นิทานอีสป/นิทานที่ 35
ยังมียายแก่คนหนึ่งเป็นโรคตามัว จะมองดูอะไรไม่ใคร่เห็น จึงวานเด็กให้จูงไปหาหมอยาตาที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อพบหมอ แกจึงพูดแก่หมอว่า "ท่านหมอ ตาอีฉันมืดไป ถ้าท่านช่วยรักษาให้เห็นได้ดังเก่า อีฉันจะให้เงินค่ารักษาแก่ท่านให้พอแก่ใจ" หมอตรวจดูนัยน์ตาเห็นว่า พอจะรักษาให้หายได้ ก็ยอมรับรักษา ครั้นวันรุ่งขึ้น หมอเอายามาที่บ้านยายแก่ เห็นยายแก่มีทรัพย์สิ่งของมาก จึงนึกในใจว่า ถ้ายายแก่มืดอยู่อย่างนี้ เราจะหยิบฉวยอะไรไป ก็จะแลไม่เห็น เราอย่ารักษาให้แก่หายเร็วเลย หยิบเอาของของแก่เสียให้หมดก่อนเถิด เมื่อของหมดแล้ว เราจึงจะรักษาให้หาย แต่วันนั้นเป็นต้นมา หมอก็เอายาที่ไม่ถูกกับโรคมาหยอดให้ยายแก่ทุกเวลาเช้าเวลาเย็น แต่เมื่อขาจะกลับไป ก็ฉวยเอาของของยายแก่ เป็นต้นว่า ขันน้ำ พานรอง ขวดโหล หีบ ถาด ถ้วย ชาม และเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ติดมือไปด้วยวันละสิ่งสองสิ่งจดหมด ครั้นเมื่อของหมดแล้ว ตาหมอจึงเอายาขนานที่ถูกกับโรคหยอดตายายแก่ ไม่ช้ายายแก่ก็หาย แลเห็นได้เป็นปรกติ แล้วหมอจึงทวงเงินที่ยายแก่บนไว้ ยายแก่รู้ว่า หมอลักเอาของไปหมดแล้ว ก็ไม่ยอมให้ค่ารักษา จึงเกิดโต้เถียงกันขึ้น จนถึงแก่ไปฟ้องร้องกันยังโรงศาล เมื่อตุลาการซักถาม ยายแก่ให้การว่า "เมื่อครั้งตาอีฉันยังดี ๆ อยู่ ทรัพย์สิ่งของของอีฉันมีมาก อีฉันแลเห็นของในบ้านเรือนได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้นเมื่อตามืดมัวลง แลไม่เห็นอะไร จึงได้ไปหาหมอคนนี้มารักษา และหมอยังรักษาอีฉันไม่หายเหมือนแต่ก่อน ตาอีฉันยังไม่แลเห็นทรัพย์สิ่งของในบ้านเรือนเหมือนดังแต่ก่อน หมอจะมาเรียกเอาค่ารักษาตาของอีฉันตามสัญญาอย่างไรได้"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การรู้มากและเห็นแต่แก่เล็กแก่น้อย ย่อมตัดประโยชน์ที่ตนยังจะได้ต่อไปภายหน้าอีกเป็นอันมาก