ไซอิ๋ว/เล่ม ๑/ตอน ๔
หน้า ๖๖–๘๗ สารบัญ
หงอคงจึงเรียกวานรซึ่งเป็นนายใหญ่ทหารเอกทั้งสี่นายมามอบหมายกิจการทั้งปวงให้รับผิดแลชอบดูแลรักษาอาณาเขตเขาฮวยก๊วยซัว เสร็จแล้วก็พร้อมกับไทเป๊กกิมแชออกจากถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องสำรวมจิตร่ายพระเวทให้กายเบาเหาะลอยขึ้นไปยังชั้นดาวดึงสพิภพ หงอคงเหาะเร็วกว่าไทเป๊กกิมแช ครั้นถึงก็เข้าไปในประตูนำทีหมึง ท้าวจตุโลกบาล คือ เจงเซียนทีอ๋องหมึง กับนายทหารทั้งสาม คือ พั่งล้าวเซียน หนึ่ง เตงซึงเซียน หนึ่ง เตียวกอเซียน หนึ่ง ถืออาวุธกั้นหน้าหงอคงไว้ห้ามมิให้เข้าไป
หงอคงจึงพูดว่า ไทเป๊กกิมแชนี้เห็นจะไปหลอกเรา แต่เดิมได้บอกแก่เราว่า เง็กเซียงมีหนังสือรับสั่งให้เชิญเราขึ้นมา เหตุไรเล่าจึงใช้ทหารถืออาวุธมากั้นกางห้ามมิให้เราเข้าไป หงอคงกำลังพูดอยู่ไม่ทันจะขาดคำลง ไทเป๊กกิมแชก็เหาะมาพอถึงเข้า หงอคงโกรธไทเป๊กกิมแชเป็นกำลัง จึงต่อว่าไทเป๊กกิมแชว่า ท่านบอกว่า เง็กเซียงฮ่องเต้ให้หา แล้วทำไมเล่าจึงให้พวกนี้ถืออาวุธมาคอยห้ามกั้นกางอยู่อย่างนี้
ไทเป๊กกิมแชจึงตอบว่า ท่านไต้เซียนอย่าเพ่อโกรธขึ้งข้าพเจ้าก่อน เพราะว่าตั้งแต่เดิมนั้นท่านยังไม่เคยขึ้นมา เพราะฉะนั้น ผู้เฝ้าประตูสวรรค์จึงยังไม่ปล่อยให้ท่านเข้าไป แม้ท่านได้รับตำแหน่งยศเข้าในหมู่เทวดาแล้ว ถึงจะไปจะมาก็ไม่มีใครขัดขวางได้เลย
หงอคงได้ฟังไทเป๊กกิมแชชี้แจงดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ข้าพเจ้าจะยังไม่เข้าไป จะคอยอยู่ที่นี่ ไทเป๊กกิมแชว่า ท่านต้องเข้าไปพร้อมกับข้าพเจ้าจึงจะควร ไทเป๊กกิมแชจึงเรียกผู้เฝ้าประตูให้เปิดรับแล้วบอกว่า ท่านผู้นี้เป็นไต้เซียนอยู่ในใต้หล้า เง็กเซียงฮ่องเต้มีลายพระราชหัตถ์ให้เราไปเชิญขึ้นมาเฝ้า ท่านอย่าสงสัยเลย ผู้เฝ้าประตูก็เปิดประตูยอมให้เข้าไป
ไทเป๊กกิมแชพาหงอคงค่อยเดินเข้าไป หงอคงเดินพลางพิศดูวิมานปราสาทราชมนเทียรของเง็กเซียงฮ่องเต้เรียงรายล้วนแล้วแต่ด้วยแก้วอันมีสีต่าง ๆ ประดับประดา มีแสงอันสว่างรุ่งเรืองงดงามหาที่เปรียบมิได้
ไทเป๊กกิมแชพาหงอคงเข้ามาถึงวิมานเหลงเซียวเต้ย แล้วให้รอคอยฟังรับสั่งเง็กเซียงฮ่องเต้ ไทเป๊กกิมแชก็เดินตรงเข้าไปยังหน้าพระที่นั่งถวายบังคม แต่หงอคงยืนนิ่งอยู่ส่วนหนึ่ง มิได้ถวายคำนับ คอยเงี่ยแต่หูฟังอยู่ว่าพระเป็นเจ้าจะตรัสประการใด
ไทเป๊กกิมแชจึงกราบทูลว่า ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพระพุทธเจ้าไปว่ากล่าวแก่หงอคงให้ขึ้นมารับราชการนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้ลงไปพูดจาชักชวนหงอคง บัดนี้ ได้พาตัวขึ้นมาเฝ้าพร้อมอยู่หน้าพระที่นั่งแล้ว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ
เง็กเซียงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นหงอคง หงอคงจึงย่อตัวลงแล้วก็ทูลว่า ตัวข้าพเจ้าเองชื่อ ซึงหงอคงไต้อ๋อง
ขณะนั้น หมู่เทพยดาทั้งหลายแลเซียนกำลังเฝ้าอยู่พร้อมกันได้ยินหงอคงกราบทูลดูเป็นอาการที่ถือตัวมีความกระด้างมาก ก็พากันหวาดหวั่นสะดุ้งใจ จึงพูดว่า ลิงไพรตัวนี้พูดจาจองหอง ไม่มีความเคารพคารวะอ่อนน้อมยำเกรงเลย จะต้องถึงความตายเป็นเที่ยงแท้แล้ว
ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้มีเทวบัญชาทรงโปรดอภัยว่า ท่านทั้งหลายอย่าถือเลย เพราะเขาอยู่ในมนุษยโลก ไม่รู้ขนบธรรมเนียมในเมืองสวรรค์ พึ่งจะได้สำเร็จใหม่ ๆ แม้จะมีความผิดพลั้งประการใด ๆ เรายกโทษให้ไม่ทรงถือ
หมู่เทพยดาแลเซียนทั้งหลายได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้โปรดอภัยดังนั้นจึงพากันน้อมกายถวายคำนับขอบพระคุณที่ทรงพระกรุณาเมตตาแก่สัตว์ทั่วหน้ากัน
หงอคงได้ยินรับสั่งดังนั้นก็คุกเข่าถวายคำนับโดยความเคารพ
เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งถามเทพยดาทั้งซ้ายแลขวาว่า ตำแหน่งหน้าที่ขาดแห่งใดบ้าง เราจะตั้งหงอคงขึ้นให้เป็นเกียรติยศ
ขณะนั้น ปุนเต๊กแชกุนได้ยินรับสั่งถามดังนั้น จึงคุกเข่าลงคำนับกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ในสวรรค์ขุนนางทุกตำแหน่งมิได้ขาดหน้าที่ ยังขาดอยู่ก็แต่นายกองคนเลี้ยงม้าเท่านั้น ควรจะตั้งให้หงอคงมีหน้าที่ในตำแหน่งนี้ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็ทรงตั้งให้หงอคงเป็นขุนนางตำแหน่งที่เป๊กเบ๊อุน หงอคงก็มีความยินดีถวายบังคมรับที่ตั้งเสร็จแล้ว เง็กเซียงฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ปักเต๊กแชกุนพาตัวหงอคงเป๊กเบ๊อุนไปยังที่โรงม้า จัดการมอบให้ดูแลรักษาการตามรับสั่ง
ครั้นหงอคงมาถึงแล้ว ก็ดูแลรักษาการ ตรวจดูสิ่งของเครื่องใช้สอยแลม้า ลงบัญชีไว้เรียบร้อย แล้วมอบให้สมุห์บัญชีเก็บรักษาไว้ตามเดิม ตั้งแต่หงอคงมารับหน้าที่ตำแหน่งเป๊กเบ๊อุน ก็ตั้งใจคอยระวังดูแลการงานทั้งกลางวันแลกลางคืน มิใคร่จะได้หลับนอน ม้าก็อ้วนพีบริบูรณ์ขึ้นทุก ๆ ตัว ตั้งแต่หงอคงเข้ามาจัดการในโรงม้าแลรักษาการก็เรียบร้อย คิดดูก็รู้สึกว่ากว่าครึ่งเดือนมาแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง ว่าธุรการสำราญใจ บรรดานายรองที่รับใช้สอยของหงอคงพร้อมมูลกันยกสุราเครื่องแกล้มมาเลี้ยงหงอคงเพื่อความสำราญแลหมายว่าพึ่งได้รับเกียรติยศที่ตั้งใหม่ ๆ หงอคงก็เข้านั่งรับประทานพร้อมกันตามความสบาย หงอคงจึงถามบรรดานายรองรองลงไปว่า อันที่เป๊กเบ๊อุนนี้จะเป็นขุนนางตำแหน่งยศอะไร นายรองทั้งหลายจึงบอกว่า เป๊กเบ๊อุนเป็นที่นายเลี้ยงม้า หามีตำแหน่งยศขุนนางไม่
หงอคงจึงพูดว่า ถ้าไม่มีตำแหน่งขุนนาง คงจะเป็นที่ใหญ่ นายรองตอบว่า ไม่ใหญ่ไม่โตอะไรดอก คือนามเรียกว่ายังไม่มีตำแหน่ง หงอคงจึงว่า เหตุใดจึงว่าไม่มีตำแหน่ง นายรองบอกว่า ไม่มีตำแหน่งนั้นคือเป็นที่เล็กที่สุด เป็นแต่ผู้คุมคนเลี้ยงม้าเท่านั้นเอง เป็นที่นี้ ถ้าหากว่าเลี้ยงม้าอ้วน ม้าไม่เจ็บไม่ไข้ ก็ได้ชื่อว่า เลี้ยงม้าดี ไม่มียศศักดิ์อะไร แม้ว่าเลี้ยงม้าผอมไผ่หรือมีโรค ก็จะได้รับซึ่งความอัปยศแล้วก็จะมีโทษด้วย
หงอคงได้ฟังนายรองทั้งหลายชี้แจงดังนั้นดุจไฟลุกขึ้นในหัวใจ ก็กัดฟันร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า มีความหมิ่นประมาทเราเหลือเกิน เราอยู่ที่เขาฮวยก๊วยซัวเป็นเจ้าเป็นนาย ไปเชิญเรามาย่ำยีให้เราเป็นคนเลี้ยงม้ามีความดูถูกเราอย่างนี้ เราไม่ทำราชการให้เสียเวลา เราจะกลับไปถิ่นที่เดิมของเรา หงอคงพูดดังนั้นแล้วจึงทุลแลถีบโต๊ะฉีกบัญชีเสียทั้งสิ้น แล้วฉวยกระบองเหล็กกายสิทธิ์ออกจากหู ร่ายพระเวทคาถากวัดแกว่งให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็ออกจากที่เลี้ยงม้าเดินตรงออกมาจากประตูสวรรค์นำทีหมึง หมู่เทวดาที่เฝ้าประตูเห็นเป๊กเบ๊อุนก็รู้ว่านายกองเลี้ยงม้า ก็หาได้พูดจาขัดขวางประการใดไม่ ปล่อยให้ออกประตูไป หงอคงเหาะมาประเดี๋ยวก็ถึงเขาฮวยก๊วยซัว แลเห็นนายวานรทั้งสี่แลพวกปิศาจยักษ์ทุกถ้ำมาประชุมพร้อมกันฝึกหัดเพลงอาวุธอยู่ หงอคงจึงเรียกด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งหลาย เรามาแล้ว
ขณะนั้น พวกบริวารวานรแลพวกปิศาจยักษ์ทั้งหลายก็กรูกันเข้ามาคำนับเชิญหงอคงเข้าถ้ำ หงอคงมาถึงก็ขึ้นนั่งบนแท่น แล้วบริวารทั้งหลายก็เข้ามานั่งเรียงรายกันตามหน้าที่ จึงพากันไต่ถามว่า ไต้อ๋องได้ขึ้นบนสวรรค์นั้นได้รับยศศักดิ์ประการใด ขึ้นไปอยู่ก็นานถึงสิบห้าปีมีสุขทุกข์ประการใดบ้าง
หงอคงจึงบอกว่า ได้ไปอยู่ประมาณสักสิบห้าวันเท่านั้น ทำไมท่านทั้งหลายว่าเราไปอยู่ได้ถึงสิบห้าปีเล่า บริวารว่า ในมนุษย์ปีหนึ่งเป็นวันเดียวในสวรรค์ ท่านไต้อ๋องได้รับตำแหน่งที่อันใด
หงอคงได้ยินบริวารถามซ้ำดังนั้นก็ยกมือขึ้นโบกบอกว่า อย่าถามเลย ไม่ควรพูด นึกขึ้นมาแล้วเราแค้นใจนัก อายเขาเหลือที่จะอาย ด้วยเง็กเซียงฮ่องเต้ไม่รู้จักใช้คน ตั้งให้เราเป็นอะไรก็ไม่รู้เรียกว่า เป๊กเบ๊อุน เป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ไม่มีตำแหน่งเกียรติยศอะไร เดิมเราก็หาทราบไม่ ครั้นมาวันหนึ่ง เราจึงรู้เหตุเพราะเราถามพวกที่อยู่ด้วยกันนั้น เขาบอกว่า เป็นที่ขุนนางอย่างต่ำที่สุด เราจึงมีความแค้นใจนัก จึงได้ทำลายสิ่งของเสียสิ้นแล้วเราจึงกลับมา ที่ถ้ำนี้ของเราก็มีความสุขสบายหาที่เปรียบมิได้ บรรดาถ้ำใหญ่น้อยใกล้ไกลก็ยอมมาสามิภักดิ์เข้าด้วยทั้งสิ้น ไปอยู่ทำไมในสวรรค์เป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ไม่สมเกียรติยศเลย ป่วยการเปล่า ๆ
พวกนายทหารทั้งสี่นายสั่งบริวารทั้งหลายให้จัดสุรามาให้หงอคงไต้อ๋องรับประทานกับเครื่องกินโอชารสต่าง ๆ ในขณะที่หงอคงนั่งรับประทานสุราอยู่นั้น บริวารวานรเข้ามาคำนับบอกว่า ข้างนอกมีต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องสองตนบอกว่า จะขอเข้ามาหาไต้อ๋อง หงอคงจึงให้วานรออกไปพาเข้ามาในถ้ำ ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเข้ามาถึงเห็นหงอคงนั่งอยู่ท่ามกลางบริวาร ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองก็คุกเข่าลงคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าทั้งสองได้ทราบว่า ไต้อ๋องมีน้ำใจโอบอ้อมอารีแก่ผู้น้อยซึ่งมาสามิภักดิ์อยู่ในความปกครอง กับได้ยินข่าวว่า ไต้อ๋องได้รับเกียรติยศในสวรรค์แลกลับลงมา ข้าพเจ้ามีเสื้อแพรเหลืองตัวหนึ่งนำมาคำนับท่านเป็นบรรณาการ แลข้าพเจ้าทั้งสองขอสามิภักดิ์อยู่ด้วยท่าน ตามแต่ไต้อ๋องจะใช้สอย
หงอคงได้ฟังต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องพูดดังนั้นก็พิศดู เห็นต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองหน้าตาดุร้าย มีเขาอยู่ที่ศีรษะคนละเขา ดูเขานั้นคล้ายแก่เขากระบือ หงอคงเห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงรับเอาเสื้อแพรสีเหลืองไว้ แล้วก็ตั้งให้ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องทั้งสองเป็นที่จงต๊กเซียนฮอง คือ แม่ทัพหน้า ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องรับที่แม่ทัพหน้าแล้วจึงคำนับถามว่า ไต้อ๋องได้รับยศตำแหน่งที่อะไรในสวรรค์
หงอคงตอบว่า เง็กเซียงฮ่องเต้มีความดูถูกเรามากนัก ตั้งให้เราเป็นที่เป๊กเบ๊อุน คือ นายกองเลี้ยงม้า
ต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องเซียนฮองจึงพูดว่า ไต้อ๋องมีฤทธิ์อานุภาพไม่มีผู้ใดจะต่อต้าน ธุระอะไรมาต้องยอมเป็นที่นายกองเลี้ยงม้า ข้าพเจ้าเห็นว่า ฤทธิ์เดชของไต้อ๋องสมควรจะเป็นซีเทียนไต้เซีย คือ เป็นใหญ่เสมอฟ้า จึงจะสมควร
หงอคงได้ฟังต๊อกกั่กกุ๊ยอ๋องก็มีความยินดี จึงตอบว่า ถ้าท่านเห็นสมควรแล้ว เราก็ยอมตามใจท่านทั้งหลาย พูดแล้วก็สั่งวานรผู้ใหญ่ให้ออกไปตั้งเสาธงชักธงยี่ห้อขึ้นให้เขียนอักษรสี่ตัว คือ ซีเทียนไต้เซีย ตั้งแต่นี้ต่อไปให้เรียกเราอย่างนี้ อย่าให้เรียกไต้อ๋องต่อไป แล้วประกาศให้รู้ทั่วกันทุก ๆ ถ้ำบรรดาที่อยู่ในความปกครอง นายทหารทั้งปวงก็ทำตามคำสั่งทุกประการ
ฝ่ายเง็กเซียงฮ่องเต้เสด็จออกทิพยบัลลงก์ เทพยดาเฝ้าพร้อมกัน เวลานั้น เตียวเทียนซือเทวบุตรพานายรองเลี้ยงม้าของเป๊กเบ๊อุนเข้ามาเฝ้าทูลว่า ขอพระเป็นเจ้าได้โปรด ด้วยเป๊กเบ๊อุนนั้นโกรธว่า ได้เป็นที่เล็กน้อย ไม่พอใจ เมื่อจะหนีกลับไป ได้ทุบต่อยแลฉีกบัญชี ในขณะเมื่อเตียวเทียนซือกราบทูลอยู่นั้น ท้าวจตุโลกบาลเจงเปียงทีอ๋องนำพวกวิษณุกรรมมาเฝ้าถวายบังคมกราบทูลว่า เป๊กเบ๊อุนไม่ทราบว่าอย่างไร เห็นออกไปจากประตูนำทีหมึงแล้ว
เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเทพบุตรทั้งหลายกราบทูลดังนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านทั้งสองจงกลับไปที่อยู่เถิด เราจะจัดเทพบุตรให้ลงไปจับตัวเป๊กเบ๊อุนให้จงได้ ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียผู้บุตรทั้งสองมากราบทูลว่า ข้าพระองค์ทั้งสองจะขอรับอาญาสิทธิ์ของพระองค์ลงไปปราบปรามปิศาจวานรให้ราบคาบ
ถักทะลีทีอ๋องนี้ คือ หลีเจง แลโลเฉียไทจือ ซึ่งแต่ก่อนมีชื่ออยู่ในห้องสิน พ่อลูกได้มาเป็นเทพบุตรอยู่ในดาวดึงส์
เมื่อเง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังเทพบุตรรับอาสาดังนั้น จึงรับสั่งให้ถักทะลีทีอ๋องเทพบุตรเป็นแม่ทัพ ให้จัดเทพบุตรเป็นหมวดเป็นกองลงไปยังเขาฮวยก๊วยซัว ถ้ำจุ๊ยเลียมจ๋อง จับตัวเป๊กเบ๊อุนมาให้จงได้
ถักทะลีทีอ๋องแลโลเฉียทั้งสองได้รับสั่งดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลาออกไปยังที่ประชุม จึงให้กือเล่งสินเทวดาเป็นเซียนฮองแม่ทัพหน้า ถักทะลีทีอ๋องจัดเสร็จแล้วพร้อมกันออกประตูนำทีหมึง รับขับพลเทวดาเหาะมายังเขาฮวยก๊วยซัว ครั้นถึงแล้วก็ตั้งค่ายมั่นลงในที่สมรภูมิชัย ถักทะลีทีอ๋องจึงสั่งให้กือเล่งสินเข้าไปท้าชวนรบ
กือเล่งสินได้ฟังแม่ทัพสั่งดังนั้นก็ลามาจัดแจงแต่งตัว มือถือขวานเป็นอาวุธออกมาจากค่าย ตรงมายังปากถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง กือเล่งสินแลไปเห็นพวกวานรแลพวกปิศาจยักษ์เป็นอันมาก ล้วนเพศพันธุ์รูปกายหน้าตาต่าง ๆ มือถืออาวุธฝึกหัดซ้อมกันอยู่ กือเล่งสินเห็นดังนั้นจึงร้องตวาดไปด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายพวกปิศาจทั้งหลายเหล่านี้ เอ็งจงรีบไปบอกเป๊กเบ๊อุนนายของเอ็งว่า เราคือทหารเอกซึ่งอยู่ในดาวดึงส์ รับสั่งพระเป็นเจ้าจอมโลกาเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมาปราบปรามพวกเอ็งให้ราบคาบ เอ็งเร่งไปบอกนายเอ็งให้มาอ่อนน้อมยอมสามิภักดิ์เสียโดยดี แม้ขัดขืนดื้อดึง พวกเอ็งจะถึงแก่ความตายทั้งสิ้น
ฝ่ายพวกวานรแลอสุระยักษ์ผีปิศาจทั้งหลายเมื่อได้ฟังถ้อยคำกือเล่งสินดังนั้น ก็เข้าไปในถ้ำบอกแก่ซีเทียนไต้เซียว่า บัดนี้ มีกองทัพยกมาแต่สวรรค์ ตัวแม่ทัพหน้ามาร้องท้าชวนรบบอกว่า เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของเง็กเซียงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ลงมากำจัดพวกวานรแลปิศาจอสุระยักษ์เสียให้สิ้น แล้วบอกแก่ข้าพเจ้าให้เข้ามาบอกแก่ไต้เซียนให้รีบออกไปยอมสามิภักดิ์เสียโดยเร็ว ถ้าขัดขืนจะทำลายถ้ำเสียให้ราบเป็นหน้ากลองไป
ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นจึงให้วานรเอาเครื่องแต่งตังมาแต่ง เสร็จแล้วมือก็ถือกระบอกเหล็กกายสิทธิ์ พาพวกบริวารเดินออกจากถ้ำ ทั้งสี่วานรนายทหารใหญ่ก็คุมพวกพลวานรแลปิศาจอสุรกายตั้งเป็นกระบวนทัพตามพิชัยสงคราม คอยระวังคิดจะต่อสู้อยู่โดยสามารถ
ฝ่ายกือเล่งสินแลเห็นจึงร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายชาติวานรชั่วร้าย เอ็งจำเราได้หรือไม่
ซีเทียนไต้เซียได้ยินดังนั้นจึงร้องตอบไปว่า เราหารู้จักว่าตัวเจ้าเป็นชาติอะไรไม่ เจ้าจงรีบบอกชื่อแลแซ่มาให้รู้จักไว้ก่อน
กือเล่งสินจึงตอบว่า ตัวเป็นชาติวานรจึงไม่รู้จักเรา เจ้าจำเราไม่ได้หรือ ตัวเราคือเทวดา เป็นเซียนฮองแม่ทัพหน้าของถักทะลีทีอ๋อง ถักทะลีทีอ๋องถือรับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ลงมาปราบปรามตัวเจ้า แม้ว่ารู้สึกตัวกลัวความตายแล้ว ให้รีบอ่อนน้อมแก่เราเสียโดยดี เราจะช่วยเบี่ยงบ่ายแก้ไขขอโทษที่เจ้าได้กระทำหยาบช้าแก่เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าขัดขืนดื้อดึงถือดีว่ามีกำลังฤทธิ์เดช ก็จะถึงแก่ความตายด้วยฝีมือเราเป็นเที่ยงแท้
ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นจึงร้องตอบไปว่า เจ้าอย่าอวดอ้างวางโตให้มากเกินไป จะถูกด้วยกระบองเหล็กสักที เดี๋ยวก็จะบี้แบนป่นเป็นจุณไป เพราะฉะนั้น เราจะไว้ชีวิตก่อน ให้เจ้ากลับไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า พระองค์หารู้จักใช้คนไม่ เรามีฤทธาศักดานุภาพดีทุกสิ่งทุกอย่าง อาจจะปราบภูตผีปิศาจแลยักษ์มารแลคนพาลชั่วร้ายในโลกได้ เหตุใดจึงตั้งให้เราเป็นนายกองเลี้ยงม้าโดยความดูถูกเราเหลือเกินนัก ตัวจงดูเสาที่เราปักธงขึ้นไว้นั้น ถ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งเราเป็นขุนนางตามอักษรสี่ตัวนี้แล้ว เราก็จะเลิกการรบพุ่งไม่ชิงชัย ถ้าไม่ตามใจเราอย่างนี้ เราก็จะตีกระหนาบขึ้นไปยังดาวดึงส์ให้ถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ย มิให้เง็กเซียงฮ่องเต้มีความสุขอยู่ได้
กือเล่งสินเทพบุตรได้ยินถ้อยคำของซีเทียนไต้เซียดังนั้น จึงเหลือบขึ้นไปดูบนเสาธง เห็นมีอักษรอยู่สี่ตัว คือ ซีเทียนไต้เซีย เห็นแล้วก็หัวเราะ พูดว่า อ้ายเดรัจฉานมิได้รู้จักหนักแลเบาว่าฟ้าต่ำดินสูง อยากจะเป็นซีเทียนไต้เซีย จงมาลองดูคมขวานของเราเสียก่อนว่าจะคมตัดคอเอ็งขาดได้หรือไม่ ว่าดังนั้นแล้ว กือเล่งสินขยับยกขวานฟันลงตรงศีรษะซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซียยกกระบองเหล็กกายสิทธิ์ขึ้นรับ ขวานก็สะท้อนมือกือเล่งสินแทบจะหลุด ง่ามมือกือเล่งสินฉีกโลหิตไหล กือเล่งสินทานกำลังซีเทียนไต้เซียมิได้ จวนจะหนีอยู่แล้ว
ซีเทียนไต้เซียยกกระบองขึ้นตี กือเล่งสินยกขวานขึ้นรับ ด้ามขวานหักออกไปเป็นสองท่อน กือเล่งสินกระโดดถอยหนีรีบกลับไปยังค่ายโดยเร็ว
ซีเทียนไต้เซียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายกระเป๋าหนังแขวนก้น กูไว้ชีวิตมึง ให้รีบกลับไปบอกนายมึงโดยเร็วเถิด
ฝ่ายกือเล่งสินหนีกลับเข้าค่ายได้แล้วก็มาคำนับบอกถักทะลีทีอ๋องแม่ทัพว่า เป๊กเบ๊อุนมีฤทธาศักดานุภาพมากนัก จะเอาชัยชนะเห็นจะไม่ได้ ขอท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่ง
ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธ แล้วพูดว่า ท่านไประกทพให้ข้าศึกศัตรูมันมีใจกำเริบ แลเสื่อมเสียเกียรติยศของเง็กเซียงฮ่องเต้ อ้ายลิงจะมีใจกำเริบดูถูกได้ จึงเรียกเพชฌฆาตให้เอาตัวกือเล่งสินไปประหารชีวิตเสีย
ฝ่ายโลเฉียจึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ซึ่งโทษของกือเล่งสินนั้น ข้าพเจ้าของดไว้ก่อน ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปลองฝีมือแก่ซีเทียนไต้เซียดูว่าจะเป็นประการใด
ถักทะลีทีอ๋องได้ฟังโลเฉียว่าดังนั้น จึงยกโทษกือเล่งสินให้แก่โลเฉีย กือเล่งสินพ้นโทษได้แล้วก็คำนับลาแม่ทัพกลับไปยังที่อยู่ โลเฉียก็จัดแจงแต่งตัวใส่เกราะเสร็จแล้ว มือถืออาวุธออกมาจากค่าย ตรงไปยังหน้าถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง เวลานั้น ซีเทียนไต้เซียจวนจะพาพลพวกวานรกลับอยู่แล้ว พอเห็นโลเฉียรีบมาโดยกำลังเร็ว ซีเทียนไต้เซียจึงร้องถามไปว่า ชายหนุ่มน้อยคนนี้อยู่ที่ตำบลใดจึงเดินมาที่ปากถ้ำของเราได้ ท่านจะมีกิจธุระอย่างไรหรือ
โลเฉียได้ยินหงอคงถามดังนั้นจึงตอบว่า อ้ายวานรเดรัจฉานชาติชั่ว มึงไม่รู้จักกูหรือ เราเป็นบุตรที่สามของถักทะลีทีอ๋องท้าวเทวราชผู้เป็นใหญ่ได้อาญาสิทธิ์จากเง็กเซียงฮ่องเต้ใช้ให้ลงมาจับตัวเจ้าเอง ยังไม่รู้สึกดอกหรือ
ซีเทียนไต้เซียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ตัวเจ้าเป็นเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ทำไมจึงสามารถบังอาจพูดจาโอหัง เราจะยกชีวิตไว้ให้กลับไปเพราะยังเป็นเด็กอยู่ เจ้าจงดูบนเสาธงเป็นยี่ห้ออะไร จงจำไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ตั้งเราตามยี่ห้อที่เราจารึกไว้ในธงนั้นเป็นขุนนางตำแหน่งนี้ เราจึงจะงดไม่รบพุ่งต่อสู้ แลจะยอมนอบน้อมต่อเง็กเซียงฮ่องเต้ ถ้าไม่ตั้งให้พอใจเรา เราก็ยกทัพขึ้นไปให้กระทั่งถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ยให้จงได้
โลเฉียได้ฟังดังนั้นจึงแลขึ้นไปดูบนเสาธง เห็นมีอักษรสี่ตัวว่า ซีเทียนไต้เซีย โลเฉียจึงพูดว่า เอ็งเป็นเดรัจฉานมาใช้ยี่ห้ออย่างนี้ มิได้รู้จักความตายความฉิบหายว่าจะมีมาถึงตัว เอ็งจงก้มคอมารับคมอาวุธเกี้ยมสักทีหนึ่งก่อน จะได้รู้สึกดีแลชั่ว
ซีเทียนไต้เซียก็มิได้มีความหวาดหวั่น จึงร้องบอกแก่โลเฉียว่า เจ้าอยากฟันก็จงเข้ามาฟันลองดูสักสองสามทีก็ได้ เพราเห็นว่าเจ้ายังเป็นเด็ก จึงจะยอมให้ลองฟันดูเล่นก่อน
โลเฉียได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดด้วยเสียงอันดังสำแดงเป็นสามเศียรหกมือกุมอาวุธหกอย่าง คือ เกี้ยมสำหรับฆ่าปิศาจยักษ์ หนึ่ง มีดหมอ หนึ่ง เชือกมัดยักษ์ หนึ่ง กระบองเหล็กใหญ่ หนึ่ง จักรไฟ หนึ่ง ตะกร้อ หนึ่ง คือ เหมือนลูกทุเรียน[ค] ครั้นจับอาวุธครบทั้งหกมือแล้วก็วิ่งเข้ามาจะตีซีเทียนไต้เซีย ซีเทียนไต้เซียเห็นดังนั้นจึงร้องด่าว่า อ้ายเด็กทารกแกล้งทำกิริยาอาการแปรปรวนไปต่าง ๆ เอ็งเข้าใจว่าของเอ็งดีที่สุดแล้วหรือ เรายังมีความรู้ดีวิเศษกว่าเจ้ามากนัก ว่าแล้วก็ตวาดด้วยเสียงอันดัง แปลงกายเป็นสามเศียรหกกรให้เหมือนกับโลเฉีย มีมือถือกระบองทั้งหกมือเข้ารบกับโลเฉียเป็นสามารถ
ขณะเมื่อโลเฉียกับซีเทียนไต้เซียเข้ารบกันนั้น พื้นพสุธาก็หวั่นไหว เขาไม้ห้วยธารก็สะเทือนไปทั้งสิ้น ต่างคนต่างมีฤทธาศักดานุภาพแคล่วคล่องว่องไว ขับเคี่ยวกันได้สามร้อยสามสิบเพลง โลเฉียสำแดงอาวุธหกอย่างให้เป็นพันเป็นหมื่นออกไปมากกว่ามาก ซีเทียนไต้เซียก็สำแดงกระบองออกเป็นพันเป็นหมื่นเหมือนกัน ยังหาทันแพ้ชนะกันไม่ ซีเทียนไต้เซียจึงถอนขนเพชรออกหนึ่งเส้นร่ายพระเวทเป็นรูปซีเทียนไต้เซียขึ้นอีกรูปหนึ่งถืออาวุธเหมือนกันยืนล่อรบประจัญบานกับโลเฉียอยู่ ตัวซีเทียนไต้เซียแอบเข้าข้างโลเฉียตีด้วยกระบองเหล็กกายสิทธิ์ โลเฉียหลบไม่ทัน ถูกที่ท้ายทอยเจ็บปวดยิ่งนัก ก็ล่าหนีกลับเข้าค่าย
ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องแลเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงออกปากพูดว่า หงอคงนี้มีฤทธาศักดานุภาพมากนัก เราจะทำอย่างไร จึงจะเอาชัยชนะมันได้
โลเฉียจึงบอกกับถักทะลีทีอ๋องว่า ที่ปากถ้ำนั้นมันตั้งเสาธงไว้เขียนอักษรสี่ตัวในธงว่า ซีเทียนไต้เซีย แลมันได้บอกข้าพเจ้าว่า ถ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ตั้งให้มันรับยี่ห้อสี่ตัวนั้นแล้ว ก็จะอ่อนน้อมยอมอยู่ในบังคับแลให้สงบการรบพุ่งจลาจล ถ้าไม่ตั้งให้แก่มันตามอักษรสี่ตัวนั้นแล้ว มันจะบุกบั่นรบพุ่งให้กระทั่งถึงปราสาทเหลงเซียวเต้ย
ถักทะลีทีอ๋องจึงพูดว่า ถ้าดังนั้น ไม่ต้องต่อสู้รบพุ่งอะไรกัน เรากลับขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ขอเอาพลเทพบุตรที่เข้มแข็งยกมาล้อมจับให้จงได้
ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียปรึกษากันตกลงแล้วก็รีบขับพลเหาะกลับขึ้นไปยังดาวดึงส์โดยเร็ว
ฝ่ายซีเทียนไต้เซียเมื่อมีชัยชนะแก่เทพยดาแล้ว ก็พาพวกบริวารกลับเข้าถ้ำที่อยู่ พวกปิศาจยักษ์ทั้งเจ็ดสิบสองถ้ำแลมิตรสหายทั้งหกก็มาพร้อมกันคำนับ แลเชยชมฝีมือ แลสรรเสริญต่าง ๆ ซีเทียนไต้เซียจึงให้จัดของเลี้ยงมาเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงสำราญ
ซีเทียนไต้เซียจึงพูดแก่มิตรสหายทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายยกเราขึ้นเป็นซีเทียนไต้เซียแล้ว ท่านทั้งหลายก็จะต้องเป็นไต้เซียเหมือนเรา
ขณะนั้น หงู้หม้ออ๋องได้ยินซีเทียนไต้เซียพูดดังนั้นจึงคำนับแล้วพูดว่า ท่านพูดดังนั้นก็สมควรอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะตั้งนามของข้าพเจ้าให้เรียกว่า เพงเทียนไต้เซีย เกาหม้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า หงอทัยไต้เซีย พังหม้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า หุ้นเทียนไต้เซีย ไซท้ออ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า อีซัวไต้เซีย มีเกาอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า ทงฮวงไต้เซีย โง่ซุดอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะตั้งนามว่า คูสินไต้เซีย ในเวลานั้น ไต้เซียทั้งเจ็ดตั้งตัวโดยลำพังตนเองแล้วก็เป็นที่สนุกสนานรื่นเริงสำราญใจ ครั้นเลี้ยงดูกันเสร็จแล้ว ไต้เซียทั้งหกก็คำนับลา ซีเทียนไต้เซียพากันกลับไปอยู่ตามภูมิลำเนาของตน ๆ
ฝ่ายถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียกลับมาถึงดาวดึงส์แล้วก็ตรงเข้าไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ จึงกราบทูลพระเป็นเจ้าว่า ข้าพเจ้ารับอาญาสิทธิ์ลงไปรบแก่หงอคง หงอคงมีฤทธานุภาพกล้าแข็งนัก เหลือสติกำลังที่จะต่อสู้เอาชัยชนะได้ ขอพระองค์ได้โปรดให้เทพบุตรเพิ่มเติมไปช่วยอีก ข้าพเจ้าจะยกลงไปแก้มือดูอีกสักครั้งหนึ่ง
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังถักทะลีทีอ๋องทูลดังนั้นจึงตรัสถามว่า ปิศาจวานรตัวเดียวเท่านั้น เป็นเหตุอย่างไรจึงต้องมาขอพลเพิ่มเติมอีก
โลเฉียจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ หงอคงวานรตัวนี้มีกระบองเหล็กกายสิทธิ์ตีกือล่งสินด้วยกำลังทีเดียวด้ามขวานเหล็กหักออกไปเป็นสองท่อนต้องหนีกลับเข้าค่าย ข้าพเจ้าออกรบต่อสู้ มันตีถูกท้ายทอยเจ็บปวดเหลือกำลังจะทนทานได้ ข้าพระองค์หนีมาโดยเร็วจึงได้รอดพ้นความตาย ขอพระองค์ได้ทรงทราบ โทษานุโทษแห่งข้าพเจ้าแล้วแต่จะโปรด
อีกประการหนึ่ง หงอคงมันมีฤทธาอานุภาพมิใช่น้อย ที่ปากถ้ำตั้งเสาธงเขียนอักษรยี่ห้อสี่ตัวว่า ซีเทียนไต้เซีย มันบอกว่า ถ้าแม้นพระองค์ไม่ยอมตั้งยี่ห้อให้มันเหมือนดังอักษรสี่ตัวแล้วตามประสงค์ มันจะตีบุกรุกขึ้นมาในดาวดึงส์ให้ถึงพระที่นั่งเหลงเซียวเต้ยให้จงได้
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัยเป็นอันมาก ตรัสว่า ทำไมมันจึงมีความสามารถถึงเพียงนี้ ถ้าดังนั้น ต้องจัดพลเทพบุตรที่เข้มแข็งเพิ่มเติมลงไปปราบมันเสียให้ราบคาบ จะได้สิ้นความยุคเข็ญให้จงได้
เมื่อกำลังเง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสอยู่นั้น ไทเป๊กกิมแชเทวดาองค์หนึ่งกราบทูลขึ้นว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ปิศาจวานรตัวนี้อยากมียศถาบรรดาศักดิ์โดยความหลง เพราะกำเริบฤทธา แลเชี่ยวชาญด้วยวิทยาอาคมขลัง ซึ่งพระองค์จะเกณฑ์พลเทพบุตรลงไปรบพุ่งแก่มันในคราวเดียวให้ได้ชัยชนะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า จะไม่สำเร็จ กลับจะพาให้เป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศแลอำนาจไปเสียอีก ขอให้พระองค์ทรงตั้งอยู่ในความกรุณา มีพระราชหัตถเลขาไปเกลี้ยกล่อมตั้งให้มันมียศตามความประสงค์แห่งมัน เป็นซีเทียนไต้เซียตำแหน่งเปล่า ๆ กระนั้น มิได้บังคับบัญชาสิ่งใด ก็จะไม่ร้อนใจแห่งเทพยเจ้าทั้งหลาย
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังไทเป๊กกิมแชทูลดังนั้นจึงย้อนตรัสถามว่า อย่างไรจึงเรียกว่า มีที่ตั้ง แต่ไม่มีการทำ
ไทเป๊กกิมแชจึงกราบทูลว่า เป็นซีเทียนไต้เซีย แต่ไม่มีหน้าที่ว่าการแลไม่มีที่ได้ที่เสียอะไรสักอย่างเดียว ขอพระองค์ได้ทรงทราบ กักตัวเอาไว้บนสวรรค์ให้กลับใจดีได้ อย่าให้เป็นพาลมิจฉาทิฐิต่อไป ฟ้าแลดินก็จะเป็นปรกติ
เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้นก็ทรงเห็นด้วย จึงตรัสว่า ถ้าดังนั้นก็ตามที่ท่านว่านี้สมควรแล้ว จึงรับสั่งแก่บุนเต๊กแชกุนให้แต่งพระอักษรมอบให้ไทเป๊กกิมแชลงไปเกลี้ยกล่อมในวันนี้
ฝ่ายบุนเต๊กแชกุนก็แต่งพระอักษร เสร็จแล้วนำมาถวายเง็กเซียงฮ่องเต้ เง็กเซียงฮ่องเต้ก็พระราชทานให้แก่ไทเป๊กกิมแช ไทเป๊กกิมแชก็ถวายบังคมลาออกจากประตูนำทีหมึง แล้วก็สำแดงฤทธิ์เหาะตรงลงมายังเขาฮวยก๊วยซัว ครั้นถึง ไทเป๊กกิมแชก็เดินมายังประตูถ้ำจุ๊ยเลียมต๋อง พิศดูไปก็เห็นผิดตากว่าแต่ก่อน บัดนี้ มีค่ายคูประตูหอรบ แลพลทหารก็เข้มแข็งรักษาหน้าที่ประจำอยู่พร้อมเพรียง ทั้งเครื่องศัสตราวุธก็เรียบเรียงไว้เรียบร้อยเหมือนจะคอยสู้รบ ปิศาจ ยักษ์ แลฝูงลิงก็มีเป็นอันมาก ฝึกหัดเพลงอาวุธแลโลดเต้นคะนองเหี้ยมฮึก ไทเป๊กกิมแชเดินมาถึงถ้ำจุ๊ยเลียมต๋องเข้าทันที พวกพลวานรทั้งหลายเหล่านั้นเห็นไทเป๊กกิมแชมาก็กรูกันมาจะทำอันตราย ไทเป๊กกิมแชจึงร้องบอกว่า พวกเจ้าอย่าวุ่นวาย พวกเจ้ารีบไปบอกนายเจ้าว่า เราถือรับสั่งเชิญลายพระหัตถ์ของเง็กเซียงฮ่องเต้เป็นราชทูตลงมาเชิญนายท่านขึ้นไปเฝ้าบนสวรรค์ เป็นการดีแก่นายเจ้า
พวกวานรทั้งหลายได้ฟังไทเป๊กกิมแชบอกดังนั้น ก็พากันรีบเข้าไปแจ้งความแก่ซีเทียนไต้เซียตามถ้อยคำของเทวดาที่มาบอกเล่า
ซีเทียนไต้เซียได้ฟังพวกวานรเข้ามาบอกเล่าดังนั้น จึงพูดว่า คราวนี้เห็นจะมาดี เราเห็นว่า ครั้งก่อนนั้น ไทเป๊กกิมแชลงมาเชิญเราไปตั้งเป็นขุนนางในตำแหน่งที่ไม่สมควร เราจึงหนีกลับลงมาเสียเป็นครั้งที่หนึ่ง ครั้งนี้ ไทเป๊กกิมแชลงมาอีก คงจะมีความดีเป็นแน่ ว่าแล้วจึงสั่งให้วานรทั้งหลายถือธง ตีกลอง ตั้งแถวยืนเป็นลำดับออกไป แล้วซีเทียนไต้เซียตกแต่งกาย คลุมหมวก สวมเสื้อ สอดเกราะ เสร็จแล้วก็พร้อมด้วยฝูงวานรห้อมล้อมออกไปรับไทเป๊กกิมแช ครั้นถึงปากถ้ำเห็นไทเป๊กกิมแช ซีเทียนไต้เซียก็ย่อกายลงคำนับแล้วจึงพูดว่า ท่านผู้เฒ่าไทเป๊กกิมแช ข้าพเจ้าขอเชิญท่านไปในถ้ำเถิด แล้วต่างคนก็ต่างทำคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วพากันเข้าในถ้ำ เชิญให้ไทเป๊กกิมแชนั่งที่อันสมควร
ไทเป๊กกิมแชจึงพูดว่า ครั้งก่อน ไต้เซียมีความน้อยใจว่า ที่ขุนนางเล็กน้อยไม่สมเกียรติยศ การอันนี้ย่อมเป็นธรรมเนียมอยู่ ท่านไม่เข้าใจหรือ อันวิสัยแลธรรมดาข้าราชการก็ต้องรับตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้น้อยไปก่อน เมื่อมีความชอบความดีก็ค่อยเลื่อนยศขึ้นไปทุกที ไม่ควรไต้เซียจะโทมนัสน้อยใจ วันก่อน ถักทะลีทีอ๋องกับโลเฉียรับอาสามารบแก่ท่าน แล้วกลับขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า ท่านตั้งเสาธงใช้ยี่ห้อว่า ซีเทียนไต้เซีย บรรดาขุนนางเทพบุตรในดาวดึงส์ฝ่ายทหารขออาสายกพลโยธาเทพบุตรลงมารบแก่ท่านอีก แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย จึงได้กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ทัดทานขัดขวางแลขอโทษท่าน แลได้กราบทูลชี้แจงว่า ซึ่งจะยกพลทหารลงมาต่อสู้ชิงชัยแก่ท่าน คงเป็นความยกความลำบากเดือดร้อนทั่วไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าทูลขอให้ตั้งท่านเป็นขุนนางตามความประสงค์ของท่าน การรบพุ่งก็จะสงบเรียบร้อยไม่ร้อนรนแก่เทพยดาแลมนุษย์ต่อไป เง็กเซียงฮ่องเต้ทรงเห็นชอบด้วย จึงรับสั่งตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นเทวราชทูตลงมาพูดจาชี้แจงแก่ท่าน ถ้าท่านเห็นชอบด้วยมีความยินดีสวามิภักดิ์ต่อพระเป็นเจ้าแล้ว ขอเชิญท่านขึ้นไปเฝ้าพร้อมกับข้าพเจ้าทีเดียว
ซีเทียนไต้เซียได้ฟังไทเป๊กกิมแชชี้แจงดังนั้นก็มีความยินดีแล้วหัวเราะว่า ครั้งก่อนก็มีความลำบากแก่ท่านหนหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็มีความลำบากแก่ท่านอีก ข้าพเจ้าขอบพระคุณท่านเป็นที่สุด แต่ไม่ทราบว่า บนสวรรค์นั้นจะมีตำแหน่งขุนนางไต้เซียหรือไม่มีประการใด
ไทเป๊กกิมแชจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้กราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้แล้ว จึงได้อาสาลงมาเชิญท่านไต้เซียขึ้นไปรับที่ตั้ง ท่านอย่าได้มีความสงสัยเลย
ซีเทียนไต้เซียได้ฟังไทเป๊กกิมแชดังนั้นมีความยินดีเป็นที่สุด จึงสั่งเสียกิจการทั้งปวงแก่วานรนายทหารแลพลเรือนให้รักษาถ้ำที่อยู่แลควบคุมแลบังคับบัญชากันอยู่ตามเคย แล้วก็ชวนไทเป๊กกิมแชออกมาจากถ้ำ ต่างสำรวมจิตร่ายพระเวทคาถาขึ้นเหยียบเมฆเหาะลอยขึ้นไปยังประตูสวรรค์นำทีหมึง ก็แลเห็นนายทหาร แลเทพบุตร แลพระวิษณุกรรม พากันยกมือขึ้นคำนับพร้อมกัน ไทเป๊กกิมแชนำซีเทียนไต้เซียเข้าในปราสาทเหลงเซียวเต้ยตรงเข้าไปหน้าพระที่นั่ง ไทเป๊กกิมแชจึงถวายบังคมกราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ซึ่งมีเทวบัญชารับสั่งใช้ให้ข้าพเจ้าลงไปเชิญ หงอคงเป๊กเบ๊อุนก็ขึ้นมาแล้ว แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
เง็กเซียนฮ่องเต้จึงมีเทวโองการแก่หงอคงว่า ตั้งแต่นี้ไป เราตั้งให้เป็นซีเทียนไต้เซีย ตำแหน่งสูงที่สุด ถ้าได้รับที่ตั้งเป็นขุนนางแล้ว อย่าได้ประพฤติการอันมิควร จงประพฤติแต่การที่ควรอันจะเป็นประโยชน์แก่โลกทั้งหลาย ตรัสแล้วก็ทรงเซ็นลายพระหัตถ์ให้แก่หงอคง
ฝ่ายหงอคงเมื่อได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางแล้ว แลได้ฟังเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงกำชับสั่งสอนทั้งนั้น จึงถวายบังคมกราบทูลขอบพระคุณ แล้วก็ถอยออกมายืนเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง
เง็กเซียนฮ่องเต้รับสั่งให้เทพบุตรจัดทำเป็นหอขึ้นที่ริมมุมต้นชมพู่ข้างด้านเหนือ ปลูกเป็นสูงหอ ข้างซ้ายเป็นที่อยู่ระงับใจ ข้างขวาเป็นที่รักษาอารมณ์ สั่งให้เทพบุตรเซียนถองอยู่คอยรับใช้สอยทั้งสองแห่ง แล้วรับสั่งให้เง้าเต๊กแชกุนนำซีเทียนไต้เซียไปยังที่อยู่ แลประทานสุราที่เซียนเคยบริโภคสองคนโทกับดอกไม้ทองคำสิบกิ่งได้เป็นที่ระงับจิตเพื่อมิให้ทำความชั่วต่อไป
ซีเทียนไต้เซียได้รับของประทานแล้วก็ถวายบังคมลาออกมาพร้อมด้วยเง้าเต๊กแชกุนไปยังที่อยู่ ครั้นถึงแล้ว ซีเทียนให้จัดโต๊ะเปิดสุราซึ่งพระเป็นเจ้าพระราชทานมานั้นเชิญกันรับประทาน แล้วเง้าเต๊กแชกุนก็คำนับลากลับไปที่อยู่ของตน ซีเทียนไต้เซียก็เข้าในหอพักสำราญอารมณ์ มีความปราโมทย์บันเทิงใจเป็นที่ยิ่ง อยู่ในสวรรค์ทุกเช้าเย็นนิรันดร์ไม่มีที่ขัดขวาง แต่หารู้ว่า ตนเป็นขุนนางตำแหน่งไหนไม่ มีแต่ชื่ออยู่เท่านั้น