ไตรภูมิพระร่วง/บานแพนก

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)



บานแพนก


_______________


หนังสือไตรภูมิฉบับนี้ว่าเป็นของพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยสุโขทัย ผู้ทรงพระนามว่า พระยาลิไท ได้แต่งขึ้นไว้เมื่อปีระกา ศักราชได้ ๒๓ ปี ต้นฉบับหอพระสมุดวชิรญาณได้มาจากเมืองเพชรบุรีเป็นหนังสือสิบผูก บอกไว้ข้างท้ายว่า พระมหาช่วย วัดปากน้ำ ชื่อวัดกลาง (คือ วัดกลาง เมืองสมุทรปราการ เดี๋ยวนี้) จารขึ้นไว้ในรัชกาลเจ้าเมืองกรุงธนบุรีเมื่อ ณ เดือนสี่ ปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๔๐

เมื่ออ่านตรวจดู เห็นได้ว่า หนังสือเรื่องนี้เป็นหนังสือเก่ามาก มีศัพท์เก่า ๆ ที่ไม่เข้าใจ และที่เป็นศัพท์อันเคยพบแต่ในศิลาจารึกครั้งสุโขทัยหลายศัพท์ น่าเชื่อว่า หนังสือไตรภูมินี้ฉบับเดิมจะได้แต่งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยจริง แต่คัดลอกสืบกันมาหลายชั้นหลายต่อจนวิปลาสคลาดเคลื่อน หรือบางทีจะได้มีผู้ดัดแปลงสำนวนและแทรกเติมข้อความเข้าเมื่อครั้งกรุงเก่าบ้าง ก็อาจจะเป็นได้ ถึงกระนั้น โวหารหนังสือเรื่องนี้ยังเห็นได้ว่าเก่ากว่าหนังสือเรื่องใด ๆ ในภาษาไทย นอกจากศิลาจารึกที่ได้เคยพบมา จึงนับว่าเป็นหนังสือเรื่องดีด้วยอายุประการหนึ่ง

ว่าถึงผู้แต่งหนังสือไตรภูมินี้ พระเจ้าแผ่นดินสยามที่ได้ครอบครองราชสมบัติครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ตามที่สอบในศิลาจารึก ประกอบกับหนังสืออื่น ๆ ได้ความว่า มีหกพระองค์ คือ

๑.   ขุนอินทราทิตย์ หนังสือตำนานพระสิหิงค์เรียกว่า พระเจ้าไสยณรงค์ หนังสือชินกาลมาลินี[1] เรียกว่า โรจนราชา เสวยราชย์เมื่อใด อยู่ในราชสมบัติเท่าใด ไม่ปรากฏ

๒.   ขุนบาลเมือง หนังสืออื่นเรียก ปาลราช เป็นราชบุตรของขุนอินทราทิตย์ ศักราชไม่ปรากฏเหมือนกัน

๓.   ขุนรามคำแหง หนังสืออื่นเรียก รามราช เป็นราชบุตรขุนอินทราทิตย์ เสวยราชย์เมื่อไรไม่ปรากฏ แต่เมื่อจุลศักราช ๖๕๔ ขุนรามคำแหงครองราชย์สมบัติอยู่

๔.   พระยาเลลิไท หรือ เลือไท หนังสืออื่นเรียก อุทโกสิตราชบ้าง อุทกชฺโฌตฺถตราช บ้าง ความหมายว่า พระยาจมน้ำ เห็นจะเป็นพระร่วงองค์ที่ว่าจมน้ำหายไปในแก่งหลวง เป็นราชบุตรขุนรามคำแหง ศักราชเท่าใดไม่ปรากฏ

๕.   พระยาลิไท หรือ ฤไทยราช หรือ ฤๅไทยไชยเชฐ พระนามเต็มที่ถวายเมื่อราชาภิเษกว่า ศรีสุริยพระมหาธรรมราชาธิราช ซึ่งแต่งหนังสือไตรภูมินี้ เป็นราชบุตรพระยาเลลิไท หนังสืออื่นเรียก ลิไทยราช เมื่อจุลศักราช ๖๗๙ เสวยราชย์อยู่ สิ้นพระชมน์เมื่อจุลศักราช ๗๐๙

๖.   พระเจ้าศรีสุริยพงษ์รามมาธรรมิกราชาธิราช นอกจากศิลาจารึก หนังสืออื่นไม่ได้กล่าวถึง เป็นราชบุตรพระยาลิไท เสวยราชย์เมื่อจุลศักราช ๗๐๙ อยู่จนเสียพระนครแก่สมเด็จพระบรมราชาธิราชกรุงศรีอยุธยาเมื่อจุลศักราช ๗๓๐

บรรดาพระเจ้ากรุงสุโขทัย ดูเหมือนจะปรากฏพระนามในนานาประเทศ แลข้าขัณฑสีมาเรียกว่า สมเด็จพระร่วงเจ้า ต่อ ๆ กันมาทุกพระองค์ ไม่เรียกแต่เฉพาะพระองค์หนึ่งพระองค์ใดใน ๖ พระองค์นี้ และมูลเหตุไม่น่าเชื่อว่าเกี่ยวแก่เรื่องนายร่วง นายคงเครา อะไรอย่างที่เพ้อในหนังสือพงศาวดารเหนือซึ่งคนภายหลังอธิบายเมื่อยังอ่านอักษรจารึกศิลาไม่ออก เพราะฉะนั้น เมื่อพิมพ์หนังสือนี้ จึงให้เรียกว่า ไตรภูมิพระร่วง จะได้เป็นคู่กับหนังสือ สุภาษิตพระร่วง ซึ่งคนภายหลังได้แต่งเป็นสำนวนใหม่เสียแล้ว

ในศิลาจารึกปรากฏว่า พระญาลิไทยอยู่ในราชสมบัติกว่าสามสิบปี และทรงเลื่อมใสในพระศาสนามาก อาจจะให้แต่งหนังสือเช่นเรื่องไตรภูมินี้ได้ด้วยประการทั้งปวง แต่ศักราชที่ลงไว้ในหนังสือว่า แต่งเมื่อปีระกา ศักราชได้ ๒๓ ปีนั้น จุลศักราช ๒๓ เป็นปีระกาจริง แต่เวลาช้านานก่อนรัชกาลพระยาลิไทมากนัก จะเป็นจุลศักราชไม่ได้ เดิมเข้าใจว่าจะเป็นพุทธศักราชหรือมหาศักราช แต่ถ้าหากผู้คัดลอกทีหลังจะตกตัวเลขหน้าหรือเลขหลังไปสองตัว ลองเติมลองสอบดูหลายสถาน ก็ไม่สามารถจะหันเข้าให้ตรง หรือแม้แต่เพียงจะให้ใกล้กับศักราชรัชกาลชองพระยาลิไทตามที่รู้ชัดแล้วในศิลาจารึกได้ ศักราช ๒๓ นี้จะเป็นศักราชอะไร ต้องทิ้งไว้ให้ท่านผู้อ่านสอบหาความจริงต่อไป

เรื่องไตรภูมิเป็นเรื่องที่นับถือกันแพร่หลายมาแต่โบราณ ถึงคิดขึ้นเป็นรูปภาพเขียนไว้ตามฝาผนังวัด และเขียนจำลองลงไว้ในสมุด มีมาแต่ครั้งกรุงเก่า ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ แต่ที่เป็นเรื่องหนังสือในครั้งกรุงเก่า จะมีฉบับอื่นนอกออกไปจากไตรภูมิพระร่วงฉบับนี้หรือไม่มี ไม่ทราบแน่ ด้วยยังไม่ได้พบหนังสือไตรภูมิครั้งกรุงเก่านอกจากที่เขียนเป็นรูปภาพไว้ในสมุด แต่ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เมื่อปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๔๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้พระราชาคณะและราชบัณฑิตช่วยกันแต่งหนังสือไตรภูมิขึ้นจบหนึ่ง ต่อมาอีกสิบเก้าปี เมื่อปีจอ จุลศักราช ๑๑๖๔ ทรงพระราชดำริว่า หนังสือไตรภูมิที่ได้แต่งไว้แล้วคารมไม่เสมอกัน ทรงพระกรุณาโปรดให้พระยาธรรมปรีชาแต่งใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ในบานแพนกพระราชดำริเรื่องแต่งหนังสือไตรภูมิทั้งสองฉบับนั้น ไม่ได้กล่าวให้ปรากฏว่ามีหนังสือไตรภูมิของพระยาลิไทเลย แม้เพียงแต่จะว่าไตรภูมิของเก่าเลอะเทอะวิปลาสจึงให้แต่งใหม่ก็ไม่มี ไตรภูมิฉบับซึ่งหอพระสมุดได้มาจากเมืองเพชรบุรีนี้ ก็เป็นหนังสือจารแต่ครั้งกรุงธนบุรี เห็นจะซุกซ่อนอยู่แห่งใดที่เมืองเพชรบุรี ในเวลานั้นไม่ปรากฏในกรุงเทพฯ จึงมิได้กล่าวถึงในบานแพนก โดยเข้าใจกันในครั้งนั้นว่า หนังสือไตรภูมิของเดิมจะเป็นฉบับพระยาลิไทนี้ก็ตาม หรือฉบับอื่นครั้งกรุงเก่าก็ตาม สาบสูญไปเสียแต่เมื่อครั้งเสียกรุงเก่า จึงโปรดให้แต่งขึ้นใหม่ อย่างไรก็ดี หนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้เป็นหนังสือเก่าซึ่งมีต้นฉบับแต่ในหอพระสมุดวชิรญาณจบหนึ่ง กับมีผู้ได้จำลองไว้ที่เมืองเพชรบุรีอีกจบหนึ่ง สมควรจะพิมพ์ขึ้นจนไว้ให้แพร่หลายมั่นคงอย่าให้สาบสูญไปเสีย กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณคิดเห็นดังนี้ เมื่อเจ้าภาพในงานพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประสานศรีใส พระองค์เจ้าประเพศรีสอาด มีความประสงค์จะพิมพ์หนังสือแจกในงานพระเมรุพระเจ้าบรมวงศ์เธอทั้งสองพระองค์นั้น มาขอความแนะนำ กรรมการจึงได้เลือกเรื่องไตรภูมิพระร่วงให้พิมพ์ ด้วยเห็นความสมควรมีอยู่เป็นหลายประการ คือ

เป็นหนังสือเก่า ยังไม่มีใครจะได้เคยพบเห็น ประการหนึ่ง

เป็นหนังสือหายาก ถ้าไม่พิมพ์ขึ้นไว้ จะสูญเสีย ประการหนึ่ง

เป็นหนังสือชนิดที่ไม่มีใครจะพิมพ์ขาย เพราะจะไม่มีใครซื้อ ควรพิมพ์ได้แต่ในการกุศล ประการหนึ่ง

ถ้าท่านผู้ใดอ่านหนังสือนี้เกิดความเบื่อหน่าย ขอจงได้คิดเห็นแก่ประโยชน์ที่ได้พรรณนามาแล้ว และอนุโมทนาเฉพาะต่อที่ความเจตนาจะรักษาสมบัติของภาษาไทยมิให้สาบสูญเสียนั้นเป็นข้อสำคัญ

หนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้ ต้นฉบับเดิมเป็นอักษรขอม และมีวิปลาสมากดังกล่าวมาแล้ว ในการคัดเป็นหนังสือไทย นอกจากตัวอักษรแล้ว ไม่ได้แก้ไขถ้อยคำแห่งหนึ่งแห่งใดให้ผิดจากฉบับเดิมเลย แม้คาถานมัสการเอง ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทย จะต้องแก้ไขของเดิมบ้าง จึงมิได้ให้แปล ทิ้งไว้ทั้งรู้ว่าบางแห่งผู้ลอกคัดเขียนผิดต่อ ๆ กันมาแต่ก่อน ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาดูตามอัตโนมัติแห่งตน ๆ เทอญฯ




หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑ พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก ๑๓๑



เชิงอรรถ[แก้ไข]

  1. กรมศิลปากรได้มอบให้ ศาสตราจารย์ ร้อยตำรวจโทแสง มนวิทูร เปรียญ แปลใหม่ ให้ชื่อว่า “ชินกาลมาลีปกรณ์” — [เชิงอรรถของ กรมศิลปากร].




งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก