ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๓๑

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๓๑๗–๓๓๐ สารบัญ



ฝ่ายบุนไท้สือจัดแจงพลทหารสรรพไปด้วยเครื่องศัตราวุธ พร้อมแล้วก็ยกออกทางประตูทิศตะวันตกรีบตามอึ้งปวยฮอไป ขณะเมื่ออึ้งปวยฮอพาบุตรและพี่น้องพรรคพวกทหารหนีมาทางเบ๋งจี๋นข้ามแม่น้ำฮองโหขึ้นไป ณ หาดใหญ่แดนเมืองจี๋นตีก๋วน อึ้งปวยฮอจึงคิดว่า เตียวกุยซึ่งรักษาเมืองจี๋นตีก๋วนอยู่นี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก จะไปตามทางนั้นมิได้ จึงพาพรรคพวกหนีอ้อมไปทางหลังเมือง รีบตัดไปด่านหลิมตองก๋วน แล้วค่อยเดินเป็นปรกติไป ถึงป่าแปะเอ๋งหลิม พอได้ยินเสียงทหารและม้าล่อฆ้องกลองเอิกเกริกตามมาข้างหลังเป็นอันมาก อึ้งปวยฮอตกใจ เหลียวไปดูเห็นธงสำหรับทัพมีอักษร ก็รู้ว่า บุนไท้สือตามมา จึงคิดแต่ในใจว่า บุนไท้สือยกมาครั้งนี้รี้พลมากนัก เสียงทหารและเท้าม้าดังแผ่นดินจะถล่ม ผงคลีตระหลบไปทั้งอากาศ เหลือกำลังที่จะสู้รบ ก็ขับทหารพรรคพวกรีบหนีไป แล้วเหลียวไปเห็นอึ้งเทียนเสียง บุตรที่สามอายุเจ็ดขวบ ขี่ม้าตามมา อึ้งปวยฮอถอนใจใหญ่แล้วว่า แต่ชาติก่อนเจ้าทำกรรมไว้อย่างไร จึงมาพลอยได้ความทุกข์ด้วยแต่เด็กฉะนี้ พอว่าขาดคำลง ทหารเข้ามาบอกว่า ข้างขวามือมีคนและม้ายกมาพวกหนึ่ง แล้วทหารคนหนึ่งมาบอกว่า ทางข้างซ้ายมีทหารยกมาอีกกองหนึ่ง อึ้งปวยฮอแลไปดูก็รู้ว่า เตียวกุ๋ยบอง นายด่านแซเหลงก๋วน ยกมาข้างขวามือ มอแก สี่นายด่านแกบ๋องก๋วน ยกมาข้างซ้ายมือ แล้วแลไปเห็นเตียวฮอง นายด่านหลิมตองก๋วน ยกสกัดหน้ามา ก็ตกใจ จึงว่า ข้างหน้าก็มีกองทัพสกัดอยู่ ข้างหลังบุนไท้สือก็ตามใกล้เข้ามา เห็นจะหนีไม่พ้น มีความทุกข์เหลือทีคิด แหงนหน้าขึ้นบนอากาศร้องว่า เทพยดาจะแกล้งสังหารชีวิตเราในที่นี้หรือ

ฝ่ายโต๊ะเต๊กจินกุ๋นซึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำเขาเซิงฮองซัวนั้นรู้ว่า แผ่นดินเมืองจิวโก๋เกิดวิปริต นานไปฤษีทั้งปวงก็จะไม่มีความสุข จึงสำแดงฤทธิ์ขี่เมฆเที่ยวดูมาในอากาศ พอมาถึงด่านหลิมตองก๋วน พออึ้งปวยฮอซึ่งเป็นบูเสงอ๋องถอนใจใหญ่เกิดมาเป็นลมร้อนขึ้นไปถึงโต๊ะเต๊กจินกุ๋น โต๊ะเต๊กจินกุ๋นรู้ว่า มีเหตุอยู่ในที่นี้ ก็แหวกเมฆดูลงมา เห็นอึ้งปวยฮอเข้าอยู่ในที่ล้อม จึงว่า อึ้งปวยฮอเป็นคนสัตย์ซื่อ มีความชอบต่อแผ่นดิน จะทิ้งเสียให้เป็นอันตรายหาควรไม่ จึงหยิบเอาผ้าที่มีฤทธิ์โยนลงไป แล้วอ่านมนตร์ขึ้น ผ้านั้นก็ไปหอบเอาอึ้งปวยฮอกับพรรคพวกไปไว้ในหุบเขาที่ลับ

ฝ่ายบุนไท้สือยกตามอึ้งปวยฮอมาถึงกลางทาง พบคนสอดแนมเข้ามาบอกว่า เตียวกุ๋ยบอง นายด่านแซเหลงก๋วน มอแกทั้งสี่นาย นายด่านแกบ๋องก๋วน เตียวฮอง นายด่านหลิมตองก๋วน จะขอเข้าคำนับท่าน บุนไท้สือสั่งให้หานายด่านทั้งหกคนเข้ามา แล้วถามว่า อึ้งปวยฮอซึ่งเป็นกบฏหนีมาทางนี้ ท่านพบหรือไม่ นายด่านทั้งหกคนคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าหาพบไม่ บุนไท้สือจึงสั่งว่า ท่านทั้งปวงกลับไปรักษาด่านของตัว กำชับกันให้ลาดตระเวนจงกวดขัน อย่าให้อึ้งปวยฮอกับพรรคพวกหนีเล็ดลอดไปได้ นายด่านทั้งสามตำบลก็คำนับลาบุนไท้สือไปรักษาด่านตามสั่ง

ฝ่ายบุนไท้สือนั่งอยู่บนหลังกิเลน คิดแต่ในใจว่า อึ้งปวยฮอหนีมาทางตะวันตกข้ามแม่น้ำฮองโหมา เหตุไรด่านทั้งสามตำบลหาพบไม่ เป็นอัศจรรย์ใจนัก จึงสั่งทหารให้จัดแจงตั้งค่ายปิดทางหลวงไว้ให้มั่นคง จะดูให้สิ้นสงสัยว่า อึ้งปวยฮอหนีมานั้นจะไปทางไหน ทหารทั้งปวงก็จัดแจงตั้งค่ายตามบุนไท้สือสั่ง

ฝ่ายโต๊ะเต๊กจินกุ๋นอยู่กลางอากาศ แลเห็นบุนไท้สือตั้งค่ายใหญ่ปิดทางหลวงไว้มั่นคงนัก จึงคิดว่า จำจะอุบายให้บุนไท้สือยกกองทัพไปเสียจากทางหลวง อึ้งปวงฮอจึงจะออกด่านได้ คิดเทเอาทรายในน้ำเต้าซึ่งปลุกเสกไว้ออกปรายไปข้างทิศตะวันออกเฉียงใต้ บันดาลให้เห็นเป็นคนพวกอึ้งปวยฮอกลับย้อนเข้าไปตามทางหลวง คนสอดแนมก็เข้ามาแจ้งกับบุนไท้สือว่า อึ้งปวยฮอหนีเข้าไปในเมืองแล้ว บุนไท้สือแจ้งดังนั้นก็ยกทหารออกจากค่าย ก็กลับตามอึ้งปวยฮอไปโดยเร็ว ตัดเอาไปจีนตี๋เป็นทางตรง บุนไท้สือแลไปข้างหน้าเห็นเป็นนกตกใจกลัววิ่งระส่ำระสายตามทางจะไปเมืองหลวง ก็สำคัญว่า อึ้งปวยฮอหนีกลับเข้าไปในเมือง เร่งขับทหารรีบตามจนพ้นเปงจิ๋นไป

ขณะนั้น โต๊ะเต๊กจินกุ๋นอ่านมนตร์ขึ้น ผ้านั้นก็พาอึ้งปวยฮอไว้ในทางหลวงดังเก่า ฝ่ายอึ้งฮวยฮอกับพรรคพวก ครั้นผ้าออกจากกายแล้ว เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้น แลไปดูทหารซึ่งล้อมไว้ทั้งสี่ด้านหายไปสิ้น มีความยินดีนัก จึงว่า บุญของเรายังไม่ถึงที่ตาย อึ้งเบ๋ง ทหาร จึงว่า อันคนไม่ถึงที่แล้ว จะทำประการใดก็หาเป็นอันตรายไม่ ด้วยเทพยดารักษาอยู่ อึ้งปวยฮอก็พาทหารรับไปถึงด่านหลิมตองก๋วน แลไปข้างหน้าเห็นคนและม้าแล้วมีทหารคอยตั้งสกัดทางอยู่ อึ้งปวยฮอจึงห้ามเกวียนเสบียงให้หยุดอยู่ก่อน เราจะขึ้นไปดู พอได้ยินเสียงประทัดและเสียงคนอื้ออึงใกล้เข้ามา อึ้งปวยฮอแลไปเห็นจ๋องเบ๋ง เตียวฮอง แต่งตัวใส่เกราะ ถือทวน ขี่ม้าขาว ขับออกมาหน้าทหาร แล้วร้องว่า ให้บูเสงอ๋องออกมาพูดกัน อึ้งปวยฮอได้ยินก็ขับโคออกไป ยอบตัวลงคำนับ แล้วร้องทักไปว่า ท่านอาผู้เฒ่า หลานนี้เป็นคนลำบากมา ซึ่งมิได้ลงจากหลังโคคำนับท่านโดยปรกตินั้น โทษมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ขอท่านอย่าได้ถือเลย เตียวฮองจึงว่า บิดาของท่านนั้นก็ได้สบถเป็นพี่น้องกับเรา แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตัวของท่านเล่าพระเจ้าติวอ๋องก็รักใคร่ดุจเชื้อพระวงศ์อันสนิท ชอบแต่จะมีใจสามิภักดิ์ต่อพระมหากษัตริย์ ช่วยทำนุบำรุงอย่าให้มีสิ่งขัดเคืองพระทัย จึงจะชอบ นี่ท่านมาเห็นกับหญิงผู้เดียว สิ้นความกตัญญูต่อเจ้าข้าวแดง ไม่ทำตามประเพณีปู่และบิดาของตัวซึ่งมีคุณต่อแผ่นดิน ได้เป็นขุนนางช้านานแล้ว ท่านมาคิดกบฏล้างความชอบของท่านเสียเอง เราเป็นผู้ใหญ่ พลอยได้ความอัปยศด้วย ซึ่งท่านหนีมาทั้งนี้ อย่าว่าแต่เดินมาเลย ถึงมีปีกบินได้ในอากาศ ก็คงไม่พ้นมือเรา ท่านจงฟังเราว่า เร่งลงจากหลังโคให้เรามัดส่งไปโดยดีเถิด ซึ่งโทษของท่านนั้น ไว้เป็นธุระเรา เมื่อเข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว จะช่วยทูลขอโทษไว้สักครั้งหนึ่ง เห็นพระเจ้าติวอ๋องจะโปรดอยู่ ด้วยท่านมีความชอบมาแต่หลังเป็นอันมาก ซึ่งเราเป็นผู้ใหญ่ว่ากล่าวทั้งนี้ ท่านจงตรึกตรองดูเถิด ถ้าจะขืนดื้อดึงไป มิฟังคำเรา ต่อภายหลังท่านจึงจะรู้จักสำนึก อึ้งปวยฮอจึงว่า ท่านผู้เฒ่ารักษาสัตยธรรมอยู่ ข้าพเจ้าผู้น้อยนี้แต่ก่อนมาจะเป็นประการใดก็รู้อยู่กับท่าน แต่ครั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องหลงไปด้วยสตรี ทั้งเมาสุรา แล้วเชื่อคำคนพาล เห็นผิดเป็นชอบ แผ่นดินเมืองแปรปรวนไป อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาช้านานแล้ว ข้อซึ่งกระทำกับภรรยาข้าพเจ้านั้น อย่าว่าเลย แต่พระมเหสีของท่านหาความผิดมิได้ ก็ประหารชีวิตเสียได้ ข้าพเจ้าทำราชการเล่า ก็ตั้งใจสามิภักดิ์โดยสุจริต ได้สั่งสอนขุนนางและข้าราชการทั้งปวงให้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะว่ากล่าวข้อความสิ่งใดก็โดยสัตยธรรม มิได้ลำเอียง ตั้งใจทำนุบำรุงเจ้าของตัว อาณาประชาราษฎรได้อยู่เย็นเป็นสุขทั้งแผ่นดิน ครั้งเมื่อหัวเมืองฝ่ายตะวันออกกระด้างกระเดื่อง มิได้อ่อนน้อมแก่พระเจ้าติวอ๋อง ข้าพเจ้าก็รับอาสาสู้ทรมานกายยกไปปราบปรามถึงสองร้อยเอ็ดครั้ง จึงราบคาบเป็นปรกติมาจนทุกวันนี้ ความชอบความดีของข้าพเจ้าทำไว้แต่ก่อนสูญไปแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการสืบไปนั้น เห็นจะรักษาตัวไปมิได้ ท่านได้เอ็นดูแล้วจงปล่อยให้ข้าพเจ้าไปโดยดีเถิด ถ้าเดชบุญของข้าพเจ้าไปหาที่พึ่งอื่นได้สมคิด ก็คงจะกลับมาแทนคุณท่านให้ถึงขนาด เตียวฮองได้ยินอึ้งปวยฮอว่า ให้เกิดโทโสเป็นกำลัง จึงด่าว่า อ้ายโจร ถ้อยคำสำนวนว่ากล่าวไม่ปรานีผู้ใหญ่ ดูหมิ่นเห็นว่า เราเป็นคนชรา แล้วเตียวฮองก็ขับม้าเข้าไปฟันด้วยง้าว อึ้งปวยฮอเอาทวนรับไว้ทัน จึงว่า ท่านผู้เฒ่าอย่าเพ่อโทโส ท่านก็เป็นขุนนาง ข้าพเจ้าก็เป็นขุนนาง ทำราชการอยู่ด้วยกัน อย่าเพ่อถือว่า ตัวดี ถ้ามีทุกข์มาบ้าง ก็จะเหมือนหัวอกข้าพเจ้าฉะนี้ เตียวฮองร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายกบฏต่อแผ่นดิน ลมปากแข็งนัก แล้วเอาง้าวฟันซ้ำไปอีก อึ้งปวยฮอหลบทัน มีความโกรธเป็นอันมาก ก็ขับโคเข้ารบกับเตียวฮอง รบกันได้สามสิบเพลง เตียวฮองกำลังน้อย ชักม้าหนี อึ้งปวยฮอได้ทีไล่ตามไป เตียวฮองได้ยินเสียงกระดึงที่คอโคตามมาข้างหลัง ก็รู้ว่า อึ้งปวยฮอไล่มา จึงเอาง้าวแอบข้างม้าไว้ แล้วชักกระบองทองเหลืองออกจากเสื้อ เอาไหมพู่สำหรับกระบอกพันมือให้มั่น มือหนึ่งชักม้าให้เดินถอยหลังสวนทางลงมา ขณะเมื่อเตียวฮองชักม้าหนีไปนั้น อึ้งปวยฮอตามไป พอเห็นเตียวฮองเอาง้าวแอบข้างม้า ก็มีความสงสัยว่า เตียวฮองจะทำอุบายประการใด ก็รีบขับโคตามมา ม้ากับโคก็จวนกันเข้า เตียวฮองเห็นได้ทีก็ขว้างด้วยกระบอง อึ้งปวยฮอก็รับด้วยกระบี่ชื่อ โปเกี๋ยม เชือกซึ่งผูกกระบองขาด กระบองตกลง มิได้ถูกอึ้งปวยฮอ เตียวฮองเห็นดังนั้นก็เสียใจ ขับม้าหนี

ฝ่ายอึ้งปวยฮอ ครั้นเตียวฮองหนีไปแล้วก็มิได้ตามไป เก็บเอากระบองไว้ แล้วสั่งพวกทหารให้เร่งเกวียนเสบียงขึ้นมาพร้อมกัน ตั้งค่ายอยู่ในที่นั้น

ขณะเมื่อเตียวฮองหนีอึ้งปวยฮอไปนั้น เข้าอยู่ในกำแพงด่าน จึงคิดแต่ในใจว่า อึ้งปวยฮอคนนี้มีกำลังมาก แต่ผู้เดียวอาจสามารถจะทำลายค่ายได้ถึงสามด่าน ตัวเราก็เป็นคนชรา ไหนจะทานกำลังได้ ถ้าอึ้งปวยฮอหนีไปได้ พระเจ้าติวอ๋องจะเอาโทษแก่เรา จึงเรียกเสียวหงิน ปลัดด่าน เข้ามา แล้วว่า อึ้งปวยฮอมีกำลังสู้คนได้ถึงหมื่นหนึ่ง แล้วเก็บเอากระบองกายสิทธิ์ของเราไว้ได้ ซึ่งจะสู้ด้วยกำลังและฝีมือนั้นเห็นจะหาชนะไม่ จำจะคิดอุบาย ในค่ำวันนี้ ท่านไปเกณฑ์ทหารเกาทัณฑ์ไว้สามพัน เวลาสองยาม[1] ออกไปลอบยิงอึ้งปวยฮอกับพรรคพวกเสียให้ตาย ตัดศีรษะส่งไปเมืองจิวโก๋ โทษจึงจะไม่มีแก่เรา เสียวหงินรับคำเตียวฮองแล้วเดินออกมา จึงคิดว่า อึ้งปวยฮอคนนี้ เมื่อเราตกเข้าไปเป็นบ่าวอยู่นั้น มีความเอ็นดูแก่เรานัก ตั้งเราให้ออกมาเป็นปลัดด่านหลิมตองก๋วน ได้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ ก็ยังหาได้แทนคุณสิ่งไรไม่ อันเราจะคิดฆ่าท่านผู้มีคุณเสียนั้น ที่ไหนเราจะเป็นคนสืบไปได้ เสียวหงินคิดดังนั้นแล้ว ก็ลอบออกไปถึงหน้าค่ายอึ้งปวยฮอ ร้องเข้าไปว่า มีกองตระเวนหรือไม่ พวกอึ้งปวยฮอจึงถามออกมาว่า ใครมาแต่ไหน เสียวหงินตอบไปว่า เราชื่อ เสียวหงิน เป็นบ่าวเก่าของบูเสงอ๋อง จะมาบอกความลับแก่ท่าน ทหารก็เข้าไปแจ้งความแก่อึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอสั่งให้รับเสียวหงินเข้าไปในค่าย เสียวหงินเข้ามาคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า เตียวฮองสั่งให้ข้าพเจ้าคุมทหารเกาทัณฑ์สามพันมายิงท่านเสียในเวลาสองยามนี้ ข้าพเจ้ามิอาจทำร้ายแก่ท่านผู้มีคุณได้ ข้าพเจ้าจึงออกมาบอกกับท่านให้แจ้ง อึ้งปวยฮอได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า ขอบคุณท่านนัก หาไม่ตัวเรากับพรรคพวกก็จะตายอยู่ในที่นี้สิ้น เหมือนให้เราเกิดใหม่ เรามีความยินดีนัก แม้นมิตายจะแทนคุณท่าน และการครั้งนี้เป็นการร้อน อุปมาเหมือนไฟไหม้ขนคิ้ว ท่านจะเมตตาช่วยเราอย่างไรจึงจะพ้นภัย เสียวหงินจึงว่า เชิญท่าขึ้นม้าพาพรรคพวกครอบครัวรีบไปโดยเร็ว ข้าพเจ้าจะเปิดประตูด่านให้ และการทั้งนี้อย่าช้าเลย ความจะแพร่งพรายไป อึ้งปวยฮอกับพรรคพวกก็มีความยินดี ต่างคนต่างถืออาวุธขึ้นม้ารีบออกมา พอเวลายามหนึ่งเป็นหัวค่ำอยู่ ชาวด่านทั้งปวงก็หาทันสังเกตไม่ เสียวหงินไขประแจประตูส่งอึ้งปวยฮอออกจากด่าน

ขณะเมื่อเตียวฮองสั่งเสียวหงินไปแล้ว ก็จัดแจงตัวคอยเวลาอยู่ พอได้ยินเสียงคนร้องขึ้นอื้ออึงว่า อึ้งปวยฮอแหกด่านออกไปได้ เตียวฮองตกใจ จึงร้องว่า เราใช้คนผิดแล้ว หาทันคิดว่าเสียวหงินเป็นข้าเก่าของอึ้งปวยฮอไม่ มีความโกรธเป็นกำลัง ขึ้นม้าถือง้าวรีบตามอึ้งปวยฮอไป เสียวหงินแอบประตูด่านอยู่ พอเตียวฮองออกจากประตู เสียวหงินเอาทวนแทงเตียวฮองตกม้าตาย ครั้นเสียวหงินฆ่าเตียวฮองตายแล้ว ก็ควบม้ามาตามอึ้งปวยฮอ จึงร้องไปว่า ให้ท่านรออยู่ก่อน อึ้งปวยฮอได้ยินเสียงหวินร้องมาก็รอโคอยู่ เสียวหงินมาถึงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าฆ่าเตียวฮองตายแล้ว ท่านไปให้สบายเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปจัดแจงด่าน เกลือกกองทัพจะตามท่านมาภายหลัง ข้าพเจ้าจะได้ต้านทานไว้ให้ท่านไปสบาย แล้วเสียงหงินจึงว่า ท่านกับข้าพเจ้าจะจากกันไปวันนี้ เมื่อไรจะได้พบกับท่านอีกเล่า อึ้งปวยฮอจึงตอบว่า เราขอบใจท่านนัก ท่านได้มีคุณช่วยชีวิตเราครั้งนี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่า เมื่อไรจะได้กลับมาแทนคุณท่าน ว่าแล้วอึ้งปวยฮอก็ขับโคพาพรรคพวกรีบไป เสียงหวินก็กลับมาด่านหลิมตองก๋วน

ขณะเมื่ออึ้งปวยฮอออกจากด่านหลิมตองก๋วนไปทางประมาณแปดร้อยเส้น ถึงด่านตองก๋วน สั่งให้ทหารตั้งค่ายอยู่ริมด่าน ฝ่ายกองตระเวนด่านตองก๋วนเห็นดังนั้น จึงเข้าไปแจ้งความกับตันต๋องผู้เป็นนายด่านว่า อึ้งปวยฮอพาพรรคพวกทหารหนีบุนไท้สือมาตั้งค่ายอยู่ริมด่านเรา ตันต๋องแจ้งดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า บูเสงอ๋องทำราชการได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวง สำคัญใจว่า พระเจ้าติวอ๋องจะเสวยราชย์อยู่ได้สักพันปี ตัวจะมาตกต่ำแล้วมิรู้ ก็มีความผิดอยู่เหมือนกัน คงจะได้เห็นกันวันนี้ แล้วสั่งให้ทหารไปตั้งค่ายลงขวากหนามสกัดทางไว้ แล้วตันต๋องแต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้า ถือทวน มีลูกทิ้งเป็นอาวุธ แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงให้รีบออกไปจับอึ้งปวยฮอ

ฝ่ายอึ้งปวยฮอเมื่อมาตั้งอยู่ริมด่าน จึงถามทหารทั้งปวงว่า ด่านตองก๋วนนี้ผู้ใดมารักษาอยู่ จิวกี ทหารเอก จึงบอกว่า ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า ด่านนี้ตันต๋องเป็นนายด่าน อึ้งปวยฮอได้ยินออกชื่อตันต๋อง ก็นิ่งไป แล้วถอนใจใหญ่ เล่าความให้ทหารฟังว่า ตันต๋องคนนี้เดิมเป็นขุนนางทำราชการอยู่ในเรา กระทำความผิดโทษถึงตาย เราจะให้เอาตัวไปฆ่าเสียตามกฎหมาย ขุนนางทั้งปวงชวนกันขอโทษไว้ให้ทำราชการแก้ตัวครั้งหนึ่ง เรามีใจเมตตา จึงงดโทษให้ บัดนี้ ได้มาเป็นนายด่าน เห็นตันต๋องจะเอาความหลังมาผูกใจเจ็บเราเป็นมั่นคง เราจะคิดประการใด ว่ายังมิทันขาดคำ ได้ยินอื้ออึงมาเป็นอันมาก อึ้งปวยฮอขึ้นหลังโคถือทวนออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ตันต๋องเห็นดังนั้น จึงทำเป็นองอาจ ขับม้าออกมาหน้าทหาร รำทวนเย้ย แล้วชี้เอาอึ้งปวยฮอว่า ท่านอยู่ในเมืองหลวงทำราชการจนได้เป็นเจ้า เหตุไรวันนี้จึงลอบหนีออกมานอกด่าน บุนไท้สือให้เรามาคอยอยู่นานแล้ว เร่งลงจากหลังโค เราจะพาเข้าไปส่งเมืองหลวงเป็นความชอบของเรา อึ้งปวยฮอได้ฟังดังนั้น จึงตอบว่า อันความเท็จจริงชั่วดีนั้นก็ย่อมมีอยู่ด้วยกันทุกคน ตัวท่านเล่าแต่แรกเป็นขุนนางอยู่ในเรา เราก็หามีใจลำเอียงไม่ เลี้ยงท่านเหมือนหนึ่งน้อง เมื่อท่านเป็นโทษนั้นเล่า ท่านกระทำใส่ตัวท่านเอง ถึงกระนั้น เราก็มีใจเมตตาท่าน ฟังคำคนทั้งปวงห้าม ให้ทำราชการแก้ตัว มิใช่เราจะไม่มีคุณแก่ท่าน ท่านมาเยาะเย้ยเราดังนี้ หมายจะแก้แค้นความหลังหรือ ถ้าดังนั้นก็รีบมารบกันเถิด ถ้าชนะเราถึงสามเพลงแล้ว เราจะให้ท่านมัดไปโดยง่าย ว่าดังนั้นแล้วก็ขับโคเข้ารบกันตันต๋องได้ยี่สิบเพลง ตันต๋องเห็นอึ้งปวยฮอมีฝีมือและกำลังนัก จะเอาชัยชนะโดยซึ่งหน้านั้นมิได้ ก็ชักม้าหนี อึ้งปวยฮอร้องตวาดว่า กูจะจับอ้ายคนนี้แก้แค้นให้จงได้ แล้วก็ขับโคตามไป ตันต๋องเห็นอึ้งปวยฮอตามมาข้างหลัง จึงเอาทวนพาดตัก แล้วหยิบเอาลูกทิ้งขว้างไป อึ้งปวยฮอหลบไม่ทัน ถูกสีข้าง ตกลงจากหลังโค จิวกี ทหารเอก เห็นดังนั้น จึงควบม้าขวางเข้าไปร้องว่า เอ็งอย่าทำอันตรายกู ตันต๋องได้ยินจิวกีว่าเป็นคำหยาบก็โกรธ ขับม้าเข้ารบกับจิวกี จิวกีฟันด้วยขวาน ตันต๋อนเอาทวนขึ้นรับ ขณะเมื่อจิวกีกับตันต๋องรบกันอยู่นั้น อึ้งฮุยปิวเห็นอึ้งปวยฮอผู้พี่ตกลงจากหลังโค จึงวิ่งเข้าไปอุ้มเอาม เห็นอึ้งปวยฮอตาย อึ้งฮุยปิวโกรธ มีความแค้น จะใคร่ขยี้ตันต๋องเสียให้ละเอียด แล้วขับม้าเข้าไปรบช่วยจิวกี ตันต๋องเห็นดังนั้นก็ชักม้าหนี จิวกี อึ้งฮุยปิว ก็ขับม้าไล่ตามไป ตันต๋องจึงเอาลูกทิ้งทิ้งเอาจิวกีถูกคอตลอดตกม้าตาย ตันต๋องกลับม้ามาจะเข้าตัดศีรษะ พออึ้งเบ๋งควบม้าสวนเข้ามารบสกัดตันต๋องไว้ ตันต๋องเห็นว่า ชนะทหารสองคนแล้ว พอเวลาเย็น ก็ชักม้ากลับเข้าค่าย

ฝ่ายอึ้งฮุยปิวและทหารทั้งปวงจึงเอาศพอึ้งปวยฮอกับจิวกีเข้าไปไว้ในที่สมควร บุตรและทหารก็ร้องไห้รักแซ่ไปสิ้นทั้งค่าย อึ้งเบ๋ง อึ้งฮุยปิว ยิ่งมีความโกรธเป็นกำลัง คิดจะใคร่ไปแก้แค้นตันต๋อง แต่จนใจด้วยเวลาค่ำ มิรู้ที่จะทำประการใด ก็สั่งทหารให้จัดแจงรักษาค่ายมั่นอยู่


เชิงอรรถของวิกิอร์ซ[แก้ไข]

  1. ตรงนี้ต้นฉบับไทยว่า "สามยาม" แต่ข้อความต่อ ๆ มาว่า "สองยาม" วิกิซอร์ซจึงแก้เป็น "สองยาม" ตามฉบับจีนซึ่งว่า

    "張鳳曰:「黃飛虎力敵萬夫,又收我百鍊鎚,似不可以力敵。你可黃昏時候,傳長箭手三千,至二更時分,領至大營,聽梆子響,一齊發箭,射死反賊;將首級獻上朝歌請功,方保無虞。」"


ตอน ๓๐ ขึ้น เล่ม ๒