ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๑๖

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๐๗–๒๑๑ สารบัญ



ครั้นถึงวันจะปลูก เกียงจูแหยก็นั่งอยู่กับซงอิหยิน ให้จัดแจงที่จะปลูกเหงาเก๋งเหลา พอเกิดพายุใหญ่หอบเอาศิลาและกรวดทรายปลิวไป แล้วเกิดเป็นเปลวไฟพลุ่งขึ้นจากแผ่นดิน มีปิศาจห้าตนเกิดขึ้นกลางกองไฟ เกียงจูแหยจึงร่ายมนตร์เสกน้ำสาดไป แล้วถอดกระบี่ออกจากฝักเงื้อขึ้นจะฟันปิศาจ ปิศาจกลัว นั่งลงยกมือไหว้ร้องขอโทษตัว เกียงจูแหยจึงเขียนยันต์ปิดลงกลางศีรษะปิศาจทั้งห้าตนแล้วว่า เอ็งอย่าอยู่ที่นี่ จงไปอยู่เขาซายจีซัวเถิด ปิศาจก็ลาไป ซงอิหยินก็ให้ปลูกเหงาเก๋งเหลาจนแล้ว เกียงจูแหยจึงว่า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าจะหาที่อยู่มิได้ ท่านช่วยหาให้สักแห่งหนึ่ง จะได้อาศัยเป็นหมอดูอยู่ทำมาหากิน ซงอิหยินจึงว่า ที่ของเรามีอยู่แห่งหนึ่งที่ในเมือง ท่านจงไปอยู่เถิด แล้วซงอิหยินก็ให้ผู้คนไปช่วยปลูกโรงให้เกียงจูแหย เกียงจูแหยไปอยู่ได้ประมาณสี่เดือนห้าเดือน หามีผู้ใดมาจ้างดูไม่

ขณะนั้น มีเล่าเขียนผู้หนึ่งหน้าตาคมสัน สูงหกศอกเศษ เป็นคนจน เที่ยวหาบฟืนขาย พอมาถึงหน้าร้านจึงแวะเข้ามาหาให้เกียงจูแหยดูจะมีลาภบ้างหรือไม่ เกียงจูแหยจึงทายว่า วันนี้ ท่านไปข้างทิศใต้เถิด จะพบหญิงแก่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ จะซื้อฟืนท่านเป็นเบี้ยร้อยยี่สิบอีแปะ แล้วจะได้กินเหล้าสองชามกับของหวาน เล่าเขียนก็ลาไป พบหญิงแก่นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ เรียกเข้าซื้อฟืนแล้วให้เหล้ากับของหวาน แล้วเล่าเขียนก็กลับมาบอกเกียงจูแหยว่า ท่านดูแม่นดังเทวดา ข้าพเจ้าไปขายฟืนได้ลาภสมดังคำท่าน เกียงจูแหยจึงว่า เอาค่าจ้างดูมาให้เราบ้าง เล่าเขียนรับปากว่าจะให้ แต่มือไม่หยิบ ครั้นเกียงจูแหยซ้ำเตือน จึงนับอีแปะให้ยี่สิบแล้วก็ลาไป กิตติศัพท์อันนั้นก็เลื่องลือว่า เกียงจูแหยดูแน่ หญิงชายชาวเมืองมาหามิได้ขาด เกียงจูแหยได้ค่าจ้างดู ค่อยมีอันจะกิน

ฝ่ายปีแป๋ ปิศาจซึ่งหนึงวาสีให้มาทำร้ายพระเจ้าติวอ๋องนั้น เข้าอาศัยอยู่ในกุฏิศพเก่าแก่แห่งหนึ่งข้างประตูทิศใต้ แล้วเข้าไปหานางขันกีในวังอยู่ด้วยกันหลายวัน เวลาค่ำวันหนึ่ง พากันไปกินนางสาวใช้ ทิ้งกระดูกไว้ริมสระสวนดอกไม้ อยู่มาวันหนึ่ง ปีแป๋ปิศาจลานางขันกีออกจากวังจะไปที่อาศัย มาถึงกลางทาง เห็นหญิงชายชาวเมืองชักชวนกันจะไปให้หมอดู ปีแป๋ปิศาจได้ยินก็ตกใจ กลัวหมอจะรู้ว่า เป็นปิศาจมาอาศัยอยู่ในกุฏิ จะมาทำอันตราย จำกูจะไปทดลองลวงให้ดู จะแน่จริงหรือไม่แน่ ปีแป๋ปิศาจจึงจำแลงเป็นหญิงสาวน้อยเดินปนไปกับหญิงชายชาวเมือง ครั้นมาถึงที่เกียงจูแหย ปีแป๋ปิศาจจึงว่ากับคนทั้งปวงว่า ข้าพเจ้ามีธุระร้อนจะด่วนไป จะขอให้ท่านดูก่อน เกียงจูแหยเห็นหญิงสาวนั้นตาแดงดุจแสงไฟ ก็รู้ว่า เป็นปิศาจจะแกล้งมาลองความรู้ตัว เกียงจูแหยจึงคิดว่า จำกูจะฆ่าปิศาจเสียให้ตาย พอปีแป๋ยื่นมือมาให้ดู เกียงจูแหยเห็นก็ฉวยเอาข้อมือไว้ ปีแป๋ก็แสร้งทำมารยาร้องว่า ตัวเราเป็นหญิง ท่านดูแล้วเหตุใดยังหาปล่อยมือเราไม่ คนทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ว่า จีนแสเป็นคนสูงอายุ เราท่านนับถือ มาทำดังนี้ไม่ชอบ เกียงจูแหยจึงว่า หญิงคนนี้เป็นปิศาจ มิใช่มนุษย์ ว่าแล้วก็เอาหินฝนหมึกต่อยศีรษะปีแป๋ปิศาจล้มลงกับที่ พอปิกัน ขุนนางผู้ใหญ่ จะเข้าไปในวัง มาถึงได้ยินหญิงชายร้องว่า เกียงจูแหย หมอดู ฆ่าคนตาย จึงแวะเข้าดู เห็นหญิงศีรษะแตกล้มลงอยู่กับหน้าร้านเกียงจูแหย เกียงจูแหยยังยุดข้อมือไว้ ปิกันจึงถามว่า เหตุใดตัวจึงฆ่าคนเสีย เกียงจูแหยจึงว่า หญิงผู้นี้มิใช่มนุษย์ เป็นปิศาจ ปิกันจึงว่า ตัวว่า เป็นปิศาจ ทำไมจะเห็นจริงเล่า เกียงจูแหยจึงว่า ถ้าท่านจะใคร่รู้ จงให้ไปเอาฟืนมาสุมไฟเผาหญิงผู้นี้ ก็จะได้เห็นดีและร้าย ปิกันจึงว่า ความข้อนี้ใหญ่อยู่ เราจะไปกราบทูลให้ทราบก่อน ปิกันก็ให้คนคุมเกียงจูแหยไว้ ปิกันก็รีบเข้าไปในวัง

พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกเสวยสุราอยู่กับนางขันกี ณ พระที่นั่งชมดาว ปิกันก็ขึ้นไปเฝ้าทูลความตามถ้อยคำเกียงจูแหยให้ทราบทุกประการ ฝ่ายนางขันกีนั่งริมสุราถวายอยู่ ได้ยินปิกันกราบทูลก็รู้ว่า ปีแป๋ พรรคพวกของตัว ก็ตกใจ จึงคิดว่า ปีแป๋ออกไปที่อยู่ ไม่พอที่จะซุกซนไปให้หมอดูเขาจับได้

ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้หาตัวหมอกับปิศาจเข้ามาหน้าที่นั่ง ให้เอาฟืนมากองไว้ เกียงจูแหยจึงจับสายสิญจน์ลงเลขยันต์วงรอบกองฟืน แล้วเอาตัวปีแป๋ปิศาจวางลง เอาฟืนทับ จึงจุดไฟไหม้ฟืนโทรม ตัวปีแป๋ปิศาจหาไหม้ไม่ ลุกยืนขึ้นกลางกองไฟชี้หน้าว่ากับเกียงจูแหยว่า ตัวท่านกับเราแต่ชาติก่อนชาตินี้ก็หามีข้อพยาบาทกันไม่ เหตุไรจึงมาทำกับเราดังนี้ พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้น ผันพระพักตร์มาตรัสถามนางขันกีว่า มันเป็นปิศาจจริง จนเอาไฟเผาก็ยังไม่ไหม้ กลับลุกยืนขึ้นตัดพ้อหมออีก เกียงจูแหยเห็นปิศาจกล้าฆ่ามิตาย จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เชิญเสด็จถอยไปให้ห่าง แล้วร่ายมนตร์บันดาลเป็นพายุฝนตกฟ้าผ่าลงตรงกองไฟ ครั้นฝนหาย แลดูหาเห็นหญิงปิศาจไม่ เห็นแต่รูปกระจับปี่ปีแป๋อยู่กลางกองเถ้า นางขันกีเห็นดังนั้นก็ขัดใจ คิดว่า หมอนี้จำจะคิดฆ่าเสียให้ได้เร็ว ๆ ถ้าละไว้นานไปจะเป็นศัตรู แล้วแสร้งทำมารยาดีใจหัวเราะว่า หมอคนนี้มีความรู้ดีนัก ควรที่จะเลี้ยงให้เป็นขุนนางทำราชการ และกระจับปี่นี้เป็นของเกิดขึ้นชอบกลอยู่ ข้าพเจ้าจะขอเอาไว้ดีดเล่น พระเจ้าติวอ๋องก็เรียกเอากระจับปี่มาให้นางขันกี แล้วตั้งเกียงจูแหยให้เป็นแหไต้หูสีเทียมก้าม ขุนนางผู้ใหญ่ ประทานเสื้อหมวกเครื่องสำหรับยศให้ตามบรรดาศักดิ์ ฝ่ายนางขันกีก็เอาปีแป๋ไปไว้บนที่เตียะแซเหลา วางไว้ให้ถูกแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ บูชาทุกเช้าเย็น ไปข้างหน้าอีกห้าปี ปีแป๋ก็จะได้เกิดเป็นคนชื่อ นางอึงกุยหยิน จะได้เป็นมเหสีที่สามพระเจ้าติวอ๋อง




ตอน ๑๕ ขึ้น ตอน ๑๗