ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 10/ราชวงษปกรณ์/ภาคที่ 2









๏ ตัรายมานุปุพ์พิกถา จักจาลำดับมาแต่ต้น นักปราชญ์ผู้มีปัญญาเพิงรู้ในราชวงษาดังผู้ข้า จักกล่าวแต่โบราณสันตานุสันตติมาดัง นี้เทือะ หิ ด้วยมีแท้แล เดิมต้นในเมื่อแต่เช่นพระยาภูคาเสวยราชสมบัติในเมืองย่างที่นั้น ยังมีพรานป่าผู้ ๑ อยู่ในเมืองย่างที่นั้นมันก็มีปักกติมักใคร่ไปแอ่วเดินหาเนื้อ มันก็ไปด้วยห้วยดอยทั้งหลายแท้หั้นแล พรานผู้นั้นก็บ่ปะยังเนื้อ ครั้นมาเถิงตีนดอยภูคาแล้วก็หันยังรอยเนื้อหั้นแล แล้วมันก็ไต่ตามรอยเนื้อขึ้นเมือดอยภูคาบนโป้นก็เปนอันสูงนัก พรานผู้นั้นก็บ่ได้ยังเนื้อ มันก็สอดเสาะไปในตำบลที่นั้น มันก็เล็งแลไปมา ก็หันยังไม้ต้น ๑ มีร่มเงากว้างขวางดีงามนัก เมื่อนั้นพรานผู้นั้น มันก็ เข้าไปยั้งอยู่ร่มไม้ต้นนั้นแล้ว มันก็เล็งไปมาก็หันไข่ ๒ ลูก อยู่ที่ใกล้พื้นเค้าไม้ต้นนั้น ไข่ ๒ ลูกนั้นใหญ่ประมาณเท่าหมากป๊าว พรานป่าผู้นั้นได้ไข่ ๒ ลูกแล้ว ก็นำมาถวายพระยาภูคาหั้นแล ฯ
๏ เมื่อนั้นพระยาภูคาครั้นได้เห็นแล้ว ก็มีความยินดีควรอัศจรรย์มากนักหั้นแล พระยาภูคาก็รักษาไว้ให้ดี คือหน่วย ๑ เอา ใส่กวยงิ้วไว้ หน่วย ๑ ใส่กวยฝ้ายไว้หั้นแล พระยาก็รักษาผ่อคอยดีนัก ครั้นอยู่มาบ่นานเท่าใด ไข่หน่วยใส่กวยงิ้วนั้นก็เกิด แตกออกก่อน ก็เปนบุรุษผู้ชายทรงรูปโสมโนมพรรณวรรณะอันงามนัก พระยาก็รักเสมอดังลูกตนนั้นแล ครั้นมาบ่นานเท่าใด ไข่หน่วยใส่กวยฝ้ายนั้น ก็เกิดแตกออกมาเปนบุรุษผู้ชายถ้วน ๒ ทรงรูปโสม โนมพรรณวรรณะอันงามเสมอกันทั้ง ๒ คนหั้นแล พระยาภูคาก็เลี้ยงไว้เอาเปนลูกท่านแล พระยาก็รัก ๒ เจ้าพี่น้องเสมอดังลูก อันเกิดมาแต่อกตนนั้นแล เถิงเมื่อเจ้าพี่น้องนั้นใหญ่ขึ้นมาแล้ว พระยาภูคาตนพ่อก็เบิกบายใส่ชื่อผู้พี่อ้ายเกิดกวยงิ้วนั้นว่า เจ้า ขุนนุ่นว่าอันหั้นแล แล้วก็เบิกบายใส่ชื่อเจ้าตนน้องนั้นว่า เจ้าขุนฟองหั้นแล ฯ
๏ ครั้นเจ้าขุนนุ่นนั้นอายุได้ ๑๘ ปี ผู้น้องได้ ๑๖ ปี แล ๒ เจ้าพี่น้องจึงจากันว่า ราพี่น้องจักพากันไปไหว้พ่อแห่งรา หื้อปลูก แปงราทั้ง ๒ หื้อได้เปนท้าวพระยาเทือะ ว่าอันแล้ว เจ้าทั้ง ๒ ก็ไหว้พระยาภูคาตนพ่อว่า ข้าแต่พ่อพระยาเปนเจ้า เขือข้าใคร่เป นท้าวพระยานักแล ขอพ่อพระยาเปนเจ้าจุงกรุณาเผือข้าทั้ง ๒ แด่เทือะ ว่าอันแล้วเมื่อนั้น พระยาตนพ่อจิงจากับด้วยเจ้าทั้ง ๒ พี่ น้องว่า ผิว่าเจ้าทั้ง ๒ พี่น้องใคร่เปนท้าวพระยาแท้ดังอัน เจ้าทั้ง ๒ จุงพากันไปหาพระยาเถรแต๋งแดเทือะ ท่านหากจะกรุณาเขือเจ้าทั้ง ๒ ซแด เจ้าทั้ง ๒ จิงไหว้พระยาตนพ่อว่า พระยาเถรแต๋งอยู่ที่ใดนั้นจา พระยาตนพ่อกล่าวว่า ท่านอยู่หว่างดอยติ้วดอย วาวหั้นแล ว่าอันแล้ว เมื่อนั้นเจ้าทั้ง ๒ ก็พากันไปก็ไปฮอดพระยาเถรแต๋งแท้หั้นแล ฯ
๏ เมื่อนั้นพระยาเถรแต๋งก็ถามเจ้าทั้ง ๒ พี่น้องด้วยเหตุอันมานั้นซู่ประการหั้นแล เจ้าทั้ง ๒ ก็จิงไหว้พระยาเถรว่าดังนี้ เขือข้า ทั้ง ๒ ใคร่เปนท้าวพระยา พ่อเขือข้าจิงหื้อเขือข้ามาไหว้สาเจ้ากูดีหลีแล ขอเจ้ากูเยียะกรุณาตั้งบ้านเมืองตั้งหื้อแก่เผือข้าแด่เทือะ ว่าอันแล้ว พระยาเถรกล่าวว่า เขือเจ้าทั้ง ๒ พี่น้องใคร่เปนท้าวพระยาดังอันดีแล เราหากจักรำพึงต่อเจ้าทั้ง ๒ ซแด ทีนั้นพระยาเถรก็จิงพิจารณาดูหื้อได้รู้แจ้งแล้วจิงพาเจ้าทั้ง ๒ ไปสู่ทิศก้ำวันออกแม่ของ ครั้นไปเถิงที่ ๑ ภายวันออกแม่ของควรตั้งบ้านตั้งเมือง พระยาเถรแต๋งก็หื้อกุมารตั้งบ้านตั้งเมืองในที่นั้นหั้นแล พระยาเถรจิงเอาไม้เท้าขีดไปเปนจันทพยุหะหั้นจิงใส่ชื่อว่าจันทบุรีเพื่ออันแล พระยาเถรจิงแต่งหื้อเจ้าขุนนุ่นผู้พี่เปนพระยาในที่นั้น ได้ชาวทั้งหลายอันอยู่ในที่นั้นเปนบริวารมากนักหั้นแล
๏ เมื่อนั้นเจ้าตนเปนน้องจึงไหว้พระยาเถรว่า พี่เผือข้าเจ้ากูก็ยังกรุณาให้เปนพระยาแล้ว ขอเจ้ากูจงจักกรุณาหื้อ (เผือข้า) ได้เปนท้าวพระยาแด่เทือะ ว่าอันแล้ว เมื่อนั้นพระยาเถรก็พาเอาเจ้าขุนฟองผู้น้องนั้นคืนมาสู่ทิศก้ำวันตกส่วยเหนือ มาฮอดที่ ๑ ไกลน้ำน่านประมาณ ๕๐๐๐ วา ที่นั้นควรตั้งบ้านตั้งเมือง พระยาเถรจิงเอาไม้เท้าขีดไปเปนเตชะกะพยุหะ จิงใส่ชื่อว่าวรนคร ว่าอันแล ภายลุนคนทั้งหลายจักเรียกว่าเมืองปัว ว่าอันแล พระยาเถรจิงเวรเมืองที่นั้นหื้อเจ้าตนน้องชื่อขุนฟองเปนพระยาหั้นแล จิงหื้อกวาด(คน)ทั้งอยู่ในที่นั้นเปนบริวารหั้นแล แล้วเจ้าเถรแต๋งก็จิงปันแดนเมืองหื้อเจ้าทั้ง ๒ พี่น้องภายหนเหนือท่านุ่นเปนแดน ฝ่ายใต้สุดแห่งศาลเมืองล่างเปนแดนหั้นแล ส่วนหนกาวลาวก็ว่ามาแล้วแล ดังพระยาเถรแต๋งนั้นคือเปนเจ้าฤาษีว่าอันแล ฯ๏ ส่วนเจ้าขุนฟองนั้น ท่านได้เปนพระยาแล้วก็อยู่เสวยราชสมบัติในเมืองวรนครที่นั้น ก็มีลูกชายตน ๑ เจ้าขุนฟองตนพ่อก็จิงใส่ชื่อเบิกบายว่า เจ้าเก้าเกื่อน ว่าอันแล ครั้นอยู่มาบ่นานเท่าใด ส่วนพระยาขุนฟองตนพ่อเสี้ยงกรรมไปแล้ว เสนาอามาตย์ทั้งหลายก็อุสาราชาภิเศกเจ้าเก้าเกื่อนตนลูกเปนพระยาแทนหั้นแล ครั้นบ่นานเท่าใดพระยาภูคาตนปู่รู้ว่าหลานตนดี อนึ่งก็เปนที่ถูกเนื้อเพิงใจแก่เสนาอามาตย์แลไพร่พลบ้านเมืองทั้งมวลฉันนั้น พระยาภูคาก็จิงใช้นาง ๒ คนมาอาราธนาเอาเจ้าเก้าเกื่อนเมือเปนพระยาเสวยเมืองในเมืองภูคาคือเมืองย่างหั้นแด เจ้าเก้าเกื่อนท่านก็บ่ใคร่สู่รับเมือเท่าใด เมื่อนั้นนางทั้ง ๒ ก็บ่ยอม ก็ขออาราธนาเอาเจ้าเก้าเกื่อนเมือเสวยเมืองย่างจุงได้หั้นแล เมื่อนั้นพระยาเก้าเกื่อนก็รับเอานิมนต์นางทั้ง ๒ ตามดังพระยาภูคาตนปู่หากใช้มานิมนต์ตนเมือเสวยเมืองย่างแท้หั้นแล นางทั้ง ๒ ครั้นว่าพระยาเก้าเกื่อนรับเอานิมนต์แล้ว ก็พากันกลับเมือไหว้พระยาภูคาหื้อรู้ซู่ประการหั้นแล พระยาภูคาครั้นว่าได้รู้ว่าเจ้าเก้าเกื่อนตนเปนหลานซู่รับนิมนต์แล้ว ก็แต่งหื้อเสนาอามาตย์ทั้งหลายแลชาวเมืองย่างที่นั้นเอาดุริยดนตรีทั้งหลายขึ้นเมือแห่นำเอาพระยาเก้าเกื่อนมาเปนพระยายั้งอยู่เมืองย่างนั้นแล
๏ เมื่อนั้นพระยาเก้าเกื่อนรู้ว่าพระยาภูคาตนปู่แปงเสนาอามาตย์จักมาเชิญเอาตนเมือเมืองย่างแท้สันนั้น เจ้าก็จิงจากับด้วยนางพระยาแลเสนาอามาตย์ทั้งหลาย ว่าบัดนี้พระยาภูคาปู่ก็จักมาเชิญเอาเราเมือเสวยเมืองย่างจุงได้แท้แด บัดนี้เราก็จักได้ไปอยู่ในเมืองย่างกับด้วยพระยาภูคาตนปู่ก่อนจ๊ะแด ดังเมืองวรนครที่นี้กูพี่ก็จักมอบปงวางไว้แก่นางทั้งมวลแล เสนาอามาตย์ทั้งมวลหื้ออยู่เสวยก่อนจ๊ะแดบัดนี้คัพภะแห่งนางก็มี ผิวาคัพภะหากแก่บริบวรณ์แล้ว หลอนนางประสูตรลูกมาเปนผู้ชายใหญ่หน้ากล้าหาญมา ก็หากจักสร้างบ้านแปงเมืองที่นี้หื้อรุ่งเรืองแก่เจ้าจ๊ะแด ว่าอันแล้ว ส่วนว่าพระยาเก้าเกื่อนครั้นว่าปงเมืองไว้หื้อแก่นางเทวีแลเสนาอามาตย์ทั้งหลายแล้ว ก็เสด็จเมือเมืองย่างด้วยเสนาอามาตย์ทั้งหลายหั้นแล ครั้นว่าเจ้ามาเถิงในเมืองย่าง แล้ว พระยาภูคาตนปู่แลเสนาอามาตย์ทั้งหลายก็อุสาราชาภิเศกเจ้าเก้าเกื่อนหื้อเสวยเมืองหั้นแล ส่วนพระยาตนปู่อยู่เสวย เมืองย่างที่นั้นก็เมินนานนักแล้ว ท่านก็ใช้ไปอาราธนาหลานตนมาเสวยเมืองแทน อยู่มาบ่นานเท่าใด ท่านก็เสี้ยงกรรมไปอยู่โลกภายน่าหั้นแล ส่วนพระยาเก้าเกื่อนก็อยู่เสวยเมืองตามอันชอบธรรมหั้นแล ฯ
๏ อยู่มาบ่นานเท่าใด ยังมีพระยาตน ๑ ชื่อว่างำเมือง กินเมืองพยาว รู้ข่าวว่าเมืองวรนครคือเมืองปัวนั้นหาท้าวพระยาบ่ได้ มีแต่นางพระยาอยู่เสวยเมือง เมื่อนั้นพระยางำเมืองก็ยกเอารี้พลศึกมาหลอนรบเอาเมืองปัวหั้นแล ส่วนนางพระยาแม่ท้าวคำปินก็บ่ทันรู้สึกหั้นแล เมื่อรู้สึกแล้ว ข้าศึกก็เข้ามากุมเมืองตนแล้ว นางพระยาแลเสนาอามาตย์ทั้งหลายจักแต่งใช้ไปไหว้พระยาเก้าเกื่อนตนเปนผัวก็บ่ทัน ส่วนนางพระยาแลเสนาอามาตย์ทั้งหลายจักจัดแต่ง ไพร่พลคนศึกในเมืองปัวที่นั้นออกสู้รบก็บ่ทัน เพราะพระยางำเมืองเอารี้พลหลอนเข้ามาผจญด้วยอันรีบพลันนัก นางพระยาก็จิงห้างดาเอาเข้าของเงินคำแก้วแหวนกับเด็กหญิงผู้ ๑ หนีออกเมืองดำดอนซ่อนป่าไปได้หลายวันมากนัก ก็ไปฮอดเถียงไร่ที่ ๑ นางก็ขึ้นอยู่เถียงไร่ที่นั้นหั้นแล ฮอดในคืนวันนั้น นางก็ประสูตรได้ลูกชายคน ๑ หั้นแล ฯ
๏ ในเถียงไร่ที่นั้นยังมีห้วยแร้ง มีที่บ่ไกลไร่ หาน้ำจักอาบจักกินบ่ได้ นางพระยาก็ไห้ร่ำไรเถิงผัวตนว่าฉันนี้ เจ้ากูเมื่อจะละข้าไว้วันนั้น ยังกล่าวแด่ข้าว่า ครั้นลูกราเกิดมาเปนผู้ชายใหญ่มาก็หากจักสร้างบ้านแปงเมืองที่นี้หื้อรุ่งเรืองแก่เจ้าซแด ว่าฉันนี้แด่ข้าวันนั้นบัดนี้ออกมาพอยหาน้ำจักกินจักอาบบ่ได้อันจาว่าอัน ในขณะนั้นสิ่งเดียวห่าฝนลมใหญ่ก็ตกลงมามากนัก น้ำก็นองพัดก้อนหินก้อนผาเปนอันพิศเพิงกลัวมากนักหั้นแล ครั้นว่าฝนเอื้อนมาแล้ว นางพระยาก็อุ้มเอากุมารไปหาน้ำหั้นแล ในวันนั้นก็เปนวันอุโบสถศีลเดือนเป็งแล นางก็อุ้มเอาลูกตนไปนั่งก้อนหิน อาบน้ำหื้อลูกตนหั้นแล แล้วก็อุ้มเอาลูกตนไปสู่เถียงไร่กับเด็กหญิงนั้นแล ฯ
๏ ครั้นเถิงวันลุนรุ่งเช้าแล้ว นายบ้านชาวไร่มาดูไร่ ได้ยินกุมารน้อยไห้ จิงเข้าไปผ่อดู มันก็รู้จักนางพระยา มันจิงไหว้นางพระยาว่าเปนเหตุฉันใด แลมีเหตุการณ์ฉันใดเกิดมีแก่เจ้าป๊อยมาอยู่ที่นี้อันซาเมื่อนั้นนางพระยาก็บอกเหตุการณ์ทั้งหลายฝูงนั้นซู่อันซึ่งนายบ้านผู้นั้นหั้นแด ดังนายบ้านผู้นั้นก็หากเปนพ่อครัวพระยาแต่ก่อนหั้นแด เมื่อนั้นนายบ้านผู้นั้นไหว้นางพระยาว่า เจ้าอยู่ที่บ่ควรแลขอเจ้าเมืออยู่บ้านข้าควรซแด นางพระยาก็ซู่รับเมือแล้ว นายบ้านผู้นั้นก็จิงพาเอานางพระยาแลเด็กหญิงเมือหั้นแด นายบ้านก็เลี้ยงดูนางพระยาแลเจ้ากุมารแลเด็กหญิงหื้ออิ่มด้วยเข้าน้ำโภชนอาหาร หื้ออิ่มเต็มใจแล้ว เมื่อเจ้ากุมารลุกย่างเที่ยวไปได้แล้ว ภายลุนนายบ้าน กดผากดจิงพาเอาขาเจ้าแม่ลูกกับเด็กหญิงหนีไปอยู่บ้านอัน ๑ ชื่อบ้านสะบานอันนั้น เปนบ้านข่มเวียกพระยางำเมืองหั้นแด นายบ้านทั้ง ๒ ก็เลี้ยงดูยังเจ้ากุมารพอใหญ่อายุได้ ๑๖ ปีหั้นแด นายบ้านทั้ง ๒ ก็พาเอากุมารเมือไหว้สาพระยางำเมือง พระยา หันแล้วก็มีใจเอนดูกรุณามากนัก เจ้ากุมารก็ใช้สอยดีนัก พระยาก็จิงใส่ชื่อว่า เจ้าขุนไส่ ว่าอันแล เจ้าขุนใส่ท่านใช้สอยดีนัก พระยาก็เลี้ยงไว้หื้อเปนลูกนายข่มเวียกผู้ ๑ หั้นแล
๏ ครั้นอยู่มา ยังมีการพระยางำเมืองอัน ๑ หนักนัก พระจิงปงอาชญาไว้แด่เจ้าขุนไส่ ๆ ก็หื้อแล้วแด่การอาชญาซู่ ประการหั้นแด เมื่อนั้นพระยาก็มีความยินดีนัก ก็กรุณาหื้อคนทั้งหลายสร้างแปงเรือนหลัง ๑ กับเข้าของเงินคำหื้อ แก่แม่เจ้าขุนไส่นั้นแล อยู่มาบ่นานเท่าใดพระยาก็เลี้ยงไว้หื้อเปนหมื่นแช่ต่าง แล้วก็ยกหื้อไปกินเมืองปราดหั้นแล เมื่อนั้นพระยาก็ยกชื่อขึ้นว่า เจ้าไส่ยศ เพื่ออันแล เมื่อนั้นพระยางำเมืองจิงไว้นางผู้ ๑ ชื่อว่า อั้วสิม กับลูกชายผู้ ๑ ชื่ออามป้อมไว้หื้อขาเจ้าแม่ลูกกินเมืองปัวหั้นแล ครั้นเถิงฤดูปีใหม่เดือนใหม่นางพระยาปัวแต่งบรรณาการเมือไหว้ พระยางำเมือง นางเมือฮอดเมือง พยาวแล้วก็ไหว้พระยา ถวายบรรรณาการหั้นแล
๏ อยู่มาบ่ช้านานเท่าใด ขาแม่ลูกจะลาพระยาเมือเมืองปัว ก็แต่งแกงควายเมือถวายพระยางำเมืองหั้นแด พระยาได้ กินแกงควายนั้นแล้ว ก็ว่าเล่นนางพระยาปัวว่า แกงควายยังหวานแด่เท่าว่าน้ำหนักหนาว่าอัน นางพระยาปัวได้ยินก็ เคียดไว้ในใจ เถิงวันลุน นางพระยากับเจ้าอามป้อมผู้ลูกไปไหว้พระยาแล้ว ก็ลาเมือเมืองปัวหั้นแล เจ้าผู้ลูกไว้ใจดูว่า จักหื้อเมือผายภายริมยมนั้น ไว้แก่ขาเจ้าแม่ลูกหั้นแลเจ้าแม่ลูกครั้นเมือฮอดเมืองปัวแล้ว นางจิงแปงหนังสือไปหาเจ้าเมืองปราด แล้วเจ้าก็รีบเอาช้างม้ารี้พลโยธาทั้งหลายมากนักหั้นแล เจ้าเมืองปราดครั้นมาฮอดเมืองปัวแล้ว นางก็รีบไปต้อนไปรับเอาเจ้าเมืองปราดหั้นแล เมื่อนั้น นางพระยาแลเจ้าเมืองปราดเขาเจ้าทั้ง ๒ ก็จากัน เอากันเปนผัวเปนเมียกันในวันอันมาฮอดหั้นแล
๏ ครั้นบ่นานเท่าใด พระยางำเมืองได้รู้ว่า เจ้าเมืองปราดแลนางอั้วสิมเอากันเปนผัวเปนเมียฉันนั้น ก็เคียดมากนัก แล้วก็จิงจะยกเอารี้พลคนศึกเปนอันมากมาตกเมืองปัวหั้นแล พระยางำเมืองก็มาตั้งทัพอยู่ที่บ้านหนองเรียงหั้นแด ว่าจักรบเอาเมืองปัวว่าอันหั้นแด เมื่อนั้นเจ้าไส่ยศเมืองปราดก็เอารี้พลออกตั้ง เอาเจ้าอามป้อมเปนหัวน่าหั้นแล รบ กันหน่อยหนึ่ง พระยางำเมืองเล็งหันเจ้าอามป้อมตนเปนลูก มีใจรักลูกตนหั้นแล พระยางำเมืองก็เอารี้พลคนศึกถอยหนีมาเมืองพยาวดังเก่าหั้นแล









๏ เมื่อนั้นเสนาอามาตย์ทั้งหลายมีเจ้าอามป้อมเปนต้น ก็อุสาราชาภิเศกเจ้าเมืองปราดคือพระยาไส่ยศนั้น หื้อเปนพระ ยาเสวยเมืองปัวหั้นแล แล้วก็เรียกชื่อขึ้นว่า เจ้าพระยาผานอง ว่าอันแล เหตุว่า ๑๑ เจ้าเกิดมาหัวทีวันนั้นหาน้ำจักกินจักอาบบ่ได้ ภายลุนฝนตกลงมามากนักแล้ว น้ำก็นองมาพัดก้อนหินก้อนผามามาก นักวันนั้น จึงเอานิมิตรอันนั้นลวดใส่ชื่อว่า เจ้าผานอง ว่าอันแล ส่วนว่าเจ้าพระยาเก้าเกื่อนท่านอยู่เสวยเมืองภูคาคือเมืองย่าง ที่นั้นก็นานนักแล้ว ท่านก็เสี้ยงแก่กรรมไปในเมืองที่นั้นอั้นแล ส่วนเจ้าผานองท่านก็กระทำบุญสริรส่งสักการพระยาเก้าเกื่อน ตนเปนพ่อบริบวรณ์แล้ว ก็มาอยู่เสวยราชสมบัติเปนพระยาอยู่ในเมืองปัวที่นั้นหั้นแล ท่านอยู่เสวยราชสมบัติในเมืองปัวที่นั้น ก็ประกอบชอบธรรม บ้านเมืองก็การกุงรุ่งเรือง แลเจ้าขุนฟองตนเปนปู่ท่านนั้นเสี้ยงกรรมไปได้เช่นวงษา ๑ ก่อนแด ครั้นมา เถิงเจ้าเก้าเกื่อนตนพ่อท่านนี้ เปน ๒ เช่นวงษาแล เจ้าผานองท่านได้เสวย เมืองปัวปีกดสัน จุลศักราช ๖๘๔ ตัว ท่านกินเมืองได้ ๓o ปี ลูกท่านมี ๖ ชาย ผู้ที่เค้าชื่อเจ้าการเมือง ตนถ้วน ๒ ชื่อเจ้าเล่า ตนถ้วน ๓ ชื่อเจ้ารื่น ตนถ้วน ๔ ชื่อเจ้าบาจาย ตนถ้วน ๕ ชื่อเจ้าควายตม ตนถ้วน ๖ ชื่อเจ้าไสแล เจ้าผานองเสี้ยงกรรมไปแล้ว เสนาอามาตย์ทั้งหลายก็อภิเศกหื้อเจ้าไสตนน้องล่า หื้อ เสวยเมืองแทนพ่อในปีกัดเป๋านั้นหั้นแด เพราะเจ้าตนเปนน้องช้อยนั้นมีความรู้ลวดฉลาดนัก เสนาอามาตย์จิงอภิเศกหื้อเสวย เมืองแทนพ่อหั้นแล เจ้าขุนไสท่านอยู่เสวยราชสมบัติได้ ๓ ปีก็เสี้ยงกรรมในปีลวงเม้า จุลศักราช ๗๑๕ หั้นแล เสนาอามาตย์ทั้ง หลายพร้อมกันอุสาราชาภิเศกเจ้าการเมืองตนเปนพี่อ้ายเค้าเสวยเมืองแทน ก็ในปีลวงเม้าหั้นแล เจ้าผานองตนพ่อเสี้ยงกรรม ไปนั้นได้ ๓ เช่นวงษาแล เช่นเจ้าไสเสี้ยงกรรมไปนั้นได้ ๔ เช่นวงษาแล๏ เจ้าพระยาการเมืองท่านอยู่เสวยราชสมบัติ แลอยู่มาบ่นานเท่าใด พระยาตน ๑ ชื่อว่าโสปัตตกันทิอยู่เสวยเมืองศุโขไทย ใช้มาอาราธนาเชิญเอาพระยาการเมืองเมือช่วยพิจารณาสร้างวัดหลวงอภัยกับ ด้วยพระยาศุโขไทยหั้นแล เมื่อนั้นพระยาการเมืองก็ลงไปช่วยค้ำชูพระยาโสปัตตกันทิแท้หั้นแล ครั้นสร้างบริบวรณ์แล้วพระยาโสปัตตกันทิก็มี ความยินดีเซิงพระยาการเมือง แล้วก็เอาพระธาตุเจ้า ๗ องค์กับพระพิมพ์คำ ๒๐ องค์ พระพิมพ์เงิน ๒๐ องค์ ดัง วรรณพระธาตุเจ้านั้นต่างกัน คือ ๒ องค์เท่าพรรณผักกาด มีวรรณดังแก้ว ๓ องค์ มีวรรณดังมุก ๒ องค์มีวรรณดัง คำเท่าเมล็ดงาดำหั้นแล พระยาการเมองครั้นว่าได้ของดีวิเศษขึ้นมาแล้ว ก็มีความชื่นชมยินดีมากนักหั้นแล เมื่อนั้น พระยาการเมืองก็เอาพระธาตุเจ้า และพระพิมพ์คำไปสำแดงแก่มหาเถรเจ้าธรรมบาลที่เมืองปัวหั้นแล้ว ก็ไหว้มหาเถรเจ้าว่าจักควรประจุพระธาตุนี้ไว้ที่ใด ขอมหาเถรเจ้าจุ่งพิจารณาดูแด่เทือะว่าอันแล้ว เมื่อนั้นพระมหาเถรเจ้าก็ พิจารณาดูที่ควรประจุธาตุเจ้านั้นก็รู้แจ้งแล้ว ก็จิงจากับด้วยพระยาว่า ควรมหาราชเจ้าเอาไปประจุไว้ที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง ทัดที่หว่างกลางน้ำแม่เตี๋ยนแลแม่ลิงพุ้นควรซแด เมื่อนั้นพระยาการเมืองได้ยินมหาเถรเจ้าสันนั้นก็มีความชื่นชมยินดีแล้ว พระยาก็ปกป่าวพลนิกายทั้งหลาย แลเสนาอามาตย์ทั้งมวลแล้ว ก็นิมนต์มหาเถรเจ้าลงไปด้วยตน ก็แห่นำเอาพระธาตุเจ้ามาแต่เมืองปัว ก็หื้อส่งเสพด้วยตุริยดนตรี ๕ จำพวก แห่นำเอาพระธาตุเจ้าลงไปที่ภูเพียงแช่แห้งหั้นแล้ว ก็ตั้งทัพจอดอยู่ที่นั้น วัน ๑ ก็ด้วยอานุภาพพระหากทำนายมเหสักข์ก็หากนำมาด้วยแล เมื่อนั้นพระยาก็หื้อช่างหล่อมาหล่อต้นปูนสำริดต้น ๑ ใหญ่แล้ว พระยาก็พร้อมกับด้วยมหาเถรเจ้าแลเสนาอามาตย์ทั้งหลาย เอาพระธาตุเจ้าแลพระพิมพ์เงินพระพิมพ์คำลงใส่ในต้นปูนแล้ว ก็เอาฝาหับหื้อทับแทบดีแล้ว ก็วาดด้วยสะตายจีนเกลี้ยงกลมดี เปนดังก้อนผานั้นแล้ว พระมหาเถรเจ้าแลพระยาก็พิจารณาดูที่เปนสำคัญหั้นแล เมื่อนั้นเทวบุตรแลเทวดามเหสักข์ทั้งมวลก็นำเอาพระมหาเถรเจ้าแลพระยาไปสู่ที่ควรประจุหั้นแล เมื่อนั้นพระยาก็หื้อขุดลงที่นั้นเลิกวา ๑ แล้วก็นิมนต์ยังพระธาตุเจ้าลงสถิตย์ แล้วก็ก่ออิฐกาถมแล้วก่อเจดีย์ขึ้นสูงเหนือผิวดินวา ๑ หั้นแล ครั้นว่าบริบวรณ์แล้วก็นิมนต์พระภิกษุสังฆะเจ้ามากระทำมงคลอบรมแล้ว พระยาก็กระทำสักการบูชาทำบุญ ให้ทานตามใจมักแห่งตนแล้ว ครั้นบริบวรณ์แล้วก็เอารี้พลแห่งตนคืนเมือเมืองปัวพ้นหั้นแล ครั้นอยู่มาบ่นานท่าใด พระยาก็คิดใจใคร่เถิงยังพระธาตุเจ้ามักใคร่ปฏิบัติไหว้สาซู่วันซู่ยามหั้นแล พระยาก็ปกป่าวเสนาอามาตย์ ทั้งหลายแลรี้พลโยธาทั้งมวล แล้วก็เสด็จลงมาสร้างตั้งเวียงกุมพระธาตุเจ้า ขุดคือแวดเวียนวงใส่พนักนังดินแล้ว ก็หื้อแต่งแปงประตูงามสอาดแล้ว
๏ เถิงจุลศักราชได้ ๗๒๑ ตัวปีเมิงเล้า ชาวกวาวทั้งหลายก็เรียกกันมาแปงโรงพระยาการเมืองหั้นแล พระยาการเมือง อยู่เสวยราชสมบัติในเมืองปัวได้ ๖ ปี อยู่เวียงแช่แห้งได้ ๕ ปี ครั้นเถิงปีลวงเป๋าจุลศักราช ๗๒๕ ตัว ขุนอินตาเมืองใต้ใช้เอาผ้าดีมาถวาย หื้อเปนบรรณาการเมืองใหญ่ฮวยมนต์ใส่แถมพิศม์ ท้าวก็ใส่ใจว่าบ่มีพิศม์ก็เอามือหลูบหยุบเอาผ้าลวดถูกพิศม์เจ็บเสียบตนตายท่าวทั้งยืนหั้นแล พระยาการเมือง ตายปีลวงเป๋า จุลศักราช ๗๒๕ ตัว ก็เสี้ยงกรรมไปในเวียงภูเพียงแช่แห้งวันนั้นแล ได้ ๕ เช่นวงษาแล เสนาอามาตย์ทั้งหลายพร้อมกันอุสาราชาภิเศกเจ้าผากองตนเปนลูกเจ้าการเมืองนั้น เสวยเมืองแทนหั้นแล
๏ เจ้าผากองเสวยเมืองแทนพ่อตนก็ในปีลวงเป๋า จุลศักราช ๗๒๕ ตัวนั้นแล ท่านอยู่เสวยราชสมบัติในเวียงแช่แห้งที่นั้นได้ ๖ ปี น้ำแห้งแล้งหาน้ำจะหื้อช้างม้ากินอาบบ่ได้ ท่านก็ปกป่าวเสนาอามาตย์ทั้งหลายแลไพร่พลคนเมืองทั้งหลายมาสร้างตั้งเวียงกุมบ้านห้วยไค้ คือเวียงน่านที่นี้บัดนี้แล
๏ เจ้าผากอง สร้างเมืองน่านที่นี้ ปีรวายซง้า จุลศักราชได้ ๗๓๐ ตัวเดือน ๑๒ ขึ้น ๖ ค่ำ วันอังคารยามแถหั้นแล เจ้าผากองกินเมืองอยู่ในเวียงภูเพียงแช่แห้งได้ ๖ ปี อยู่ในเมืองน่านลุกนี้ ๒๑ ปี ก็เถิงแก่กรรมไปในปีรวายยี่ จุลศักราชได้ ๗๕๐ ตัวหั้นแล ได้ ๖ เช่นวงษาแล เสนาอามาตย์ทั้งหลายก็อุสาราชาภิเศกเจ้าคำตันลูก เสวยเมืองแทนหั้นแล
๏ เจ้าคำตันเสวยเมืองแทนพ่อก็ในปีรวายยี่หั้นแล ท่านอยู่เสวยราชสมบัตินานได้ ๑๑ ปี พระยาใต้ชื่อขุนหลวงมาอุสาราชาภิเศกเจ้าคำตัน คนทั้งหลายก็แปงหอสรงยังท่าลี่ พระยาใต้แลคนทั้งหลายก็เอาน้ำพุทธาภิเศกขึ้นหดหัวลง ก็ปลาบแจบหัวดังจักแตก ครั้นจากหั้นมาเถิงโรงก็ตายในคืนนั้นหั้นแล ท่านเสี้ยงกรรมไป ในปีรวายไจ๊ จุลศักราช ๗๖๐ ตัวหั้นแล ขุนหลวงเมืองใต้ก็หนีไปเมืองใต้หั้นแล ได้ ๗ เช่นวงษาแล เสนาอามาตย์ทั้งหลายก็พร้อมกันอุสาราชาภิเษก เจ้าศรีจันต๊ะตนเปนลูกเสวยเมืองแทนพ่อ ก็ในปีรวายไจ๊หั้นแล
๏ เจ้าศรีจันต๊ะ ได้เสวยเมืองได้ปี ๑ พระยาแพร่ ๒ ตนพี่น้อง ตนพี่ชื่อพระยาเถร ตนน้องชื่อพระยาอุ่นเมือง ก็ยกรี้พลมา รบเมืองน่านได้ กำจัดฆ่าพระยาศรีจันต๊ะตายแล้ว กินเมืองแทนหั้นแล เจ้าพระยาศรีจันต๊ะตายเพื่อนฆ่าในปีเมิงเป่าหั้นแล จุลศักราชได้ ๗๖๑ ตัวหั้นแล เจ้าหุงตนเปนน้องเจ้าศรีจันต๊ะท่านก็หนีไปพึ่งพระยาชะเลียงเมืองใต้ เช่นเจ้าศรีจันต๊ะนี้ได้ ๘ เช่นวงษา
๏ เจ้าพระยาเถรเสวยได้ ๖ เดือนปาย ๑๐ วันแล้วก็บังเกิดเจ็บไข้ แล้วก็บังเกิดเปนเลือดแตกออกสู่เส้นขน แล้วลวดเถิงแก่กรรมตายไปในปีเมิงเป่าหั้นแล เปน ๙ ชั่ววงษา แลตนนี้เปนวงษาต่างอื่นแล
๏ เจ้าอุ่นเมืองตนเปนน้องกินเมืองแทนก็ในปีเมิงเป๋า จุลศักราช ๗๖๑ ตัว ท่านกินเมืองได้ปี ๑ เจ้าหุงยกเอารี้พลศึกเมืองชเลียงมารบพระยาอุ่นเมือง เจ้าหุงมีไชยชนะ จับเอาพระยาอุ่นเมืองได้แล้วก็เอาไปถวายพระยาใต้ อยู่ได้ ๑๐ ปีก็ไปตายเสียเมืองใต้หั้นแล เจ้าอุ่นเมืองได้หนีเสียเมืองปีเปิกยี่ จุลศักราชได้ ๗๖๒ ตัวแล ได้ ๑๐ เช่นวงษาแลตน นี้ก็เปนวงษาต่างอื่นแล๏ เจ้าพระยาหุงท่านได้เสวยเมืองแทนก็ในปีเบิกยี่ จุลศักราชได้ ๗๖๒ ตัวหั้นแล ท่านอยู่เสวยราชสมบัติได้ ๘ ปี ครั้น เถิงปีดับเล้า จุลศักราชได้ ๗๖๙ ตัว ท่านเปนฝีมะระอากตายไปหั้นแล ได้ ๑๑ เช่นวงษาแล
๏ เจ้าปู่เข็งตนเปนลูกเจ้าหุงเสวยเมืองแทนก็ในปีดับเล้า จุลศัก ราชได้ ๗๖๙ ตัวแล ท่านเสวยเมืองนานได้ ๑๑ ปี ก็เปนพยาธิลงท้อง แลก็ลวดเสี้ยงกรรมไปในปีดับเม็ด จุลศักราชได้ ๗๗๙ ตัวหั้นแล ได้ ๑๒ เช่นวงษาแล
๏ เจ้าพันต้นตนเปนลูกได้เสวยเมืองแทนพ่อ ก็ในปีดับเม็ดหั้นแล ท่านอยู่เสวยเมืองได้ ๑๐ ปี เถิงปีกาบลี จุลศักราชได้ ๗๘๘ ตัวท่านก็เสี้ยงกรรมไปหั้นแล ได้ ๑๓ เช่นวงษาแล
๏ เจ้างัวผาสุมตนเปนลูกท่านก็ได้เสวยเมืองแทนพ่อ ก็ในปีกาบลีนั้นแล ท่านเสวยเมืองอยู่ได้ ๘ ปี ก็เสี้ยงกรรมไปในปีลวงไก๊ จุลศักราชได้ ๗๙๕ ตัวนั้นหั้นแล เจ้างัวผาสุมนั้นท่านมีราชบุตร ๓ ตน ตนพี่ชื่อเจ้าอินต๊ะแก่น ตนถ้วน ๒ ชื่อเจ้าแปง ตนถ้วน 3 ชื่อเจ้าห่อพม ว่าอันแล เมื่อนั้นเสนาอามาตย์ก็อุสาราชาภิเศกเจ้าอินต๊ะแก่นตนพี่เสวยเมืองแทนพ่อต่อไปแล เจ้างัวผาสุมเสี้ยงกรรมไปนั้นได้ ๑๔ เช่นวงษาแล
๏ เจ้าอินต๊ะแก่นท่านเสวยเมืองแทนพ่อก็ในปีลวงไก๊นั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ปีปาย ๓ เดือน เมื่อนั้นน้องทั้ง ๒ คือเจ้าแปงแลเจ้าห่อพมชิงกินเมืองพี่ตน เอาพี่อ้ายใส่ไว้ในคอก ว่าจักหื้อตายในคอกหั้นว่าสันนั้น เมื่อนั้นอินต๊ะแก่นท้าวก็จิงแต่งอุบายลงท้อง เอาเลือดควายทาผ้า ว่าข้าเที่ยงจักตายไปในคอกหั้นแท้ แลว่าอันแล้ว เมื่อนั้นคนพวกคอกทั้งหลายก็ไหว้เจ้าแปงว่า เจ้าอินต๊ะแก่นลงท้องผ้าเสื้อเต็มไปด้วยเลือดทั้งมวลเหมือนจักตายไปในคอกหั้นแท้แล เจ้าแปงรู้เหตุสันนั้นแล้ว หลอนไปประตูคอกไว้ว่าหื้อมันตายภายนอกคอกก็ตามใจมันเทือะ ว่าอันแล้ว ครั้นเถิงกลางคืน อินต๊ะแก่นท้าวก็ลักหนีออกจากคอกไปอยู่บ้านเตาไห หนีจากหั้นไปฮอดเมืองรามขอกินเข้ากับเถ้าแก่ปะขาวผู้ ๑ หั้นแล ปะขาวผู้เถ้าแก่นั้นยินรักเจ้าเอาใส่ผ้าตุ๊มหนีลงไปเถิงเมืองใต้แล้ว เจ้าก็เข้าไปพึ่งพระยาชเลียงหั้นแล เจ้าแปงกินเมือง แทนพี่อ้ายตนในปีเต่าไจ๊ จุลศักราชได้ ๗๙๖ ตัวหั้นแล ท่านกินเมืองได้ปี ๑
๏ เถิงปีกาบเป๋า จุลศักราชได้ ๗๙๗ ตัว เจ้าอินต๊ะแก่นท้าวขอได้รี้พลศึกพระยาชเลียง แล้วก็ยกเอารี้พลศึกขึ้นมาตั้งทัพอยู่ที่สมสมุนเหนือแช่ทางหั้นแล เจ้าแปงก็ยกรี้พลลงต่อขึ้นช้างตัวชื่อภาพจักรวาฬข้ามน้ำเหนือปากสมสมุน อินต๊ะแก่นท้าวก็ขึ้นขี่ช้างตัวชื่อขวานเพ็ชรพระยามารเข้าต่อช้างภาพจักรวาฬ ช้างขวานเพ็ชรเข้าสู้รบจับที่แม่นปลายงาขวานเพ็ชรถูกไพรงาช้างภาพจักรวาฬ ช้างภาพจักรวาฬแล่นหงายคืนข้ามน้ำพ้นแล้ว ไว้น้ำน่านเปนคือฝ่ายทางใต้ ไว้น้ำสมุนเปนขื่อตั้งทัพอยู่ เจ้าแสตอบว่าถ้าจะคอยสู้ สู้ชนหื้อเถิงชนะแลแพ้ ว่าสันนั้น อินต๊ะแก่นท้าวก็ขึ้นขี่ขวานเพ็ชรพระยามารข้ามน้ำน่านไล่เลยชน แปงท้างบห่มฟันช้างทรงยศซุดเข้า อินต๊ะแก่นท้าวตีขวานเพ็ชรหมูบงาสวยตัก ปลายงาปักเข้าปากช้างทรงยศเพิกเฉยคืนอินต๊ะแก่นท้าวฟันง้าวถูกจับขา เจ้าแปงท้าวก็ลวดมรณาขจัดขจายตายห้อยฅอช้างไปหั้นแล รี้พลอินต๊ะแก่นท้าวไล่เลยศึกใหญ่ตกน้ำสมุนฆ่าฟันกันตายเปนอันมากนักหั้นแล ที่ ๒ ท้าวต่อสู้ชูชนกันหัวทีนั้นที่ตอนสมุนเหนือแช่พางนั้น แลที่เจ้าแปงขจัดขจายตายห้อยฅอช้างนั้นคนทั้งหลายเรียกว่า นาขจัด ว่าอันแล ที่หมู่ศึกเข้ารบกันนั้นคนทั้งหลายเรียกว่าบ้านไขวแมงมาง ว่าอันแล เจ้าแปงเสี้ยงกรรมไปในปีกาเป๋า จุลศักราช ๗๙๗ ตัวหั้นแล ได้ ๑๕ เช่นวงษาก่อนแล
เจ้าอินต๊ะแก่นท้าวก็ได้เสวยเมืองแทนก็ในปีกาเป๋านั้นหั้นแล ท่านอยู่เสวยเมืองครั้งถ้วน ๒ นี้ได้ ๑๖ ปี ท่านมีลูกชาย ๑ ลูกหญิง ๑ หั้นแล
๏ เมื่อนั้นท่านแต่งผู้ใช้เอาเกลือบ่อมางไปเปนแขกถวายพระยาติ โลกเมืองเชียงใหม่หั้นแล ลุนแต่นั้นหน่อยหนึ่ง พระยาติโลกมักใคร่ได้เมืองน่านไปส่วยค้ำเมืองปิงเชียงใหม่ ก็จิงจัดขับจตุรงคเสนาสี่จำพวก รี้พลคนศึกทั้งหลายมวลพร้อมแล้ว ท้าวก็เสด็จออกเมืองปิงเชียงใหม่ ท้าวก็ข่มพลไปทางเมืองลอ เอาเจ้าลอเปนหัวน่า มาทางเมืองปง เมืองควัน ลงมาตีนดอยวาว มาฮอดเมืองน่านแล้ว ก็ตั้งทัพอยู่สวนตาลหลวงหั้นแล้ว ก็ตั้งอะม๊อกสีนาดยิงเข้าทาง ประตูอุญญาณ โห่ร้องเข้าคุมเวียงหั้นแล เมื่อนั้นเจ้าพระยาอินต๊ะแก่นท้าวบ่อาจจะต่อรี้พลท้าวตนใหญ่ได้ จิงเอาลูกแลเมียหนีไปเมืองใต้ ไปพึ่งพระยาชเลียงสหายตนหั้นแล พระยาอินต๊ะแก่นท้าวได้หนีจากเมืองไปปีเบิกลี จุลศักราช ได้ ๘๑๒ ตัวหั้นแล ได้ ๑๖ เช่นวงษา๏ แลพระยาติโลกได้เมืองน่านแล้ว ท่านก็หื้อเจ้าผาแสงลูกเจ้าแปงกินเมืองแทน ก็ในปีเบิกลี จุลศักราชได้ ๘๑๒ ตัว นั้นแล ท่านอยู่เสวยเมืองได้ ๑๒ ปี ก็เถิงแก่กรรมไปในปีกัดเม้า จุลศักราชได้ ๘๒๓ ตัวหั้นแล ได้ ๑๗ เช่นวงษาก่อน แล
๏ จากล่าวด้วยวงษาเชื้อกาวไทยเมืองน่าน คือตั้งแต่เจ้าขุนฟองมาตราบเถิงเจ้าผาแสง ก็สุดเสี้ยงที่เจ้าผาแสงนี้แล ตั้งแต่นี้ไปยอมจ่าเมืองมากินแล









๏ เมื่อนั้นพระเปนเจ้าติโลกก็หื้อหมื่นสร้อยเชียงของลงมากินแทนในปีกดสี จุลศักราชได้๘๒๔ ตัว กินเมืองได้ ๔ ปี ก็ย้ายไปกินเมืองฝางปีนั้นแล ได้ ๑๘ ตนเสวยเมืองแล
พระเปนเจ้าก็หื้อหมื่นน้อยในมาเสวยปีกาบสัน จุลศักราชได้ ๘๒๘ ตัว กินเมืองได้ ๓ ปี กระทำผิดอาชญาฆ่าเสีย หมื่นน้อยในตายในปีรวายเสร็จ จุลศักราชได้ ๘๓๐ ตัวนั้นแล ได้ ๑๙ เช่นท้าวแล พระเปนเจ้าหื้อหมื่นขวาเถ้าบาจายมากินปีเมิงไก๊ จุลศักราชได้ ๘๓๑ ตัว กินเมืองได้ ๔ ปี ตายปีกดยี่ จุลศักราชได้ ๘๓๔ ตัว ก็เสี้ยงกรรมไปหั้นแด ได้ ๒๐ เช่นท้าวแล พระเปนเจ้าหื้อหมื่นคำกินแทนในปีลวงเม้า จุลศักราชได้ ๘๓๕ ตัว กินเมืองได้ ๓ ปีถึงปีกาไส้ จุลศักราชได้ ๘๓๗ ตัว ก็ได้ย้ายไปกินเมืองฝางหั้นแล ได้ ๒๑ เช่นท้าวกินเมืองแล้วซแด
๏ พระเปนเจ้าจิงให้ท้าวขาก่านลุกเมืองฝางมากินแทน ในปีกาบ ซง้า จุลศักราชได้ ๘๓๘ หั้นแล แต่นั้นท้าวจิงใช้หมื่นในคำไปบำเรินท้าวติโลกเชียงใหม่ จิงไปได้ตำนานจิมมหาเถรเจ้าตนชื่อ วชิรโพธิมา หื้อท้าวขาก่าน ท้าวขาก่านได้รู้หันแล้ว ก็มีเจตนาใคร่สร้างหั้นแล
๏ เมื่อนั้นท้าวขาก่านก็จิงพร้อมด้วยกับสังฆเจ้าทั้งหลาย แลบ้านเมืองทั้งมวล ก่อสร้างแปงยังพระมหาธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง พระมหา ธาตุเจ้าในเวลานั้นเท่าเปนป่าไม้ไผ่ แลคลุมเครือวัลทั้งมวล ที่ในขบวนพระธาตุเจ้าอยู่นั้น ก็พอเปนนาวจอมปลวกอยู่เท่านั้นแล ท้าวก็พาเอาคนทั้งหลายแผ้วถางสร้างแปง ท้าวก็สักการบูชาด้วยช่อธุงเทียนปก กางด้วยเครืองพร้อมสู่อันแล้ว ก็เรินผ่อคอยพระธาตุเจ้าอยู่หั้นแล ตราบเสี้ยงราตรีกลางคืนแล้ว พระธาตุเจ้าก็ปล่งปาฏิหารรุ่งเรืองนัก ท้าวได้รู้หันแล้วก็พากันขุดดูในจอมปลวกเลิงลงวา ๑ แล้วก็ได้ก้อนผาลูก ๑ แล้วใหญ่กลมเกลี้ยง ท้าวกระทำหื้อแตกเถิงในแล้ว ได้หันต้นปูนใส่ทองเทศใหญ่ มีฝาหับทับแทบดีนัก จึงหื้อปะขาวเชียงโคมอยู่ วัดใต้นั้นไขดู ก็หันพระธาตุเจ้า ๗ องค์กับพระพิมพ์เงิน ๒๐ องค์ พระพิมพ์คำ ๒๐ องค์ อันพระยาการเมืองเอามา แต่พระยาศุโขไทยเมืองใต้ มาประจุไว้นั้น อันพระยาอโศกประจุไว้นั้นเลิก ๑๐ วานั้นบ่ถ่องเท่ารู้ในตำนานเท่านั้นแล ท้าวก็เอาเมือไว้ในหอปิฎกริมข่วงหลวงน่านได้เดือน ๑ท้าวจิงใช้ไปเรียนท้าวติโลก เมื่อนั้นท้าวติโลกจิงกรุณาว่าได้ที่ใดให้ประจุไว้ที่นั้นควรแล ว่าสันนั้น เมื่อนั้นท้าวขาก่านได้รู้เหตุการณ์ท้าวติโลกแล้ว ท้าวก็เอาไปประจุไว้ในดอยภูเพียงที่เก่าหั้นแล้ว ก็ก่อเจดีย์กวมสูง ๖ ว่าหั้นแล ท้าวขาก่านสร้างเจดีย์ธาตุเจ้าแล
๏ ครั้นเถิงจุลศักราชได้ ๘๔๒ ตัวปีเบิกเสร็จ แกวเอารี้พลศึกมาตกเมืองน่าน พระยาติโลกมีอาชญาหื้อท้าวขาก่านคุมเอารี้พลศึกสี่หมื่นออกต้อนรับแกว ท้าวขาก่านมีไชยชนะได้ฆ่าแกวตายมากนักหั้นแล แล้วก็ตัดเอาหัวแกวมาถวาย เจ้าติโลกหั้นแล ได้ช้างม้าครอบครัวมาถวายพระยาติโลกมากนักหั้นแล เมื่อนั้นพระยาติโลกกล่าวว่าแกวก๋านพ่าย หนีก็ดีแล้ว ดังฤๅพอยไล่ฆ่าแกวเอาครอบครัวแกวมาเปนอันมากสันนี้ เวรศึกเวรเสือนี้บ่ดีซแด บ่ควรหื้อมันอยู่เมืองน่านที่นี้แล้ว ว่าอันแล้ว ก็หื้อท้าวขาก่านไปอยู่เชียงรายหั้นแล ได้ ๒๒ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าจิงหื้อท้าวอ้ายยวมมากินเมืองในปีกัดไก๊ จุลศักราชได้ ๘๔๓ ตัว กินได้ ๔ ปี ก็ตายในปีเต่ายี่ จุลศักราชได้ ๘๔๗ ตัวหั้นแล ท้าวอ้ายยวมท่านได้กินเมืองแล้วนั้น ท่านก็พร้อมเพรียงชักชวนพระธรรมพระสังฆเจ้าแลชาวบ้านชาวเมือง สร้างยังพระธาตุเจ้ากวมเจดีย์ท้าวขาก่านนั้นขึ้นหื้อใหญ่สูงเหลือเก่า กว้าง ๑๐ วา สูง ๑๗ วา ได้ ๔ ปี จิงบริบวรณ์ ครั้นบริบวรณ์แล้วก็ฉลองหื้อทานแล้ว ท้าวอ้ายยวมท่านก็เสี้ยงกรรมไปในปีเต่ายี่ จุลศักราช ๘๔๗ ตัวหั้นแล ได้ ๒๓ เช่นท้าวแล พระเปนเจ้าจิงหื้อท้าวเมืองตนลูกท้าวอ้ายยวมกินเมืองแทนในปีเต่ายี่ จุลศักราชได้ ๘๔๗ หั้นแล ท่านกินเมืองได้ ๕ ปี ก็เสียนาในปีรวายซง้า จุลศักราชได้ ๘๕๑ ตัวหั้นแล ได้ ๒๔ เช่นท้าวหั้นแล
พระเปนเจ้าจิงหื้อหมื่นโมงเชียงเรื่อกินเมืองแทนใน ปีรวายซง้าหั้นแล ท่านกินเมืองได้ ๖ เดือน ได้ ๒๕ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าก็หื้อเจ้าเมืองนครชื่อท้าวบุญแฝงกินเมืองแทน ในปีรวายซง้า จุลศักราชได้ ๘๕๑ ตัวหั้นแล ท่านกินเมืองได้ ๘ ปี ก็ได้ไปกินเชียงแสน ในปีกาเป๋า จุลศักราชได้ ๘๕๘ ตัวหั้นแล ได้ ๒๖ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าจิงหื้อหมื่นตีนเชียงมากินเมืองแทน ก็ในปีกาเป๋าจุลศักราชได้ ๘๕๘ ตัวหั้นแล ท่านกินเมืองได้ ๑๐ เดือน ก็ได้ไปกินเชียงแสนก็ในปีกาบยี่ จุลศักราช ๘๕๙ ตัวนั้นหั้นแล ได้ ๒๗ ชั่วเช่นท้าวแล้วแล
พระเปนเจ้าจิงหื้อเจ้าเมืองนครท้าวบุญแฝงลุกเชียงแสนมาเสวยเมืองแถม ในปีกาบยี่ จุลศักราชได้ ๘๕๙ ตัว ท่านเสวยเมืองได้ ๑๒ ปีก็เสี้ยงกรรมไปในปีดับเป๋า จุลศักราชได้ ๘๖๙ ตัวหั้นแล ได้ ๒๘ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าก็หื้อหมื่นสามล้านมากินเมืองแทนก็ในปีดับเป๋า จุลศักราช ๘๖๙ ตัว ท่านเสวยเมืองได้ ๓ ปี ก็ได้ไปเสวยเมืองฝาง ในปีเมิงเม้า จุลศักราช ๘๗๑ ตัว ได้ ๒๙ เช่นท้าวหั้นแล พระเปนเจ้าก็หื้อเจ้าเมืองแพ่สร้อยมากินเมืองแทน ในปีเบิกสีจุลศักราชได้ ๘๗๒ ตัว เสวยเมือง ๓ ปี ก็ได้ไปเสวยเมืองนคร ในปีกดซง้า จุลศักราชได้ ๘๗๕ ตัวหั้นแล ได้ ๓๐ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าก็หื้อหมื่นเจ้าเมืองฝางมาเสวยเมืองแทน ก็ในปีกด ซง้า จุลศักราชได้ ๘๗๕ ตัวหั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๓ ปี ได้ไปเสวยเมืองเถิงในปีเต่าสัน จุลศักราชได้ ๘๗๗ ตัวหั้นแล ได้ ๓๑ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าก็หื้อเจ้าเมืองฝางมาเสวยเมืองแทน ก็ในปีเต่าสันหั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๑๐ เดือน แล้วได้ไปเสวยเมืองพยาว ในปีกาเล้า จุลศักราชได้ ๘๗๘ ตัว ได้ ๓๒ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าก็หื้อเจ้าเมืองแพร่คำยอดฟ้ามาเสวยเมืองแทน ก็ในปีกาเล้า จุลศักราชได้ ๘๗๘ ตัวนั้นแล ท่านกินเมืองได้ ๓ เดือน ก็ได้ไปกินเมืองพยาวก็ในปีกาเล้านั้นแล ได้ ๓๓ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าเมืองปิงเชียงใหม่ก็หื้อเจ้าพระยาหน่อเชียงแสน มาเสวยเมืองในปีกาบเสร็จ จุลศักราชได้ ๘๗๙ ตัว ท่านเสวยเมืองได้ ๓ ปีก็ได้ไปเสวยเมืองพยาวในปีรวายไจ๊ จุลศักราชได้ ๘๘๑ ตัวหั้นแล ได้ ๓๔ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าก็หื้อพระยาคำยอดฟ้ามาเสวยเมืองถ้วน ๒ ที ก็ในปีรวายไจ๊ จุลศักราชได้ ๘๘๑ ตัว ท่านเสวยเมืองได้ ๔ ปี ครั้นเถิงปีกัดเม้า จุลศักราชได้ ๘๘๔ นั้น ท่านก็พร้อมกับด้วยพระสังฆเจ้าทั้งหลายมีครูบาเจ้าวัดแช่แห้งเปนเค้า แลท้าวขุนบ้านเมืองทั้งมวลพากันสร้างพระเจ้าล้านทองแลสร้างกำแพงมุงแวดมหาธาตุเจ้าไว้หันก่อนแล พระยา คำยอดฟ้าเสวยเมืองได้ ๒๓ ปี จิงได้ชื่อว่าพระยาเมืองน่านแล ในปีเบิกเสร็จ อาชญาหาตัวเจ้านายมาเสวยเมืองเชียงใหม่ ได้ ๓๕ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าเชียงใหม่จิงหื้อเจ้าแสนสงครามมาเสวยเมือง ก็ในปีเบิกเสร็จนั้นแล เดือน ๑๒ ขึ้น ๖ ค่ำ จุลศักราชได้ ๘๘๘ ตัวนั้นแล ท่านเสวยเมืองได้เดือนปาย ๑๑ วัน ก็ได้คืนมาเสวยเมืองนครดังเก่าหั้นแล ได้ ๓๖ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าเชียงใหม่จิงจัดยกตั้งเจ้าพระยาคำยอดฟ้าหื้อเปนเจ้าพระยาแสนสงครามแล้ว ก็หื้อคืนมาเสวยเมืองน่านแถมเปนถ้วน ๓ ที ในปีเปิกเสร็จ จุลศักราช ๘๘๘ ตัวหั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ปี ๑ ได้ไปแล่นศึกกลับมาแล้ว อยู่ได้เดือน ๑ ได้ไปรบศึกเชียงใหม่ ลวดเปนฝีร้ายตายเสียในเมืองเชียงใหม่ ในปีกัดไก๊ จุลศักราช ได้ ๘๘๙ ตัวหั้นแล ได้ ๓๗ เช่นท้าวแล
พระเปนเจ้าเมืองเชียงใหม่จิงหื้อเจ้าพระยาพลเทพฦๅไชยมาเสวยเมืองน่านแทน ก็ในปีกัดไก๊ เดือน ๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ จุลศักราช ๘๘๙ ตัวหั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๑๐ ปี เถิงปีเบิกสัน จุลศักราชได้ ๘๙๘ ตัว ท่านก็ได้สร้างวัดหลวงกลางเวียงเมืองน่านแล ท่านเสวยเมืองได้ ๓๒ ปี จุลศักราชได้ ๙๒๐ ปี ปีเบิกซง้า เจ้าฟ้าหงษามังตรามาปราบเอาเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ดังพระยาพลเทพฦๅไชยเมืองน่านก็หนีไปเมืองล้านช้างพุ้นในปีนั้นแล เจ้าฟ้ามังตรา ครั้นท่านได้ปราบเอาเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ก็หื้อพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามได้มาเปนเจ้าเสวยเมืองน่านแทนต่อไปหั้นแล เช่นเจ้าพระยาพลเทพฦๅไชยได้หนีไปล้านช้างวันนั้นได้ ๓๘ เช่นท้าวแล เจ้าฟ้ามังตราท่านอยู่เชียงใหม่นานได้เดือนปาย ๑๒ วัน แล้วก็เสด็จกลับเมือเมืองหงษาดังเก่าวันนั้นแล









๏ เจ้าพระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามได้เปนเจ้าพระยาเสวยเมืองน่านแท้นั้นปีกดสัน จุลศักราช ๙๒๒ ตัวแล
อนึ่งด้วยเจดีย์หลวงท้าวอ้ายยวมสร้างนั้น สูง ๑๗ วา กว้าง ๑๐ วา นั้นก็เปนที่หลุพัง ต้นด้านคือบัลลังก์ด้านเหนือนั้นแล พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามได้เปนเจ้าเสวยเมืองน่านแล้ว ท่านก็พร้อมกับด้วยพระสังฆเจ้าทั้งหลาย หมายมีมหาสามีเจ้ากัลยาโณวัดศรีบุญเรืองเปนเค้า แลชาวบ้านชาวเมืองทั้งมวล พากันริร่างสร้างซ่อมก่อบัลลังก์หื้อดีงามดังเก่า บ่เท่าแต่นั้นก็สร้างแปงทางลี ลอดกำแพงมหาธาตุเจ้ายาว ๑๓๐๐ วา กว้าง ๖๐ วา แลสร้างศาลาเข้าพระแลวิหารน้อยแลอุโบสถคารบริบวรณ์แล
๏ ครั้นเถิงจุลศักราชได้ ๙๔๒ ตัว ปีเบิกยี่ เดือน ๖ ลง ๒ ค่ำพระยาเชียงใหม่คือเจ้าฟ้าสาระวดีจักไปเมืองล้านช้าง ท่านก็มาที่แช่แห้งยั้งพักอยู่ที่นั้น ก็ได้ทราบรู้ยังตำนานแช่แห้งตลอดแล้ว ก็บังเกิดด้วยศรัทธามักใคร่สร้างแล้วจิงจักมีอาชญาบังคับให้พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามหื้อสร้างแปงหื้อดีงาม หื้อสมควรแก่พระตำนานเจ้าเทือะ ว่าอันแล้ว ลุนแต่นั้นมาบ่นานเท่าใด พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามก็ไว้ภารจัดการทั้งมวลในวัดแช่แห้งแก่สังฆศรีบุญเรือง หื้อชาววัดแรกเอาไม้ห้วยตาวได้ไม้ ๖๖ เล่ม ชาวบ้านบุญเรือง ๑๗ คน บ้านแช่แห้ง ๙ คน ปีเต่าซง้าสร้างน้ำบ่อแลโรงอาบเว็จกุฎีหื้อสมเด็จสังฆราชา เจ้าเมืองพ้อมาเปนหัวน่าอยู่เปนเค้าเปนประธานแก่ช่างไม้ทั้งหลาย พ่อช่างไม้มี ๘ ด้ามขวาน มีอินทพูอิฐเปนประธานแก่ช่างไม้พลปีกา เม็ด ชาวบ้านบุญเรืองแลชาวแช่แห้งไปเอาไม้นารากได้ไม้ ๘๖ ปีกาบสัน เดือน ๖ ลง ๑๒ ค่ำ ลิดวิหารเก่า ปีดับเล้า จุลศักราช ๙๕๓ ตัวเดือน ๘ ออก ๕ ค่ำยามกองแลง พระหน่อคำเสถียรไชยสงครามเสวยเมืองต่อไปหั้นแล
พระยาหน่อคำเสถียรไชย สงครามนั้นท่านมีบุตรชาย ๔ คน ตนพี่เค้าชื่อเจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ ตนถ้วน ๒ ชื่อเจ้าน้ำบ่อ ตนถ้วน ๓ ชื่อเจ้าศรีสองเมือง ตน ถ้วน ๔ ชื่อเจ้าอุ่นเมือง ยามเมื่อเจ้าศรีสองเมืองเกิดมานั้น พระยาหน่อคำเสถียรตนพ่อ จิงหื้อหมอโหรามาทวายดู หมอทวาย แล้วจิงไหว้พระยาว่า เจ้ากุมารตนนี้ใหญ่มาภายน่าจะมีเดชานุภาพแล เท่าว่าจักแพ้พ่อแลว่าอัน เมื่อนั้นพระยาตนพ่อว่าจักเอา ไปซัดเสีย ว่าสันนั้น เมื่อนั้นเจ้าน้ำบ่อไหว้ตนพ่อว่า ข้าบ่มีลูก จักขอเอาน้องนี้เมือเลี้ยงไว้เปนลูกซแด ว่าอัน เมื่อนั้นพระยาตน พ่อก็บ่เอาไปซัดเสีย ก็มอบเจ้าศรีสองเมืองหื้อเจ้าน้ำบ่อไปเลี้ยงเปนลูกหั้นแล๏ พระยาหน่อคำเสถียรไชยสงครามตนพ่อเสี้ยงกรรมไปแล้ว เจ้าเจตบุตรตนพี่ก็ได้เสวยเมืองแทนพ่อ ก็ในปีกัดเป๋า จุลศักราช ๙๕๓ ตัวนั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๖ ปี เถิงปีกาบซง้า จุลศักราชได้ ๙๕๘ ตัว เดือน ๘ ลง ๓ ค่ำ ท่านก็เสด็จลงไปอยู่เมืองพ้อ ไปสร้างวัดดอนแท่นไว้ ได้อภิเศกสามีเจ้าขวานแขวนหื้อเปนสังฆราชาแล้ว เมื่อเวลาจักใกล้ มานั้น ท้าวขุนทั้งหลายในเมืองพ้อ ก็พากันแต่งไปเก็บเอาแก้วบ่อน้ำสามาถวายมากนักหั้นแล ท่านก็มีอาชญาหื้อ คนทั้งหลายปัดแปงสะเองยาว ๔ วา กว้าง ๕ ปล้อง ประดับเปนบัวผัด ใสไตรคว่ำรอดทั้งมวล สายสะเองยาว ๓ ศอก กว้าง ๓ ปล้อง ประดับแก้วเสี้ยงพันปายลูก ๑ แล ปีดับเม็ด เดือน ๙ เพ็ง อภิเศกเถรเจ้าแช่แห้งหื้อเปนสังฆราชาหั้นแล เดือน ๙ ลงค่ำ ๑ ใส่สะเองคาดกลางคว่ำแลมารเข้าแลยอดมหาเจดีย์หลวง อันท้าวอ้ายยวมสร้าง นั้นแล
๏ ปีดับเม็ด จุลศักราชได้ ๙๕๙ ตัว เดือนยี่ลง ๙ ค่ำ ยามกองแลง เจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ คือพระยาหลวงน่านแลเจ้าฟ้าสาระวดีต่อรบกันที่ปากง้าวหั้นแล ฝ่ายพระยาน่านบ่ชนะ เจ้าฟ้าสาระวดีถอยรี้พลลงมา ส่วนตนเจ้าพระยาน่านก็หนีไปเมืองล้านช้างพุ้นวันนั้นแล เจ้าฟ้าสาระวดีท่านก็มาแต่งท้าวพระยาทั้งหลายมีพระยาแขก หื้ออยู่รักษาเมืองน่านหั้นก่อนแล
๏ ครั้นเถิง ๓ ปี คือเถิงเบิกเสร็จ จุลศักราช ๙๖๒ ตัว เจ้าเจตบุตร คือ พระยาหลวงน่านได้กำลังลาวคือลาวก็ฟื้นหงษาออกมา แลเจ้า พระยาหลวงน่านได้กำลังแล้ว ก็พาเอากำลังศึกเมืองล้านช้างไปรบเอาเมืองเชียงใหม่บ่ได้ ลาวกินสลี่จ้างเสีย ดังพระยาแขกอันอยู่รักษาเมืองน่านนั้น ครั้นรู้ว่าพระยาหลวงน่านได้กำลังศึกจักไปเอาเมืองเชียงใหม่สันนั้น ก็ผ้ายไปเชียงใหม่ปีเบิกเสร็จนั้นแล พระยาหลวงน่านก็กลับคืนมาอยู่เมืองน่านดังเก่าหั้นแล ฯ
๏ ปีกัดไก๊พระยาดอยน้อยเอาชาวน่านเดือนอาสาธลง ๔ คู่ ลาวจิงหนีเสี้ยงเชียงใหม่แล
๏ ปีลวงเป๋า พระยาแสนมาคุมเอาเมืองน่านบ่ได้หนี ปีเต่ายี่เจ้าพระยาหลวงน่านยกเอารี้พลศึกไปคุมเอาเชียงใหม่บ่ ได้หนีคืนมาแล
๏ ปีกาเม้า จุลศักราช ๙๖๕ ตัว พระเจ้าเชียงใหม่คือเจ้าฟ้าสาระวดียกเอากำลังศึกมาคุมเอาเมืองน่าน เมื่อนั้นเจ้าพระยาหลวงน่านแลเจ้าน้ำบ่อจิงหื้อเจ้าศรีสองเมืองตนเปนน้องเปนลูกก็แม่นแล หื้อไปอยู่ระวังรักษาประตูหิ้งน้อยหั้นแล เถิงเมื่อศึกเข้ามาคุมเวียงวันนั้นก็ลวดไขประตูเอา หมู่ข้าศึกพวกมหาธรรมเข้าเอาเจ้าเจตบุตรพรหมินทร์คือพระยาหลวงน่านกับเจ้าน้ำบ่อตนเปนพ่อเลี้ยงแลพี่นั้น แลดังเจ้าบ่อน้ำนั้นหมู่มหาธรรมจับได้แล้วก็เอาไม้หนีบอกไว้ อยู่ได้ ๗ วันก็ลวดตาย แล้วก็เอาไปซัดตกน้ำบ่อข้างตวันตกวัดพรหมินทร์หั้นแล จิงเรียกว่าเจ้าน้ำบ่อมาเถิงบัดนี้ แล
ดังเจ้าเจตบุตรพรหมินทร์เจ้าเมืองน่านนั้น พวกมหาธรรม คือเจ้าฟ้าสาระวดีจับได้ก็เอาเมือเมืองเชียงใหม่พุ้นหั้นแล ครั้นเอาเมือเถิงเมืองเชียงใหม่แล้ว ครั้นเถิงเดือน ๙ แรม ๙ ค่ำก็ฆ่าเสียยังเมืองเชียงใหม่หั้นแล เจ้าฟ้าสาระวดีฆ่าพระยาหลวงน่านที่เมืองเชียงใหม่วันนั้น แผ่นดินพอไหวแล เจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ ได้เสวยเมืองน่านครั้งต้นได้ ๗ ปี ก็ได้หนีไปอยู่เมืองล้านช้างนานได้ ๗ ปี ก็ได้กลับมาเสวยเมืองตนดังเก่าหั้นแล ท่านเสวยเมืองครั้งถ้วน ๒ ได้ ๔ ปี เถิงปีกาเป๋า จุลศักราชได้ ๙๗๕ ตัว เดือน ๙ ลง ๙ ค่ำ ก็เสี้ยงแก่กรรมตายเพื่อฆ่าที่เมืองเชียงใหม่พุ้นวันนั้นแล ได้ ๔๐ เช่นท้าวก่อนแล ฯ
๏ เจ้าฟ้าสาระวดียกกำลังศึกมาคุมเอาเจ้าเจตบุตรพรหมินทร์ คือเจ้าพระยาหลวงน่านได้แล้ว ก็หื้อเจ้าศรีสองเมืองตนน้องเสวยเมืองน่านแทน ในปีกาเม้า จุลศักราช ๙๖๕ ตัว เดือน ๙ ออก ๗ ค่ำ ยามกองงายหั้นแล แล้วก็เรียกชื่อขึ้นว่า เจ้าพระยาพลศึกซ้ายไชยสงคราม เจ้าเมืองน่าน ว่าอันแล เจ้าศรีสองเมืองพลศึกซ้ายไชยสงคราม ท่านเสวยเมืองได้ ๘ ปี คือเถิงปีกดเสร็จ เจดีย์หลวงอันท้าวอ้ายยวมสร้างนั้นก็ซ้ายพังเสียแล้ว เจ้าพระยาหลวงน่านก็พร้อมกับเสนาอามาตย์แลพระสังฆเจ้าทั้งหลายในจังหวัดนครน่านทั้งมวล มีราชครูเจ้าแช่แห้งแลราชครูเจ้าวัดบุญเรืองเปนเค้าเปนประธาน พร้อมกันลิดมหาเจดีย์หลวงในวันเดือน ๖ ลง ๘ ค่ำ ยามทูตซ้าย ลิดลงมาบ่ฮอดเจดีย์ท้าวขาก่านสร้างนั้น ยังอยู่หน่อยหนึ่ง ครั้นเถิงปีลวงไก๊ จุลศักราชได้ ๙๗๓ ตัว เดือน ๙ ทุติยะขึ้น ๑๓ ค่ำ วันศุกรยามเที่ยงวันแรกก่อสร้างขึ้นสูง ๒๓ วา หั้นแล ตั้งแต่ปีลวงไก๊มาเถิงปีกาเป๋า เมืองล้านช้างมารบ ครั้นเถิงเดือน ๓ ขึ้น ๗ ค่ำ เจ้าพระยาพลศึกซ้ายยกกำลังออกรบลาว ลาวตาย ๒๗๐ คน เดือน ๔ ลง ๕ ค่ำ ลาวพ่ายหนีแล ปีกาบยี่ เจ้าฟ้าอังวะยกพลศึกมาเอาเมืองนครได้ทั้งยาก ชาวนครเชียงใหม่ตายเปนอันมาก เจ้าฟ้าอังวะกวาดเอาชาวเชียงใหม่เมือไว้เมืองหงษาหั้นแล ฯ๏ ครั้นเถิงปีดับเม้า จุลศักราชได้ ๙๗๗ ตัว เดือน ๕ ท้าวพระยาทั้งหลายมีเมืองเชียงใหม่เปนเค้าก็พร้อมกันมาอาราธนาเชิญเจ้าศรีสองเมืองพลศึกซ้ายไชยสงคราม เจ้านครเมืองน่าน เมื้อเปนพระเจ้าเชียงใหม่หั้นแล เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามครั้นท่านได้เปนพระเจ้าเชียงใหม่แล้ว ก็หื้อเจ้าอุ่นเมืองตนน้องเสวยเมืองน่านแทนหั้นแล ครั้นเถิงเดือน ๑๐ ท่านก็เอาชาวน่านเมือเมืองเชียงใหม่วันนั้นแล ด้วยการท่านสร้างพระมหาธาตุเจ้าแช่แห้งนั้น ตั้งแต่วันเสาร์เดือน ๙ ลง ๒ ค่ำ ปีลวงไก๊มาเถิงปีกาไก๊ ค่าสินท่านทั้งมวลนับบ่ได้แลเปนค่าปูนน้ำอ้อยแลจ่ายเลี้ยงสังฆะมาเวียกก่อสร้างแลดังบริบวรณ์แล้ว จิงใส่จังโกแลติดคำตั้งแต่มารเข้าลงมาเถิงถะบอบคว่ำแลธรณีทั้ง ๕ ตีนบันไดหลวงอันตั้งแท่นทั้ง ๒ หั้นแล
เจ้าศรีสองเมือง คือ เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงคราม เจ้านครเมืองน่าน ท่านได้อยู่เสวยราชสมบัติในนครเมืองน่านแทนพี่อ้ายตนได้ ๑๓ ปีแล้ว ก็ได้ไปเปนพระเจ้าเมืองพิงเชียงใหม่ เปนเจ้าเปนใหญ่แก่ลานนาไทยทั้งมวลแล ท่านอยู่เสวยราชสมบัติเปนเจ้าเมืองพิงเชียงใหม่ได้ ๑๗ ปี คือปีลวงเม็ด จุลศักราช ๙๙๓ ตัวหั้นแล เจ้าภาวะมังทราสุทโธธรรมราช ยกรี้พลศึกใหญ่มาคุมเอาเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว ก็เอาพระเจ้าเมืองเชียงใหม่เมือไว้เมืองหงษานครพุ้นหั้นแล เจ้าฟ้าสุทโธก็แต่งหื้อพระยาทิพพันเตเมืองเชียงแสนมาเสวยเมืองเชียงใหม่แทนหั้นแล ฯ๏ ตั้งแต่นั้นมามหากระษัตริย์เมืองพิงเชียงใหม่สาบสูญสุดเสี้ยงไปแล้ว เช่น เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงคราม ได้เสวยเมืองน่านแล้ว ได้ไปเปนพระเจ้าเมืองพิงเชียงใหม่วันนั้นได้ ๔๑ เช่นท้าวก่อนแล ฯ
๏ เจ้าอุ่นเมืองตนเปนน้องได้เสวยเมืองน่านแทนพี่ตน ก็ในปีดับเม้า จุลศักราชได้ ๙๗๗ ตัวนั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๙ ปี คือเถิงปีกาไก๊นั้น จุลศักราชได้ ๙๘๕ ตัว เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำเพ็งเม็งวันศุกร์ ท่านก็ฟื้นม่านหนีลงไปเมืองใต้พุ้นแล ปีกาไก๊ เดือน ๑๒ แรม กวาดเอากองทหารเมืองหงษาแล ฯ
๏ เถิงปีกาบไจ๊ จุลศักราช ๙๘๖ ตัว เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ วันอังคารยามพลันรุ่งจวนมาหลัง พวกมาคุมเอาเมืองไว้ท่าอุ่นเมืองเจ้าฟ้าไล่ข้าหนีจากเมืองน่านไปอยู่เมืองแพร่ เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำวันอังคาร เจ้าอุ่นเมืองลุกเมืองล้านช้างมาฮอดตั้งทัพอยู่วัดอุทยานน้อย เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำวันพฤหัศบดียามแถจักใกล้สู่เที่ยง เจ้าอุ่นเมืองยกเข้านั่งเมืองน่านแล
๏ เถิงเดือนยี่เพ็ง เจ้าฟ้าสุทโธแต่งพลศึกมารุมเอาเมืองน่านเจ้าอุ่นเมืองบ่อาจจักต่อรี้พลท้าวตนใหญ่ได้ ก็หนีไปเมืองล้านช้างพุ้นแล ชาวบ้านชาวเมืองก็แตกตื่นหนีเปนอันมาก พระราชครูเจ้าแช่แห้งแลครูบาเจ้าวัดศรีบุญเรืองแลศิษย์โยมทั้งหลาย ก็พากันหนีไปทางบ่อหว้าหั้นแล กองทัพม่านครั้นมาฮอดเถิงเมืองน่านแล้ว ก็กวาดเอาชาวน่านเมือเมืองหงษาหั้นแล ชาวน่านลวดฉิบหายมากนักหั้นแล เช่น เจ้าอุ่นเมืองได้หนีเสียเมืองน่านไปวันนั้น ได้ ๔๒ เช่นท้าวแล ท่านได้เสวยเมืองได้ ๙ ปี ก็ได้หนีเสียเมืองไปวันนั้นแล ฯ๏ ครั้นเถิงปีดับเป๋า จุลศักราชได้ ๙๘๗ ตัว เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ วันพฤหัศบดีฤกษ์ ๒๒ ตัว ชื่อพรหมิปาลฤกษ์ พระยาหลวงเมืองนคร ยกเอากำลังศึกมาคุมเอาเมืองน่าน เข้าทางประตูท่าช้างเข้านั่งเมืองน่านวันนั้นแล ท่านได้เสวยเมืองแล้ว ก็มาเล็งหันมหาชินธาตุเจ้าแช่แห้งที่หลุพังซ้ายเฟือนไปสันนั้น ท่านก็ปกป่าวพร้อมเพรียงเสนาอามาตย์ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายหนภายในสีมา มีสมเด็จเจ้าทีปังกรเปนเค้าเปนประธานแก่สังฆเจ้าทั้งหลาย พากันสร้างแปงปฏิสังขรณ์ใส่จังโกคำทั้งมวลแท่นบัลลังก์ถ้วน ๒ แลแท่นหลวงทั้งมวลลงมาจุแผ่นดินนั้น เงินพระยานันทมิตรข้าซึ่ง ๑๔๐๐ เปนค่าคำแผ่นได้ใส่แท่นบัลลังก์ทั้ง ๔ ด้าน อนึ่งด้วยบริเวณแลระเบียงพระมหาธาตุเจ้า อันพระยาคำยอดฟ้าสร้างนั้นตั้งแต่ประตูน้อยท้ายพระวิหารหลวงเมือใต้มี ๑๑ ห้อง จะดาท่าวเสีย พระยาหลวงน่านท่านก็ชักชวนพระสังฆเจ้าทั้งหลายหมายมีสมเด็จเจ้าทีปังกรเปนประธาน แลชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายสร้างแปงหั้นแล สร้างตั้งแต่ปีกัดไซ้ จุลศักราชได้ ๙๙๑ ตัวมาแลวัน ๑ ด้วยภารกรรมทั้งมวลอันใส่รักแลหางติดคำทั้งมวล ท่านก็ไว้นักแก่พระหลวงวัดกู่คำใส่แล ศรัทธาร้อยเพียใส่แล แท่นบัลลังก์ถ้วน ๒ มาจุแผ่นดินเปนวัตถุพระหลวงกู่คำพันเงินแล เปนค่าคำแผ่นใส่นอก เปนวัตถุอุปการแห่งพระมหาธาตุเจ้ามากนักนับบ่ได้แล พระธาตุเจ้าวัดแช่แห้งแตกรั่วซึมที่ใด พระหลวงเจ้าวัดกู่คำแลศรัทธาร้อยเพียหยุดยาใส่ลดหางติดคำแท่นบัลลังก์ทั้ง ๔ แผ่นธรณีปทักษิณทั้งมวล ตั้งแต่ปีดับเม้ามาฮอดปีเบิกยี่ได้ ๑๔ ปีนั้น ท่านก็กระทำสร้างแปงบ่ได้หยุดยั้งตราบบริบวรณ์หั้นแล ฯ
๏ ในปีเบิกยี่จุลศักราชได้ ๑๐๐๐ ตัว เดือน ๙ ปฐมขึ้น ๒ ค่ำ ไทยลวงเม้ายามกองงาย เจ้าหลวงน่านคือ เจ้าพระยาเมืองนครน่านก็จุติเสี้ยงกรรมวันนั้นแล ในปีนั้น เดือน ๓ ขึ้น ๖ ค่ำ จิงได้ชักลากสริรออกไปส่งสักการ กระทำบุญให้ท่าน เถิงวัน ๗ ค่ำ ถวายพระเพลิงหั้นแล ในปีนั้นสิ่งเดียว เดือนยี่เพ็งลาวเผ่าบ่ม้างเสียแล ได้ ๔๓ เช่น ท้าวก่อนแล ฯ
๏ เจ้าพระยาเชียงราย ได้มากินเมืองน่านแทนในปีเบิกยี่ จุลศักราชได้ ๑๐๐๐ ตัว นั้นแล ท่านได้เสวยเมือง ๑๑ ปี คือ เถิงปีเบิกไจ๊ จุลศักราชได้ ๑๐๑๐ ตัว เดือนยี่ขึ้น ๑๒ วันอังคารยามราตรี พระยาหลวงน่านคือพระยาเชียงราย ท่านก็เสี้ยงแก่กรรมครั้งนั้นแล ได้ ๔๔ เช่นท้าวก่อนแล ฯ
๏ เมื่อนั้นมหาธรรมเจ้าจิงให้พระยาเมืองเชียงของสามคนพี่น้องมากินเมืองน่าน คนพี่ชื่อว่า เจ้าพระยาแหลมุม คนน้องถ้วน ๒ ชื่อ เจ้าพระยายอดใจ น้องคนถ้วน ๓ ชื่อว่า เจ้าพระยาพระเมืองราชาแล เจ้าพระยาแหลมุมตนพี่ได้มากินเมืองน่านปีกัดเป๋า จุลศักราชได้ ๑๐๑๑ ตัว เดือน ๘ เพ็งเม็งวันอาทิตย์ ไทยกาเล้า ยามแถจักใกล้เที่ยงฤกษ์กฎได้ ๑๔ ตัว ท่านก็เข้ามาสถิตย์อยู่โรงหลวงเสวยเมืองน่านวันนั้นแล ท่านอยู่เสวยนานได้ ๑๔ ปีปาย ๗ เดือน คือ เถิงปีเต่ายี่ จุลศักราชได้ ๑๐๒๔ ตัว เดือน ๓ ลง ๓ ค่ำ พระยาใต้ยกพลศึกมากุมเอาเมืองน่านได้แล้ว จับเอาตัวพระยาแหลมุมลงไปเมืองใต้ ลวดไปฉิบหายเสียเมืองใต้ คนทั้งหลายจึงเรียกว่าพระยาโขง ว่าอันแล ได้ ๔๕ เช่นท้าวแล ฯ
๏ ครั้นเถิงปีดับไส้ จุลศักราชได้ ๑๐๒๗ ตัว มหาธรรมเจ้าจิงหื้อพระยายอดใจตนน้องเสวยเมืองน่านแทนในปีนั้น ท่านก็ลงมาตั้งอยู่เมืองปัวหั้นก่อน ครั้นเถิงปีรวายซง้า จึงลงมาอยู่เมืองน่าน ท่านอยู่เสวยเมืองได้ ๒๓ ปีปาย ๗ เดือน มาฮอด จุลศักราชได้ ๑๐๔๙ ตัว ปีเมิงเม้าเดือนยี่แรม ๗ ค่ำ วันอาทิตย์ ยามกองแลง ท่านก็อนิจกรรมไปวันนั้นแล ได้ ๔๖ เช่นท้าวแล ฯ
๏ เถิงปีกัดไซ้ จุลศักราชได้ ๑๐๕๑ ตัว มหาธรรมเจ้าก็หื้อเจ้าพระเมืองราชาตนเปนน้องพระยาแหลมุมมาเสวยเมืองน่านแทนในปีกัดไซ้นั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๑๕ ปี เถิงปีกาเม็ด จุลศักราชได้ ๑๐๖๕ ตัว เดือน ๑๒ ขึ้นค่ำ ๑ วันเสาร์ ยามพันรุ่งเมื่อคืนฟังคำลาวแสนแก้วว่าราฟื้นม่าน พระสังฆเจ้าทั้งหลายได้รู้แล้วเมตตามันก็บ่ฟัง ครั้นเถิงเดือน ๗ ขึ้น ๑๐ ค่ำ วันศุกร์ยามเที่ยงวัน กองทัพพม่าก็ลงมา ยังบ่ทันเถิงเมืองเทือะ ในวันนั้นคือยามเที่ยงวันนั้นเจ้าพระยาเมืองราชาหันจะต่อจนกำลังมันบ่ได้ ก็เอาครอบครัวลูกเมียหนีไปเมืองล้านช้างโพ้นกับด้วยชนลาวแสนแก้วแล ต่าวลาเสียหั้นแล พระสังฆเจ้าก็พ่ายหนีวันนั้นแล ชาวบ้านชาวเมืองก็แตกหนีไป บางพ่องก็ไปลี้ซ่อนอยู่ป่าไม้ถ้ำดอยห้วยก็มีแล เถิงวัน ๑๔ ค่ำ ทัพม่านก็เข้ามาเถิงในเมืองหั้นแล๏ ดังเจ้าพระยาเมืองราชานั้นไปอยู่เมืองล้านช้างบ่นานเท่าใด ก็หนีไปเมืองใต้พุ่นหั้นแล ได้ ๔๗ เช่นท้าวแล ฯ
๏ ทัพม่านครั้นเถิงเมืองแล้วก็กระทำอันตรายแก่บ้านเมืองรั้วเวียงทั้งมวล คือจุดเผาม้างเพะพระพุทธรูปเจ้าวัดภูมินทรองค์ตวันตกนั้นก็ม้างดู อนึ่งยอดมหาเจดีย์ทิพธาตุเจ้าแช่แห้งแลเจดีย์หลวงกลางเวียงแลทิพเจดีย์เจ้า ก็ม้างเพะวัดวาอารามสาสนาธรรมพระพุทธเจ้าก็จุดเผาเสี้ยง จะดาไว้แต่แผ่นดินหั้นแล ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายก็ตายกันเปนอันมากนักหั้นแล เพราะยังบ่เชื่อบ่ตองยังราชสัจพระมหากษัตริย์เจ้าก็เปนสันนั้นแล เช่น ๓ ท้าวนี้ แม้ว่ามหาธาตุเจ้าแลวัดวาอารามหลุพังตามค้ำศาลาที่ใดก็บ่สร้างแปงสักอันแล เท่าแต่พระธรรมสังฆเจ้าแลศรัทธาพระไทยทั้งหลายพร้อมกันหยุดยาทาบผงตามแต่ได้เท่านั้นแล ฯ
๏ เถิงปีเมิงไก๊ จุลศักราชได้ ๑๐๖๙ ตัว เดือน ๕ ขึ้น ๒ ค่ำ วันอังคาร พระมหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะมีอามิศต่อตั้งหื้อ น้อยอินทร์บ้านฝายแก้วเปนพระนาซ้าย ครอบครองเมืองหั้นก่อนแล เพราะน้อยอินทร์ผู้นั้นยามเมื่อกองทัพม่านมากุมเอาเมืองน่านได้แล้ว ก็จุดเผาวัดวาอารามสาสนา คนทั้งหลายก็แตกตื่นกันเข้าป่าเข้าห้วย ลาวเข้าลี้ซ่อนอยู่สันนั้น ข้าศึกม่านหนีแล้ว น้อยอินทร์ผู้นั้นก็ค่อยเล้าโลมเอาชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายคืนมาตั้งอยู่เหมือนเก่าแล้ว ลุนนั้นมาได้ปี ๑ แกวแลลาวก็ซ้ำมาปราบประจญเอาเมืองน่านแถมครั้ง ๑ ก็กวาดเอาข้าคนพลเมืองไปไว้เมืองแกวเมืองลาวเปนอันมาก คนทั้งหลายบางพ่องก็แตกตื่นเข้าป่าเข้าห้วยดงดอยเงียงถ้ำลี้ซ่อนอยู่ก็มีมากแล ครั้นข้าศึกหนีแล้ว ตัวน้อยอินทร์ผู้นั้นมันเปนผู้ฉลาดยังรอดตัวอยู่ได้ มันค่อยเคาะลมเอาพวกพลคนทั้งหลายซึ่งอันไปลี้ซ่อนอยู่นั้นเข้ามาตั้งอยู่บ้านเมืองเหมือนเก่าหั้นแล เมื่อนั้นคำอันนั้นก็ปรากฎไปเถิงเมืองอังวะ ว่าน้อยอินทร์ผู้นั้นเปนผู้ฉลาดช่างเก็บไพร่ไทยทั้งหลายสร้างบ้านแปงเมืองว่าสันนั้น พระมหากษัตริย์เจ้าเมืองอังวะจิงมีอามิศต่อลงมาว่า หื้อน้อยอินทร์ได้เปนพระนาซ้าย หื้อเปนผู้เก็บไพร่ไทยใส่บ้านใส่เมืองต่อไปว่าสันนั้น ฯ
๏ ในศักราชนั้นสิ่งเดียว พระมหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะ ก็หื้อเจ้าฟ้าเมืองคองลงมาแต่งเมืองน่านกับด้วยพระนาซ้ายหั้นแล ในปีนั้นเจ้าฟ้าเมืองคองท่านก็มาอยู่เมืองริมหั้นก่อน เถิงปีเบิกไจ๊เดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ เจ้าฟ้าเมืองคองก็ลงมาตามหาพระนาซ้ายที่บ้านช้างผ้าหั้นแล ท่านก็มีบังคับแก่พระนาซ้ายหื้อปกป่าวคนทั้งหลายตั้งบ้านแปงเมือง สร้างเหมืองเยียะฝายทำไร่ทำนา ถ้าผู้ใดเปนเจ้าไร่เจ้านา ท้าวพระยาร้องเรียกแล้วบ่มา ถ้าผู้ใดมีกำลังมาสร้างมาแปง จักหื้อผู้นั้นบ่หื้อเจ้าของเก่าอันบ่มาทำการนั้นมาโจทจาเอาได้พรรณาสันนั้น เมื่อนั้นคนทั้งหลายก็มาคิดสร้าง แปงไร่นาตามอาชญาบังคับสู่ประการหั้นแล ฯ
๏ เถิงปีกาบซง้า จุลศักราชได้ ๑๐๗๖ ตัว ท่านก็เถิงแก่กรรมไปในเมืองน่านที่นั้นวันนั้นแล เจ้าฟ้าเมืองคองท่านเสวยเมืองน่านที่นี้ได้ ๗ ปีหั้นแล ได้ ๔๘ เช่นท้าวก่อนแล ฯ
๏ ในศักราชนั้นสิ่งเดียว คือปีกาบซง้านั้น พระมหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะก็หื้อเจ้าฟ้าเมียวซาลงมาเปนเจ้าแต่งเมืองน่านแถมหั้นแลเจ้าฟ้าเมียวซาท่านได้มาเปนเจ้าแต่งเมืองน่านแล้ว ท่านก็พร้อมกับพระนาซ้ายแลพระธรรมพระสงฆ์ทั้งหลาย สร้างแปงแกนธาตุเจ้าติดต่อแกนธาตุ แลแปงเกิ้งขึ้นใส่ ๗ ใบ ในปีรวายสันเดือน ๘ เพ็งเม็ง วันอังคาร ไทยกาบเสร็จหั้นแล เจ้าฟ้าเมียวซาท่านก็มาเปนเจ้าเสวยเมืองน่านได้ ๓ ปีก็เถิงแก่กรรมไปในปีรวายสัน จุลศักราชได้ ๑๐๗๘ ตัวหั้นแล ท่านได้เสวยเมืองแล้วก็พร้อมเพรียงกันกับท้าวขุนทั้งมวลก็สร้างแปงยังพระวิหารวัดภูก๋อง ครั้นสร้างลุกบริบวรณ์แล้ว ก็กระทำเบิกบาย ฉลองทาบริบวรณ์แล้ว พระนาขวาก็หื้อช่างแต้มมาแต้มรูปของท่านไว้ที่ฝาปางเอกวิหารหั้นแล เพื่อไว้หื้อปรากฏแก่คนทั้ง หลายภายน่าหั้นแล ฯ
๏ ลุนนั้นมาเถิงปีรวายซง้า จุลศักราชได้ ๑๐๘๘ นั้น ท่านก็มาพิจารณาดูเมืองน่านนี้หาเจ้าบ่ได้ พระนาขวาพร้อมด้วยท้าวขุนทั้งหลายไปขอเชิญเอาเจ้าเมืองเชียง(ใหม่)มาเสวยเมืองน่านหั้นแล เมื่อนั้นเมืองเชียง(ใหม่)แลเมืองเชียงแสนก็พร้อมกันไปเฝ้ามหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะไหว้สา ตามพระนาขวาหากมาขอเอาเจ้าเมืองเชียงใหม่ไปเปนเจ้าเสวยเมืองน่านนั้นทุกประการแล้ว เมื่อนั้นพระมหากระษัตริย์เจ้าก็ปงอามิศต่ออนุญาตหื้อเมืองเชียงแสนเอา เจ้าพระยาติ๋นเมืองเชียงใหม่ไปเสวยเมืองน่านหั้นแล พระนาขวา คือน้อยอินทร์บ้านฝายแก้วนั้น ท่านได้เสวยเมืองน่านได้ ๑๑ ปีแล้ว ปงเมืองหื้อเจ้าพระยาติ๋นเสวยเมืองต่อไปหั้นแล ได้ ๕๐ เช่นท้าวแล ฯ








๏ เจ้าพระยาหลวงติ๋นมหาวงษ์ เมืองเชียงใหม่ได้มาเปนเจ้าเสวยเมืองน่านก็ในปีรวายซง้า จุลศักราชได้ ๑๐๘๘ ตัว เดือน ๖ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เม็งวันจันทร์ ไทยเมิงเม้า ท่านก็มาสู่เสวยเมืองน่านวันนั้นแล ท่านอยู่เสวยเมืองน่านบ่นาน เท่าใด พระนาขวามีความคิดใหม่กินแหนงจักคิดฟื้นเจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ว่าอัน สันนั้นบ่ทันคิดสักคำ เจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ท่านก็ทราบรู้เสียก่อนแล้ว ท่านก็เรียกเอาพระนาขวามาถามดูตัวนาขวาก็บ่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะตัวได้คิดผิดเสียแล้ว เจ้าหลวงติ๋นท่านกรุณาต่อพระนาขวา ว่าเดิมแต่ก่อน ตัวพระนาขวาก็ได้เปนผู้เก็บรวมไพร่ไทยสร้างบ้านแปงเมือง ท่านก็ได้เปนเจ้าเมืองน่านนี้แล้ว ท่านจึงคิดรำเพิงว่า เมืองน่านนี้หาเจ้าบ่ได้ ท่านจิงไปอาราธนาเชิญ เรามาเปนเจ้าเสวยเมืองน่านที่นี้ บัดนี้ท่านพอยมาจักคิดฟื้นต่อเราเปนเจ้านั้นบ่ถ้าคิดแล จักเสียข้าเจ้าไพร่ไทยเสียบดายแล ดังตัวเราเปนเจ้าก็ถอยลาคืนเมืองหาบ้านเมืองก่อนแล ดังตัวนาขวาก็จงเปนเจ้าเสวยเมืองน่านที่นี้เทือะ เราก็บ่ได้มาข่มเหงเต็งแพ้มาลุชิงเอาบ้านเมืองท่านบ่มี ท่านหากไปขอเอาเรามา เราก็มาตามความคิดนาขวานั้นแล ท่านกรุณาต่อนาขวาสันนั้นแล้ว เมื่อนั้นตัวนาขวาก็มีความสดุ้งตกใจกลัวด้วยเดชานุภาพอำนาจแห่งท่าน จักคิดอยู่สืบต่อไปบ่ได้ จิงจับเอาสีนาดไปอมปากก้องสีนาดไว้ ยิงฆ่าตัวตายยังทุ่งเฟียงแลงหั้นแล ฯ ๏ เจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ แต่เมื่อท่านลุกเชียงใหม่มาเสวยเมืองหัวทีวันนั้น ท่านก็มาแต่ท่านตัวเดียวแลเสนาบ่าวไพร่ตามสมควร ดังมเหษีเทวียังบ่เอามาเทือะ ท่านอยู่เสวยเมืองแล้วก็มาเอานางยอดบ้านนามาเปนมเหษีเทวีหั้นก่อนแล
๏ ดังมเหษีเทวีเมืองเชียงใหม่นั้นมีลูกกับเจ้าหลวงติ๋น ชาย ๓ หญิง ๑ บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อก บุตรชายที่ ๒ ชื่อเจ้ามัวแล บุตรชายที่ ๓ ชื่อเจ้านรินทร์ บุตรหญิงชื่อเจ้าเทพแล เจ้าสี่ตนนี้มาตามหาพ่อเมื่อลุนแล
เจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ท่านเอานางยอดมาเปนมเหษีนั้น ก็มีบุตรหญิง ๓ บุตรหญิงที่ ๑ ชื่อเจ้านางมะลิมาลา บุตรหญิงที่ ๒ ชื่อเจ้านางยอดมโนรา บุตรหญิงที่ ๓ ชื่อเจ้านางคำขา มี ๓ คนพี่น้องแล
เจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อกนั้นท่านเอาเมียเมืองเชียงใหม่ พุ้นนั้น ก็มีบุตรชาย ๖ ตนแล บุตรที่ ๑ ชื่อเจ้าหนานมหาวงษ์ มี ๖ คนพี่น้อง มาตามหาพ่อเมื่อลุนแล ดังเจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อก นั้นท่านมาตามหาเจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ตนพ่อนั้น ท่านก็เอานางเมืองรามมาเปนเมียก็เกิดได้ลูก ๓ ชาย บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้าขวา บุตรชายที่ ๒ ชื่อเจ้าซ้าย บุตรชายที่ ๓ นั้นชื่อเจ้าสมณะ มี ๓ คนพี่น้องแล
ดังเจ้ามัวแลเอาเมียมีลูกหญิง ๑ ชาย ๑ บุตรหญิงชื่อ นางศรีมหามายา บุตรชายชื่อ เจ้าหนานมหาวงษ์ มี ๒ คนพี่น้องแล
เจ้านรินทร์เอาเจ้านางพิมพาลูกเจ้านางเทพนั้น มีลูกกับกัน หญิง ๑ ชาย ๑ บุตรหญิงชื่อ เจ้านางสุคันธา บุตรชายชื่อ ตุ๊นายนารถแสน มี ๒ คน พี่น้องแล เจ้านางเทพนั้นเอาเจ้าไชยราชา เจ้าไชยราชานั้นเปนหลานเจ้าหลวงติ๋น ลุกเมืองเชียงใหม่มาตามหา มีลูกด้วยกันชาย ๓ หญิง ๔ บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้านายอ้าย บุตรชายที่ ๒ ชื่อเจ้าสุทธะ บุตรชายที่ ๓ ชื่อเจ้ามโน บุตรหญิงที่ ๑ ชื่อเจ้านางพิมพา บุตรหญิงที่ ๒ ชื่อเจ้านางโนชา บุตรหญิงที่ ๓ ชื่อเจ้านางเลิศแล บุตรหญิงที่ ๔ ชื่อเจ้านางศรีแก้ว มี ๗ คนพี่น้องแล
เจ้านายอ้ายนั้นเอาเจ้านางคำขา ลูกเจ้าหลวงติ๋น มีลูกด้วยกันชาย ๑ ชื่อเจ้าน้อยวงษ์
เจ้าสุทธะเอาเมียเปนเชื้อตระกูลเล้ม เมียชื่อนางกรรณิกา มีบุตรด้วยกันชาย ๑ ชื่อเจ้าอัตถวรปัญโญ ตนเปนเจ้าฟ้านั้นแล
เจ้ามโนตนถ้วน ๓ เอาเมียเมืองเถินมีลูกกับกันชาย ๑ หญิง ๑ บุตรชาย ชื่อเจ้าสุริยะกลางเวียง บุตรหญิง ชื่อเจ้านางคำปิวแล
เจ้านางพิมพาผู้เปนลูกเจ้านางเทพนั้นเอาเจ้านรินทร์ลูกเจ้าหลวงติ๋น มีลูกกับกัน ๒ คน แล้วก็ร้างเจ้านรินทร์เสีย ไปเอาผัวใหม่เปนผีกะพี่น้องตระกูลห้ามบ่ฟัง มีบุตรกับกันคน ๑ ชื่อนายน้อยคันธานั้น เถิงอันขึ้นใหญ่มาแล้วก็เปนผู้แขงแรงกล้าหาญด้วยการสงครามหั้นแล ครั้นว่ามันเสี้ยงกรรมไปแล้วก็มาเปนผีร้ายอยู่กับหอหลวงปรากฎออกชื่อว่า คันธาสามตา ว่าอันแล
เจ้านางโนชาแลเจ้านางศรีแก้ว ๒ คนนี้บ่มีลูกแล
เจ้านางเลิศนั้นเอาเจ้ามหาพรหมเมืองเถิง มีลูกด้วยกันหญิง ๓ ชาย ๕ บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้ามหาวงษ์ ตนนี้ภายลุนได้เสวยเมืองน่าน บุตรชายที่ ๒ ชื่อเจ้าเมืองแก้ว บุตรชายที่ ๓ ชื่อเจ้าพิมพิสาร บุตรชายที่ ๔ ชื่อเจ้าหนานวุฒนะ ตนนี้ได้เปนเจ้าหลวงเทิง บุตรชายที่ ๕ ชื่อเจ้าสุริยช่อฟ้าแล บุตรหญิงที่ ๑ ชื่อเจ้านางอุบลวรรณา บุตรหญิงที่ ๒ ชื่อเจ้านางศรีวรรณา บุตรหญิงที่ ๓ ชื่อเจ้านางจันทิมา เครือนี้กว้างขวางนักแล
ลูกเจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อกลูกนางเมืองรามตนถ้วน ๓ นั้น ชื่อเจ้าสมณะตนนั้นได้ เปนเจ้าเมืองน่านแล ลูกท่านชื่อเจ้าอจิตตวงษ์ ตนนี้ภายลุนก็ได้เปนเจ้าเมืองน่าน เจ้าอจิตตวงษ์ท่านมีน้องต่างมารดา ๒ ตน ตนพี่ชื่อเจ้าหนานค่ายแก้ว ตนน้องชื่อเจ้าบุษรถ ภายลุนเปนเจ้าเมืองแก่นแล บุตรหญิงชื่อนางแปงเมือง
บุตรเจ้าสุทธะตนชื่อว่า เจ้าอัตถวรปัญโญนั้น ท่านได้เสวยเมืองน่านตนถ้วน ๗ แล เมียท่านที่ ๑ ชื่อเจ้าคำน้อย เปนเชื้อตระกูลเล้ม คือลูกพระยาหาญนั้นแล มีบุตรกับเจ้าฟ้าชาย ๒ หญิง ๓ บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้ามหายศ ตนนี้ภายลุนได้เปนเจ้าราชวงษ์ แล้วก็ได้ไปเปนเจ้าเสวยเมืองน่านตนถ้วน ๙ นั้นแล บุตรชายที่ ๒ เสี้ยงแก่กรรมไปแล บุตรหญิงที่ ๑ ชื่อแม่เจ้าประภาวดี บุตรหญิงที่ ๒ ชื่อแม่เจ้ามี บุตรหญิงที่ ๓ ชื่อแม่เจ้าหล้า แม่เจ้าแก้วก็ว่าแล เมียที่ ๒ ชื่อแม่เจ้าแว่น เปนเชื้อเชียงแสน มีบุตรหญิง ๑ ชาย ๖ บุตรหญิงชื่อแม่เจ้าศรีวรรณาแล บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้าถงแก้ว บุตรชายที่ ๒ ชื่อเจ้าแสงเมือง บุตรชายที่ ๓ ชื่อเจ้าคำฦๅ บุตรชายที่ ๔ ชื่อเจ้าหนานมหาวงษ์ ตนนี้ได้เปนเจ้าวังขวาแล้วก็ได้เปนเจ้าหอน่าตนไปเสี้ยงกรรมที่นครสวรรค์นั้นแล บุตรชายที่ ๕ ชื่อเจ้าสุริยไฮ้ บุตรชายที่ ๖ ชื่อเจ้าหนานไชยาแล เมียที่ ๓ ชื่อแม่เจ้าขอดแก้ว ผู้นี้บ่มีลูกแล เมียที่ ๔ ชื่อแม่เจ้าขันแก้ว ผู้นี้เปนเชื้อเจ้าเมืองเชียงแขงคือเปนลูกเจ้าฟ้าแว่นเมืองเชียงแขง แลมี บุตรชายชื่อเจ้าอนันตยศ ตนนี้ภายลุนได้เปนเจ้าเสวยเมืองน่านตนถ้วน ๑๒ ปรากฎพระทรงนามชื่อว่า อนันตวรฤทธิเดช เจ้าชีวิตรนั้นแล บุตรหญิง ๑ ชื่อแม่เจ้าต่อม มี ๒ พี่น้องแล
แม่เจ้าศรีวรรณานั้นก็เอาเจ้ามหายศเปนเชื้อเชียงของ มีบุตรกับกันหญิง ๕ ชาย ๔ บุตรชายที่ ๑ ชื่อเจ้าหนานเทพ บุตรชายที่ ๒ ชื่อเจ้าจันต๊ะ ตนนี้ได้เปนเจ้าวังขวา บุตรชายที่ ๓ ชื่อเจ้าหนานมหาไชย บุตรชายที่ ๔ ชื่อเจ้ามหาวงษ์แล บุตรหญิงที่ ๑ ชื่อแม่เจ้าสุพรรณ บุตรหญิงที่ ๒ ชื่อแม่เจ้ากรรณิกา บุตรหญิงที่ ๓ ชื่อแม่เจ้าสุธรรมา บุตรหญิงที่ ๔ ชื่อแม่เจ้าคำแปง บุตรหญิงที่ ๕ ชื่อแม่เจ้ายอดหญ้า ผู้นี้ได้เปนอรรคมเหษีองค์เปนเจ้า เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช องค์เสวยเมืองน่านตนถ้วน ๑๓ นั้นแล
บุตรเจ้านางเลิศ ตนที่ ๑ ชื่อเจ้ามหาวงษ์นั้นได้เสวยเมืองน่านตนถ้วน ๑๑ นั้นแล ด้วยลูกเมียจักไปบอกภายน่าพุ้นแล บุตรเจ้านางเลิศที่ ๒ ชื่อเจ้าเมืองแก้ว ตนนี้เอาเมียเชียงลม มีบุตรชื่อเจ้าหนานมหายศ บุตรชายเจ้านางเลิศที่ ๓ ชื่อเจ้าน้อย(พิมพิ)สารตนล่วงไปแล บุตรชายเจ้านางเลิศที่ ๔ ชื่อเจ้าหนานวุฒนะ ตนนี้เปนเจ้าหลวงเทิง บุตรชายเจ้านางเลิศที่ ๕ ชื่อเจ้าสุริยช่อฟ้า ตนนี้เอาแม่เจ้าหล้าลูกเจ้าฟ้า มีลูกชื่อเจ้าน้อยกิติยศแล บุตรหญิงเจ้านางเลิศที่ ๑ ชื่อแม่เจ้าอุบลวรรณา มีลูกชาย ๑ ชื่อเจ้าพระเมืองน้อย บุตรเจ้านางเลิศที่ ๒ ชื่อแม่เจ้าศรีวรรณาเอาเจ้าสุริยกลางเวียง มีบุตรกับกัน ๒ หญิง คือ เจ้ายอดลีลา แลเจ้าเปี้ย บุตรหญิงเจ้านางเลิศที่ ๓ ชื่อแม่เจ้าจันทิมา ผู้นี้เอาเจ้าน้อยกลาง มีบุตรกับกันชาย ๑ ชื่อเจ้าจันต๊ะแล เครือนี้กว้างขวางนักแล เปนเครือเจ้ามหาพรหมเมืองเทิงแลเจ้านางเลิศทั้งมวลแล
เครือเจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อกนั้น ลูกท่านเมืองเชียงใหม่นั้น ตนที่ ๑ ชื่อเจ้าจันทปโชต ตนนี้ภายลุนได้เปนเจ้าพระยาน่านตนถ้วน ๖ ปรากฎทรงนามว่า เจ้ามงคลวรยศแล เมียท่านที่ ๑ ชื่อ ..... มีลูกชาย ๑ ชื่อเจ้าหนานปินตาฝ่ายแก้ว บุตรหญิง ๑ ชื่อแม่เจ้าเกียงคำแล เมียท่านที่ ๒ ชื่อ .... มีลูกชาย ๑ ชื่อเจ้าคำตัน หญิง ๑ ชื่อแม่เจ้า ... เมียเจ้าหลวงเทิงนั้นแล
น้องเจ้ามงคลวรยศที่ ๑ ชื่อเจ้าวิธูร ตนนี้ได้เปนเจ้านาขวาแล้ว ภายลุนก็ได้เสวยเมืองน่านตนถ้วน ๕ นั้นแล ท่านมีบุตรชาย ๑ ชื่อเจ้าอัตถะแล
น้องเจ้ามงคลวรยศที่ ๒ ชื่อเจ้าเทพินทร์ มีลูกชาย ๑ ได้เปนเจ้ารัตนหัวเมืองแก้วแล บุตรหญิง ๑ ชื่อแม่เจ้าสิงสร้อยแล
น้องเจ้ามงคลวรยศตนที่ ๓ ชื่อเจ้าน้อยตู๊ย เอาเมียบ้านแก้มเมืองปัว มีลูกกับกัน ๒ ชาย ชายที่ ๑ ชื่อเจ้าหนานยะ ชายที่ ๒ ชื่อเจ้าหนานนันทไชย ชื่อ ๑ ว่าเจ้าสมแล ตนนี้ได้เปนเจ้าหอน่า น้องเจ้ามงคลวรยศตนถ้วน ๔ ชื่อเจ้ามหาวงษ์ ตนนี้เอาเมียเชียงลม มีลูกชาย ๑ หญิง ๒ ชายชื่อว่าน้อยจะวะนะแล หญิงที่ ๑ ชื่อแม่เจ้านางนันทา หญิงที่ ๒ ชื่อแม่เจ้าใจคำแล เจ้านันทาเอาผัวไพร่ มีลูกชื่อว่าน้อยเทพแลนายทิพดวงมี ๒ คน พี่น้องแล
นางใจคำเอาผัวไพร่ มีลูก(ชาย) ๑ ชื่อชมพู ลูกหญิง ๑ ชื่อนางศรีโสภา ผู้นี้ได้เปนเมียเจ้าพระยารัตนแล อันนี้เปนเครือเจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อกหมู่ลูกเมียท่านเมืองเชียงใหม่แล









๏ อันนี้พอจะกล่าวในเชื้อตระกูลวงษาเจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์เมืองเชียงใหม่ อันได้มาเปนเจ้าเสวยราชสมบัติในเมืองน่านที่นี้ในสมัยนั้น นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายเรียกว่าเปนปฐมต้นแรกหั้นคำ ๑ ก่อนแล ที่จักจาบอกไปเปนหลายแง่หลายเครือต่อ ๆ กันไปภายน่านั้นแท้ ก็เปนอันกว้างขวางมากนักแล
๏ เจ้าหลวงติ๋นมหาวงษ์ท่านได้เสวยราชสมบัติในนครเมืองน่านได้ ๒๖ ปี คือมาเถิงปีลวงเม็ด เดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ เม็ง วันพฤหัศบดีท่านก็อสัญกรรมไปสู่โลกภายน่าวันนั้นแล ท่านเสี้ยงกรรมไปแล้ว เจ้าอริยวงษ์ท่านก็ได้ครองเมืองแถมต่อไปก่อนหั้นแล เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๑๕ ตัว ปีกาเล้า เจ้าอริยวงษ์ท่านก็พร้อมกันกับหน่อขัติยวงษ์เสนาอามาตย์บ้านเมืองทั้งมวล ก็กระทำปลงศพเลิกทรากส่งสักการท่านดีงามหั้นแล เรียกได้ชื่อว่าเช่นชั่ววงษา ๑ ก่อนแล ถ้าว่าจะนับแต่เช่นเจ้าขุนฟองพุ้นมานั้น ก็ได้ ๕๑ เช่นตนเสวยเมืองแล ฯ
๏ อยู่มาเถิงปีกาบเสร็จ จุลศักราชได้ ๑๑๑๖ ตัว เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำนั้น มังสามหลวงก็ถืออามิศต่อจ่าสวนพระมหา กระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะ มาปลงเมืองน่านหื้อเจ้าอริยวงษ์หวั่นท๊อกตนลูกได้เปนเจ้าเสวยเมืองน่านแถมต่อไปหั้นแล ท่านเสวยเมืองได้ ๗ ปี คือเถิงปีกดสี จุลศักราชได้ ๑๑๒๒ ตัวนั้น เมืองลานนาไทยทั้งหลายมีเมืองเชียงใหม่เชียง แสนเปนต้น ก็พร้อมกันคิดฟื้นพระมหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะหั้นแล ฯ
๏ ครั้นเถิงจุลศักราชได้ ๑๑๒๓ ตัว ปีลวงไซ้ ทัพม่านละโปละทัพอัมมกามณีเปนโปโชกมีกำลังหมื่นสามพัน ก็ยก กองทัพใหญ่ลงมา ครั้นเถิงเดือน ๓ ขึ้น ๘ ค่ำก็มาฮอดเวียงเชียงใหม่หั้นแล้ว ก็แวดวังขังเอานานได้ ๕ เดือนปาย ๑๔ วัน ก็ได้เวียงเชียงใหม่หั้นแล ครั้นว่าม่านได้เมืองเชียงใหม่แล้ว ม่านสามโปสามทัพก็ยกมาเมืองนครแลมา เมืองแพร่แลมาเมืองน่าน มาตั้งทัพอยู่หัวเวียง ลวดรั้งพรรษาอยู่แล้ว ก็เก็บเอาเงินค่าเกล้าค่าหัวคู่ผัวเมียไหนก็เก็บ เอาเงิน ๕๐๐ คำบาทหั้นแล ฯ
๏ ครั้นอยู่มาเถิงจุลศักราชได้ ๑๑๒๔ ตัว ปีเต่าซง้า เดือน ๓ ขึ้น ๕ ค่ำ ม่านสามโปสามทัพก็ยกหนีเมือเวียงอังวะหั้นแล ฯ
๏ เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๒๕ ตัว ปีกาเม็ดนั้น ม่านสี่โปสี่ทัพมีกำลังสี่พันก็ยกกองทัพมา มีโปมหามังคละทกคือเปนโป โชก มาจัดเอากำลังลานนาไทยทั้งมวลได้แล้ว ก็ยกกองทัพไปปราบผจญเอาเมืองหลวงพระบาง ก็ได้หั้นแล ฯ
๏ เถิงเดือน ๘ ขึ้น ๖ ค่ำ ทัพพม่าก็ยกจากเมืองหลวงพระบางมาตั้งอยู่ตีนวัดหลวงลำพางเมืองนคร ลวดรั้งพรรษาอยู่ที่นั้น ก็ขับเอากำลังในลานนาไทยห้าสิบเจ็ดเมืองได้แล้ว ฮอดเดือน ๓ ขึ้น ๕ ค่ำ จุลศักราชได้ ๑๑๒๖ ตัว ปีกาบสันนั้น ทัพม่านแลลานนาไทยทั้งมวลก็ยกลงไปเมืองอโยทธยาหั้นแล ฯ
๏ ฝ่ายเมืองน่านนั้น เจ้าอริยวงษ์ก็แต่งหื้อเจ้านายอ้ายตนเปนหลานคุมกองทัพไปตามโปมหามังคละทก คือไปเมืองใต้ หั้นแล ฯ
๏ ในกาลยามนั้น เมืองลานนาทั้งมวลนั้น ม่านทั้งหลายก็เท่าหัวม้าเข้าหางท้าออกมา ก็กวนกวีปรับไหมกินเบี้ยกินเงิน แลชักลากเอาลูกร้างหลานสาวชาวบ้านชาวเมือง ครั้นว่าได้แล้วก็เอาหนีไป กระทำสันนั้นสู่บ้านสู่เมืองนั้นแล ฯ
๏ อยู่มาเถิงศักราช ๑๑๒๗ ตัว ปีดับเล้านั้น ท้าวพระยาเจ้านายบ้านเมืองในลานนาไทยทั้งมวลบ่อาจจะอดได้ ก็ซ้ำพร้อมกันฟื้นม่านแถมสู่บ้านสู่เมือง เมื่อลุนหลังเจ้านายอ้ายไปราชการเมืองใต้หั้นแล ฯ
๏ อยู่มาฮอดเถิงปีรวายเสร็จ จุลศักราชได้ ๑๑๒๘ ตัว ม่านโปมหายักษ์รู้ว่าเมืองลานนาไทยทั้งมวลพลิกฟื้นแถม ก็ยกเอากองทัพออกจากเมืองมาเดือน ๑๑ ลง ๑๑ ค่ำ มาฮอดปากงาวเดือน ๑๑ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ยั้งทัพอยู่ที่นั้นแลฯ๏ ฝ่ายเจ้าหลวงอริยวงษ์เมืองน่านก็จัดได้กำลังศึกแล้ว ก็ยกทัพขึ้นรบม่านที่ปากงาวเหนือเวียงน่านนั้น ม่านก็แตกพ่าย หนีไปหั้นแล ฯ
๏ ในกาลนั้นมหากระษัตริย์อังวะได้รู้ว่าลานนาไทยทั้งมวลพลิกฟื้นสันนั้นแล้ว อยู่มาฮอดจุลศักราช ๑๑๒๙ ตัว ปีเมิงไก๊ ก็แต่งหื้อโปอเสหงวนคือเปนโปโชกมีกำลังหมื่นหนึ่ง ยกทัพขึ้นมาฮอดเชียงใหม่เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ยามนั้นพระยา จ่าบ้านเจ้าเมืองเชียงใหม่แลพระเมืองไชยลพูนก็กวาดเอาไพร่ไทยในเมืองเชียงใหม่แลเมืองลพูนมีกำลังสามพัน ก็ เอาข้ามอยู่ในเวียงลพูนนั้นแล เมื่อนั้นม่านก็ยกมาแวดวัง ขังอยู่แต่วันเดือน ๓ ขึ้น ๑๑ ค่ำ ฮอดเดือน ๔ ลง ๑๔ ค่ำ เม็งวันพฤหัศบดี ยามสู่แจ้ง เวียงลพูนก็แตก แลม่านก็จับเอาพระยาจ่าบ้านเชียงใหม่ขังตัวพระเมืองไชยเมืองลพูนนั้นก็ออกหนีพ้นไปเข้าสู่เมืองฮ่อตราบเถิงบัดนี้แล ครั้นว่าม่านได้เวียงลพูนแล้ว ก็ยกกองทัพเข้ามานคร เมืองแพร่ เมืองน่าน มาเถิงเมืองน่านเดือน ๕ ลงค่ำ ๑ เมืองน่านก็พ่ายหนีไปเมืองลาว อยู่เมืองลาวได้พรรษา ๑ เถิงปีเบิกไจ๊ จุลศักราชได้ ๑๑๓๐ ตัวก็คืนมาตั้งอยู่เมืองน่านดังเก่าหั้นแล ฯ
๏ ดังเจ้านายอ้ายตนเปนหลานไปเอาราชการเมืองใต้ ทวยม่านนั้นก็ตีเอาเมืองใต้ได้ในจุลศักราชได้ ๑๑๒๙ ตัว ปีเมิง ไก๊นั้นแล ครั้นว่าม่านได้เมืองใต้แล้ว ม่านก็เอาเจ้าฟ้าดอกเดื่ออันเปนเจ้าเมืองใต้คืนเมืองอังวะพุ้นหั้นแล เมือทาง เมาะตมะทวายแลดังตัวเจ้านายอ้ายนั้นก็เอาติดตามทวยม่านเมืองทางแสนนั้นแล ครั้นเมือเถิงเมืองอังวะแล้วเจ้านายอ้ายก็ได้กราบทูลมหากระษัตริย์เมืองอังะหั้นแล ฯ ๏ ในศักราชนั้นสิ่งเดียว คือปีเมิงไก๊นั้น ฮ่อก็ยกกองทัพใหญ่ลงมามีกำลังเก้าหมื่น ว่าจักรบเอาเมืองอังวะ ลงมาฮอดเมืองแสนหวีฟ้าหั้น ยามนั้นมหากระษัตริย์อังวะจิงกรุณา หื้อเจ้านายอ้ายเมืองน่านว่าสันนี้ เจ้านายอ้ายได้มาประสบพบราชการพระองค์เราสันนี้ หื้อเจ้านายอ้ายได้เอาราชการเพราะองค์เราออกรบศึกฮ่อก่อนเทือะ ว่าอัน เมื่อนั้นเจ้า นายอ้ายก็ออกรบศึกฮ่อกับด้วยหมู่ไปทัพทั้งหลาย ฮ่อก็แตกพ่ายหนีแล้ว ก็ไล่เลยศึกฮ่อขึ้นไป เถิงขัวเหล็กขัวทองพุ้นแล้ว จิงได้กลับลงมากราบทูลมหากระษัตริย์เจ้า มหากระษัตริย์จิงปงอามิศต่อจ่าสวนหื้อเจ้านายอ้ายได้เปนเจ้าเสวยเมืองน่านแล้ว ส่วนว่าเจ้านายอ้ายครั้นว่า ได้รับอามิศต่อแล้ว ก็ทูลลาจากกระษัตริย์อังวะลงมาเถิงเมืองน่าน เดือน ๑๐ ในจุลศักราชได้ ๑๑๓๐ ตัว ปีเบิกไจ๊หั้นแล เจ้าอริยวงษ์ท่านได้เสวยราชสมบัติเปนเจ้าเมืองน่านนานได้ ๑๕ ปีแล้ว ก็ได้ปงเมืองหื้อเจ้านายอ้ายตนเปนหลานได้กินเมืองแทนตนในจุลศักราช ๑๑๓๐ ตัว ปีเบิกไจ๊เดือน ๑๐ ลง ๘ ค่ำนั้นหั้นแล ได้ ๒ ชั่ววงษาก่อนแล ผิจักนับแต่เจ้าขุนฟองพุ้นมา ได้ ๕๒ เช่นวงษาแล ฯ
๏ เจ้านายอ้าย ท่านได้เปนเจ้าอยู่เสวยราชสมบัติเปนเจ้ากินเมืองน่านนานได้ ๗ เดือน ก็ได้ไปเอาราชการเมืองลาว ครั้นไปฮอดเถิงบ้านโพธ์ที่นั้น ท่านก็เกิดพยาธิโรคปัจจุบัน แล้วก็ลวดสิ้นแก่กรรมตายไปในบ้านโพธิ์ที่นั้นหั้นแล ได้ ๓ ชั่ววงษาก่อนแล นับตั้งแต่ปฐมต้นคือเจ้าขุนฟองมานั้นก็ได้ ๕๓ เช่นเจ้ากินเมืองแล ฯ๏ อยู่มาเถิงจุลศักราชได้ ๑๑๓๑ ตัว เดือนขึ้น ๑๐ ค่ำ มังสามก็ถืออามิศต่อลงมาปงเมืองน่านหื้อเจ้าหนานมโนตนน้องเจ้านายอ้ายหื้อเปนเจ้ากินเมืองน่านแทนหั้นแล เจ้าหนานมโนท่านได้เปนเจ้ากินเมืองน่านได้ ๖ ปี มาเถิงปีกาบซง้า จุลศักราชได้ ๑๑๓๖ ตัวนั้น พระยาจ่าบ้านเชียงใหม่ แลพระยาลพูน แลพระยานครก็เอากันฟื้นฟันม่านอันอยู่เวียงเชียงใหม่ ก็ใช้ไปขอเอากำลังเมืองอโยทธยาขึ้นมารบม่านโปมวยหวานแลจะกายอันอยู่ยังเมืองเชียงใหม่นั้นแล ม่านก็หนีไปในกาลยามนั้นเจ้าวิธูรคือเจ้านาขวาลูกเจ้าอริยวงษ์ก็ได้ไปเอาราชการม่านในเมืองเชียงใหม่ ชาวใต้ก็ได้เจ้าน้อยวิธูรในเมืองเชียงใหม่ที่นั้นแล้ว ก็เอาลงไปเมืองนคร แล้วชาวใต้ก็ตั้งเจ้าน้อยวิธูรนั้นหื้อเปนเจ้ากินเมืองน่าน ก็ในจุลศักราชได้ ๑๑๓๖ ตัว ปีกาบซง้านั้นแล เถิงเดือน ๕ ขึ้น ๑๓ ค่ำท่านก็มาฮอดเมืองน่านหั้นแล ครั้นเจ้าวิธูรมาฮอดเถิงเมืองน่านแล้ว อาชญาเจ้าหลวงมโนท่านก็ปงเมืองน่านทั้งมวลหื้อเจ้าวิธูรได้กินเวียงน่านหั้นแล ในปีนั้น ศักราชนั้น เดือน ๕ นั้นแล เจ้าหลวงมโนท่านได้เสวยราชสมบัติเปนเจ้ากินเมืองน่านได้ ๖ ปี ก็ปงเมืองหื้อเจ้าวิธูรก่อนหั้นแล ได้ ๔ เช่นวงษาก่อนแล นับแต่เจ้าขุนฟองมาได้ ๕๔ เช่นท้าวกินเมืองแล ฯ
๏ เจ้าหลวงวิธูร ท่านได้เปนเจ้าเสวยราชสมบัติแล้ว ในปีนั้นเดือน ๗ ขึ้นค่ำ ๑ ม่านก็ยกกองทัพลงมาทางศาลาปากงาว แลยามนั้นเมืองน่านเจ้าหลวงวิธูรก็ปงบ้านเอาครอบครัวไพร่ไทยหนีลงไปอยู่บ้านจิมท่าปลาที่นั้นแล้ว ก็ยกเอากำลังขึ้นมารบม่านยังเวียงน่านหั้นแล ม่านก็แตกหนีไปหั้นแล ฯ๏ อยู่มาเถิงจุลศักราชได้ ๑๑๓๗ ตัว ปีดับเม็ด อาชญาเจ้าตนชื่อว่าอริยวงษ์ แลเจ้าหลวงวิธูรตนลูก ก็ยกเอาครอบครัวไพร่ไทยหนีจากบ้านจิม ขึ้นมาอยู่บ้านนาพังที่นั้นพรรษา ๑ แล้วเจ้าหลวงวิธูรตนเปนลูกก็เข้าไปเมืองนคร
ในศักราชนั้นสิ่งเดียวเดือน ๖ ลง ๖ ค่ำ เจ้าอริยวงษ์ตนพ่อนั้นก็พาเอาเจ้าจันทโปโชตแลไพร่ไทยครอบครัวลูกเมีย หนี จากบ้านนาพังไปตั้งอยู่เมืองจันทบุรีพุ้น ลุนหลังเจ้าหลวงวิธูรตนลูกไปเมืองนครนั้นแล
๏ เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๔๑ ตัวปีกัดไก๊นั้น เมืองอโยทธยาก็ยกเอากองทัพขึ้นมารบเอาเมืองจันทบุรีหั้นแล เถิงเดือน ๑๒ ลง ๔ ค่ำเวียงจันทบุรีก็แตกหั้นแล ดังมหากระษัตริย์เจ้าเวียงจันท์นั้นก็หนีไปเมืองแกวหั้นแล ชาวใต้ก็ได้ลูกเจ้าเมืองจันทบุรีผู้หนึ่ง ชื่อเจ้านันทเสนกับลูกสาวมหากระษัตริย์เวียงจันท์ผู้หนึ่งชื่อนางเขียวค้อมแลไพร่ไทยทั้งหลาย เอาลงไปเมืองใต้พุ้นนั้นแล ยามเจ้าอริยวงษ์ตนเปนพ่อเจ้าหลวงวิธูรแลไพร่ไทยชาวน่านซึ่งอันติดตามท่านไปอยู่เมืองจันทบุรีนั้น ชาวใต้ก็กวาดลงไปเมืองใต้นั้นเสี้ยงหั้นแล อยู่มาเถิงจุลศักราช ๑๑๔๓ ตัวปีลวงเป๋า เดือน ๓ ลงค่ำ ๑ วันเสาร์ เจ้าพระยาอริยวงษ์ตนเปนพ่อเจ้าหลวงวิธูรนั้นก็เถิงแก่กรรมตายไปในเมืองใต้ที่นั้นหั้นแล
๏ ทีนี้จักจาด้วยเจ้ามโนก่อนแล ครั้นว่าท่านปงเมืองหื้อเจ้าหลวงวิธูรแล้ว ท่านก็หนีไปอยู่เมืองแพร่ แล้วก็กลับคืนมาอยู่บ้านช้างผ้าที่นั้นได้ปี ๑ เถิงจุลศักราช ๑๑๓๙ ตัวปีเมิงเล้าเดือน ๗ ลง ๑๔ ค่ำวันศุกร เจ้ามโนท่านก็หนีไปตั้งอยู่เมืองลาวนาตาลหั้น ในจุลศักราชสิ่งเดียว เจ้าหลวงวิธูรครั้นท่านลุกนครมาเถิงเมืองน่านแล้ว ท่านก็คืนเมือตั้งอยู่เมืองอวนที่นั้นได้ปี ๑ ฯ
๏ เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๔๐ ตัวปีเบิกเสร็จ พระยานครก็ยกเอากองทัพมาตั้งอยู่เมืองงั่วที่นั้น ว่าพระยาวิธูรบ่ตั้งอยู่ในราชสัจมหากระษัตริย์เจ้าเมืองใต้ ว่าสันนั้น ก็ใช้ไปร้องเรียกลงมาเมืองงั่วหั้นแล ครั้นว่าพระยาวิธูรลงมาเถิงเมืองงั่วแล้ว พระยานครก็จับเอาตัวเจ้าวิธูรได้แล้ว ก็เอาใส่คาลงไปเมืองใต้ทั้งลูกทั้งเมียหั้น พระยาวิธูรท่านก็ลวดเถิง อสัญกรรมตายไปในเมืองใต้ที่นั้นหั้นแล ฯ
๏ พระยาวิธูรตนนั้นคือเจ้านาขวาเปนน้องเจ้าจันทปโชตตนที่ ๒ คือลูกเจ้านางเมืองเชียงใหม่หั้นแล ดังเจ้าจันทปโชตตนพี่นั้นก็ได้ติดตามทวยเจ้าพระยาอริยวงษ์ตนพ่อหนีไปล้านช้างแล้วก็เลยลงเมืองใต้พุ้นแล เจ้าพระยาวิธูรท่านได้ เสวยเมืองน่านได้ ๕ ปี ก็ได้หนีจากเมืองไปเมืองใต้พุ้น ในจุลศักราชได้ ๑๑๔๐ ตัวปีเบิกเสร็จนั้นหั้นแลได้ ๕ เช่น วงษาก่อนแล ผิจักนับตั้งแต่เจ้าขุนฟองนั้นได้ ๕๕ เช่นตนกินเมืองแล
ในกาลยามนั้น เมืองลานนาไทยก็บ่มั่นบ่เที่ยงสักบ้านสักเมืองแลดังเมืองน่านเราเปนอันเปล่าห่างสูญเสียหาท้าวพระยาบ่ได้แล
ในศักราชนั้นสิ่งเดียว เจ้าพระยามโนท่านก็ยกเอาครัวลูกเมียหนีจากนาตานเมืองลาวออกมาตั้งอยู่เมืองงั่วที่นั้นได้ปี ๑ ฯ๏ เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๔๑ ตัวปีกาไก๊ เดือน ๕ ขึ้น ๔ ค่ำ พระยาสวรรคโลก พระยาลำพูนก็ยกกองทัพเข้ามาเถิงงั่วที่ นั้น เมื่อนั้นพระยาสวรรคโลกก็ว่าจักกวาดเอาครัวเมืองน่านลงไปไว้เมืองใต้นับเสี้ยงว่าอันเจ้ามโนแลพระยานครก็ พร้อมกันฟื้นฟันพระยาสวรรคโลก พระยาสวรรคโลกก็ด้านพ่ายหนีไปหั้นแล
ในศักราชนั้นสิ่งเดียว เจ้ามโนก็ยกเอาครอบครัวไพร่ไทยหนีจากเมืองงั่วขึ้นมาตั้งอยู่ตีนดอยภูเพียงแช่แห้งก้ำวันตกหั้น แล้ว ท่านก็มาแผ้วถางยังวัดแช่แห้งที่นั้นหื้อหมดใสดีงามแล้ว ก็สร้างสืบโรงอุโบสถนั้นหื้อกว้างขวางออกแถมห้อง ๑ หั้นแล ดังประตูโขงกำแพงพระธาตุเจ้าก้ำวันตกนั้น ท่านก็ลิดเทเสียว่าจักสร้างแปงก่อใหม่ว่าอัน ก็บ่ทันได้สร้างเทือะ ในศักราชนั้นสิ่งเดียวเดือน ๖ ลง ๘ ค่ำ ทัพม่านแลพระยายองก็เข้ามาเถิงเมืองน่าน คุมเอาเมืองน่านได้แล้ว ก็กวาดเอาชาวน่านเมือไว้เมือง เชียงแสนหั้นแล ดังเจ้ามโนท่านก็ได้ยกเอาครอบครัวลูกเมียหนีขึ้นเมืออยู่เมืองเชียงแสนในวันเดือน ๗ ลง ๖ ค่ำ จุลศักราชได้ ๑๑๔๑ ตัวปีกัดไก๊หั้นแล
๏ อยู่มาเถิงศักราชได้ ๑๑๔๒ ตัว ปีกดไจ๊ เดือน ๖ ลง ๑๑ ค่ำ พระยาจ่าบ้านเชียงใหม่แลพระยานครพระยาแพร่แล ลาวเมืองหลวงพระบาง ก็ยกทัพขึ้นเมือตั้งอยู่สบกดหั้นแล
๏ ฝ่ายเมืองเชียงแสนคือเจ้ามวยหวานเชียงแสนก็ห้างรี้พลศึกต่อรบกับด้วยพระยานครเชียงใหม่นานได้เดือน ๑ กำลัง เมืองเชียงแสนบ่อาจจักต่อได้ เถิงเดือน ๗ ลง ๖ ค่ำวันจันทร์ยามเช้า เมืองเชียงแสนก็แตกถอยครอบครัวออกหนีขึ้นเมือเมืองภูเพียงหั้น แล ดังเจ้ามโนท่านก็ได้ยกเอาครอบครัวไพร่ไทยลูกเมียหนีจากเชียงแสน ไปตั้งอยู่เมืองภูเพียงพุ้นกับชาวเมืองเชียงแสนหั้น เถิงจุลศักราชได้ ๑๑๔๑ ตัวปีกาไก๊ เดือน ๕ ขึ้น ๔ ค่ำ พระยา สวรรคโลก พระยาลำพูนก็ยกกองทัพเข้ามาเถิงงั่วที่ นั้น เมื่อนั้นพระยา สวรรคโลกก็ว่าจักกวาดเอาครัวเมืองน่านลงไปไว้เมืองใต้นับเสี้ยงว่าอันเจ้ามโนแลพระยานครก็ พร้อมกันฟื้นฟันพระยาสวรรคโลก พระยาสวรรค โลกก็ด้านพ่ายหนีไปหั้นแล แลท่านอยู่ที่นั้นได้พรรษา ๑ ครั้นว่าออกพรรษาแล้วท่านก็ขับหื้อเอาครอบครัวไพร่ไทยแลชาวเมืองเชียงแสนทั้งมวลลงมาตั้ง อยู่เชียงแสนหื้อเปนบ้านเปนเมืองเหมือนเก่าหั้นแล ยามนั้นอาชญาเจ้ามโนท่านก็ยกเอาครอบครัวลงมาอยู่เชียงแสนในเวียง หั้นกับด้วยชาวบ้านชาวเมืองนั้นหั้นแล
๏ อยู่มาเถิงจุลศักราช ๑๑๔๔ ตัวปีเต่ายี่ เดือน ๓ ขึ้น ๕ ค่ำม่านก็หื้ออาชญาเจ้ามโนยกเอาครอบครัวไพร่ไทยชาวน่าน ชาวเทิงทั้งมวลลงมาตั้งอยู่ในเมืองเทิงที่นั้นได้ ๓ ปี เถิงปีกาบยี่จุลศักราชได้ ๑๑๔๖ ตัวเดือน ๘ ลง ๒ ค่ำเม็งวันพฤหัศบดียามเที่ยงคืน เจ้ามโนท่านก็เถิงแก่อสัญกรรมตายไปวันนั้นแล เถิงเดือน ๙ ขึ้น ๔ ค่ำก็กระทำส่งสักการท่านนั้นแล
ในศักราชนั้นสิ่งเดียวเจ้ามวยหวานเชียงแสนก็ใช้มาเอาเจ้าอัตถวรปัญโญตนเปนบุตรเจ้าสุทธะ เปนหลานเจ้ามโนที่ เมืองเทิงนั้นขึ้นเมือเมืองเชียงแสนที่นั้นแล้ว ก็ปงเมืองน่านทั้งมวลหื้อเจ้าอัตถวรปัญโญได้เปนพระยาน่านหั้นแล ยามนั้นทีนั้น เจ้ามวยหวานเชียงแสนจิงใช้แสนไชยปการขึ้นเมือทูลมหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะหั้นแล เมื่อนั้นมหากระษัตริย์เจ้าอังวะจิงมีอามิศต่อจ่าสวนลงมาว่าหื้อเจ้าอัตถวรปัญโญตนหลานหื้อได้เปนพระยากินเมืองน่านหั้นแล เจ้าอัตถวรปัญโญได้รับอามิศต่อจ่าสวนได้กินเมืองน่านแล้ว ก็อยู่เมืองเทิงที่นั้นก่อนแล๏ ในเมื่อศักราชได้ ๑๑๔๕ ตัวปีกาเม้านั้น เมืองน่านเราก็เปนอันเปล่าห่างสูญเสีย ก็บ่มีท้าวพระยาผู้รักษาแลรั้งไพร่ไทยทั้งหลายอันเกิดค้างอยู่กับบ้านกับเมืองนั้น ก็พากันลี้ซ่อนอยู่ในป่าเถื่อนฮอมห้วยราวเขาหั้นแล
ดังฝ่ายเจ้าตนมีอายุอันตกลงไปเมืองใต้นั้น มหากระษัตริย์เจ้าเมืองใต้ก็ตั้งเจ้าหนานจันทปโชตตนเปนลูกเจ้าอริยวงษ์นั้น หื้อเปนเจ้าพระยามงคลวรยศ แล้วก็หื้อขึ้นมาเปนเจ้าเสวยเมืองน่านในจุลศักราชได้ ๑๑๔๕ ตัวปีกาเม้า เดือน ๕ ขึ้นค่ำ ๑ วันพฤหัศบดีท่านก็ขึ้นมาตั้งอยู่บ้านท่าปลาที่นั้นหั้นแล ฯ
๏ อยู่มาเถิงจุลศักราชได้ ๑๑๔๗ ตัวปีดับไซ้ มหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะก็ยกเอามากองทัพใหญ่ลงมาว่าจักยุทธกรรมเอาเมืองกรุงศรีอยุทธยา ก็ลงมาทางเมาะตมะทวาย จึงแต่งหื้อพะกามมังดีเปนโปโชก มีกำลังหมื่นหนึ่งลงมาทางเมืองลานนาไทยมาฮอดเมืองเชียงแสน เดือน ๔ ขึ้น ๑๑ ค่ำวันเสาร์ ก็ยกกองทัพออกจากเชียงแสนมาเถิงเมืองเทิงมาขับเอากำลังเมืองแล้วก็มาเถิงเมืองน่าน เมืองแพร่ ฝ่ายเมืองเชียงใหม่นครก็พร้อมกันเปนอันเดียว แลยามนั้น พระยาน่านพระยาแพร่บ่สู้บ่รบ ก็ลวดน้อมตัวเปนข้าม่าน เมืองเถินพร้อมเปนข้าม่านเสียหั้นแลดังเชียงใหม่แลนครบ่น้อมม่าน ก็ยกเอากองทัพเข้ามาแวดวังขังเอาหั้นแล ยามนั้นกองทัพมหากระษัตริย์เจ้าเมืองอังวะก็มาทางเมาะตมะ ทวายนั้นก็บ่อาจจักต่อเมืองอโยทธยาได้ ก็ด้านพ่ายหนีมาคืนเมืองอังวะดังเก่าแล ดังฝ่ายเมืองลานนาไทยนี้โปทัพพะกามมังดีก็พ่องเอานครเชียงใหม่ก็บ่ได้ ครั้นรู้ว่าทัพฝ่ายมหากระษัตริย์ลงไปเอา เมืองใต้บ่ได้ด้านคืนเมือดังอัน โปทัพพะกามมังดีก็เลิกถอยหนี เอากองทัพมากวาดเอาเถิงชาวแพร่ชาวน่านขึ้นเมือไว้เมือง เชียงแสนนับเสี้ยงหั้นแล
๏ อยู่มาเถิงจุลศักราช ๑๑๔๘ ตัว ปีรวายซง้าเดือน ๘ ลง ๒ ค่ำพะกามมังดีโปทัพก็ยกกองทัพออกจากเมืองเชียงแสน หนีเมืออังวะหั้นแล
ในศักราชนั้นสิ่งเดียว เดือน ๕ เพ็ง พระยาแพร่ก็พร้อมกับด้วยหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งมวล มีพระยายองเปนต้น ก็ฟื้นฟันม่านยังเวียงเชียงแสนที่นั้น ดังตัวมวยหวานเชียงแสนก็พ่ายหนีลงมาเชียงราย พระยาเชียงรายก็จับได้ตัวมวยหวานแล้วก็ส่ง ไปเมืองนคร พระยานครก็ส่งตัวมวยหวานลงไปเมืองใต้ ก็ลวดไปเสียเมืองใต้หั้นแล ในศักราชนั้นสิ่งเดียว พระยานครก็ยกทัพขึ้นเมืออยู่เชียงแสนแล้วก็จับเอาตัวพระยาแพร่ใส่คาลงไปเมืองใต้หั้นแล
ในศักราชนั้นสิ่งเดียว เดือนยี่ขึ้น ๖ ค่ำ ม่านก็ยก กองทัพใหญ่ลงมาเมืองเชียงแสน ตั้งอยู่บ้านดายท่าแพ้นั้นแล ยามนั้นพระยานครก็รีบกวาดเอาครัวเมืองเชียงแสนลงมาเมือง เทิงแล้ว ก็หนีเมือเมืองนครหั้นแล
ยามนั้นพระยายองก็เอาครัวหนีข้ามของ ไปตั้งอยู่เมืองภูคาที่นั้นหั้นแล
ดังฝ่ายพระยาน่าน แลชาวเทิงทั้งมวลก็ค่อยเกากุมครอบครัวไพร่ไทยชาวน่านชาวเทิงทั้งมวลหนีออกจากเมืองเทิง ลงมาในวันเดือนยี่ขึ้น ๑๓ ค่ำ มาฮอดเมืองน่านเดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ มาตั้งอยู่บ้านถีดริมน้ำน่านวันตกภูเพียงแช่แห้งหั้นแล ฯ
๏ ยามนั้นเจ้าจันทปโชตคือเจ้ามงคลวรยศนั้นท่านก็ยังตั้งอยู่ท่าปลาหั้นแล ดังเจ้าสมณะตนเปนน้องเจ้าพระยามงคลวรยศนั้นท่านก็ขึ้นมาตั้งอยู่บ้านคือเวียงพ้อหั้นแล ยามนั้นเจ้าอัตถวรปัญโญท่านก็พาเอาท้าวขุนไพร่ไทยตามสมควร ว่าจักลงไปไชยหาเจ้าสมณะตนเปนน้าที่บ้านคือว่าสันนั้น ยามนั้นยังมีขุนผู้หนึ่งจิงจักทวายเมียบุสรักว่าด้วยเจ้าอัตถวรปัญโญจักลงไปไชยหาน้านั้น ยามนั้นขุนเมียผู้นั้นจิงจักไหว้ห้ามบ่หื้อไปเทือะ เพราะออกเมื่อบ่ดี ครั้นเจ้าจักลงไปไชยหาน้าในวันนี้แท้ กลัวจักเกิดเหตุอันตรายแลว่าอัน เมื่อนั้นท้าวขุนทั้งหลายไหว้ห้ามท่านสันนั้นท่านก็บ่ฟัง ก็พา เอาท้าวขุนขึ้นเรือล่องลงไปหาเจ้าตนเปนน้าที่บ้านคือเวียงสาหั้นแล ยามนั้นเจ้าสมณะตนเปนน้า ท่านก็ตีเหล็กอยู่ เจ้าตนเปนหลานก็เข้าไปหาเจ้าตนเปนน้าหั้นแล เจ้าตนเปนน้าครั้นว่าหันเจ้าตน เปนหลานเข้าไปหาสันนั้นก็คิดใจว่า มันเปนข้าเหนือ กูเปนข้าใต้ สิ้มมันจักมาเอากูก็บ่แจ้ง คิดสันนี้แล้วก็จิงห้ามเจ้าตนหลานบ่หื้อเข้าไปหา ห้ามถ้วน ๒ ทีถ้วน ๓ ทีหั้นแล เมื่อนั้นเจ้าตนเปนหลานก็เอิ้นบอกกล่าวว่า ข้าจักไปหาน้าด้วยสวัสดีบ่คิดคืนด้วยประการใดแล ว่าอันแล้ว เจ้าตนหลานก็ซ้ำเข้าไปใกล้เจ้าตนเปนน้าแถมหั้นแล เมื่อนั้นเจ้าตนเปนน้าก็วัดจับได้ปืน ก็ยิงเจ้าตนเปน หลานถ้วน ๒ ที ๓ ทีก็บ่ออกบ่ไหม้หั้นแล เจ้าตนหลานหันเจ้าตนน้ากระทำแก่ตนสันนั้น ก็วัดจับได้หอกก็ไล่เจ้าตนน้า เจ้าตนน้าก็บ่ช่างทนอยู่ได้ ก็แล่นหนีไปทางวังคือน้ำน่าน ในขณะนั้นมีบ่าวเจ้าตนน้าผู้ ๑ ก็แล่นทวยเจ้าตนน้าไปแล เจ้าตนหลานก็ไล่ทวยไปเถิงริมน้ำน่านแล้ว เจ้าตนน้าก็โจนลงน้ำทัดที่วังคือหั้นแล เกือบสิ้นชีวิตร ดังบ่าวท่านผู้นั้นก็โจนลงทวยแห่งตนแล้ว ก็กุมฟุยเอาเจ้าตนไปฟากน่านก้ำน่าแล้วก็พาหนีไปหั้นแล เมื่อนั้นเจ้าตนหลานก็พาเอาท้าวขุนบ่าวไพร่คืนมาเสียก่อนหั้นแล
ในศักราชนั้นสิ่งเดียว เจ้าตนเปนหลานก็พาเอาท้าวขุนบ่าวไพร่ลงไปหาเจ้าพระยามงคลวรยศตนเปนน้าที่เมืองท่าปลา แล้วก็พูดด้วยกิริยาภาวะด้วยเจ้าสมณะตนเปนน้ากระทำแด่ตนนั้นหั้นแล เมื่อนั้นเจ้าพระยามงคลวรยศตนเปนน้าอันเปนผู้เถ้าแก่นั้น ท่านก็มีคำตักเตินห้ามขอกับเจ้าตนหลานก็บ่หื้อมีความอาฆาฎหมายมั่นแก่พ่ออาว์ ขอเจ้าตนเปนหลานอย่าได้ถือสาพ่ออาว์ เทือะ อนึ่งบ้านเมืองน่านของเรานี้ ต่อนี้ไปภายน่าเยี่ยงสันใดจะดีกานกุงรุ่งเรืองไปภายน่านั้น น้าก็จักมอบปงหื้อเจ้าตนหลาน ได้ครอบครองรักษาทั้งมวลแล้วแล อนึ่งน้าก็เถ้าแก่แล้ว น้าได้ครอบครองเมืองมาก็ได้ ๒ ปี ๓ ปีแล้ว บ้านเมืองก็บ่มั่นบ่แก่นสัก เทือะแล เจ้าตนหลานครั้นว่าได้ยินเจ้าตนเปนน้ามีคำตักเตือนสันนั้นท่านก็มีความยินดีแล้วก็อนุญาตปลดปลงยังโทษ แลคุณทั้งมวลแก่เจ้าสมณะตนเปนน้านั้นแล้ว ท่านก็ลาเจ้าพระยามงคลวรยศตนเปนน้าขึ้นมาอยู่บ้านติ้ดบุญเรืองก่อนหั้นแล
เจ้าพระยามงคลวรยศคือเจ้าจันทปโชตนั้น ท่านได้เปนเจ้าครองเมืองน่านได้ ๔ ปี เถิงปีรวายซง้าจุลศักราชได้ ๑๑๔๘ ตัว ปีนั้น ท่านก็ได้มอบฝูงบ้านมืองน่านทั้งมวลหื้อเจ้าอัตถวรปัญโญตนเปนหลาน ได้ครอบครองรักษาต่อไปก่อนแล ผิจักนับแต่เจ้าขุนฟองมา ก็ได้ ๕๖ เช่นตนเสวยเมืองแล ฯ