลึกลงไปถึงภูมิภาค มีกระแสชลประกอบเป็นธาตุน้ำ สักประเดี๋ยวได้ยินเสียงพูดกัน หงอคงจึงเหาะลงค้นดูที่คูข้างเพิงหน้าเขา มีถ้ำชื่อว่า จุ๊ยจ่างต๋อง ข้างหน้ามีถ้ำบริวารปิศาจน้อยกระโดดโลดเต้นเข้ามาใกล้ แต่พวกปิศาจหาได้เห็นหงอคงไม่เพราะกำลังเล่นเพลินอยู่ หงอคงก็กระโดดเข้ามาใกล้ร้องว่า พวกเอ็งอย่าวิ่งหนี ตัวเราอยู่เขาฮวยก๊วยซัว จุ๊ยเลียมต๋อง เจ้าของถ้ำข้างทิศพายัพ นายพวกเจ้าชื่อ หุนซีหม้อกุน เหตุใดจึงสามารถไปกระทำย่ำยีข่มเหงบริวารพวกลิงของเราหลายครั้งแล้ว ตัวเราจะมาลองฝีมือดูให้เห็นฤทธิ์แลกำลัง พวกเอ็งจงเร่งไปบอกนายเอ็งให้รีบมารบกันโดยเร็ว

พวกบริวารปิศาจเหล่านั้น เมื่อได้ฟังหงอคงว่าดังนั้น ก็พากันวิ่งตรงเข้าถ้ำบอกแก่นายว่า ภัยจะมาถึงแล้ว ข้างนอกมีอ้ายลิงเผือกตัวหนึ่งมาท้าทายชวนรบ มันบอกว่า มันอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ว่าท่านไปข่มเหงบริวารลูกหลานของเขา เขาจึงมา จะต่อรบแก่ท่าน หุนซีหม้อไต้กุนได้ยินบริวารบอกมาดังนั้นจึงหัวเราะแล้วพูดว่า เราได้ยินลิงปิศาจน้อยบอกว่า มีนายลิงตัวหนึ่งตั้งตัวเป็นไต้อ๋องไปบวชเรียนเสียแล้ว บัดนี้ เห็นมันจะกลับมา พวกเอ็งเห็นมันมานั้นมันถือเครื่องศัสตราวุธอันใดมาด้วยหรือเปล่า

พวกบริวารเหล่านั้นบอกว่า ไม่เห็นมันถือเครื่องศัสตราวุธสิ่งไรเลย เห็นแต่แต่งตัวสวมเสื้อแดง คาดพุงผ้าสีเหลือง สอดรองเท้าดำ ดูท่วงทีกิริยาสุภาพ แต่ทำท่าทางแข็งแรง คอยอยู่ที่นอกประตูถ้ำ

หม้ออ๋องได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นสวมเกราะ มือจับง้าว เรียกพวกบริวารเดินตามหลังออกมาที่หน้าถ้ำ จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ใครหวาเป็นเจ้าของถ้ำฮวยก๊วยซัวจุ๊ยเลียมต๋อง

หงอคงได้ยินเสียงก็เหลือบไปดู เห็นหุนซีหม้อกุนที่ศีรษะมีหมวกทองคำ ตัวสวมเสื้อดำ สอดเกราะเหล็ก เท้าสอดรองเท้าดำทำด้วยหนัง บั้นเอวโตประมาณสิบกำ ตัวสูงประมาณสามวา มือถือง้าวเป็นอาวุธ หงอคงจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายปิศาจ เอ็งไม่รู้จักเราหรือ

หม้ออ๋องเห็นหงอคงแล้วจึงหัวเราะพูดว่า ตัวเอ็งก็ต่ำเตี้ยไม่ถึงสี่ศอก อายุก็ยังไม่ถึงสามสิบปี ในมือก็ไม่มีอาวุธ ทำไมจึงอาจสามารถมาทำใจโตอวดดี จะมาหาที่ตายหรืออย่างไร

หงอคงว่า กูไม่มีอาวุธ มีแต่สองมือก็จะให้มึงเห็นกำลังได้ ว่าแล้วหงอคงก็กระโดดเข้าชกคางหม้ออ๋อง หม้ออ๋องเอามือรับไว้ จึงพูดว่า ตัวของเจ้าทั้งเตี้ยทั้งเล็ก ตัวเราทั้งสูงทั้งใหญ่ ถ้าเราจะถืออาวุธรบแก่เจ้า บริวารทั้งหลายจะหัวเราะแลดูถูกเราได้ ว่าแล้วหม้ออ๋องก็ทิ้งอาวุธเสีย ตั้งท่ามวยเข้าชกหงอคง หงอคงก็แข็งข้อรับ ชกกันชุลมุน หม้ออ๋องมือยาวชกข้ามศีรษะหงอคง หงอคงคอยหลบ ชกได้ถนัด ก็ถูกทุกที หม้ออ๋องเห็นหงอคงว่องไวด้วยเป็นชาติลิง แต่แข็งใจเข้าสู้เป็นหลายยก ถูกชกเป็นหลายที จึงฉวยเอาอาวุธฟันลงไปที่ศีรษะหงอคง หงอคงก็ตลบได้ ไม่ถูกต้อง หงอคงกระโดออกไปห่าง จึงร่ายมนต์พระคาถาถอนขนใส่ปากภาวนาแล้วพ่นออกไปเป็นลิงบริวารสามร้อยตัวเข้ากลุ้มรุมกันล้อมหม้ออ๋องไว้รอบตัว

อันหงอคงนั้นเมื่อเดิมไปเรียนวิชาสำเร็จมีขนอยู่แปดหมื่นสี่พันเส้น ทุก ๆ ขนย่อมผันแปรได้ต่าง ๆ พวกลิงน้อยกายสิทธิ์เหล่านั้นโลดโผนว่องไวก็กรูกันเข้าล้อมหม้ออ๋องทั้งสายขวา บ้างก็เข้าฉุดคร่าแลรวบรัดจนอาวุธหลุดจากมือ หงอคงก็กระโจมเข้าชิงอาวุธหม้ออ๋องมาได้ ก็เอาอาวุธฟันถูกหม้ออ๋องตัวขาดเป็นสองท่อน แล้วก็ไล่ประหารบริวารเข้าไปในถ้ำฆ่าพวกผีดิบบริวารหม้ออ๋องล้มตายลงไปสิ้น แล้วอ่านคาถาเรียกขนกลับเข้าในตัวตามเดิม แต่บริวารลิงน้อย ๆ ที่หุนซีหม้อกุนอ๋องจับมาขังไว้ในถ้ำนั้นหงอคงก็เรียกออกมาจากถ้ำประมาณสี่ห้าสิบลิง แล้วหงอคงเอาไฟเผาถ้ำจุ๊ยจ่างต๋องไหม้เป็นจุณไปหมดสิ้น แล้วเรียกบริวารลิงเหล่านั้นมาสั่งว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงหลับตาเสียทุก ๆ ตัว พวกลิงเหล่านั้นก็กระทำตามคำนายสั่ง หงอคงก็ร่ายพระเวทกระทำให้เป็นลมพัดหอบเอาบริวารลิงเหล่านั้นไปจนถึงที่ถ้ำเก่าตามเดิม แล้วหงอคงก็ร้องบอกว่า พวกเอ็งจงลืมตาดูเถิด พวกลิงน้อย ๆ เหล่านั้นก็พากันลืมตาขึ้นดู เห็นที่อยู่เดิมของตนแน่แล้วก็จำได้ จึงพากันกระโดดวิ่งเข้าในถ้ำ

ฝ่ายพวกบริวารลิงทั้งหลายใหญ่น้อยก็เรียงรายกันเข้ามาประชุมพร้อมกันคำนับหงอคงกล่าวถ้อยคำสรรเสริญหงอคงต่าง ๆ แล้วไต่ถามว่า ตั้งแต่ไต้อ๋องไปเรียนวิชาก็ช้านานประมาณกว่าสิบปี ท่านได้ไปถึงไหน จึงได้วิชาอันประเสริฐสมความปรารถนามาดังนี้

หงอคงจึงตอบว่า ตั้งแต่ปีออกจากถ้ำไปได้รับความลำบากยากกายเหลือเกิน ต้องข้ามมหาสมุทรใหญ่ จึงได้ไปถึงเขตชมพูทวีป แล้วก็เที่ยวไป พบปะมนุษย์ จึงได้เรียนหัดกิริยาท่าทางรู้จักนุ่ม แล้วใช่แต่เท่านั้น ยังระเหระหนเที่ยวไปอีกประมาณแปดเก้าปีเพื่อจะค้นหาผู้วิเศษจะได้เรียนวิชาต่าง ๆ ก็ยังไม่พบเห็นเป็นช้านาน มาวันหนึ่งคิดข้ามมหาสมุทรไปทางทิศประจิม ขึ้นฝั่งแล้วเที่ยวสืบดู ก็ได้พบพระอาจารย์ผู้สอนธรรมอันวิเศษอายุยืนเท่าฟ้าแลดิน พวกวานรพากันสรรเสริญว่า วิชาอย่างนี้ประเสริฐหาที่สุดมิได้แล้ว

หงอคงจึงแจ้งความแก่บริวารว่า พวกเจ้าทั้งหลายจงทราบว่า พระอาจารย์ท่านได้ให้ชื่อแลแซ่เราแล้ว คือ แซ่ซึง ชื่อหงอคง พวกบริวารทั้งหลายได้ยินหงอคงบอกว่า แซ่ซึง ชื่อหงอคง ก็พากันตบมือร้องว่า ดีแล้ว ๆ พวกข้าพเจ้าทั้งหลายก็จะถือเอาแซ่ซึงด้วยกันทุก ๆ ตนเหมือนตัวท่าน

มีคำเทียบว่า ก๊วนทงเจ๊กแส่ซินกวยปิ๋ง แปลว่า ตลอดกันแซ่เดียวทั้งสิ้น จี๋ต่ายหยงเทียนเซียนเล็กเมี้ย แปลว่า ต้องคอยเทวดาเลือกชื่ออันงาม




ตอน ๑ ขึ้น ตอน ๓