ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 16 (2462)

จาก วิกิซอร์ซ
ดูฉบับอื่นของงานนี้ที่ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 16
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑๖
พงษาวดารเมืองพระตะบอง ของเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์
พระอภัยพิทักษ์ (เลื่อม อภัยวงศ์) พิมพ์ครั้งแรก
ในงานปลงศพ
นางสงวน อภัยพิทักษ์
ปีมะแม พ.ศ. ๒๔๖๒
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร

พระอภัยพิทักษ์ (เลื่อม อภัยวงศ์) มาแจ้งความแก่กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครว่า จะทำการปลงศพนางสงวน อภัยพิทักษ์ ภรรยา มีความศรัทธาจะสร้างหนังสือเปนของแจกในงานศพสักเรื่อง ๑ ขอให้ช่วยเลือกหาเรื่องหนังสือให้ ข้าพเจ้าเลือกพบหนังสือเรื่องพงษาวดารเมืองพระตะบอง เห็นว่าเหมาะแก่การ จึงได้จัดให้พิมพ์เปนประชุมพงษาวดารภาคที่ ๑๖

หนังสือพงษาวดารเมืองพระตะบองที่พิมพ์ในสมุดเล่มนี้ เจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย) ผู้เปนปู่ของพระอภัยพิทักษ์ แต่งทั้ง ๒ เรื่อง เรื่อง ๑ เมื่อในรัชกาลที่ ๔ พระยาอภัยภูเบศร์ (นอง) ถึงอนิจกรรม เจ้าพระยาคทาธรฯ ยังเปนพระยาคทาธรฯ เข้ามาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท มีรับสั่งให้พระราชเสนาถามลำดับวงศ์สกุลผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองแต่ก่อนมา เจ้าพระยาคทาธรฯ จึงชี้แจงให้จดเนื้อความทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ อิกเรื่อง ๑ นั้นแต่งเมื่อในรัชกาลที่ ๕ เวลาเจ้าพระยาคทาธรฯ เปนพระยาผู้สำเร็จราชการเมืองแล้ว ในสมัยนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รวบรวมหนังสือพงษาวดารต่าง ๆ อันปรากฎได้พิมพ์มาในประชุมพงษาวดารแล้วหลายเรื่อง เช่นพงษาวดารเมืองหลวงพระบางนั้นเปนต้น แลครั้งนั้นพระยาราชเสนามีราชการออกไปเมืองพระตะบอง ทำนองจะทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้ไปหาหนังสือพงษาวดารเมืองพระตะบองเข้ามาถวายด้วย จึงปรากฎว่า เจ้าพระยาคทาธรฯ ได้เรียบเรียงหนังสือพงษาวดารเมืองพระตะบองมอบให้พระยาราชเสนานำเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายอิกเรื่อง ๑ จึงเปน ๒ เรื่องด้วยกัน ในการที่พิมพ์ ข้าพเจ้าให้เอาเรื่องแต่งทีหลังพิมพ์ไว้ข้างน่า เพราะเห็นเปนเรื่องพงษาวดารเมือง ส่วนเรื่องที่แต่งก่อนว่าด้วยวงศ์สกุลของผู้สำเร็จราชการเมือง จึงให้พิมพ์ไว้ข้างหลัง น่าเสียดายแต่เปนหนังสือสั้นอยู่สักน่อย แต่แต่งไว้เท่านี้ ก็ต้องพิมพ์เพียงเท่าที่แต่ง

ข้าพเจ้าขออนุโมทนากุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่งพระอภัยพิทักษ์ได้จัดการปลงศพนางสงวน อภัยพิทักษ์ ผู้ภรรยา แลได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย เชื่อว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับสมุดเล่มนี้ไปอ่านคงจะอนุโมทนาด้วยทั่วกัน

  • สภานายก
  • หอพระสมุดวชิรญาณ
  • วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖


ข้าพระพุทธเจ้า พระยาคทาธรธรณินทร์ ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง ขอพระราชทานทำเรื่องพงษาวดารกระษัตริย์กรุงกัมโพชาธิบดีกับลำดับเจ้าเมืองพระตะบองส่งให้พระยาราชเสนานำน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทราบฝ่าลอองธุลีพระบาท

เดิมเมื่อครั้งกรุงธนบุรี เจ้าองค์ตนเปนสมเด็จพระอุไทยราชา เจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี ภายหลังสมเด็จพระอุไทยราชาให้เจ้าองค์รามน้องต่างมารดาขึ้นครองราชสมบัติเปนสมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จพระอุไทยราชาลดลงมาอยู่ที่สมเด็จพระมหาอุปโยราช ครั้นศักราช ๑๑๔๒ ปีชวด โทศก (พ.ศ. ๒๓๒๓) สมเด็จพระมหาอุปโยราชถึงแก่พิราไลย ฝ่ายสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้ากรุงกัมโพชาประพฤติการไม่เปนยุติธรรม เสียประเพณีบ้านเมืองไป ฟ้าทะละหะ ชื่อ มู พระยาจักรี ชื่อ ฟาง พระยาเดโช ชื่อ แทน เจ้าเมืองกะพงสวายพี่น้อง ๓ คน กับพระยากลาโหม ชื่อ ชู ขุนนางเหล่านี้เปนฝักฝ่ายของสมเด็จพระอุปโยราช คิดก่อการกำเริบ ได้สมัคพรรคพวกมาก จับสมเด็จพระรามาธิบดีเจ้ากรุงกัมโพชาสำเร็จโทษเสีย แล้วไปรับราชบุตรแลราชธิดาสมเด็จพระอุปโยราชมาแต่เมืองบาพนม คือ องค์เองชาย ๑ องค์เมญ ๑ องค์อี ๑ องค์เภา ๑ หญีง ๓ คน มาไว้เมืองพุทไทเพ็ชร แล้วฟ้าทะละหะตั้งตัวเปนเจ้าฟ้ามหาอุปราช พระยาจักรีตั้งตัวเปนพระองค์แก้ว พระยากลาโหมตั้งตัวเปนสมเด็จเจ้าพระยา แต่พระยาเดโชเปนเจ้าเมืองกะพงสวายอยู่ตามเดิม ฝ่ายพระยายมราช ชื่อ แบน แลพระยาพระเขมรทั้งปวงซึ่งเปนข้าสมเด็จพระรามาธิบดี ก็พากันหนีเข้ามาณเมืองพระตะบอง บอกข้อราชการบ้านเมืองซึ่งเกิดจลาจลเข้ามาณกรุงธนบุรี ณเดือนยี่ ปีชวด โทศก ในแผ่นดินตาก

ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๔ ปีขาล จัตวาศก (พ.ศ. ๒๓๒๕) แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ โปรดเกล้าฯ ให้พระยายมราช แบน ออกไปปราบปรามกรุงกัมโพชาเรียบร้อยแล้ว พระยายมราช แบน จึงส่งเจ้าองค์เองชาย ๑ เจ้าองค์เมญ ๑ เจ้าองค์อี ๑ เจ้าองค์เภา ๑ หญิง ๓ เข้ามาณกรุงเทพฯ เวลานั้นเจ้าองค์เองยังเยาว์อยู่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยายมราช แบน เปนฟ้าทะละหะ ให้อยู่รักษากรุงกัมโพชาธิบดี ตั้งทัพใหญ่อยู่ณเมืองอุดงมีไชย

ครั้นศักราชได้ ๑๑๕๖ ปีขาล ฉศก (พ.ศ. ๒๓๓๗) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์โปรดเกล้าฯ อภิเศกให้เจ้าองค์เองออกไปเปนสมเด็จพระรามาธิบดีครองกรุงกัมโพชา จึงทรงขอแยกเมืองพระตะบอง เมืองนครเสียมราฐ มาขึ้นแก่กรุงเทพฯ แล้วโปรดให้ฟ้าทะละหะ แบน พาขุนนางพระยาพระเขมรพรรคพวกเข้ามาตั้งอยู่ณเมืองพระตะบอง โปรดเกล้าฯ ตั้งให้ฟ้าทะละหะเปนที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง (๑) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ได้ถวายบุตรชายคน ๑ ชื่อ นายรศ มาเปนมหาดเล็กรับราชการอยู่ณกรุงเทพฯ

สมเด็จพระรามาธิบดีพระองค์เองไปครองกรุงกัมโพชานั้น มีราชบุตรชื่อ เจ้าองค์จัน ๑ เจ้าองค์สงวน ๑ เจ้าองค์อิ่ม ๑ เจ้าองค์ด้วง ๑ แต่เจ้าองค์จันกับเจ้าองค์สงวนร่วมมารดากัน เจ้าองค์อิ่มกับเจ้าองค์ด้วงร่วมมารดากัน สมเด็จพระรามาธิบดีองค์เองครองกรุงกัมโพชาได้ ๓ ปี ถึงแก่พิราไลย จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งเจ้าองค์จันเปนสมเด็จพระอุไทยราชา ตั้งเจ้าองค์สงวนเปนมหาอุปโยราช ตั้งเจ้าองค์อิ่มเปนพระมหาอุปราช แต่เจ้าองค์ด้วงน้องสุดท้องนั้นยังเล็กอยู่ แลเจ้าองค์จันเมื่อครั้งโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปเปนสมเด็จพระอุไทยราชาครองกรุงกัมโพชานั้นชนมายุได้ ๑๖ พรรษา

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนเจ้าเมืองพระตะบองได้ ๑๖ ปี ถึงแก่กรรม ครั้นณปีมะเมีย โทศก แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระยาพิบูลย์ราช แบน เปนขุนนางในเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ เปนที่พระยาอภัยภูเบศร์ เจ้าเมืองพระตะบอง (๒) ทรงตั้งนายรศ มหาดเล็ก บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนพระวิเศษสุนทร ผู้ช่วยราชการ

ฝ่ายกรุงกัมโพชาธิบดี สมเด็จพระอุไทยราชากับมหาอุปโยราชเกิดร้าวรานบาดหมางกัน สมเด็จพระอุไทยราชาให้จับพระยาจักรี ชื่อ แบน ฆ่าเสีย ว่าเปนฝักฝ่ายข้างมหาอุปโยราช ๆ มีความรังเกียจ จึงพาพระมหาอุปราชกับเจ้าองค์ด้วงแลพระยาพระเขมรพรรคพวกเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ณกรุงเทพฯ ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชาก็ลงเรือพาพระยาพระเขมรไปพึ่งเจ้าเวียดนามเมืองญวน ขอกองทัพญวนขึ้นมารักษากรุงกัมโพชาธิบดี ครั้งนั้นหัวเมืองเขมรที่ต่อแดนเมืองพระตะบองคงขึ้นอยู่กับกรุงเทพฯ แลที่เมืองโพธิสัตว์คล้องได้พระยาช้างเผือก พระยาสวรรคโลก ชื่อ เวด เจ้าเมืองโพธิสัตว์ จึงส่งเข้ามาถวายณกรุงเทพฯ พระราชทานนามว่า พระยาเสวตรกุญชร พระยาสวรรคโลกมีความรังเกียจกับสมเด็จพระอุไทยราชา ก็พาครอบครัวเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารณกรุงเทพฯ พระยาพิบูลย์ราชเปนที่พระยาอภัยภูเบศร์ เจ้าเมืองพระตะบอง ได้ ๕ ปี ถึงแก่กรรมเมื่อปีจอ ฉศก (พ.ศ. ๒๓๕๗) จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระวิเศษสุนทร รศ บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนพระยาอภัยภูเบศร์เจ้าเมืองพระตะบอง (๓) พระยาอภัยภูเบศร์ รศ เปนเจ้าเมืองได้ ๑๓ ปี ณปีกุญ นพศก (พ.ศ. ๒๓๗๐) ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาอุดมภักดี ชื่อ เชด กับพระยาปลัดกรมการเมืองพระตะบอง บอกกล่าวโทษพระยาอภัยภูเบศร์ รศ เข้ามาณกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เอาตัวพระยาอภัยภูเบศร์ รศ เข้ามาตั้งเปนพระพิพิธภักดีรับราชการณกรุงเทพฯ ตั้งพระยาอุดมภักดี เชด เปนพระยาอภัยภูเบศร์ เจ้าเมืองพระตะบอง (๔) ต่อมา

ฝ่ายเจ้าองค์สงวนซึ่งเปนพระมหาอุปโยราชเข้ามาอยู่ณกรุงเทพฯ ถึงแก่พิราไลย ครั้นณปีมะเสง เบญจศก (พ.ศ. ๒๓๗๖) จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ที่สมุหนายก เปนแม่ทัพใหญ่ยกออกไปตีกรุงกัมโพชา สมเด็จพระอุไทยราชาก็ลงเรือหนีลงไปเมืองไซ่ง่อน กองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ยกติดตามไปจนถึงเปียมเนา มีกองทัพญวนขึ้นมาป้องกัน ได้รบกับกองทัพไทยหลายเวลา กองทัพไทยติดตามเอาตัวสมเด็จพระอุไทยราชาไม่ได้ กองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ก็เลิกกลับเข้ามาตั้งอยู่ณเมืองพระตะบอง

ครั้นณปีมะเสง ฉศก พระยาอุดมภักดี ซึ่งเปนพระยาอภัยภูเบศร์ เจ้าเมืองพระตะบอง ได้ ๘ ปี ถึงแก่กรรม ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชาซึ่งหนีลงไปพึ่งเจ้าเวียดนามณเมืองญวนกลับเข้ามาถึงกรุงกัมโพชาก็ถึงแก่พิราไลย สมเด็จพระอุไทยราชามีราชธิดา ๔ องค์ ชื่อ เจ้าองค์แบน ๑ ชื่อ เจ้าองค์มี ๑ ชื่อ เจ้าองค์เภา ๑ ชื่อ เจ้าองค์สงวน ๑ ต่างมารดากันทั้ง ๔ องค์ เจ้าเวียดนามจึงตั้งเจ้าองค์มี บุตรสมเด็จพระอุไทยราชาที่ ๒ ให้ครองกรุงกัมโพชาธิบดี

ถึงปีจอ สัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๓๘๑) โปรดให้ก่อกำแพงเมืองพระตะบอง ทรงตั้งเจ้าองค์อิ่ม พระมหาอุปราช เปนเจ้าเมืองพระตะบอง (๕) ตั้งพระยาปลัด ชื่อ รศ ให้เปนพระยาวิเศษสุนทร มีเครื่องยศพานทองกระบี่บั้งทอง กองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ก็เลิกเข้าไปณกรุงเทพฯ

ณปีกุญ เอกศก (พ.ศ. ๒๓๘๒) มีท้องตราโปรดออกไปที่เมืองพระตะบองว่า ให้ยกเปนกระบวนทัพไปสอดแนมจับพวกด่านเมืองโพธิสัตว์เข้ามาณกรุงเทพฯ จะได้ไต่ถามด้วยข้อราชการกรุงกัมโพชาธิบดี เจ้าองค์อิ่ม เจ้าเมืองพระตะบอง จึงจัดให้พระพิทักษ์บดินทร์ พระนรินทรโยธา คุมกองทัพยกไปตั้งณเมืองระสือคอยจับคนเมืองโพธิสัตว์ อยู่ภายหลังเจ้าองค์อิ่มคิดกระบถ จับพระยาปลัด พระยกรบัตร กับกรมการ แลกวาดต้อนครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองพนมเปน แต่ครัวที่กวาดต้อนไปทางบกนั้น กองทัพพระพิทักษ์บดินทร์ พระนรินทรโยธา จับไว้ได้ จึงบอกข้อราชการเข้ามาณกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขัดเคืองเจ้าเขมร จึงโปรดเกล้าฯ ให้จำเจ้าองค์ด้วงไว้ที่ณทิมกรมพระตำรวจ ภายหลังพระยาศรีสหเทพ (เพ็ง) กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า เจ้านายฝ่ายเขมรหมดเชื้อสาย เหลือแต่นักองค์ด้วงองค์เดียว ดุจแก้วหาค่ามิได้ ถ้านักองค์ด้วงเปนอันตราย เมืองเขมรจะทำการไม่ตลอด ขอรับพระราชทานนักองค์ด้วงไปคุมไว้ที่บ้านพระยาศรีสหเทพ จะได้ทนุบำรุงมิให้เปนอันตรายได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้พระยาศรีสหเทพรับตัวไป ให้ขุนจำนงอักษรเปนผู้ดูแลอุปถัมภ์บำรุงนักองค์ด้วงไว้ที่บ้านพระยาศรีสหเทพ นักองค์ด้วงจึงได้ยกนักโถ น้องนักเทพ ซึ่งเปนญาติฝ่ายมารดานักองค์ด้วง ให้เปนภรรยาขุนจำนงอักษร

ฝ่ายกรุงกัมโพชาธิบดี องเตียงกุน แม่ทัพญวน ให้ส่งเจ้าองค์มี ผู้ครองกรุงกัมโพชาธิบดี กับเจ้าหญิงราชธิดาสมเด็จพระอุไทยราชา แลขุนนางพระยาพระเขมรผู้ใหญ่ซึ่งเปนเสนาบดีผู้สำเร็จราชการหลายนาย ไปไว้ณเมืองเว้ ส่วนเจ้าองค์อิ่ม พระมหาอุปราช ซึ่งเปนกระบถจับกรมการเมืองพระตะบองแลครอบครัวออกไปกรุงกัมโพชาธิบดีนั้น องเตียงกุนก็ให้คุมตัวส่งไปไว้ณเมืองเว้ แต่กรมการเมืองพระตะบองที่มีชื่อเสียงเปนคนแขงแรง ญวนให้ฆ่าเสียณกรุงกัมโพชาธิบดีบ้าง แยกย้ายไปไว้ตามหัวเมืองญวนซึ่งขึ้นกับเมืองเว้บ้าง องเตียงกุน แม่ทัพ ก็คิดจัดการจะครอบครองเอากรุงกัมโพชาธิบดีเปนหัวเมืองของญวน ขุนนางพระยาพระเขมรหัวเมืองซึ่งขึ้นกับกรุงกัมโพชาธิบดีแลไพร่บ้านพลเมืองก็ได้ความเดือดร้อน ก็พากันคิดก่อการกำเริบลุกลามฆ่าฟันกองทัพญวน กองทัพญวนยกมาปราบปรามเขมร ๆ กับญวนก็เปนข้าศึกกันขึ้น

เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงบอกข้าราชการเข้ามาณกรุงเทพฯ ขอเจ้าองค์ด้วงออกไปณเมืองพระตะบอง แล้วเจ้าพระยาบดินทรเดชาก็ยกกองทัพพาเจ้าองค์ด้วงไปจากเมืองพระตะบอง ไปตั้งทัพใหญ่อยู่ณเมืองอุดงมีไชย องเตียงกุนก็ยังตั้งทัพอยู่ณเมืองพนมเปนรบพุ่งกันต่อมา ญวนยกขึ้นมาตีเมืองอุดงมีไชย เจ้าพระยาบดินทรเดชาตีกองทัพญวนแตกไป องเตียงกุนเห็นจะปราบปรามเมืองเขมรไม่ได้ก็เสียใจ จึงให้เลิกกองทัพลงเรือถอยไปจากเมืองพนมเปน แล้วองเตียงกุน แม่ทัพ ก็กินยาพิศม์ตาย เจ้าพระยาบดินทรเดชาก็เลื่อนกองทัพลงไปตั้งอยู่เมืองพนมเปน

เจ้าเวียดนามจึงตั้งให้องคำทรายเปนแม่ทัพใหญ่มาตั้งอยู่ที่ณเมืองโชฎก แล้วให้มาพูดจาขอเลิกสงครามเปนไมตรีกัน ญวนยอมให้เจ้าองค์ด้วงเปนเจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี แลยอมส่งเจ้าองค์มี กับเจ้าองค์เภา เจ้าองค์สงวน ขุนนางแลเสนากรุงกัมโพชาธิบดี แลครอบครัวเมืองพระตะบอง ซึ่งเจ้าองค์อิ่มกวาดต้อนเอาไปนั้น คืนมาให้กองทัพไทยณกรุงกัมโพชาธิบดี ขอแต่ให้เจ้าองค์ด้วงส่งเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงเวียดนาม ๓ ปีครั้ง ๑ ตามธรรมเนียม ญวนก็จะไม่มาเบียดเบียนกรุงกัมโพชาธิบดีต่อไป ก็เปนการตกลงเลิกรบกัน แต่เจ้าองค์แบนเปนราชธิดาสมเด็จพระอุไทยราชานั้น ญวนมีความสงไสยว่าเปนบุตรนักเทพ หลานเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จึงให้ประหารชีวิตรเสียณเมืองเว้ เจ้าองค์อิ่ม พระมหาอุปราช ก็ถึงแก่พิราไลยที่เมืองญวน

ถึงปีมะแม นพศก (พ.ศ. ๒๓๙๐) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งองค์ด้วงเปนสมเด็จพระหริรักษ์รามามหาอิศราธิบดี เจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี กองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชาก็เลิกกลับเข้ามาณกรุงเทพฯ แล้วโปรดเกล้าฯ ตั้งพระนรินทรโยธา ชื่อ ม่วง ให้เปนพระยาอภัยภูเบศร์ เจ้าเมืองพระตะบอง (๖) แล้วองค์สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ถวายเจ้าองค์ราชาวดี ๑ เจ้าองค์ศรีสวัสดิ ๑ เจ้าองค์วัตถา ๑ เข้ามารับราชการณกรุงเทพฯ

ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งเจ้าองค์ราชาวดีเปนองค์พระนโรดมพรหมบริรักษ์มหาอุปราช ตั้งเจ้าองค์ศรีสวัสดิเปนองค์พระหริราชดไนยไกรแก้วฟ้า ไปช่วยราชการองค์สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ณกรุงกัมโพชาธิบดี แต่เจ้าองค์วัตถาให้อยู่รับราชการณกรุงเทพฯ ทรงตั้งหลวงอภัยพิทักษ์ ชื่อ เยีย บุตรพระยาอภัยภูเบศร์ เปนพระคทาธรธรณินทร์ ผู้ช่วยราชการเมืองพระตะบอง

องค์สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ครองกรุงกัมโพชาธิบดีได้ ๑๓ ปี ถึงปีวอก โทศก (พ.ศ. ๒๔๐๓) ก็ถึงแก่พิราไลย ฝ่ายพระยาอภัยภูเบศร์ บิดาพระคทาธรธรณินทร์ เปนเจ้าเมืองพระตะบองได้ ๑๓ ปี ก็ถึงอนิจกรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระคทาธรธรณินทร์ เยีย ให้เปนผู้รั้งราชการเมืองพระตะบอง

ครั้งนั้นโปรดเกล้าฯ พระราชทานอนุญาตให้เจ้าองค์วัตถาออกไปเยี่ยมศพสมเด็จพระหริรักษ์ฯ ณกรุงกัมโพชาธิบดี องค์สมเด็จพระนโรดมกับเจ้าองค์วัตถาก็เกิดร้าวรานบาดหมางถึงรบพุ่งกัน เจ้าองค์วัตถาแตกหนีมาทางเมืองกะพงสวายเข้ามาณเมืองนครเสียมราฐ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองพระตะบองรับเจ้าองค์วัตถาส่งเข้ามาณกรุงเทพฯ ภายหลังพระยาพระเขมรที่เปนพรรคพวกเจ้าองค์วัตถาคิดก่อการกำเริบลุกลามขึ้นยกเปนกระบวนทัพไปรบกับกองทัพองค์สมเด็จพระนโรดมฯ กองทัพองค์สมเด็จพระนโรดมแตก องค์สมเด็จพระนโรดมก็พาครอบครัวพระยาพระเขมรหนีเข้ามาเมืองพระตะบอง แล้วก็บอกข้อราชการเข้ามาณกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามุขมนตรีคุมกองทัพออกไปตั้งอยู่ณเมืองพระตะบองคิดระงับเหตุการณ์ที่กรุงกัมโพชาธิบดี แต่องค์สมเด็จพระนโรดมนั้น ให้เข้ามาเฝ้าทูลลอองฯ ณกรุงเทพฯ ต่อมากองทัพเจ้าพระยามุขมนตรีเลื่อนออกไปตั้งอยู่ณเมืองอุดงมีไชย แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ส่งองค์สมเด็จพระนโรดมออกไปทางเรือขึ้นที่เมืองกำปอดไปณเมืองอุดงมีไชย กองทัพเจ้าพระยามุขมนตรีก็เลิกกลับเข้ามาณกรุงเทพฯ

ถึงปีกุญ เบญจศก (พ.ศ. ๒๔๐๖) จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งองค์พระนโรดมให้เปนองค์สมเด็จพระนโรดม เจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี ครั้นปีชวด ฉศก (พ.ศ. ๒๔๗๐) โปรดเกล้าฯ ตั้งพระคทาธรธรณินทร์ เยีย บุตรพระยาอภัยภูเบศร์ เปนที่พระยาคทาธรธรณินทร์ เจ้าเมืองพระตะบอง (๗)

คิดลำดับกระษัตริย์ซึ่งครองกรุงกัมโพชาธิบดี เจ้าองค์ตนซึ่งเปนสมเด็จพระอุไทยราชา ที่ ๑ เจ้าองค์รามเปนสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๒ เจ้าองค์เองเปนสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๓ เจ้าองค์จันเปนสมเด็จพระอุไทยราชา ที่ ๔ เจ้าองค์มี บุตรหญิงเจ้าองค์จัน ที่ ๕ เจ้าองค์ด้วงเปนสมเด็จพระหริรักษ์ ที่ ๖ เจ้าองค์ราชาวดีเปนองค์สมเด็จพระนโรดม ที่ ๗ ลำดับกระษัตริย์ครองกรุงกัมโพชาธิบดีสิ้นเท่านี้

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน ยกจากกรุงกัมโพชาธิบดีตั้งอยู่ณเมืองพระตะบองเมื่อจุลศักราช ๑๑๕๖ ปีขาล ฉศก (พ.ศ. ๒๓๓๗) ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ครั้นศักราชได้ ๑๒๐๐ ปีจอ สัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๓๘๑) แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ที่สมุหนายก ออกมาตั้งหลักเมืองก่อกำแพงเมืองพระตะบอง คิดลำดับเจ้าเมืองพระตะบอง เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน ที่ ๑ พระยาพิบูลย์ราช ชื่อ แบน เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ที่ ๒ พระยาวิเศษสุนทร ชื่อ รศ เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ที่ ๓ พระอุดมภักดี ชื่อ เชด เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ที่ ๔ เจ้าองค์อิ่ม พระมหาอุปราช เปนเจ้าเมืองพระตะบอง ที่ ๕ พระนรินทรโยธา ชื่อ ฟอง เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ที่ ๖ พระคทาธรธรณินทร์ ชื่อ เยีย เปนพระยาคทาธรธรณินทร์ ที่ ๗ เมืองพระตะบอง

แต่งต่อมาเมื่อจะพิมพ์หนังสือนี้

ถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนเกียรติยศพระยาคทาธรฯ เยีย ขึ้นเปนเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์เมื่อปีเถาะ ตรีศก (พ.ศ. ๒๔๓๔) เจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ถึงอสัญกรรมปีมโรง จัตวาศก (พ.ศ. ๒๔๓๕) ทรงตั้งพระอภัยพิทักษ์ ชุ่ม บุตรเจ้าพระยาคทาธรฯ เยีย เปนพระยาคทาธรธรณินทร์ ผู้ว่าราชการเมืองพระตะบอง นับเปนที่ ๘ ต่อมาถึงปีวอก พ.ศ. ๒๔๓๙ โปรดให้รวมหัวเมืองเขมร ๔ เมือง คือ เมืองพระตะบอง ๑ เมืองนครเสียมราฐ ๑ เมืองพนมศก ๑ เมืองศรีโสภณ ๑ เข้าเปนมณฑล เรียกว่ามณฑลบุรพา โปรดให้พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ ดั่น เปนสมุหเทศาภิบาลคนแรก ต่อมาทรงตั้งพระยาคทาธรธรณินทร์ ชุ่ม เปนสมุหเทศาภิบาลรับราชการมาจนรัฐบาลไทยทำหนังสือสัญญากับรัฐบาลฝรั่งเศสยอมคืนหัวเมืองเขมรให้แก่กรุงกัมโพชาเมื่อปีมะแม พ.ศ. ๒๔๕๐ พระยาคทาธรธรณินทร์ ชุ่ม ไม่สมัคไปอยู่กับต่างประเทศ ขออพยพเข้ามาเปนข้าทูลลอองธุลีพระบาทอยู่ในพระราชอาณาจักร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเปนเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองปราจิณบุรีจนบัดนี้.

วงศ์สกุลผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง

วันพฤหัศบดี เดือนยี่ ขึ้นค่ำ ๑ จุลศักราช ๑๒๒๒ ปีวอก โท (พ.ศ. ๒๔๐๓) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระราชเสนาเรียงพงษาวดารเมืองพระตะบองทูลเกล้าฯ ถวาย

พระราชเสนาได้หาตัวพระคทาธรธรณินทร์แลกรมการผู้ใหญ่ในเมืองพระตะบองมาถาม ให้การว่า เมื่อครั้งแผ่นดินเจ้าตาก ขุนนางเขมรจับองค์สมเด็จพระรามาธิบดีฆ่าเสีย แล้วพระยายมราช แบน เข้ามาณกรุงเทพฯ ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยายมราช แบน ออกไปปราบปรามเมืองเขมรสำเร็จแล้ว พระยายมราชส่งนักพระองค์เองกับเจ้าผู้หญิงเข้ามาณกรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยายมราช แบน เปนฟ้าทะละหะ เปนผู้รักษากรุงกัมพูชาธิบดีอยู่เมืองไผทเพ็ชร์ ประมาณสี่ห้าปี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เศกนักพระองค์เองเปนองค์สมเด็จพระนารายน์รามาธิบดีออกไปครอบครองเมืองไผทเพ็ชร์ ฟ้าทะละหะ แบน เข้ามาเฝ้าทูลลอองฯ

ณปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๑๕๖ ปี (พ.ศ. ๒๓๓๗) โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านสังแกขึ้นเปนเมืองพระตะบอง ทรงตั้งฟ้าทะละหะ แบน เปนเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ผู้สำเร็จราชการ ให้ยกเอาเมืองนครเสียมราฐมาเปนเมืองขึ้นเมืองพระตะบองด้วย เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน ถวายบุตรหญิงชื่อ นักอยู่ ชายชื่อ นายรศ เข้ามาทำราชการอยู่ณกรุงเทพฯ พระนารายน์รามาธิบดีว่าราชการได้ ๓ ปี ถึงแก่พิราไลย จึงโปรดตั้งนักพระองค์จันทร์ บุตรสมเด็จพระนารายน์รามาธิบดี เปนองค์สมเด็จพระอุไทยราชาธิราช ครอบครองกรุงกัมพูชาณเมืองไผทเพ็ชร์ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน ยกนักเทพบุตรหญิงให้เปนห้ามองค์สมเด็จพระอุไทยราชาธิราชคนหนึ่ง ให้นายมาบุตรเปนมหาดเล็กคนหนึ่ง พระอุไทยราชาธิราชตั้งนายมา บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนขุนนางหลายที่ จนมาเปนที่พระองค์แก้ว นักเทพมีบุตรหญิงกับพระอุไทยราชาธิราชคนหนึ่งชื่อ นักองค์แป้น เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน ว่าราชการได้ ๑๖ ปี ถึงแก่กรรมณปีมะเสง เอกศก พ.ศ. ๒๓๕๒

ณปีมะเมีย โทศก พ.ศ. ๒๓๕๓ ถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ทรงตั้งพระยาพิบูลย์ราช ชื่อ แบน เปนพระยาอภัยภูเบศร์ผู้ว่าราชการเมืองพระตะบอง นับเปนที่ ๒ ทรงตั้งนายรศ มหาดเล็ก บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนที่พระวิเศษสุนทรผู้ช่วยราชการ ทรงตั้งนายเตียง บุตรพระยาพิบูลยราช แบน เปนที่พระภักดีบริรักษ์ ผู้ช่วยราชการ ทรงตั้งนายอง บุตรเลี้ยงพระยาพิบูลยราช แบน เปนที่พระวิชิตสงคราม ปลัดเมืองนครเสียมราฐ

พระยาอภัยภูเบศร์ แบน ว่าราชการได้ ๕ ปี ถึงอนิจกรรมเมื่อเดือน ๑๐ ปีจอ ฉศก (พ.ศ. ๒๓๕๗) ครั้นณเดือน ๑๒ ปีจอ ฉศกนั้น โปรดให้พระมหาเทพนำเครื่องยศออกไปตั้งพระวิเศษสุนทร รศ บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ผู้ว่าราชการเมืองพระตะบอง นับเปนที่ ๓ ตั้งพระภักดีบริรักษ์ เตียง บุตรพระยาอภัยภูเบศร์ พิบูลย์ เปนพระยาวิเศษสุนทร ตั้งนายศรี น้องชายพระยาวิเศษสุนทร เตียง เปนพระภักดีบริรักษ์ ผู้ช่วย

ครั้นณปีกุญ สัปตกศก (พ.ศ. ๒๓๕๘) พระยาสังขโลก นอง เจ้าเมืองโพธิสัตว์ ยกกองทัพมาตีเมืองพระตะบอง ๆ สู้รบจับพระยาสังขโลก นอง ได้ ส่งเข้ามาณกรุงเทพฯ แล้วพระยาจักรี เชด เมืองพระตะบอง ถวายบุตรชายชื่อ นายศุข บุตรเขยชื่อ นายแก้ว เข้ามาเปนมหาดเล็ก จึงทรงตั้งนายแก้ว บุตรเขยพระยาจักรี เชด เปนพระรัตนวาที

ครั้นถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระภักดีบริรักษ์ น้องชายพระยาวิเศษสุนทร เตียง ถึงแก่กรรม โปรดให้เลื่อนพระรัตนวาที แก้ว เปนพระพิทักษ์บดินทร ผู้ช่วยราชการเมืองพระตะบอง ทรงตั้งพระยาจักรี เชด เปนที่พระยาอุดมภักดี อยู่มาพระพิทักษ์บดินทร แก้ว ป่วยถึงแก่กรรม พระยานครเสียมราฐเข้ามาเฝ้าทูลลอองฯ ก็ป่วยถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระวิชิตสงคราม อง บุตรเลี้ยงพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนที่พระยานครเสียมราฐ แต่พระยาอภัยภูเบศร์ร รศ ว่าราชการได้ ๑๓ ปี ณเดือน ๔ ปีกุญ นพศก (พ.ศ. ๒๓๗๐) พระยาอุดมภักดี เชด พระยาปลัด รศ กรมการเมืองพระตะบอง บอกกล่าวโทษพระยาอภัยภูเบศร์ รศ เปนเนื้อความหลายข้อ มีตราให้หาตัวพระยาอภัยภูเบศร์ รศ เข้ามาอยู่ณกรุงเทพฯ แล้วทรงตั้งเปนพระยาพิพิธภักดี อยู่รับราชการในกรุงฯ แล้วตั้งพระยาอุดมภักดี เชด เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ผู้ว่าราชการเมืองพระตะบอง นับเปนที่ ๔ ทรงตั้งนายศุข บุตรพระยาอภัยภูเบศร์ เชด เปนพระภักดีบริรักษ์ ตั้งนายโสม บุตรพระยาอภัยภูเบศร์ เชด เปนพระพิทักษ์บดินทรเมืองพระตะบอง ทรงตั้งพระวัง นอง บุตรเขยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนพระยามโนไมตรี เจ้าเมืองระสือ

ครั้นณปีขาล โทศก (พ.ศ. ๒๓๗๓) พระองค์แก้ว บุตรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน หนีเข้ามา โปรดให้เปนเจ้าเมืองสวายเจียก ถึงปีเถาะ ตรีศก (พ.ศ. ๒๓๗๕) พระยามโนไมตรี นอง เกลี้ยกล่อมได้พระยาสังขโลก กด เจ้าเมืองโพธิสัตว์ เข้ามาณกรุงเทพฯ ณปีมะเสง เบญจศก เจ้าพระยาบดินทรเดชายกออกไปเมืองพนมเปน แล้วกลับมาเมืองพระตะบอง เมื่อปีมะเมีย ฉศก (พ.ศ. ๒๓๗๗) พระยาอภัยภูเบศร์ เชด ถึงอนิจกรรม โปรดเกล้าฯ ตั้งองค์อิ่มเปนผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง นับเปนที่ ๕ พระราชทานพานทองพระยาปลัด รศ ตั้งพระยามโนไมตรี นอง บุตรเขยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน เปนพระนรินทรโยธา ตั้งพระยานครเสียมราฐเปนพระยานุภาพไตรภพเจ้าเมือง ให้ยกเมืองนครเสียมราฐมาขึ้นกรุงเทพฯ แต่นั้น แล้วทรงตั้งพระยาวิเศษสุนทร เตียง เปนเจ้าเมืองอรัญประเทศ แล้วเจ้าพระยาบดินทรเดชากลับเข้ามากรุงเทพฯ

ถึงเดือนอ้าย ปีกุญ เอกศก (พ.ศ. ๒๓๘๒) นักพระองค์อิ่มเปนกระบถ จับพระยาปลัด รศ พระยกรบัตร กรมการ แล้วพาหนีไปหาญวน ครั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชายกออกไปถึงเมืองพระตะบอง ให้พระพิทักษ์ดินทร โสม บุตรพระยาอภัยภูเบศร์ เชด ว่าที่เจ้าเมือง ให้พระนรินทรโยธา นอง ว่าที่ปลัด ให้นายโสม บุตรพระนรินทรโยธา นอง เปนที่หลวงอภัยพิทักษ์ ให้พระมหาดไทย จัน บุตรพระพิทักษ์บดินทร แก้ว เปนพระยามโนไมตรี แล้วคิดทำศึกกับญวนได้ ๒ ปี พระพิทักษ์บดินทร โสม ถึงแก่กรรม พระนรินทรโยธาได้รั้งราชการเมืองพระตะบอง

ครั้นณปีวอก โทศก (พ.ศ. ๒๓๙๓) ทรงตั้งพระนรินทรโยธา นอง บุตรพระยาธิราชวงศา เปนพระยาอภัยภูเบศร์ ผู้ว่าราชการเมืองพระตะบอง นับเปนที่ ๖ แลทรงตั้งหลวงอนุรักษ์มนตรี เกต เปนที่ปลัดเมืองมาจนในแผ่นดินปัตยุบันนี้ (คือในรัชกาลที่ ๔) ครั้นพระปลัด เกต เปนโทษ ทรงตั้งพระยามโนไมตรี จัน พี่ชายพระปลัด เกต เปนที่พระยาปลัด ตั้งพระปลัด เกต เปนที่พระสุพรรณพิศาล จางวางส่วยทอง

พระยาอภัยภูเบศร์ นอง ว่าราชการเมืองมาได้ ๑๒ ปี ณวันศุกร เดือน ๑๐ แรม ๗ ค่ำ ปีวอก โทศก (พ.ศ. ๒๔๐๓) ถึงอนิจกรรม เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ แบน มีบุตรชายหญิงรวม ๑๖ คน มีรายชื่อดังนี้

พระยาอภัยภูเบศร์ รศ ๑

พระองค์แก้ว มา ๑

พระนรินทรบริรักษ์ อุ่ม ๑

พระยกรบัตร ดม ๑

หลวงเมืองเม้า ๑

หลวงสัจจาคมเมืองโตนด ๑

นายกอง ๑

นายเกต ๑

รวมบุตรชาย ๘

หม่อมอยู่ ๑

นักเทพ ห้ามนักพระองค์จันทร์ ๑

อำแดงมี ภรรยาพระสุพรรณพิศาล ๑

อำแดงปก ๑

อำแดงแป้น ๑

อำแดงนวม ๑

อำแดงเมียด ๑

อำแดงแก้ว ๑

รวมบุตรหญิง ๘ คน

พระยาอภัยภูเบศร์ แบน (ที่ ๒) มีบุตรชายหญิงรวม ๙ คน มีรายชื่อดังนี้

พระวิเศษสุนทร เตียง ๑

พระภักดีบริรักษ์ ศรี ๑

พระยานุภาพไตรภพ อง บุตรเลี้ยง ๑

หลวงอาสาประเทศ ๑

นายเสือ ๑

รวมบุตรชาย ๕ คน

อัมพา ทำราชการอยู่ในกรุง ๑

อำแดงแป้น ๑

อำแดงมก ๑

อำแดงเมน ๑

รวมบุตรหญิง ๔ คน

พระยาอภัยภูเบศร์ รศ มีบุตรชายหญิงรวม ๑๐ คน มีรายชื่อดังนี้

พระพิทักษ์สรไกร อยู่เมืองนครราชสิมา ๑

นายแก้ว ๑

นายเมียก ๑

นายฉิม ๑

นายเพ็ชร ๑

รวมบุตรชาย ๕ คน

เอม ภรรยาพระยานุภาพไตรภพเมืองนครเสียมราฐ ๑

กอง ภรรยาเจ้าพระยานครราชสิมา ๑

แป้น ภรรยาพระยาราชสุภาวดี ๑

ทับ ภรรยาพระยายมราชเมืองอุดงมีไชย ๑

อำแดงแย้ม ๑

รวมบุตรหญิง ๕ คน

พระยาอภัยภูเบศร์ เชด มีบุตรชายหญิงรวม ๔ คน มีรายชื่อดังนี้

พระภักดีบริรักษ์ ศุข ๑

พระพิทักษ์บดินทร โสม ๑

รวมบุตรชาย ๒ คน

อำแดงแก้ว ภรรยาพระยาพิทักษ์บดินทร แก้ว ๑

อำแดงกอง ภรรยาพระเสนาธิบดีเมืองพระตะบอง ๑

รวมบุตรหญิง ๒ คน

นักพระองค์อิ่มมีบุตรชายหญิงรวม ๓ คน มีรายชื่อดังนี้

นักองค์ทิม ชาย ๑

นักองค์มี หญิง ๑

นักองค์ดารา หญิง ๑

พระยาอภัยภูเบศร์ นอง มีบุตรชายรวม ๕ คน มีรายชื่อดังนี้

หลวงอภัยพิทักษ์ เปนพระคทาธรธรณินทร์ เยีย ๑

นายทองอยู่ ๑

นายขำ ๑

นายบัว ๑

นายยศ ๑

แต่งใหม่เมื่อจะพิมพ์หนังสือนี้

เจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ เยีย มีบุตรชายหญิงรวม ๔ คน มีรายชื่อดังนี้

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ชุ่ม ๑

คุณหญิงขลิบ ภรรยาพระยาณรงค์เรืองฤทธิ บุตรเจ้าพระยามุขมนตรี ๑

นางเทศ ภรรยาพระโยธาธิราช ทองคำ บุตรเจ้าพระยามุขมนตรี ๑

นางสมบุญ ภรรยาหม่อมเทวาธิราช ม.ร.ว. แดง อิศรเสนาณกรุงเทพ ๑

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ชุ่ม อภัยวงศ์ มีบุตรชายหญิงหลายคน บุตรภรรยาหลวงรวม ๔ คน คือ

พระอภัยพิทักษ์ เลื่อม แต่งงานกับนางสาวสงวน สิงหเสนี ธิดาพระยาณรงค์เรืองฤทธิกับคุณหญิงขลิบ ๑

นายช่วง อภัยวงศ์ ๑

หม่อมเชื่อม ท.จ. ในพระองค์เจ้าจรูญศักดิกฤดากร ๑

นางรื่น ภรรยาพระสวรรคโลก เชียร กัลยาณมิตร บุตรเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ ๑

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก