ไซอิ๋ว/เล่ม ๑/ตอน ๓

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๔๒–๖๖ สารบัญ



ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง หงอคงตรึกตรองเห็นว่า ตั้งแต่ไปปราบปรามหุนซีหม้อกุนอ๋องเอาอาวุธมาได้ดังนี้ ควรจะฝึกหัดใช้อาวุธซักซ้อมฝีมือไว้ให้ชำนาญจึงจะชอบ จึงสั่งวานรทั้งหลายให้ไปเที่ยวหาไม้มาทำอาวุธ คือ กระบอง พลองสั้นสองมือ แลพลองยาวสี่ศอก แลหาไม้รวกมาทำหลาว แหลน เครื่องทิ่มแทง แลให้ทำธงสีต่าง ๆ หัดตั้งค่าย ขุดสนามเพลาะ กระทำสนามรบ หัดรำเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ชำนิชำนาญมาหลายเวลาแล้ว

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง หงอคงนั่งตริตรองคิดขึ้นมาได้จึงบอกแก่พวกบริวารทั้งหลายว่า เราอยู่ที่นี่ ฝึกหัดซ้อมเพลงอาวุธกันอย่างนี้ เราวิตกอยู่ว่า นานไปจะเป็นการเล่าลือทั่วไปในประเทศบ้านเมืองทั้งหลาย หากรู้ว่าเรามั่วสุมกันอยู่ที่นี่มาก ก็คงจะยกทัพใหญ่มารบกวนพวกเรา คงจะเกิดรบสู้ฆ่าฟันกันขึ้น เราจะเอาอาวุธที่ไหนมาต่อสู้แก่ศัตรูของเราได้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องเตรียมหาเครื่องศัสตราวุธที่เป็นเหล็กไว้สำหรับพวกเราให้พร้อมมือกันจึงจะควร เราคิดเห็นอย่างนี้ แต่ยังไม่รู้ที่ว่าจะไปเอาอาวุธที่ไหนได้

ในเวลานั้น มีหัวหน้าวานรอยู่สี่ตน เป็นลิงเสนสองตน เป็นลิงชะนีสองตน ได้ยินหงอคงปรารภดังนั้น จึงลุกยืนขึ้นแล้วคำนับหงอคงพูดว่า ไต้อ๋องจะต้องการเครื่องอาวุธเหล็กอันมีคมดูจะไม่สู้ยากนัก เพราะข้าพเจ้าทราบมาว่า มีเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองเง่าล่ายก๊ก ในเมืองนั้นบริบูรณ์ประกอบไปด้วยสมบัติผู้คนมาก ย่อมบริบูรณ์ด้วยเครื่องศัสตราวุธต่าง ๆ แต่หนทางที่จะไปเมืองนั้นต้องข้ามทะเลไปทางทิศตะวันออกไกลประมาณสองร้อยโยชน์จึงจะถึงเมืองนั้น ถ้าไต้อ๋องไปเมืองนี้เห็นจะสำเร็จเป็นแน่ อีกประการหนึ่ง ธรรมเนียมบ้านเมืองต้องมีเครื่องรักษาอาณาเขตจึงจะมั่นคง

หงอคงได้ฟังสี่วานรชี้แจงให้ทราบแล้วก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ท่านทั้งหลายจงพร้อมกันคอยเราอยู่ในสถานที่นี้ สั่งแล้วหงอคงก็ร่ายพระเวทคาถาสำรวมกิริยาเหาะขึ้นบนอากาศ ข้ามทะเลใหญ่ไปประมาณสองร้อยโยชน์ก็แลเห็นชัยภูมิเมืองเง่าล่ายก๊ก ในเมืองนั้นมีเรือนร้านตลาดผู้คนไปมาค้าขายสินค้าสิ่งของเครื่องบริโภคแลเครื่องใช้สอยต่าง ๆ พิเคราะห์ดูมีความสนุกสนานมาก หงอคงค่อยพิจารณาดูจึงมาคิดในใจว่า ชะรอยในกำแพงเมืองคงจะมีเครื่องศัสตราวุธรักษาเมืองเป็นแน่ ถ้าเราลงไปถามซื้อคงจะขัดข้อง เพราะตัวเราเป็นต่างชาติต่างภาษากัน คงจะไม่สำเร็จ จำจะต้องคิดเอาโดยลับเห็นจะดีกว่า

เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงร่ายพระเวทวิทยามนต์เป็นลมพายุใหญ่มืดฟ้ามัวฝนพัดเป็นทรายหินศิลาส่งเข้าไปในเมือง ผู้คนตามบ้านร้านตลาดตกใจตื่นวุ่นวาย ก็ปิดประตูหน้าต่างทุกบ้านทุดเรือน ตามถนนไม่มีใครเดินไปมา หงอคงเห็นได้การ จึงอ่านคาถาผ่อนกายลงยังพื้นดิน ตรงเข้าไปจนถึงประตูคลังที่ไว้อาวุธต่าง ๆ สิบแปดอย่าง ก็ถีบประตูคลังทำลายลง เห็นเครื่องอาวุธเรียงรายกันอยู่ ก็มีความยินดี จึงคิดว่า ถ้าเราจะเอาคนเดียว ก็จะเอาไปไม่ได้เท่าใด คิดดังนั้นแล้วก็อ่านคาถากระชากขนในตัวใส่ปากภาวนาพ่นออกมาเป็นวานรประมาณพันตัว จึงสั่งวานรเหล่านั้นให้เข้าเก็บขนเอาอาวุธต่าง ๆ วานรกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พร้อมกันเข้าแบกขนเครื่องอาวุธมัดหอบเอาเต็มกำลังทั้งพันตัว ได้แล้วหงอคงก็เหาะนำหน้าขึ้นอากาศ ลิงกายสิทธิ์ทั้งหลายก็เหาะตามหงอคงตรงมายังสำนัก หงอคงก็อ่านพระเวทคาถา วานรทั้งหลายก็สูญหายไปกลับเป็นขนเข้ากายไปตามเดิม เครื่องอาวุธต่าง ๆ ที่ลิงกายสิทธิ์ขนมากองวางอยู่เป็นอันมาก หงอคงจึงเรียกวานรทั้งหลายมาแล้วสั่งว่า พวกเจ้าจงเลือกเอาอาวุธไว้สำหรับมือทุก ๆ ตน

วานรทั้งหลายได้ยินหงอคงสั่งดังนั้น ต่างตัวต่างก็วิ่งมาพร้อมกัน เห็นอาวุธวางกองอยู่ก็มีความยินดี บ้างหยิบเอาหอก บ้างหยิบเอาดาบแลอาวุธต่าง ๆ ไว้สำหรับตัวทุก ๆ ตน ครั้นรุ่งขึ้น หงอคงก็ฝึกหัดให้วานรทั้งหลายใช้อาวุธฟันแทงยิงแลปัดป้องให้ว่องไว แลตั้งกระบวนค่ายมั่น แลเดินกระบวน แลทำทีจะเข้าประจญประจัญบาน ให้รู้ในทางหนีทีไล่จนชำนิชำนาญ รวบรวมพวกวานรได้สี่หมื่นเก้าพันเศษ ตั้งแต่นั้นมาก็เล่าลือทั่วไปตามปิศาจแลยักษ์ที่อยู่ในถ้ำแลเขาเจ็ดสิบสองแห่ง ได้ทราบกิตติศัพท์ก็ตกใจหวั่นไหวไปทุกตำบล ทุกถ้ำ แลทุกเขา พวกปิศาจยักษ์เหล่านั้นก็พากันเข้ามาสามิภักดิ์เข้าด้วยหงอคง ก็นำเอาเครื่องบรรณาการมาเคารพหงอคงมิได้ขาด ตั้งแต่นั้นมา ก็ฝึกหัดแลซักซ้อมพลทหารวานรทั้งหลายให้แคล่วคล่องว่องไว จัดกันเป็นหมวดเป็นกองเรียบร้อย ก็สะสมเสบียงอาหารผลไม้สดแห้งไว้พรักพร้อมบริบูรณ์ ตั้งมั่นอยู่เขตเขาฮวยก๊วยซัว เพราะเขาฮวยก๊วยซัวเป็นที่คับขันมั่นคงรอบคอบดุจกำแพงเหล็ก หงอคงไต้อ๋องกับบริวารมีความสุขสำราญปราศจากภัยอันตรายต่าง ๆ หงอคงจึงพูดแก่บริวารว่า พวกเจ้ามีอาวุธครบมือกันบริบูรณ์แล้ว แต่ตัวเรายังหามีอาวุธสำหรับมือให้พอแก่กำลังของเราไม่ ง้าวที่ได้มาจากหม้ออ๋องก็ดูเกะกะไม่เป็นที่พอใจเรา

ในขณะนั้น มีวานรใหญ่ตนหนึ่งซึ่งเป็นทหารจึงบอกแก่หงอคงว่า ท่านก็เป็นเซียน คือ เทวดา มีอานุภาพแล้ว เครื่องอาวุธเหล่านี้ที่ได้มาไม่ควรใช้ ไต้อ๋องจะไปในน้ำได้หรือไม่

หงอคงตอบว่า เราตั้งแต่เรียนวิชาสำเร็จแล้ว พระอาจารย์บอกคาบกิริยาที่จะเหาะเหินเดินอากาศ ดำน้ำ แลลุยไฟ หรือล่องหนกำบังกาย หรือจะนฤมิตบิดเบือนเปลี่ยนแปลงกายได้ถึงเจ็ดสิบสองอย่างโดยชำนิชำนาญ ย่อมสำเร็จได้ทุกสิ่งทุกประการ ทำไมเราจึงจะเดินน้ำแลดำน้ำไม่ได้เล่า

วานรตนนั้นจึงพูดว่า ถ้าไต้อ๋องมีวิชาอันวิเศษเช่นนั้น ในถ้ำนี้ใต้สะพานเหล็กลงไปมีลำธารทะลุตลอดไปถึงเมืองบาดาลอันเป็นสถานที่อยู่ของพระยาเล่งอ๋อง คือ พระยานาคในฝ่ายทิศบูรพาตะวันออกมหาสมุทรใหญ่ ไต้อ๋องลงไปค้นดูที่เมืองพระยานาค คงจะมีอาวุธวิเศษที่พอใจสักอย่างหนึ่งเป็นแน่

หงอคงได้ฟังบริวารบอกเล่าดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดแก่วานรทั้งหลายว่า ถ้าดังนั้น เราจะลงไปยังเมืองพระยานาคสืบถามดูให้รู้แน่ ว่าดังนั้นแล้วหงอคงก็ออกมาที่สะพานเหล็ก จึงโอมอ่านพระเวทคาถาแหวกน้ำ แล้วก็กระโดดลงไปในน้ำดุจดังว่าเดินอยู่ที่บนบกฉะนั้น หงอคงเดินตัดกระแสชลไปยังเมืองพระยานาค

ฝ่ายพวกพลตระเวนนาคในเมืองบาดาลที่เดินรักษาท้องที่กระแสชลอยู่ในที่นั้น ครั้นมาพบหงอคงเข้า จึงร้องถามหงอคงว่า ที่เดินมานั้นเป็นทหารหรือเป็นเทพารักษ์เป็นเจ้าในเขตแขวงประเทศทิศใด ขอจงบอกให้ข้าพเจ้าทราบบ้าง เพื่อจะได้เชื้อเชิญตามสมควร

หงอคงจึงบอกแก่พลตระเวนผู้รักษาด่านทางว่า เราอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัว ฟ้าแลดินให้ตัวเราบังเกิด นามเราชื่อว่า หงอคง แซ่ซึง เราเป็นผู้ที่ชอบพอกันแก่พระยาเล่งอ๋อง ทำไมพวกท่านไม่รู้จักเราหรือ

พวกพลตระเวนได้ฟังหงอคงบอกดังนั้น ก็พากันกลับเข้าไปบอกพระยานาคว่า มิไต้อ๋องผู้หนึ่งมาบอกว่า อยู่เขาฮวยก๊วยซัว ชื่อซึงหงอคง แลพูดว่า รู้จักคุ้นเคยแก่พระองค์จะเข้ามาหา

ฝ่ายพระยาเล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ออกมาจากปราสาทจุ๊ยเจีย ต้อนรับหงอคงเชิญเข้าไปในปราสาทนั่งที่อันสมควร แล้วจึงถามว่า ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนบรรลุมรรคผลแล้วหรือ ได้เรียนรู้วิชาอันวิเศษสิ่งใดบ้าง

หงอคงจึงตอบพระยานาคว่า ตัวข้าพเจ้าได้พยายามบวชแลศึกษาเล่าเรียนรู้วิชาแสวงหาผู้วิเศษเพื่อรู้ธรรมที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่ตาย มาบัดนี้ ข้าพเจ้าได้ฝึกซ้อมทหารวานรไว้เพื่อได้รักษาอาณาเขตเขาแลถ้ำซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย บัดนี้ ขัดด้วยเครื่องศัสตราวุธอย่างดีสำหรับมือยังหามีไม่ แม้ว่าที่มีอยู่แล้วก็หาพอแก่กำลังของข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่า ท่านมีความสุขสบายสำราญอยู่ในเมืองบาดาลนี้ช้านานมาแล้ว คงจะมีอาวุธกายสิทธิ์วิเศษที่เหลือใช้อยู่บ้างเป็นแน่ เพราะฉะนั้น จึงอุตสาหะมาเพื่อจะขออาวุธท่านสักสิ่งหนึ่งไว้ถือสำหรับมือ

ขณะนั้น พระยานาคราชเล่งอ๋องได้ฟังหงอคงพูดว่า จะขออาวุธวิเศษสักอย่างหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะขัดได้ จึงรับสั่งแก่ขุนนางเจ้าพนักงานปลาซึ่งเป็นผู้รักษาเครื่องอาวุธให้แบกง้าวอย่างใหญ่ออกมาให้หงอคง หงอคงเห็นแล้วจึงบอกแก่พระยานาคว่า ง้าวเล่มนี้เบาไปไม่พอแก่กำลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอคืน

พระยานาคจึงสั่งขุนนางให้ไปนำเอาเหล็กแหลมอันใหญ่สำหรับมือมาให้หงอคงดู หงอคงลงจากแท่นเดินมาจับยกขยับดู แล้วบอกพระยานาคว่า เบาไม่ ไม่ควรแก่กำลังเรา

พระยานาคหัวเราะแล้วพูดว่า เหล็กแหลมอันนี้หนักถึงสามพันหกร้อยชั่ง

หงอคงจึงบอกว่า ถึงหนักเท่านั้นก็จริง แต่ยังหาพอแก่กำลังของเราที่จะจับถือรบสู้แก่ข้าศึกไม่

พระยานาคได้ฟังดังนั้นก็หวาดหวั่นอยู่ในใจ จึงเรียกอุปราชแลขุนนางนายทหารทั้งสองให้พลทหารหามทวนเล่มใหญ่ออกมา ทวนเล่มนั้นมีน้ำหนักถึงเจ็ดพันสองร้อยชั่ง

หงอคงรับทวนใหญ่มายกขยับดูแล้วก็ร้องว่า เบา ไม่พอแก่มือเราเลย พระยาเล่งอ๋องได้เห็นดังนั้นก็สะดุ้งตกใจประหม่าหน้าซีดสลดลงทันที จึงพูดแก่หงอคงว่า ข้าพเจ้ามีของสำหรับบ้านเมืองอยู่แต่สามสิ่ง นี่แลเป็นอาวุธวิเศษแล้ว นอกจากนี้ ก็ไม่มีอาวุธอันใดจะให้สมประสงค์ของท่านได้แล้ว

หงอคงได้ฟังพระยานาคบอกว่า อาวุธวิเศษสำหรับบ้านเมืองมีอยู่แต่สามอย่างเท่านั้น ไม่มีอาวุธที่จะดีกว่านี้ต่อไปแล้ว จึงทำเป็นหัวเราะแล้วพูดว่า นี่แน่ะ ท่านพระยาเล่งอ๋อง เราได้ฟังคำโบราณท่านกล่าวปรากฏว่า ในเมืองบาดาลมีของดี ๆ มาก ตัวท่านเล่าก็เป็นพระยานาคอันประเสริฐ จะไม่มีของวิเศษกายสิทธิ์บ้างเทียวหรือ ข้าพเจ้ายังมีความสงสัยอยู่ ท่านจะลวงเราดอกกระมัง เรายังหาเชื่อท่านไม่ ท่านจงกลับเข้าไปค้นดูเอง บางทีจะมีอาวุธวิเศษอยู่อีกกระมัง ขอท่านอย่าอำพราง ได้เห็นแก่ไมตรีของเราเถิด ถ้าได้สมความปรารถนาแล้วจะมีความขอบคุณท่านเป็นอันมาก แลจะคิดราคาให้แก่ท่านจงสมควร

พระยาเล่งอ๋องบอกว่า ข้าพเจ้ามิได้ล่อลวงท่านเลย พูดตามความสัจจริงทุกประการ เพราะสิ่งของที่อย่างดีนั้นไม่มีแล้ว

เมื่อขณะพระยานาคพูดอยู่แก่หงอคง มเหสีแห่งพระยานาคอยู่ข้างในครั้นได้ยินจึงพยักหน้าให้พระยานาคเข้าไปข้างในเพื่อจะบอกความลับ พระยานาคก็เดินเข้าไปที่มเหสี ภรรยากับบุตรีจึงบอกว่า การที่หงอคงมาครั้งนี้ไม่ใช่การเล็กน้อย ย่อมเป็นการสำคัญมากอยู่ ข้าพเจ้าทราบว่า ในเขตท้องทะเลของเรานี้ยังมีแท่งเหล็กใหญ่กายสิทธิ์จมอยู่ในกลางพระมหาสมุทรแห่งหนึ่ง แลเมื่อสามสี่วันก่อนนี้มีแสงสว่างพลุ่งขึ้นดูรัศมีโชติช่วงเห็นเป็นอัศจรรย์มากนัก คงเป็นเหตุประกอบกันแก่หงอคงไต้อ๋องนี้เป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นดังนี้ ท่าจะเห็นประการใด

ขณะนั้น พระยาเล่งอ๋องก็นึกขึ้นมาได้ จึงพูดว่า เหล็กแท่งนี้เมื่อครั้งไต้บู๊ตี๋ได้สะกดจมน้ำไว้จริง เราจะไปเอามาให้เขาได้หรือ แลอีกประการหนึ่ง ก็เป็นของกายสิทธิ์ ผู้ใดจะเอามาใช้ก็เห็นจะไม่ได้ ฮูหยินของพระยานาคจึงพูดว่า ท่านจะขัดเขาทำไม ตามใจเขา เมื่อเขาจะเอาใช้ได้หรือไม่ได้นั้นก็สุดแล้วแต่เขา ช่างเขาเป็นไร เราปัดส่งเสียแต่พอให้พ้นเราไปเท่านั้น จะไม่ดีหรือ

ตามที่ข้าพเจ้าคิดเห็นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งสองอย่าง คือ หนึ่ง ถ้าหงอคงไปเอาแท่งเหล็กได้ ก็จะขอบคุณท่านว่าไม่ปิดบัง สอง ถ้าหงอคงไปเอาแท่งเหล็กนี้ไม่ได้ โดยเหตุฤทธาหงอคงไม่พอแก่เหล็ก ก็จะมีความอายเลยหลบหน้าไปทีเดียว ไม่ต้องกลับมารบกวนเราอีกเป็นแน่ ข้าพเจ้าเห็นการเช่นนี้ ขอท่านได้ดำริดูจงดีเถิด

พระยาเล่งอ๋องได้ฟังภรรยากับบุตรพูดชี้แจงให้สติดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงกลับออกมาพูดแก่หงอคงว่า ยังมีแท่งเหล็กใหญ่อยู่อีกแท่งหนึ่งสะกดจมอยู่กลางใจทะเล แม้ท่านจะต้องการ ก็ขอเชิญท่านไปเอาเถิด

หงอคงว่า ขอท่านช่วยสงเคราะห์ให้ใครไปนำมาให้ด้วยเถิด จะขอบใจท่านเป็นอันมาก

พระยานาคตอบว่า ของกายสิทธิ์สิ่งนี้มีน้ำหนักมานัก ไม่มีใครแบกหามไหว เมื่อท่านจะต้องการแล้ว ขอเชิญท่านไปดูเอาเองเถิด

หงอคงจึงว่า ถ้าดังนั้น ขอท่านได้นำชี้ที่ให้ด้วยเถิด เล่งอ๋องก็นำหงอคงไปยังสะดือทะเล แล้วชี้แจงให้หงอคงเข้าใจแล้วก็กลับมายังบาดาล

ฝ่ายหงอคงก็ดำลงไปคลำสังเกตดูก็รู้ได้ว่า เหล็กกายสิทธิ์นั้นยาวประมาณสองวาเศษ หงอคงจึงจับโดยมั่นคงแล้ว ก็โยกไปโยกมา ปากก็บริกรรมว่า สั้นเข้าแลเล็กลง ๆ เหล็กกายสิทธิ์นั้นก็สั้นเข้าแลเล็กลงทุกทีจนได้ขนาดพอดีที่จะถือเป็นอาวุธ คือ คทาธร หงอคงมีความยินดีที่สุด จึงจับเอามาพิจารณาดู ด้วยเดิมเหล็กแท่งนี้เป็นท่อนเหล็กเลี่ยมทองสองข้าง มีอักษรจารึกไว้แถวหนึ่งห้าอักษร คือ ยู่อี่กิมซือเป๊ง มีน้ำหนักหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง หงอคงมีความยินดีหาที่เปรียบมิได้ จึงคิดว่า ของกายสิทธิ์สิ่งนี้ถูกแก่ใจเรา หงอคงก็แผลงอิทธิฤทธิ์มายังเมืองพระยานาค พระยานาคเห็นดังนั้นอกใจเต้นสั่นระรัวแข็งใจเดินออกมารับหงอคง หมู่นาคบริวารแลปลาทั้งหลายก็พากันกลัวเกรงอำนาจพระยาวานรเผือก

ฝ่ายพระยาวานรก็เดินตรงเข้าไปนั่งในท่ามกลางนาคทั้งหลาย จึงมีสุนทรวาจาแก่พระยานาคว่า ขอบใจท่านที่ได้ช่วยแนะนำจนได้อาวุธวิเศษสำหรับมือสมความมุ่งหมาย บัดนี้ ยังขาดแต่เครื่องประดับสำหรับยุทธ ของท่านมีข้าพเจ้าขอท่านสักเครื่องหนึ่ง พระยานาคบอกว่า เครื่องแต่งตัวจะให้สมควรแก่ท่านนั้น ของข้าพเจ้าหามีไม่

หงอคงจึงว่าแก่พระยาเล่งอ๋องว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เครื่องแต่งตัวแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปจากปราสาทท่าน

พระยาเล่งอ๋องพูดอ้อนวอนว่า ขอท่านไต้อ๋องได้เที่ยวค้นดูตามทะเลอื่น ๆ บางทีจะได้บ้างดอกกระมัง

หงอคงจึงตอบว่า ถึงจะไปเที่ยวหาให้หลายแห่งหลายคน ก็คงจะสู้ที่นี่ไม่ได้ ขอร้อยขอพันท่านก็คงช่วยขอให้ได้ พระยาเล่งอ๋องก็ยืนคำอยู่ว่า ไม่ได้ ไม่มีจริง ๆ

หงอคงว่า ถ้าไม่ได้จริง ๆ แล้ว เราจะเอากระบองเหล็กอันนี้ลองศีรษะท่าน พระยานาคได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกลัว จึงอ้อนวอนหงอคงว่า ท่านอย่าเพ่อวุ่นวาย คอยข้าพเจ้าจะถามน้องดูก่อน ถ้ามีแล้วจะขอให้ท่านเครื่องหนึ่งจงได้

หงอคงถามว่า น้องท่านอยู่ที่ไหน ใกล้หรือไกล เมื่อไรจะรู้กัน

เล่งอ๋องตอบว่า อยู่ทิศทักษิณมหาสมุทรผู้หนึ่งชื่อ เง่าคำเล่งอ๋อง อยู่ทิศอุดรผู้หนึ่งชื่อ เง่าสุนเล่งอ๋อง อยู่ทิศประจิมผู้หนึ่งชื่อ เง่าหยุนเล่งอ๋อง อยู่ทิศบูรพาคือตัวข้าพเจ้า รวมเป็นสี่คนด้วยกันเป็นผู้รักษาอาณาเขตในทะเลทั้งสี่ทิศ

หงอคงจึงพูดแก่เง่าก๊วงเล่งอ๋องว่า ถ้าดังนั้น ท่านจงช่วยสงเคราะห์ไปถามดู บางทีจะได้บ้าง ข้าพเจ้าจะคอย ถ้าได้ จะขอบใจท่านเป็นอันมาก

พระยานาคตอบว่า ไม่ต้องไปก็ได้ เพราะข้าพเจ้ามีหอกลองเหล็กหอระฆังทองเป็นเครื่องสัญญา ถ้าจะมีทุกข์สุขประการใดอย่างไรแล้วก็ขึ้นบนหอตีกลองตีระฆังขึ้นสามลาตาม บรรดาน้องทั้งหลายนั้นก็มาโดยทันที หงอคงจึงว่า ถ้ากระนั้น ท่านจงตีระฆังขึ้นโดยเร็วเถิด

พระยาเล่งอ๋องก็ขึ้นหอตีระฆังตีกลองขึ้นสามลา บรรดาน้องชายทั้งสามรู้แล้วรีบตกแต่งกายมายังปราสาท เล่งอ๋องผู้น้องทั้งสามคนครั้นถึงจึงถามว่า พี่มีกิจธุระทุกข์ร้อนประการใดหรือ จึงได้ตีกลองแลระฆังสัญญา

เง่าก๊วงเล่งอ๋องจึงพูดว่า ภัยมาถึงตัวเราแล้ว คือ เหตุมีขึ้นที่เขาฮวยก๊วยซัว ฟ้าดินประกอบกันให้บังเกิดวานรขึ้นตัวหนึ่ง ชื่อ ซึงหงอคง เป็นผู้สำเร็จประกอบด้วยวิทยา มีฤทธิ์เดชานุภาพมาก มาทำเป็นว่าสหายเข้ากับเรา แล้วอ้อนวอนขอเครื่องอาวุธง้าวทวนอันวิเศษล้วนแต่ไม่มีผู้ใดจะถือได้มีน้ำหนักเกินประมาณ ทุก ๆ สิ่งเราเอามาให้ก็ไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้น พี่จึงชี้ให้ไปเอาแท่งเหล็กกายสิทธิ์ที่จมอยู่ในกลางใจทะเลนั้น เธอก็ไปเอามาได้สมประสงค์ ตกลงว่า เป็นได้เครื่องอาวุธพอใจแล้ว ยังขอเครื่องประดับแต่งตัวต่อไปอีก เช่นนี้ พี่จึงบอกว่าไม่มี เธอก็ไม่ยอม จะเร่งเอาให้จงได้ ถ้าไม่ได้ก็คงจะทำอันตรายพี่ ได้ชื่อว่า พี่ตกอยู่ในที่คับแค้นแล้ว จึงได้ตีกลองตีระฆังเรียกน้องทั้งสามมาเพื่อจะได้ปรึกษาหารือกันว่า เจ้ามีเครื่องแต่งตัวอะไรบ้าง จะได้ให้เธอ เธอจะได้ไปเสียรู้แล้วไป หาไม่ก็จะมารบกวนอยู่มิรู้แล้ว

เง่าคำเล่งอ๋องผู้น้องจึงพูดว่า เราสี่คนพี่น้องช่วยกันล้อมจับหงอคงให้ได้มิดีหรือ จะมาปล่อยให้ข่มขี่อยู่ทำไม

เง่าก๊วงเล่งอ๋องผู้พี่จึงห้ามว่า เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย พวกเราหมดทั้งสี่คนสี่เมืองก็หาสู้กำลังเขาได้ไม่ แต่โดยน้ำหนักของแท่งเหล็กกายสิทธิ์นั้น เขามาต้องตีรันอะไร เขาจะเอาวาทับเราลงทั้งสี่คน พวกเราก็จักเหลวแหลกละเอียดไปไม่ถึงแก่จะรบรอต่อการ

เง่าหยุนเล่งอ๋องจึงพูดว่า เขามีศักดานุภาพเช่นนั้นก็อย่าวุ่นวายแก่เขาเลย สู้เราหาเครื่องประดับสำหรับตัวให้เขาจะดีกว่า ภายหลังเราทั้งสี่คิดทำฎีกาขึ้นไปถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้คงจะลงโทษเขาโดยสาหัส

เง่าสุนเล่งอ๋องว่า ส่วนตัวข้าพเจ้ามีรองเท้าทำด้วยใยบัวหนึ่งคู่ใส่แล้วก็เหาะได้ เง่าหยุนเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้ามีเกราะทองคำเกราะหนึ่งสามารถจะป้องกันอาวุธได้ เง่าคำเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้ามีหมวกทองคำปีกหงส์หนึ่งหมวกสวมศีรษะแล้วก็แคล้วคลาด เง่าก๊วงเล่งอ๋องผู้พี่พูดว่า ถ้าดังนั้น เป็นการดีแล้ว ก็พากันเอาหมวก แลเกราะ แลรองเท้ามาให้หงอคง หงอคงก็สวมใส่หมวก แลเกราะ แลรองเท้าแล้วมีความยินดี มือถือกระบองเหล็กยืนพูดแก่พระยานาคทั้งสี่ตนว่า ข้าพเจ้าขอบใจท่านทั้งสี่พี่น้องเป็นอย่างยิ่ง เราจะขอลาท่านกลับไปแล้ว พระยานาคทั้งสี่ก็กระทำคำนับ หงอคงก็ออกจากเมืองบาดาล

พระยานาคทั้งสี่ก็ตรึกตรองการที่จะฎีกาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ต่อไป

หงอคงออกจากเมืองนาคแล้วก็ลงตามกระแสน้ำกลับมา ครั้นถึงสะพานเหล็กก็โดดขึ้นบนสะพาน บรรดาวานรทั้งหลายที่คอยรังหงอคงอยู่ริมสะพานทั้งซ้ายขวาเห็นหงอคงกลับมา บริวารทั้งหลายต่างตนก็คำนับต้อนรับอยู่พร้อมกัน

หงอคงขึ้นนั่งอยู่บนแท่นท่ามกลางลิงบริวาร จึงเอากระบองเหล็กวางไว้ข้างตัว เหล่าวานรทั้งหลายเห็นกระบองเหล็กก็เข้าไปลูบคลำดู บ้างก็ลองผลักดู ก็มิได้ไหวสะเทือนเลย ทุก ๆ วานรเห็นดังนั้นก็ให้มีใจหวั่นหวาดกลัวเกรงยิ่งนัก แล้วจึงถามหงอคงว่า ไต้อ๋องได้กระบองเหล็กนี้ในที่ใด

หงอคงลุกยืนขึ้นจับกระบองชูให้ดู แล้วบอกพวกวานรว่า สิ่งของนี้เดิมมีเจ้าของเขาเอามาสะกดจมน้ำไว้กลางทะเล แลในปีนี้มีรัศมีเกิดพลุ่งขึ้นมา พระยานาคนำไปชี้ให้แก่เรา แล้วพระยานาคบอกว่า ตัวเขาและบริวารนาคทั้งสิ้นจะยกหรือจับก็ไม่ไหวเขยื้อนเลย เพราะเป็นเหล็กกายสิทธิ์น้ำหนักถึงหมื่นสามพันห้าร้อยชั่ง ถ้าเราจะบอกกระบองให้ใหญ่ออกไปก็ได้ จะบอกให้เล็กเข้ามาก็ได้ตามความประสงค์ แต่น้ำหนักก็คงอยู่เท่านั้น แล้วหงอคงก็สั่งให้ใหญ่ให้เล็กให้พวกบริวารทั้งหลายเห็นทั่วกัน จนที่สุดให้เล็กเท่าเข็มเอาขึ้นทัดหูก็ได้ แล้วหงอคงเดินออกมานอกถ้ำ ก็ทำแผลงอิทธิฤทธิ์ให้พวกวานรดูต่าง ๆ กระทำให้กายสูงเท่าพระสุเมรุก็ได้ รูปร่างน่ากลัว นัยน์ตาดุจสายฟ้าแลบ ปากกว้างดังบ่อ เขี้ยวแลฟันคมเหมือนหอกดาบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นสูงสิบสองชั้นฟ้า เมื่อหงอคงทำแผลงฤทธิ์ครั้งนั้นก็บันลือสะเทือนไปถึงพระยาปิศาจยักษ์ทุก ๆ ถ้ำทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำ มีความกลัวเกรงหงอคง ก็ก้มศีรษะยกมือคำนับ ในอกใจให้สั่นไปทุก ๆ คน แล้วหงอคงก็กลายกลับเท่ารูปเดิม แต่กระบองเหล็กนั้นให้เล็กเท่าเข็มเหน็บซ่อนไว้ในหู แล้วก็กลับเข้ามาในถ้ำขึ้นบนแท่น พวกปิศาจยักษ์ทั้งหลายก็เข้ามาคำนับพร้อมกัน หงอคงจึงสั่งให้พลทหารวานรทั้งหลายยกธงอาญาสิทธิ์ แลตีกลองฝึกหัดทหารซักซ้อมให้พร้อมเพรียงในกระบวนศึกทุกประการ แล้วหงอคงก็จัดตั้งวานรให้เป็นนายทหารใหญ่สี่วานร คือ ลิงเสนสองตัวนั้นให้เป็นที่หลิวเบ๊แม่ทัพ ชะนีสองตัวนั้นตั้งให้เป็นนายทหารเอกคือปั่งป้าเจียงกุ๋น หงอคงจึงมอบการฝึกหัดแลการรับผิดชอบให้นายทหารวานรทั้งสี่จัดแจงดูแลแทนตัว เสร็จแล้วหงอคงก็เที่ยวเหาะไปรอบจักรวาลคบเพื่อนมิตรสหายแต่ที่มีฤทธาศักดานุภาพแข็งแรง คือ พระยาหงู้หม้ออ๋อง ชาติกระบือ หนึ่ง พระยาเกาหม้ออ๋อง ชาตินาคา หนึ่ง พระยาพังหม้ออ๋อง ชาตินกอินทรี หนึ่ง พระยาไซท่ออ๋อง ชาติสิงโต หนึ่ง พระยามีเกาอ๋อง ชาติค่าง หนึ่ง พระยาโง่ซุดอ๋อง ชาติหมี หนึ่ง รวมทั้งหงอคงไต้อ๋องเป็นเจ็ดพระยาด้วยกัน ชวนกันมาประชุมฝึกหัดซักซ้อมกำลังแลฝีมือกันเล่นเสมอ ๆ เป็นที่รื่นเริงสำราญมาช้านาน

อยู่มาวันหนึ่ง หงอคงให้จัดอาหารเลี้ยงเชิญสหายทั้งหกคนมาเสพสุราเป็นที่รื่นเริงสำราญใจ ครั้นเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว สหายทั้งหกพระยาก็ลาหงอคง หงอคงก็ออกมาส่งสหายทั้งหกคน แต่เมื่อจะกลับเข้าถ้ำ หงอคงเมาสุรามาก ยืนพิงต้นไม้หลับไป ให้เกิดนิมิตฝันว่า มีบุรุษสองคนเดินตรงเข้ามามีมือถือป้ายหนังสือ ในป้ายจารึกอักษรสามตัวว่า ซึงหงอคง ครั้นเข้ามาใกล้แล้ว บุรุษสองคนนั้นก็เอาเชือกมัดมือหงอคงฉุดลากไปจนถึงกำแพงแห่งหนึ่ง ในขณะเวลาฝันนั้น หงอคงพอสร่างเหล้า จึงแหงนหน้าขึ้นดูบนหน้าประตูกำแพง มีป้ายเหล็กแผ่นหนึ่งมีหนังสืออักษรใหญ่สามตัวว่า อูเบงก่าย คือ ต้นอาณาเขตเมืองนรก หงอคงเห็นดังนั้นก็ได้สติ พูดว่า ที่นี่อูเบงก่าย ทำไมเราจึงมาที่นี่ได้เล่า บุรุษทั้งสองได้ยินหงอคงถามดังนั้นจึงบอกว่า ในมนุษยโลกอายุของท่านสิ้นแล้ว เราทั้งสองได้รับคำสั่งของเงี่ยมฬ่ออ๋อง คือ พระยามัจจุราช ให้จับตัวท่านมา

หงอคงได้ฟังดังนั้นจึงพูดแก่คนทั้งสองว่า เราออกจากสามภพแล้ว ไม่ได้อยู่ในธาตุทั้งสี่ แลมิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด เหตุใดจึงบังอาจไปจับเรามาทำไม จะพาเราไปข้างไหน คนทั้งสองก็ไม่ฟัง เข้าฉุดคร่าจะพาเอาตัวหงอคงไปให้ได้ หงอคงเกิดโทโสขึ้น มือจับกระบองเหล็กกายสิทธิ์ตีถูกคนทั้งสองป่นละเอียดไป แล้วหงอคงก็ควงกระบองเหล็กตีกระหนาบเข้าไปในกำแพงเมือง พวกยมบาลหน้าม้าหน้ากระบือพากันวิ่งหลบหนีไปสิ้น บ้างก็วิ่งเข้าไปแจ้งความแก่พระยามัจจุราชว่า ภัยจะมาถึงท่านใดเดี๋ยวนี้แล้ว ข้างนอกนั้นสัตว์อะไรข้าพเจ้าก็ไม่รู้จัก เหมือนรามสูรหน้ามีขนรุงรัง ตีกระหนาบเข้ามา จวนจะถึงท่านอยู่แล้ว

เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบคนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ รีบจัดแจงแต่งกาย เสร็จแล้วก็เดินออกไปดู เห็นวานรตัวหนึ่งทำกิริยาดุร้ายยิ่งนัก จึงร้องว่า ท่านไต้เซียนจงหยุดก่อน ท่านชื่อไร เหตุไรจึงได้ทำบังอาจล่วงเกินดังนี้

หงอคงตอบว่า ท่านไม่รู้จักชื่อเราหรือ ทำไมท่านอาจสามารถใช้ให้คนของท่านไปจับเรามาทำไม ซึ่งท่านมาถามเรา เราจะบอกให้ เราอยู่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง ฟ้ามาบังเกิดคือตัวเรา แซ่ซึง ชื่อหงอคง ตัวท่านเป็นขุนนางตำแหน่งอะไร รีบบอกเรามาโดยเร็ว

เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบคนจึงบอกแก่หงอคงว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ที่หนึ่งชื่อ ซินกวั้งอ๋อง ที่สองชื่อ โซ้กังอ๋อง ที่สามชื่อ ซังตี๋อ๋อง ที่สี่ชื่อ เหงากัวอ๋อง ที่ห้าชื่อ เงี่ยมฬ่ออ๋อง ที่หกชื่อ เบี่ยนเส้งอ๋อง ที่เจ็ดชื่อ ทั้ยซั้นอ๋อง ที่แปดชื่อ เพ็งเต็งอ๋อง ที่เก้าชื่อ เตาฉีอ๋อง ที่สิบชื่อ จ๊วนลุ้นอ๋อง[ข] ข้าพเจ้าทั้งสิบนี้คือเป็นพระยามัจจุราช ได้ดูการงานในที่อันนี้

หงอคงได้ฟังพระยาเงี่ยมฬ่ออ๋องบอกชื่อแลตำแหน่งดังนั้นแล้ว จึงว่า ท่านทั้งหลายก็มีเกียรติยศยุติธรรมแลเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไม่รู้การดีแลชั่ว ตัวเราก็ได้บวชรักษาศีลเจริญกุศลภาวนาได้สำเร็จบรรลุธรรมวิเศษข้ามพ้นจากภพทั้งสามแล้ว อายุเราก็ยืนเสมอเท่าฟ้าแลดินปราศจากธาตุทั้งสี่ดินน้ำลมไฟแล้ว ทำไมท่านจึงใช้ให้คนไปจับเรามา ท่านจะทำอะไรแก่เราหรือ

เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบจึงว่า ขอท่านได้ระงับความโกรธเสียก่อน เราจะว่าให้ท่านฟัง ด้วยในใต้หล้านี้ชื่อเดียวแซ่เดียวกันหรือพ้องกันก็มีโดยชุกชุม ซึ่งคนทั้งสองไปจับท่านมานั้นบางทีจะจับผิดไป หงอคงตอบว่า ท่านทั้งหลายพูดไม่เป็นยุติธรรม ถ้าเจ้าใช้แลนายใช้ จะผิดอะไรแก่คนไปจับ ท่านจงรีบไปเอาสารบบมาให้เราดูเดี๋ยวนี้ เงี่ยมฬ่ออ๋องจึงเชิญหงอคงขึ้นไปนั่งบนที่นั่งซันหลอ คือ ที่พระยามัจจุราชรับแขก หงอคงก็ขึ้นไปนั่งอยู่ท่ามกลางพระยามัจจุราช พระยามัจจุราชจึงให้ขุนนางนำสมุดสารบัญชีชื่อสัตว์เกิดตายมาให้หงอคงไต้อ๋องดู หงอคงก็หยิบสารบบคลี่เปิดพลิกไปดูตลอด ๆ ทุกสัตว์ที่มีปีกมีขนจนถึงวานรลักษณะคล้ายคนแต่ไม่มีชื่อแลแซ่เหมือนมนุษย์ไม่อยู่ในบังคับสัตว์ทั้งหลาย

หงอคงหยิบสารบบเล่มอื่นมาตรวจดูอีกจนถึงชื่อหงอคงว่า อากาศประมวลศิลาเกิด มีกำหนดอายุยืนสามร้อยยี่สิบสองปีจึงจะสิ้นอายุ หงอคงตรวจดูเห็นดังนั้นแล้ว จึงหยิบพู่กันจุ้มน้ำหมึกเข้า แล้วก็ตรวจดูอีก ถ้าเห็นที่ไหนมีชื่อวานรก็ขีดกาลบเสียทั้งสิ้น แล้วจึงพูดว่า ตั้งแต่นี้ไปเราไม่ต้องอยู่ในบังคับผู้ใดทั้งสิ้นในโลกนี้ ครั้นลบบัญชีเสร็จแล้ว หงอคงก็จับกระบองควงเดินออกมา เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้หงอคง ครั้นหงอคงไปแล้ว เงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบคนก็ชวนกันทำฎีกาจะถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ แต่ยังมิได้ถวาย

ฝ่ายหงอคงในขณะเมื่อฝันว่าออกมาจากนรกแล้วเดินไปสะดุดเถาวัลย์เข้าเกือบจะล้ม ก็ได้สติตกใจตื่นขึ้น รู้สึกตัวว่าเป็นความฝัน บิดกาย แล้วก็ลืมตาขึ้นทันที พอได้ยินเสียงวานรทั้งสี่ซึ่งเป็นทหารเอกพูดว่า ไต้อ๋องเสพสุราเห็นจะเมามากไปกระมัง เมื่อคืนนี้ยืนหลับทั้งคืนไม่ตื่นเลย

หงอคงบอกว่า เมื่อคนนี้ เราหลับไปหน่อยหนึ่งก็ฝันว่า มีคนสองคนมาจับตัวเราไปจนถึงเมืองพระยามัจจุราช จึงได้สร้างเมาได้สติมา เมื่อในฝันว่า เราได้ไปในปราสาทเงี่ยมฬ่ออ๋องทั้งสิบ แลได้พูดโต้ตอบกันแก่พระยามัจจุราช พระยามัจจุราชจึงเอาสารบบบัญชีซึ่งกหนดเกิดตายของสัตว์ทั้งหลายมาให้เราดู เราดูแล้วแลเห็นชื่อเราแลชื่อท่านทั้งหลาย เราจึงเอาพู่กันจุ้มน้ำหมึกลบเสียสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราไม่ต้องอยู่ในบังคับผู้ใดทั้งสิ้น

พวกวานรทั้งหลายเมื่อได้ฟังหงอคงเล่าให้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี พากันกราบไหว้สรรเสริญหงอคงแลขอบพระคุณขึ้นพร้อมกันทั้งสิ้น เพราะอาศัยเหตุนี้ วานรทั้งหลายจึงมีอายุยืนมาก หงอคงอยู่ในถ้ำกับด้วยฝูงบริวารเป็นสุขสำราญมาช้านาน

ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้วันหนึ่งเสด็จออกพระที่นั่งวิมานเหลงเซียวโป๊เต้ย แวดล้อมไปด้วยหมู่เทพยดาทั้งหลายเฝ้าพร้อมหน้ากัน ในขณะนั้น มีเทพบุตรดูฮ้วงเจ๋องค์หนึ่งกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ข้างนอกมีพระยาเง่าก๊วงเล่งอ๋องอันอยู่สำนักยังมหาสมุทรทิศฝ่ายบูรพาจะมาเฝ้าถวายฎีกาด้วยเรื่องอันใดไม่ทราบ บัดนี้ อยู่ข้างนอก

เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงทราบดังนั้นจึงมีรับสั่งให้นำพระยานาคเข้ามาเฝ้า พระยานาคก็ถวายฎีกาแก่เง็กเซียงฮ่องเต้ เทพบุตรเซียงกง พนักงานรับฎีกา ก็อ่านฎีกาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ ในฎีกามีใจความว่า

ข้าพระพุทธเจ้า เง่าก๊วง ซึ่งเป็นผู้รักษาเขตมหาสมุทรใหญ่ในทิศบูรพา ขอพระราชทานกราบทูลทรงทราบ ด้วยที่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง มีปิศาจลิงชื่อ ซึงหงอคง มีความหมิ่นประมาทดูถูกพระบารมีของพระองค์ ลงไปที่บาดาลบังคับขอเครื่องอาวุธแลเครื่องแต่งตัว ข้าพระองค์ก็ให้แท่งเหล็กกายสิทธิ์ที่สะกดจมอยู่กลางใจทะเล แลหมวกปีกหงส์ทองคำหมวกหนึ่ง เกราะทองคำสำรับหนึ่ง รองเท้าใยบัวคู่หนึ่ง รวมสี่สิ่งแล้ว หงอคงยังทำอิทธิฤทธิ์กดขี่ข่มเหง ข้าพระพุทธเจ้าไม่สามารถจะต่อต้านสู้รบได้ ขอพระองค์ได้โปรดมีเทวบัญชาให้เทพยดาองค์ใดไปปราบปรามจับตัวหงอคงมาลงโทษให้เข็ดหลาบ ข้าพระพุทธเจ้าจะได้รักษาอาณาเขตในท้องทะเลให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป

เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงทราบความฎีกาของพระยานาคแล้ว จึงรับสั่งว่า ท่านจงกลับไปรักษามหาสมุทรตามเดิม การต่อไปเราจะคิดอ่านปราบปราม

ขณะนั้น มีกัดเซียงกงเทพยดาองค์หนึ่งกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขึ้นว่า ขอพระองค์จงทราบ บัดนี้ มีพระยามัจจุราชจะเข้ามาถวายฎีกา แลมีชื่อพระตี้จองอ๋องในฎีกาด้วย แล้วส่งฎีกาให้เทพบุตรเจ้าหน้าที่นำฎีกาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ ใจความในฎีกามีว่า

ในเมืองนรก อาณาเขตฟ้าแลดิน ก็มีเจ้า แลมีวนเวียนกลับไปกลับมา คือ เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วกลับเกิด แลย่อมมีสภาพลิงคเพศพันธุ์เป็นหญิงแลชาย เป็นไปตามกำหนดแห่งยถากรรมของสัตว์ที่ประกอบกรรมดีแลกรรมชั่วอันจะให้เป็นวิบากผลตกแต่งสัตว์ แต่บัดนี้ ที่เขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง มีศิลาก้อนหนึ่งต้องแสงพระอาทิตย์พระจันทร์ แลดินฟ้าอากาศธาตุ ฤดูร้อนแลเย็น บังเกิดเป็นลิงปิศาจตัวหนึ่งขึ้นชื่อ ซึงหงอคง ทำอำนาจดุร้าย ดื้อดึง ไม่ยอมอยู่ในบังคับบัญชาของผู้ใด แผลงฤทธาศักดานุภาพรุกไล่ตีตลอดไปถึงเมืองนรก รบกวนรุกรานไปกระทั่งปราสาทที่อยู่ของพระยามัจจุราช บังคับให้ข้าพระพุทธเจ้านำเอาสารบบบัญชีชื่อจำนวนพวกวานรมาลบเสียหมดว่าไม่อยู่ในบังคับของความเกิดดับ ฉะนี้ ขอพระเป็นเจ้าเป็นประธานแห่งเทวโลกได้โปรดปราบปรามเสียให้ราบคาบ สวรรค์แลนรกจึงจะเป็นไปตามนิยมแห่งยถากรรมของสัตว์ได้

ฝ่ายพระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกจึงมีเทวบัญชาให้พระยามัจจุราชกลับไปยังที่อยู่ก่อน แล้วพระองค์จึงจะจัดการต่อไป

เง็กเซียงฮ่องเต้จึงมีรับสั่งถามเทพบุตรทั้งหลายว่า สัตว์เดรัจฉานวานรตัวนี้เกิดเมื่อไร ถือความปาฏิหาริย์อย่างไร จึงได้วิชาอันเชี่ยวชาญอย่างนี้ เทพยดาทั้งหลายก็พากันนิ่งอยู่ ไม่มีเทพบุตรพระองค์ใดกราบทูลประการใด

มีเทพยดาสองพระองค์มีนามว่า เชยหลีงั้น พระองค์หนึ่ง นามว่า ซุ่นฮองฮี้ พระองค์หนึ่ง เทพบุตรทั้งสองนี้กราบทูลขึ้นว่า วานรนี้เมื่อสามร้อยปีก่อนประกอบอากาศธาตุฟ้าดินบังเกิด แล้วต่อมาไม่ทราบว่าจะไปบวชเรียนแห่งหนตำบลใดจึงได้วิชาอันเชี่ยวชาญ บรรดายักษ์ แลปิศาจ แลสัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่ในอำนาจลิงตัวนี้

เง็กเซียงฮ่องเต้จึงตรัสว่า ถ้าดังนั้น ต้องให้เทพยดาที่มีมหิสรเดชาลงไปปราบเสียงโดยเร็ว จึงจะได้

ในขณะนั้น ไทเป๊กกิมแช เทพยดาผู้ใหญ่ จึงกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ในไตรโลกธาตุอันนี้มีทวารทั้งเก้าแลมีความประพฤติดีแล้วบวชเรียนก็คงสำเร็จได้ดังประสงค์ วานรตัวนี้ประกอบด้วยกำลังอากาศธาตุฤดูฟ้าดิน บังเกิดมีลักษณะรูปคล้ายมนุษย์ จึงไปบวชเล่าเรียนรู้วิชาเชี่ยวชาญเหมือนมนุษย์ไม่ผิดกัน ขอพระองค์ได้ทรงพระเมตตาโปรดอย่าให้เสียเกียรติยศแห่งเซียนทั้งหลายเลย ข้าพระองค์จะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมขึ้นมาตั้งเป็นขุนนางแต่เล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในอำนาจของพระองค์ ถ้าประพฤติดีมีความชอบอยู่ในเทวบัญชา ก็แล้วแต่จะโปรดประทานบำเหน็จรางวัลตามความชอบ ถ้ามิอยู่ในบังคับบัญชา จึงค่อยจับตัวลงโทษเมื่อภายหลัง เพราะเขาก็ได้เล่าเรียนแลบวชเป็นนักพรต คงมีภูมิแลนิสัยในมรรคผลหนทางอันดีอยู่แล้ว จึงตั้งตัวมีอำนาจอันดีได้ฉะนี้

เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็มีพระทัยยินดีเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งแก่ปุนเต็กแชกุน สมุห์บัญชีใหญ่ ให้แต่งพระอักษรพระราชทานให้แก่ไทเป๊กกิมแชลงไปเกลี้ยกล่อมหงอคง

ครั้นพนักงานแต่งพระอักษรเสร็จแล้ว ไทเป๊กกิมแชก็ถวายเทวราชทูตลงมาเชิญไต้อ๋องนายพวกเจ้าให้ขึ้นไปเฝ้าเดี๋ยวนี้

พลวานรที่เฝ้าประตูชั้นนอกได้ฟังดังนั้นจึงบอกกันต่อ ๆ ไปเป็นชั้น ๆ จนถึงวานรที่เป็นนายใหญ่ก็นำความแจ้งแก่หงอคงไต้อ๋องตามถ้อยคำของเทพยดา

ซึงหงอคงได้ฟังวานรบอกดังนั้นก็มีความยินดีเป็นที่สุด แล้วจึงว่า เมื่อสองวันก่อนนั้น เราก็คิดอยู่แล้วว่า จะไปเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าจอมพิภพ มาวันนี้ บังเอิญมีเทวราชทูตลงมาเชิญตัวเรา เรามีความยินดียิ่งนัก ว่าแล้วก็จัดแจงแต่งกายออกไปรับเทวราชทูต

ครั้นออกมาถึง เห็นไทเป๊กกิมแช ก็เชิญให้เข้าไปในถ้ำ ให้นั่งที่อันสมควร แล้วยกน้ำชามาเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียม ไทเป๊กกิมแชแจ้งความแก่หงอคงไต้อ๋องว่า บัดนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้มีเทวบัญชาให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไต้อ๋องขึ้นไปเฝ้า จะพระราชทานตำแหน่งยศ ให้ท่านมีอำนาจในเทวสถานด้วย

หงอคงได้ฟังไทเป๊กกิมแชบอกดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดว่า ขอบพระคุณของพระผู้เป็นประธานโลก วันนี้ท่านได้มาถึงสถานที่อยู่แห่งข้าพเจ้าแล้ว ขอเชิญท่านผู้เป็นเทพยดาใหญ่รับประทานอาหารด้วยข้าพเจ้าสักมื้อหนึ่ง

ไทเป๊กกิมแชตอบว่า ขอบใจท่านแล้ว แต่จะอยู่ช้ามิได้ ด้วยมีรับสั่งให้กลับโดยเร็ว พระเป็นเจ้ายังคอยท่านอยู่ ขอเชิญท่านไต้เซียนขึ้นไปเฝ้าโดยเร็วเถิด




ตอน ๒ ขึ้น ตอน ๔