ข้ามไปเนื้อหา

ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 14/เรื่องที่ 1

จาก วิกิซอร์ซ
ดูฉบับอื่นของงานนี้ที่ คำให้การชาวอังวะ
คำให้การชาวอังวะ

ข้าพระพุทธเจ้า มะยุหวุ่น ขอพระราชทานทำกฎหมายเหตุแต่ข้าพระพุทธเจ้าจำได้ทูลเกล้าฯ ถวาย แต่ครั้งบุตรเจ้าอาทิตย์ได้เสวยราชสมบัติเมืองรัตนบุรอังวะ แต่ก่อนเมืองหงสาวดีขึ้นแก่เมืองอังวะ เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๙ ปี เจ้าเมืองรัตนบุรอังวะจึงตั้งสาอ่องไปเป็นเจ้าเมือง ให้นายแซงหมู่กรมช้างเป็นปลัดเกียกกายเมืองหงสาวดี ราษฎรทั้งปวงเป็นใจรักใคร่ นายแซงหมู่คิดกบฏจับเอาตัวนายสาอ่องฆ่าเสีย นายแซงหมู่จึงขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นเจ้าเมืองหงสาวดี ตั้งให้น้องชายคนหนึ่งเป็นพระยาอุปราชาเป็นแม่ทัพเรือขึ้นไปตีเมืองรัตนบุรอังวะ น้องชายคนหนึ่งตั้งให้เป็นพระยาทะละเป็นแม่ทัพบกยกขึ้นไปตีเมืองรัตนบุรอังวะในปีนั้น ล้อมเมืองรัตนบุรอังวะ ๓ ปี จนถึงศักราชได้ ๑๑๑๔ ปี จึงได้เมืองอังวะ แล้วพระยาอุปราชาจึงเอาตัวเจ้าเมืองอังวะและญาติวงศาลงไปเมืองหงสาวดี แต่พระยาทะละกับตละป้านอยู่ในเมืองอังวะชำระกิจการบ้านเมือง ได้ความว่า อ่องเจยะมังลองซ่องสุมผู้คนสิบสี่บ้าน ประมาณคนสี่พันห้าพัน เอาต้นตาลตั้งค่ายที่มุกโซโบ พระยาทะละกับตละป้านใช้ให้นายกองคุมไพร่พันห้าร้อยไปสืบข่าว พบคนมังลองนั่งทางอยู่ที่บ้านบอกสอด ใกล้กันกับมุกโซโบทาง ๘๐๐ ได้รบกัน รามัญแตกกลับไปเมืองอังวะ พระยาทะละเกณฑ์ให้ตละป้านเป็นแม่ทัพ กับกะตุกหวุ่นตอถ่อกะละโบ ประมาณคนรามัญห้าพัน พะม่าหมื่นห้าพัน เป็นคนสองหมื่น ยกไปล้อมมุกโซโบสิบห้าวัน ฝ่ายกองทัพรามัญขาดเสบียงอาหาร ฆ่ากระบือวัวกิน อดอยากเป็นอันมาก มังลองยกกองทัพออกตีทัพรามัญแตกหนีไปเมืองอังวะ มังลองจึงเกณฑ์ให้ตามไปแต่เช้าจนตะวันเที่ยง ได้เครื่องสาตราวุธเป็นอันมาก แล้วพระยาทะละเกณฑ์ให้ตละป้าน อำมาตย์กะตุกหวุ่นตอถ่อกะละโบ กับรามัญห้าพัน พะม่าห้าพัน ให้รักษาเมืองรัตนบุรอังวะ พระยาทะละเก็บเอาเครื่องอาวุธปืนใหญ่ปืนน้อย ครอบครัวไพร่พล ลงไปเมืองหงสาวดีทางเรือ ไกลกันกับเมืองอังวะสิบวัน มังลองจึงให้แมงละแมงฆ้อง ไพร่พันห้าร้อย ยกไปกองหนึ่ง เสนัดหวุ่นกับไพร่พันห้าร้อยยกไปกองหนึ่งเป็นคนสามพัน ไปกวาดต้อนได้ไพร่พลเมืองสิบสี่เมืองอยู่ในแขวงอังวะ แต่เมืองหนึ่ง ๆ ประมาณคนพันหนึ่ง สองพัน สามพัน สี่พัน ห้าพันบ้าง เข้ากันแต่พลเมืองเป็นคนสองหมื่น ได้บ้านในแขวงเมืองอังวะ ทางใกล้กันกับมุกโซโบทางวันหนึ่งสองวันสามวันบ้าง ยี่สิบบ้าน ๆ หนึ่งได้คนร้อยหนึ่ง สองร้อย สามร้อย สี่ร้อย ห้าร้อย พันหนึ่งบ้าง แต่บ้านได้ไพร่หมื่นหนึ่ง เข้ากันทั้งเมืองและบ้านแต่กวาดต้อนเกณฑ์มาได้เป็นคนสามหมื่น ช้าอยู่สิบห้าวัน ครั้นกองทัพกวาดคนมาถึงมุกโซโบสามวัน ให้เร่งยกกองทัพไปล้อมเมืองอังวะ มังลองจึงให้เสนาบดีแมงละแมงฆ้องเป็นแม่ทัพหน้า กับแซงแนงโบ ไพร่หมื่นหนึ่ง แมงมหาเสนาบดี เสนัดหวุ่น เป็นโปชุกแม่ทัพหลวง มองระบุตรมังลอง กับคนสองหมื่น บังคับทัพทั้งปวง ยกไปล้อมเมืองอังวะ รบกันห้าวัน ตละป้านแตกหนีออกจากเมืองอังวะไปตั้งมั่นรับอยู่เมืองเปร ใต้เมืองอังวะลงมาทางเจ็ดคืน มังลองจึงให้มองระผู้บุตรนั่งเมืองอังวะอยู่ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๑๕ ปี เดือนห้า เจ้าเมืองหงสาวดี จึงให้พระยาอุปราชาน้องชายเป็นแม่ทัพ กับตละป้าน กะตุกหวุ่นตอถ่อกะละโบ เป็นกองหน้ายกทางบกทางเรือขึ้นมาล้อมเมืองอังวะ มองระใช้ให้คนถือหนังสือไปถึงมังลองผู้เป็นบิดาว่า รามัญยกกองทัพพลทหารขึ้นมาล้อมเมืองอังวะไว้เป็นอันมาก อ่องเจยะมังลองจึงเกณฑ์ให้ยกกองทัพมาช่วยรบรามัญซึ่งล้อมเมืองอังวะไว้นั้นเป็นสามทาง ๆ ตะวันออก ให้แมงละแงกับไพร่สองพันเป็นกองหน้า ให้เจ้าตองอูน้องมังลองกับไพร่พันหนึ่งเป็นแม่ทัพยกมาทางบกทางหนึ่ง แต่มุกโซโบไปเมืองอังวะไกลกันทางสองคืนสามวัน ทางน้ำเป็นเรือใหญ่น้อยร้อยห้าสิบลำ พร้อมไปด้วยปืนใหญ่ปืนน้อยเครื่องสาตราอาวุธลูกกระสุนดินประสิว จึงให้มะโยลาวุทมัตราโป กับไพร่สองพันห้าร้อย กับเรือแปดสิบลำ เป็นกองหน้า อรรคมหาเสนาธิบดีเสนัดหวุ่น กับไพร่พันห้าร้อย กับเรือเจ็ดสิบลำ เป็นแม่ทัพ ยกลงมาครั้งนั้นทางบกทางเรือตะวันตกตะวันออกเป็นเรือร้อยห้าสิบลำ คนหมื่นหนึ่ง จากแต่มุกโซโบทางแปดร้อย ถึงตำบลบ้านจอกยอง กองทัพเรือรามัญประมาณร้อยเศษ นายทัพนายกองสมิงรามัญไพร่พลทหารประมาณหมื่นเศษ ได้รบกันกับกองทัพพะม่าทั้งบกทั้งเรือช้าอยู่ที่นั่นสิบห้าวัน กองทัพตละป้านอำมาตย์ซึ่งเป็นแม่ทัพเรือแตกหนีถอยทัพลงไปที่ล้อมเมืองอังวะ กองทัพพะม่าติดตามลงไปตีเมื่อศักราชได้ ๑๑๑๖ ปี เดือนหก ขึ้นสิบห้าค่ำ พระยาอุปราชา สมิงรามัญ นายทัพนายกอง ซึ่งล้อมเมืองอังวะนั้นแตกถอยทัพไปตั้งมั่นรับอยู่ณเมืองเปร ๚

เมื่อศักราชได้ ๑๑๑๖ ปี เดือนหก แรมสิบค่ำ เวลาบ่าย เกิดพายุฝนห่าใหญ่ตก ฟ้าผ่าลงมาในวันเดียวนั้น ๑๖ หน ผ่าลงที่เสาติดกระดานแผ่นทองเขียนเป็นอักษรให้ชื่อนามเมืองในประตูเมืองหนึ่ง ผ่าเสาเบญจพาศข้างต้นที่ ๒ ผ่าซุ้มประตูปราสาทที่ ๓ ผ่าต้นแคในวังที่ ๔ ผ่าลงที่มุขปราสาทที่ ๕ ผ่าลงหอกลางที่ ๖ ผ่าเสากุฎีที่ ๗ ผ่าพระเจดีย์ที่ ๘ ผ่าพะเนียดช้างที่ประตูหอจันที่ ๙ ผ่าลงซุ้มประตูเมืองที่ ๑๐ ผ่าลงที่สระในวังที่ ๑๑ ผ่าลงที่เรือนไพร่ในเมืองที่ ๑๒ ผ่าต้นตาลในเมืองที่ ๑๓ ผ่าต้นโพธิในเมืองที่ ๑๔ ผ่าต้นมะขามป้อมในเมืองที่ ๑๕ ผ่าลงที่กระดานแผ่นทองที่จารึกปิดไว้ตรงน่าประตูวัง แต่ครั้งมังลองได้เป็นเจ้า สร้างปราสาท ตั้งกำแพงเมือง ปีเดือนวันคืนที่จารึกศักราช ๑๑๑๕ ปี เดือนสิบสอง ขึ้นค่ำหนึ่งนั้น ที่ ๑๖ มังลองจึ่งหาเสนาบดีพราหมณปโรหิตโหราพฤฒามาตย์มา มังลองจึงถามว่า ฟ้าผ่าลงที่เมืองมุกโซโบวันเดียวแต่ตะวันบ่ายไปจนเย็น ๑๖ หนดังนี้ ผู้ใดใครได้พบเห็นเหตุผลเป็นประการใดบ้าง โหราพราหมณปโรหิตทำนายว่า มังลองจะมีบุญญาธิการ จะได้ปราบยุคเข็ญซึ่งเป็นเสี้ยนศัตรูอยู่แก่เมืองอังวะจะพ่ายแพ้เป็นมั่งคง มังลองจึงว่า ถ้าดังนั้น ศักราชได้ ๑๑๑๖ ปี เดือน ๗ ขึ้น ๓ ค่ำ มังลองจะยกทัพทั้งบกทั้งเรือกับเสนาบดีและนายไพร่ซึ่งอยู่ในเมืองมุกโซโบและเมืองอังวะเป็นคนสามหมื่น ให้มองระผู้บุตรเป็นทัพหน้า มังลองเป็นทัพหลวง ยกลงไปรบเมืองหงสาวดีณเดือนเจ็ด แรมสิบสองค่ำ มองระบุตรมังลองซึ่งเป็นกองทัพหน้ายกไปก่อน ได้รบกันกับกองทัพรามัญพระยาอุปราชาน้องเจ้าเมืองหงสาวดีที่เมืองเปรแต่เดือนเจ็ด แรมสิบสองค่ำ ปีหนึ่ง กองทัพพระยาอุปราชาสมิงรามัญทั้งปวงแตกหนีถอยหลังทัพลงไปตั้งรับอยู่ณเมืองย่างกุ้ง แต่ทัพมังลองตั้งยั้งทัพอยู่ณเมืองเปร มองระซึ่งเป็นทัพหน้าติดพันตามกันลงไปรบที่เมืองย่างกุ้ง แต่ณเดือน ๑๑ ข้างแรม ในปีนั้น ครั้นเมื่อศักราชได้ ๑๑๑๗ ปี เดือนหก แรม ๕ ค่ำ พระยาอุปราชาสมิงรามัญแตกจากเมืองย่างกุ้งไปตั้งมั่นอยู่ณเมืองเสี้ยง มังลองยกลงมาอยู่ณเมืองย่างกุ้งปีหนึ่ง ให้กองทัพหน้ามองระผู้บุตรเป็นโปชุกแม่ทัพหลวง กับเสนาบดี เสนัดหวุ่น แมงละแมงฆ้อง นายทัพนายกองทั้งปวง ยกไปตีเมืองเสี้ยงแต่เดือนเจ็ด ข้างแรม ได้ ๑๑ เดือน ได้เมืองเสี้ยง แล้วพร้อมทัพกับมังลองที่เมืองสี้ยงนั้น แล้วมังลอง กับมองระบุตร กับเสนาบดีนายทัพนายกองทั้งปวง ยกไป มังลองให้ตั้งเมืองที่ตำบลบ้านเจตุวะดี ทางไกลกันกับเมืองหงสาวดี ๕๐ เส้น พระยาหงสาวดีให้อำมาตย์ผู้ใหญ่เอาเครื่องบรรณาการออกมาให้แก่มังลอง แล้วเจรจาความเมืองกันว่า พระยาหงสาวดีจะเอาบุตรีมาให้แก่มังลอง ๆ จึงสั่งว่า อย่าเพ่อให้กองทัพทั้งปวงล่วงเข้าไปตีเมืองปะโก้ก่อน ครั้นถึงศักราชได้ ๑๑๑๘ ปี เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ เจ้าเมืองหงสาวดีเอาบุตรีอายุ ๑๗ ปีมาให้แก่มังลอง แล้วพระยาอุปราชา พระยาทะละผู้น้อง ตละป้านผู้หลานพระยาหงสาวดี ติเตียนพระยาหงสาวดีว่า ทำไมจึงเอาลูกสาวไปยกให้แก่มังลอง พระยาพี่จะออกไปเป็นข้ามังลองก็ออ ไปเถิด แต่ข้าพเจ้ากับเสนาบดีทั้งปวงจะสู้กว่าจะตายในเมือง พระยาหงสาวดีจึงว่า เมื่อแลพระยาอุปราชา พระยาทละ ตละป้าน มิยอมให้เมืองเป็นข้ามังลอง เสียลูกสาวคนหนึ่งก็แล้วไปเถิด พระยาหงสาวดีกลับทำสงครามรบกับมังลอง ๆ จึงสั่งแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า พระยาหงสาวดีเสียสัตย์แล้ว กลับจะทำสงครามรบกันกับเราอิกเล่า จึงสั่งให้นายทัพนายกองทั้งปวงเร่งเข้าล้อมเมืองหงสาวดีประมาณ ๑๕ วัน ไพร่พลเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่หน้าที่เชิงเทินเมืองหงสาวดีก็เป็นใจด้วยมังลอง จุดเพลิงทิ้งเชือกลงมารับกองทัพพะม่าเข้าไปในเมือง จับได้พระยาหงสาวดี พระยาอุปราชา พระยาทะละ แลเสนาบดี ได้ในเวลากลางคืนวันนั้น ศักราชได้ ๑๑๑๙ ปี เดือน ๘ มังลองจึงพาเอาพระยาหงสาวดีและญาติวงศ์ทั้งเครื่องยศบริวารกลับขึ้นไปเมืองมุกโซโบ ครั้นถึงเมืองมุกโซโบแล้ว มังลองจึงเลี้ยงพระยาหงสาวดีทั้งบุตรภรรยาเสนาอำมาตย์ไว้ให้อยู่เป็นสุข ๚

ครั้นศักราช ๑๑๒๑ ปี เดือน ๓ แรม ๑๐ ค่ำ มังลองจึงเกณฑ์มองระผู้บุตร กับอำมาตย์ชื่อ แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น เป็นกองหน้า มังลองเป็นทัพหลวง กับไพร่สามหมื่น ทั้งทัพหน้าทัพหลวงเป็นคนห้าหมื่น ยกเข้าไปกรุงทวาราวดีศรีอยุธยา ถึงณเดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ มาถึงเมืองเปร เป็นฤดูฝน มังลองหยุดทัพอยู่ที่เมืองเปร มังลองจึงยกเอามองระผู้บุตรมาไว้ในกองหลวงด้วย มังลองจึงเกณฑ์ให้แต่แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น ลงไปแรมทัพอยู่เมืองย่างกุ้ง ครั้นสิ้นเทศกาลฝน ถึงณเดือน ๑๑ มังลองมองระยกทัพออกจากเมืองเปร มาถึงเมืองย่างกุ้งณเดือน ๑๒ มังลองสั่งให้แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น เป็นกองหน้าไปตีเมืองทะวาย มังลองแต่งกำปั่น ๔ ลำ กับเรือรบทะเล ๕๐ ลำ บรรทุกเสบียงอาหารกับคนหมื่นหนึ่ง ตั้งให้อากาโบหมู่เป็นนายทัพบกนายทัพเรือไปตีเมืองทะวาย ครั้นได้เมืองทะวายแล้ว มังลองเข้าอยู่ณเมืองทะวาย มังลองจึงสั่งให้แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กองหน้า ยกไปตีเมืองมะริด เมืองตะนาว ทางเรือ มังลองจึงสั่งให้อากาโบหมู่กับไพร่ในสำเภาหมื่นหนึ่งยกไปตีเมืองมะริด เมืองตะนาว ทางบก มังลองยกทัพติดไปทีเดียว กองทัพไปทางบกยังไม่ถึง แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง ทัพเรือ ตีเมืองมะริด เมืองตะนาว ได้ก่อน ครั้นมังลองถึงเมืองมะริด เมืองตะนาว ยับยั้งรี้พลไว้ที่เมืองตะนาว มังลองจึงให้แมงละราชา แมงละแมงฆ้อง กับไพร่สองหมื่น มังลองจึงตั้งให้มองระผู้บุตรเป็นแม่ทัพหน้า ได้บังคับแมงละราชา แมงละแมงฆ้อง ยกเข้ามากรุงทวาราวดีศรีอยุธยา มังลองยกเป็นทัพหลวงเข้ามา ครั้นถึงกรุงศรีอยุธยา มังลองบังเกิดเป็นวรรณโรคสำหรับบุรุษป่วยหนักลง มังลองจึงสั่งให้แมงละแมงฆ้องเป็นกองรั้งหลังกับไพร่หมื่นหนึ่ง มังลองจึงถอยทัพกลับไปทางระแหง แต่จากบ้านระแหงไปทาง ๙๐๐ ถึงปลายด่านต่อแดน มังลองถึงอนิจกรรมตาย มองระผู้บุตรเอาศพมังลองผู้บิดาใส่วอหามไปเมืองมุกโซโบแต่ณเดือน ๖ ข้างขึ้น แล้วให้เอาจันทน์แดงจันทน์ขาวทำฟืน เผาด้วยสูบ เอาน้ำกุหลาบดับเพลิง แล้วเก็บอัฐิมังลองใส่หม้อใหม่ปิดทองเอาไปทั้งเสียกลางน้ำ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๒ ปี เดือน ๔ บุตรมังลองผู้ชื่อมังลอกลูกชายใหญ่ได้ราชสมบัติในปีนั้น และแมงละแมงฆ้องอำมาตย์กับคนหมื่นหนึ่งซึ่งเป็นกองรั้งหลังมาถึงเมืองอังวะณเดือน ๖ แมงละแมงฆ้องกับคนหมื่นหนึ่งก็ไล่กวาดต้อนผู้คนครอบครัวในแขวงเมืองอังวะเข้ามาซ่องสุมไว้ในเมืองอังวะ คิดกบฏ ไม่ยอมเป็นข้าเข้าด้วยมังลอกซึ่งเป็นเจ้าอยู่เมืองมุกโซโบหามิได้ มังลอกผู้เป็นบุตรมังลองซึ่งได้ราชสมบัติจึงรู้ว่า แมงละแมงฆ้องคิดการกบฏไม่เข้าด้วย จึงแต่งให้จิตะราชาแซงแนงโบแมงแงปะละสับกุงโบกับคนสองหมื่นเป็นกองหน้ายกลงมาล้อมเมืองอังวะไว้ มังลอกจึงยกลงมากับคนสามหมื่น ตั้งอยู่เมืองจะแกงคนละฟากน้ำ แต่รบกันอยู่ถึงเจ็ดเดือน จึงได้เมืองอังวะ แมงละแมงฆ้องหนีออกจากเมือง กองทัพไล่ติดตามไปยิงแมงละแมงฆ้องตาย มังลอกจึงเลิกทัพกลับไปเมืองมุกโซโบ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๓ ปี เดือน ๔ บังเกิดอัศจรรย์ แผ่นดินไหว ได้ยินเสียงดังกึกก้องดุจดังเสียงปืนทั่วไปทั้ง ๔ ทิศ บังเกิดเป็นสูรย์และลำภูกันขาว ในปีนั้น น้องชายมังลองผู้ชื่อ สะโดะอุจจะหน่า ซึ่งได้ไปนั่งเมืองตองอู คิดกบฏต่อมังลอกผู้หลานซึ่งได้ราชสมบัติอยู่ณเมืองมุกโซโบ แต่งให้บะละแมงแตงสันละกีผู้เป็นอำมาตย์คุมพลห้าพันยกขึ้นมากวาดต้อนเอาคนที่เมืองเปรไปเมืองตองอู มังลอกรู้ว่า สะโดอุจจะหน่าเจ้าเมืองตองอูคิดกบฏ จึงแต่งให้แมงแงพะละคุมพลสามพันเป็นทัพหน้า ตั้งให้โยลัดหวุ่นคุมคนเจ็ดพันเป็นกองหนุน ให้ยกไปรบเอาเมืองตองอู ศักราช ๑๑๒๔ ปี เดือน ๑๒ มังลอกจึงเกณฑ์ให้อากาจอแทงคุมพลหมื่นหนึ่งยกเป็นกองหน้า มังลอกกับพลสองหมื่นเป็นทัพหลวงยกไป เดือน ๑๒ แรม ๑๐ ค่ำ ถึงเมืองตองอู เดือนยี่ ขึ้น ๒ ค่ำ ได้เมืองตองอู จับได้สะโดะอุจจะหน่าทั้งบุตรภรรยาเสนาอำมาตย์ กวาดต้อนเอาขึ้นไปณเมืองมุกโซโบ ครั้นถึงแล้ว จะได้ทำอันตรายเสียหามิได้ มังลอกเลี้ยงไว้คุ้งเท่าบัดนี้ และตละป้านพระยาต่อพระยาซึ่งพาบุตรภรรยาอพยพหนีไปเมื่อครั้งเมืองหงสาวดีแตกครั้งนั้น ไปอยู่เกาะปี้น แขวงเมืองมัตมะ มังลอกจึ่งสั่งให้ละเมิงหวุ่นคุมพล ๓๐๐๐ ให้ไปเกลี้ยกล่อมตละป้านพระยาต่อพระยา ละเมิงหวุ่นยกมาถึงเมืองมัตมะ เกลี้ยกล่อม ตละป้านพระยาต่อพระยาก็เข้าด้วย ตละป้านจึงว่าแก่ละเมิงหวุ่นว่า ถ้าข้าพเจ้าเป็นข้าเจ้าอังวะ ข้าพเจ้าก็เป็นคนโง่ และเจ้าอังวะได้ข้าพเจ้าแล้ว เลี้ยงข้าพเจ้าไว้ไม่ฆ่าข้าพเจ้าเสีย เจ้าอังวะก็เป็นคนโง่ แต่ว่าจับมารดาข้าพเจ้าได้ครั้งหงสาเสียนั้นแล้ว ถึงชีวิตจะตาย จะขอเห็นหน้ามารดาหน่อยหนึ่งเถิด แล้วส่งไปเมืองมุกโซโบ มังลอกก็เลี้ยงตละป้านพระยาต่อพระยาไว้ ๚

อนึ่ง เมืองเชียงใหม่กับเมืองออกห้าสิบเจ็ดหัวเมืองนั้นเคยขึ้นแก่เมืองรัตนบุรอังวะ บัดนี้ ละอย่างประเวณีเสีย หาได้ไปมาเอาเครื่องบรรณาการมาถวายตามอย่างตามธรรมเนียมแต่ก่อนไม่ ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๕ ปี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำ มังลอกจึงเกณฑ์ให้ติงจาแมงฆ้องคุมคน ๓๐๐๐ เป็นกองหน้า จึงตั้งให้ธาปะระกามะนี คนเจ็ดพัน เป็นกองหนุนยกไปตีเมืองเชียงใหม่ เดือนอ้ายถึงเมืองเชียงใหม่ รบกัน ๔ เดือน ได้เมืองเชียงใหม่ จับเจ้าจันผู้เป็นเจ้าเมืองได้ทั้งบุตรภรรยา กองทัพยังมิได้กลับคืนไป มังลอกถึงอนิจกรรมเดือน ๔ นั้น ก็ปลงศพตามอย่างธรรมเนียม ๚

ศักราช ๑๑๒๕ ปี เดือนสี่นั้น มองระผู้บุตรมังลอง เป็นน้องมังลอก ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ และธาปะระกามะนีซึ่งเป็นนายทัพมาตีเมืองเชียงใหม่จึ่งเกณฑ์ให้มหานะระทากับคนเจ็ดพันคุมเอาเจ้าจันทั้งบุตรภรรยาไปถวายมองระ แต่ธาปะระกามะนีกับคนสามพันอยู่รักษาเมืองเชียงใหม่ มองระจึงมีนามปรากฏชื่อว่า เจ้าช้างเผือก จึ่งเลี้ยงเจ้าจันและบุตรภรรยาเจ้าจันไว้คุ้งเท่าบัดนี้

ณเดือน ๑๑ ในปีนั้น มองระจึ่งสั่งให้โยลัดหวุ่นลงมาทำเมืองสร้างปราสาทเมืองอังวะ ตละป้านจึ่งคิดประทุษฐร้าย ให้นายทุยบ่าวตละป้านจุดไฟขึ้นในเมืองมุกโซโบ พิจารณาได้ความว่า ตละป้านให้จุดไฟขึ้นทั้งนี้จะคิดการทำร้ายเจ้าอังวะ มองระจึ่งสั่งให้ประหารชีวิตตละป้านเสีย ๚

ศักราชได้ ๑๑๒๖ ปี เดือน ๑๒ มองระจึงสั่งให้อะแซหวุ่นกี้ติงจาโบคุมไพร่หมื่นหนึ่งเป็นกองหน้า มองระคุมไพร่สองหมื่นเป็นทัพหลวง ยกไปตีเมืองกะแซ ในปีนั้น เดือนยี่ ข้างขึ้น ได้เมือง กวาดเอาเชื้อวงศ์และเจ้ากะแซมาถึงเมืองมุกโซโบแต่ณเดือนสาม ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๗ ปี เดือนหก มองระลงมาจากเมืองมุกโซโบเสวยราชย์เมืองอังวะ จึงเลี้ยงเจ้ากะแซและบุตรภรรยาเจ้ากะแซไว้คุ้งเท่าบัดนี้ ถึงณเดือนเจ็ด แรมห้าค่ำ ในวันเดียวนั้น บังเกิดเป็นพายุใหญ่ฝนตกฟ้าผ่าลงที่หอกลองที ๑ ผ่าลงที่ยอดปราสาทเป็นไฟติดขึ้นเท่าวงกระด้ง ยอดปราสาทหักสบั้นลงมา ดับไฟได้ พายุและฝนก็บรรดาลหาย มองระจึงถามโหราพฤฒาจารย์พราหมณปโรหิตและพระราชาคณะนักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้มีปัญญา จึ่งทำนายว่า พระราชวงศาและอาณาประชาราษฎรในขอบขัณฑเสมาจะอยู่เย็นเป็นสุข ดับยุคดับเข็ญและศัตรูทั้งปวง ให้ชำระสะเกศ ให้ปล่อยนักโทษและสรรพสัตว์ทั้งปวงซึ่งต้องทุกขเวทนาขังไว้นั้น ๚

เมื่อครั้งศักราช ๑๑๒๗ ปี เดือน ๑๒ มองระจึ่งสั่งให้ฉับพะกงโบยานกวนจอโบคุมไพร่ห้าพันยกเป็นทัพหน้า ทัพหนุนนั้นให้เมียนหวุ่นเนเมียวมหาเสนาบดีคุมไพร่ห้าพันยกมาทางเหนือ ค้างเทศกาลฝนอยู่ณเมืองนครเชียงใหม่ ทางทวายนั้นให้เมคราโบคุมไพร่ห้าพันเป็นกองหน้า ทัพหนุนนั้นให้มหานะระทาคุมไพร่หมื่นหนึ่งยกมายังกรุงศรีอยุธยา ค้างเทศกาลฝนอยู่ณเมืองทะวาย ออกพระวัสสาแล้วยกทั้งทางเหนือทางใต้เข้าไปตี ได้กรุงศรีอยุธยาแล้วกลับทัพไปเมืองรัตนบุรอังวะ ๚

เมื่อศักราชได้ ๑๑๒๙ ปี ในศักราชได้ ๑๑๒๘ ปีนั้น ฮ่อยกเข้ามาถึงเมืองแซงหวี ไกลกันกับเมืองอังวะทางสิบห้าวัน มองระจึงสั่งให้ติงจาโบกับไพร่ห้าพันเป็นกองหน้า อะแซหวุ่นกี้กับไพร่หมื่นหนึ่งเป็นทัพหนุน ยกไปตีฮ่อแตกไป ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๒๙ ปี ฮ่อยกทัพกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง มาถึงตำบลบ้านยองนี้ ใกล้กันกับอังวะทางคืนหนึ่ง มองระจึงสั่งให้อะแซหวุ่นกี้ โยลัดหวุ่น เมียนหวุ่น สามนาย เป็นแม่ทัพคุมทหารเป็นอันมาก ได้รบกันกับฮ่อสามวัน กองทัพฮ่อแตก จับได้นายทัพฮ่อแอซูแห กุนตาแย เมียนกุนแย ปะระซูแย ๔ นาย กับทหารนายและไพร่เป็นคนหกพัน มองระจึงสั่งให้เลี้ยงไว้คุ้งเท่าบัดนี้ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๑ ปี ฮ่อยกทัพกลับมาอีกเป็นสามครั้ง ครั้งหลัง กวยชวยโบเป็นแม่ทัพฮ่อ กับรี้พลเป็นอันมาก มาถึงเมืองกองตุงปะมอ ไกลกันกับเมืองอังวะทางสิบห้าวัน มองระจึงสั่งให้ติงจาโบตะเรียงรามะกับไพร่ห้าพันเป็นกองหน้า ตั้งให้อะแซหวุ่นกี้คุมไพร่หมื่นหนึ่ง ทั้งทัพหน้าทัพหลวงเป็นคนหมื่นห้าพัน เป็นแม่ทัพยกไปทางบก ทางเรือนั้นให้งาจุหวุ่น เลต่อหวุ่น กับพลห้าพัน เป็นกองหน้า อำมะลอกหวุ่นเป็นนายกองปืนใหญ่ คุมพลหมื่นหนึ่ง เป็นแม่ทัพ ทั้งทางบกทางเรือไปถึงพร้อมทัพกันณเมืองกองตุงปะมอ ทัพทั้งสองฝ่ายก็รอรั้งตั้งมั่นเจรจาความเมืองกัน กวยชวยโบแม่ทัพฮ่อจึ่งให้อำมาตย์มาหาอะแซหวุ่นกี้ว่า จะขอให้แม่ทัพฮ่อกับแม่ทัพพะม่าเจรจาความเมืองกัน อะแซหวุ่นกี้จึงสั่งให้ปลูกโรงในท่ามกลางแล้วแม่ทัพทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันณโรง เจรจากันว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอให้ขาดสงครามกัน จะเป็นมิตรสันถวะแก่กัน อาณาประชาราษฎรไพร่พลเมืองจะได้ไปมาซื้อขายถึงกัน อะแซหวุ่นกี้ก็ยอมพร้อมด้วยนายทัพนายกองทั้งปวง เลิกกองทัพกลับลงมาณเมืองอังวะ ในศักราชได้ ๑๑๓๑ ปี ณเดือนเจ็ด ขึ้นสิบค่ำ ฟ้าผ่าลงที่เสาติดกะดานแผ่นทองที่จารึกนามประตูเมืองไว้นั้น ครั้นณเดือนแปด เจ้าเมืองจันทบุรีนำเอาบุตรสาวมาถวายคนหนึ่ง ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๓ ปี เจ้าวงศ์ผู้เป็นเจ้าเมืองหลวงพระบางยกลงมาตีเมืองจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีบอกขึ้นไปณเมืองอังวะ มองระเจ้าอังวะจึงสั่งให้ชิกชิงโบคุมไพร่สองพันเป็นกองหน้า ให้เนมะโยหาเสนาบดี คือ โปสุพลา คุมไพร่สามพันเป็นแม่ทัพหลวงลงมาตีเมืองหลวงพระบางได้แล้ว โปสุพลากลับขึ้นไปพร้อมทัพกันณเมืองจันทบุรี ค้างเทศกาลฝนอย่ที่นั้น ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๔ ปี สิ้นเทศกาลฝน โปสุพลาจึงยกกองทัพลงมาตีเมืองลับแล เมืองพิไชย รบกันกับกองทัพกรุง กองทัพโปสุพลาแตกหนีถอยทัพไปตั้งอยู่ณเมืองเชียงใหม่ ค้างเทศกาลฝนอยู่ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๕ ปี ในปีนั้น กระแซก็คิดกบฏที่อังวะ ด้วยอำมาตย์จันตะรอซุยกีเลโบกับไพร่กระแซสามพันคิดกบฏ ใช้ให้โยคีกระแซเอาเพลิงจุดขึ้นที่มุมเมือง โยคีจุดเพลิงศาลาวัดซุยจี่กุง จุดขึ้นริมวัดติดแห่งหนึ่ง พอจับตัวกระแซโยคีไต่ถาม ให้การว่า จันตะรออำมาตย์ซุยกีเลโบใช้ให้โยคีจุดเพลิงขึ้นสี่ทิศ แล้วจะยกคนสามพันเข้าตีเอาเมือง จะฆ่าเจ้าเมืองอังวะเสีย พิจารณาได้ความเป็นสัตย์ สั่งให้ฆ่ากระแซนายและไพร่สามพันเสีย ออกพระวัสสาแล้วจึงเกณฑ์ให้พระยาจ่าบ้านกับแสนท้าวไพร่ลาวพันหนึ่งยกเป็นกองหน้า ให้เนมะโยกามะนีเฝ้าเมืองเชียงใหม่อยู่ โปสุพลากับไพร่ลาวพะม่าเก้าพันเป็นแม่ทัพยกลงมาตีกรุงทวาราวดีศรีอยุธยา ยกออกจากเมืองเชียงใหม่คืนหนึ่ง ประมาณทางห้าร้อย โปสุพลารู้ว่า พระยาจ่าบ้านคิดการประทุษฐร้าย เข้าด้วยกองทัพไทย กลับจะรบโปสุพลา ๆ จึงกลับทัพเข้าไปอยู่ในเมืองเชียงใหม่ พอกองทัพกรุงศรีอยุธยายกขึ้นมา ทั้งกองทัพกาวิละ พระยาลคร พระยาจ่าบ้าน บรรจบกันเข้าล้อมเมืองเชียงใหม่ โปสุพลา เนมะโยกามะนี แตกหนีออกจากเมืองเชียงใหม่ไปอยู่เมืองหน่าย ฝ่ายภรรยาโปสุพลาซึ่งอยู่ณเมืองอังวะนั้น เจ้าอังวะจำไว้ ภรรยาโปสุพลาให้คนมาบอกโปสุพลาว่า อย่าให้ไปเมืองอังวะเป็นอันขาดทีเดียว โปสุพลาจึงหลบหลีกอยู่ณบ้านซุยเกียน ใกล้กันกับเมืองตองอูทางห้าวัน ๚

เมื่อศักราชได้ ๑๑๓๕ ปี มีตราลงมาแต่เมืองอังวะให้ปะกันหวุ่นเกณฑ์เอารามัญหมื่นหนึ่งเป็นแม่ทัพไปตีกรุงศรีอยุธยา ปะกันหวุ่นจึงเกณฑ์ให้พระยาเจ่ง ตละเซ่ง พระยาอู เป็นกองหน้า กับไพร่สามพัน ให้แพ่กิจาเป็นแม่ทัพยกก่อน ไปตั้งฉางอัศมี ฉางปาศัก ลำเลียงเอาเสบียงอาหารเข้าไว้ให้ได้เต็มฉาง ออกพระวัสสาแล้ว ปะกันหวุ่นกับไพร่เจ็ดพันจึ่งจะยกไปตาม ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๖ ปี จะให้ยกกองทัพลงมาแต่เมืองอังวะไปตีเอากรุงทวาราวดีศรีอยุธยา ปะกันหวุ่นผู้เป็นเจ้าเมืองมัตมะเก็บเอาเงินทองแก่ภรรยานายทัพนายกองและไพร่สมิงรามัญซึ่งยกไปทำฉางนั้น ไพร่พลเมืองได้ความเดือดร้อนนัก ตละเกิ้งจึงมีหนังสือไปถึงพระยาเจ่ง ตละเซ่ง สมิงรามัญทั้งปวงว่า ปะกันหวุ่นทำให้ได้ความร้อนเข็ญสุดที่จะทนแล้ว ให้พระยาเจ่ง ตละเซ่ง สมิงรามัญ เร่งคิดยกทัพกลับมาณเมืองมัตมะเป็นการเร็ว พระยาเจ่ง ตละเซ่ง สมิงรามัญทั้งปวงพร้อมกันจับแพ่กิจาแม่ทัพฆ่าเสีย แล้วกลับทัพมาณเมืองมัตมะ ปะกันหวุ่นเจ้าเมืองมัตมะ อะคุงหวุ่น รู้ว่า พระยาเจ่ง ตละเซ่ง ฆ่าแพ่กิจาเสีย ยกทัพกลับมาเมืองมัตมะ ปะกันหวุ่น อะคุงหวุ่น ลงเรือหนีไปเมืองย่างกุ้ง พระยาเจ่ง ตละเซ่ง นายทัพนายกองสมิงรามัญ ยกติดขึ้นไปตีได้ค่ายตักกะเลริมเมืองย่างกุ้ง พอกองทัพหน้าอะแซหวุ่นกี้ยกลงมาแต่เมืองอังวะ ได้รบกันกับกองทัพรามัญที่เมืองย่างกุ้ง พระยาเจ่ง ตละเซ่ง นายทัพนายกองสมิงรามัญ แตกหนีลงมาเมืองมัตมะ พาครอบครัวอพยพเข้ามากรุงทวาราวดีศรีอยุธยา กองทัพพะม่ายกตามมาจับได้แต่ตละเกิ้งทั้งบุตรภรรยาณแขวงเมืองมัตมะส่งขึ้นไปถวาย ครั้งนั้น มองระกับเสนาบดีลงมายกฉัตรอยู่ณเมืองย่างกุ้ง มองระจึงให้ถามตละเกิ้งว่า ตัวคิดการประทุษฐร้ายในครั้งนี้ ใครรู้เห็นเป็นใจด้วยตัวบ้าง ตละเกิ้งว่า พระยาหงสาวดี พระยาอุปราชาผู้น้อง มีหนังสือให้คนถือมาถึงข้าพเจ้ากับพระยาเจ่งให้ชักชวนกันแต่บรรดาสมิงรามัญทั้งปวงจับเอาบรรดาพะม่านายไพร่ซึ่งอยู่ในเมืองมัตมะฆ่าเสีย แล้วให้ยกกองทัพตีเอาเมืองย่างกุ้งขึ้นไปจนถึงเมืองอังวะ ถามสอบพระยาหงสาวดี พระยาอุปราชา รับเป็นสัตย์ มองระจึงสั่งให้เอาพระยาหงสาวดี พระยาอุปราชา กับทั้งตละเกิ้ง ไปประหารชีวิตเสีย ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๖ ปี อะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพเข้ามาตีกรุง กองทัพหน้าก็ยกเข้ามาถึงเมืองราชบุรี กองทัพไทยจึงล้อมไว้ อะแซหวุ่นกี้จึงบอกขึ้นไปถึงมองระเจ้าอังวะ ๆ จึงให้อะคุงหวุ่นมงโยะกับไพร่สามพันรับอาสาจะมาตีแหกเอาคนสามพันในค่ายล้อมเขานางแก้วให้ได้ ครั้นเข้าตีกองทัพไทยซึ่งล้อมพะม่าไว้นั้น ไพร่พลพะม่ากองทัพช่วยล้มตายเป็นอันมาก อะแซหวุ่นกี้จึงบอกหนังสือไปถึงมองระเจ้าอังวะว่า ถ้าจะเอาคนสามพันให้ได้ จะเสียคนกว่าสามหมื่น ด้วยจวนเทศกาลฝน ไพร่พลอดเสบียงอาหาร จะขอถอยทัพมาแรมค้างอยู่ณเมืองมัตมะ ต่อรุ่งขึ้นปีหน้า ข้าพเจ้าจึงจะยกกองทัพเข้าไปตีกรุงศรีอยุธยา ทั้งพะม่าสามพันทั้งนายทัพนายกองเอามาถวายให้จงได้ มองระเจ้าอังวะจึงตอบไปว่า ซึ่งอะแซหวุ่นกี้บอกมานั้นชอบด้วยราชการอยู่แล้ว ทั้งนี้ ก็สุดแต่อะแซหวุ่นกี้จะคิดผ่อนปรนเอากรุงศรีอยุธยาให้จงได้ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๗ ปี มองระกลับขึ้นไปณเมืองอังวะ ครั้นณเดือน ๑๑ ในปีนั้น อะแซหวุ่นกี้ให้แมงยางูกับนายกองผู้น้อย กับปันยิแยฆองจอ ปันยิตะจอง ๓ นาย กับไพร่สองหมื่น ให้ยกไปทางระแหง อะแซหวุ่นกี้กับไพร่หมื่นห้าพันเป็นแม่ทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก อะแซหวุ่นกี้จึงแยกกองทัพลงมารับกองทัพกรุงศรีอยุธยาซึ่งขึ้นไปช่วยปากพิง ครั้นเมืองพิษณุโลกเสียแก่พะม่าแล้ว อะแซหวุ่นกี้บอกหนังสือขึ้นไปถึงมองระเจ้าอังวะ พอมองระเจ้าอังวะถึงอนิจกรรม จิงกูจาบุตรมองระขึ้นเป็นเจ้า จึงให้ข้าหลวงลงมาให้เลิกกองทัพ ทั้งทัพเมืองทะวาย, เมืองมะริด, เมืองตะนาว, อะแซหวุ่นกี้ซึ่งมาตีกรุงศรีอยุธยากลับขึ้นไปเมืองอังวะ จิงกูจาปลงศพมองระผู้เป็นบิดาตามอย่างธรรมเนียม ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๓๘ ปี จิงกูจาผู้เป็นบุตรมองระขึ้นเสวยราชสมบัติ ชะแลงจาผู้น้องจิงกูจา เมื่อมองระบิดายังอยู่นั้น ตั้งให้ชะแลงจาเป็นเจ้าเมืองชะแลง ในปีนั้นชะแลงจากับอะตวนหวุ่นอำมาตย์คิดการกบฏต่อจิงกูจาผู้พี่ซึ่งได้ราชสมบัติ จิงกูจาจึงให้เอาชะแลงจากับอะตวนหวุ่นอำมาตย์ฆ่าเสีย แล้วจิงกูจาทำนุบำรุงพระพุทธรูป พระสถูป พระเจดีย์ วัดวาอาราม อันชำรุดทรุดพังนั้น ให้ลงรักปิดทอง ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๒ ปี จิงกูจาเจ้าอังวะสั่งให้ถอดอะแซหวุ่นกี้ออกจากราชการ แล้วจิงกูจาสั่งให้เอาอะเมียงสะแข่งผู้เป็นลูกมังลอง เป็นน้องมองระ เป็นอาว์จิงกูจา สั่งให้ไปฆ่าเสีย แต่ปะดุงแยกไปไว้ฟากจักเกิง ปะคานสะแข่งแยกไปไว้เมืองแปงยะ แปงตะแลแยกไปไว้ณบ้านชิกกี สามคนนี้เป็นลูกมังลอง เป็นน้องมองระ ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๓ ปี พระเจดีย์ณเมืองแปงยะ ใกล้กันกับเมืองอังวะทางสามร้อย มีนามชื่อว่า ซุยชีกุง พังลงทีหนึ่ง อนึ่ง พระพุทธรูปซึ่งอยู่ณเมืองจะเกิ้ง คนละฟากน้ำเมืองอังวะ ให้เป็นน้ำพระเนตรไหลออกมาครั้งหนึ่ง จิงกูจาให้แต่งเครื่องนมัสการไปนมัสการพระตำบลชื่อ สีหะ ต่อกับเมืองอังวะไกลกันทางห้าคืน จิงกูจายกไปทางเรือได้สามคืน มองหม่องเป็นบุตรมองลอก กับพวกเพื่อนเป็นอันมาก เข้าปล้นชิงเอาสมบัติขึ้นเป็นเจ้า มองหม่องจึงให้หาปะดุงสะแข่ง ปะคานสะแข่ง แปงตะแลสะแข่ง ผู้อาว์สามคน มาพร้อมกันณเมืองอังวะ มองหม่องจึ่งว่า สมบัตินี้อาว์เอาเถิด ปะดุง ปะคาน แปงตะแล จึ่งว่า สมบัติทั้งนี้ได้ด้วยบุญของเจ้า ๆ จงเอาเถิด จึงตั้งอะแซหวุ่นกี้คงที่อะแซหวุ่นกี้ พรรคพวกมองหม่องซึ่งตั้งเป็นเสนาบดีขึ้นใหม่ข่มเหงเอาบุตรสาวเก็บริบเอาพัสดุทองเงินของอาณาประชาราษฎรซึ่งหาความผิดมิได้ และชาวบ้านไพร่พลเมืองได้ความเข็ญแค้นเคืองเดือดร้อนนัก ปะดุงจึงปฤกษาด้วยญาติวงศ์และเสนาอำมาตย์คนเก่าว่า มองหม่องได้เป็นเจ้า ๕–๖ วัน ข่มเหงอาณาประชาราษฎรร้อนเข็ญดังนี้ หาควรที่จะให้เสวยราชสมบัติไม่ เสนาบดีไพร่พลเมืองเป็นใจด้วยปะดุง เข้าล้อมเอาวัง รบกันกับมองหม่องแต่เช้าจนเที่ยง ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก จับตัวมองหม่องได้แล้วฆ่าเสีย ปะดุงได้เสวยราชสมบัติ แล้วสั่งให้เอาเกวียนบรรทุกศพซึ่งรบกันตายนั้นไปทิ้งเสียนอกเมือง ๚

ในปีนั้น ปะดุงใช้ให้มะหาสีละวะอำมาตย์ ๑ จอกตะลุงโบ ๑ กับเรือรบ ๕๐ ลำ คนประมาณพันหนึ่ง ให้ขึ้นไปจับตัวจิงกู ครั้นยกไปถึงบ้านสันโผ ไกลกันกับอังวะทางหกคืน จิงกูกับไพร่เหลือหนีอยู่สามสิบคน กับมเหษีนางห้าม จิงกูก็พาเข้ามาหามะหาสีละวะอำมาตย์ว่า ปะดุงผู้อาว์ได้ราชสมบัติแล้ว เห็นเราหาตายไม่ มะหาสีละวะอำมาตย์เอาตัวจิงกูกับบุตรภรรยาจำลงมาถวายแก่ปะดุง ๆ สั่งให้ฆ่าจิงกูทั้งบุตรภรรยาเสียให้สิ้น ๚

ครั้นศักราชได้ ๑๑๔๔ ปี เดือนเจ็ด เพลาสองยามเศษ งะพุงพะม่าเป็นคนท่องเที่ยวอยู่ในเมืองอังวะ กับพวกเพื่อนประมาณสามร้อยเศษ เข้าปล้นชิงเอาสมบัติ รบกันกับปะดุง ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ปะดุงจับตัวงะพุงได้ทั้งพวกเพื่อนสิ้น ปะดุงให้ฆ่าเสีย ในปีนั้น เดือนสิบสอง ปะดุงสั่งให้ทำเมืองใหม่ตำบลที่ผ่องกากับเมืองอังวะทางสามร้อยทิศตะวันออก ๚

ศักราชได้ ๑๑๔๕ ปี เดือนเจ็ด ปะดุงยกไปอยู่ณเมืองอำมะระบุระสร้างใหม่ ในปีนั้น เดือนสิบสอง ปะดุงจึงสั่งให้แอกกบันหวุ่นกับเสนาบดีคุมไพร่สี่พันเป็นทัพหน้า จึ่งตั้งให้จะกูสะแข่งผู้บุตรคุมไพร่หมื่นหนึ่งเป็นแม่ทัพยกไปทางเมืองสันตวย แขวงเมืองยะไข่ ทางหนึ่ง ให้แมงคุงหวุ่นกับเสนาบดีคุมไพร่สี่พันเป็นทัพหน้า ตั้งให้กามะสะแข่งผู้บุตรคุมไพร่หมื่นหนึ่งเป็นแม่ทัพ ยกไปทางเมืองมะอิละมู แขวงเมืองยะไข่ ทางหนึ่ง ตั้งให้สิริตะเรียงแยฆองเดชะแจกเรจ่อโบคุมไพร่สี่พันเป็นทัพหน้า ตั้งให้บุตรชายใหญ่คุมไพร่หมื่นหกพันเป็นแม่ทัพ ยกไปทางเมืองตองก๊ก ขึ้นยะไข่ ให้ยกไปตีเมืองติญะวดี คือ เมืองยะไข่ แต่ทัพบุตรใหญ่ยกไปถึง ปะดุงจึงตั้งให้มหาจ่อแทงตะละยาแย, จ่ออากาแย, จ่อตะมุทแย, ฆองเดชะ, คุมไพร่ห้าพัน เรือรบทะเลห้าร้อยลำ ยกไปทางทะเลณเดือนอ้ายถึงเมืองตองก๊ก แล้วยกไปตีเมืองตันลอย เจ้าเมืองตันลอยผู้ชื่อว่า จ่อตี แตกหนีออกจากเมืองข้ามทะเลไป กองทัพพะม่าทั้งทัพบกทัพเรือลงเรือตามไปณเดือนยี่ถึงเมืองยะไข่ พร้อมทัพกันทั้งสามทางณเมืองเลมีชุง ใกล้กันกับเมืองยะไข่ทางประมาณร้อยหนึ่ง เจ้าเมืองยะไข่ยกพลทหารเสนาบดีออกมารบ เจ้าเมืองยะไข่แตกหนีกลับเข้าเมือง กองทัพพะม่าไล่ติดตามเข้าไปได้เมือง เจ้าเมืองยะไข่หนีออกจากเมือง กองทัพพะม่าติดตามจับตัวได้ณเดือนสาม ขึ้นสิบสามค่ำ กวาดต้อนเอาเชื้อวงศ์บุตรภรรยาศฤงฆารบริวารเสนาบดีเจ้าติญะวดีเจ้าเมืองยะไข่ แม่ทัพจึงตั้งให้จอกซูคุมไพร่หมื่นหนึ่งให้อยู่รักษาเมืองติญะวดี และนายทัพนายกองก็กลับมายังเมืองอำมะระบุระณเดือนห้า ปะดุงสั่งให้เลี้ยงเจ้าเมืองติญะวดีทั้งบุตรภรรยาและเสนาบดีไว้ เจ้าเมืองติญะวดีป่วยถึงอนิจกรรม และเสนาบดีทั้งปวงกับไพร่ห้าหมื่นของเจ้าเมืองยะไข่นั้น ปะดุงให้ภูมฐานไร่นาเป็นที่ทำกินคุ้งเท่าบัดนี้ ๚

ศักราชได้ ๑๑๔๗ ปี แปงตะแลผู้น้องปะดุง เจ้าเมืองอำมะระบุระคิดกบฏ มีผู้เอาความมาว่า พิจารณาเป็นสัตย์ ปะดุงสั่งให้เอาแปงตะแลผู้น้องไปฆ่าเสียทั้งพวกเพื่อนประมาณห้าสิบเศษ ในปีนั้น ณเดือนเก้า ปะดุงจึงสั่งให้นัดมีแลง ปะแลงโบ แปดองจา นะจักกีโบ ตองพยุงโบ ให้เนมะโยคุงนะรัตกับไพร่สองพันห้าร้อยเป็นกองหน้ายกไปทางบก สะทิงลางเคียงยกทางเรือ กับบาวาเชียง แองยิงเตจะอุดินยอ ให้ยีวุ่นเป็นแม่ทัพเรือกับไพร่สามพันไปตีเมืองถลาง ให้แกงวุ่นกับไพร่สี่พันห้าร้อยเป็นโปชุกบังคับกองทัพบกเรือไปตีเมืองนคร ชุมพร ไชยา ทางทะวายนั้น ให้จิกแกทะวาย มะนีจอคอง สีหะแยจ่อแต่ง เปยะโบ ทะวายหวุ่น กับไพร่สามพัน เป็นกองหน้า ตะแรงยามซู มะนิสินตะ สุรินจอคอง กับไพร่สามพัน ให้จิกสินโบเป็นกองหนุน ให้อนอกแผกติกหวุ่นกับไพร่สี่พันเป็นโปชุกแม่ทัพ ยกมาทางเมืองราชบุรี ทางมัตมะนั้น ให้กลาวุ่น ปิลงยิง สูเลจี ปัญญาอู อากาจอแทง ลานซานโบ อคุงหวุ่น ปันยีตะซอง ละโมวุ่น ซุยฆองอากา กับไพร่หมื่นหนึ่ง ให้เมียวหวุ่นบังคับนายทัพทั้งปวงเป็นแม่กองหน้าที่ ๑ กองหนุนนั้นยอยแลกยาแยฆอง จอกาโบ ตะแรงปันยี ตุกแยโบ กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้เมียนเมวุ่นเป็นแม่กองที่ ๒ ยังทัพหนุนอีกกองหนึ่ง ยวนจุวุน จิดกอง สิริยะแกงวุน แยเลวุน กับไพร่หมื่นหนึ่ง กามะสะแข่งบุตรชายน้อยเจ้าอังวะเป็นแม่ทัพที่ ๓ อีกทัพหนึ่ง แมคราโบ อติตออากาปันยี มะโยลัดวุ่น กับไพร่หมื่นหนึ่ง ให้จักกุสะแข่งบุตรชายกลางเจ้าอังวะเป็นแม่ทัพที่ ๔ กองทัพเจ้าอังวะทัพหน้า จาวาโบ ยะไข่โบ ปะกันวุ่น ลอกาซุงถ่องวุ่น เมจุนวุ่น กับไพร่ห้าพัน อะแซวังมูเป็นแม่กอง ปีกขวาเจ้าอังวะ อำมะลอกวุ่น ตวนแชงวุ่น เลจอพวา ยัดจอกโบ งาจุวุ่น กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้มะยอกวังมูเป็นแม่กองปีกซ้ายเจ้าอังวะ และกะโรยะกิมู เลแซงวุ่น ยวนจุวุ่น ยะกีวุ่น สิบอจอพวา กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้ตองแวหมู่เป็นแม่กองปีกขวาทัพหลวงเจ้าอังวะ ระวาลัตวุ่น ออกมาวุ่น โมกองจอพวา โมมิกจอพวา โมเยียงจอพวา กับไพร่ห้าพัน ตั้งให้อะนอกแวงหมู่เป็นแม่กอง ๆ ทัพปะดุงเจ้าอังวะไพร่สองหมื่น ให้อินแซะสะแข่งบุตรชายใหญ่ ให้อินแซะวุ่นอำมาตย อยู่ว่าราชการเฝ้าเมืองอังวะ ทางระแหงนั้น ให้ซุยตองนอระทา ซุยตองสิริจอพวา กับไพร่สามพัน ตั้งให้ซุยตองเวระจอแทงเป็นแม่กองทัพหน้า ตั้งให้จอฆองนอระทาคุมไพร่สองพันเป็นกองหนุน ทางเชียงใหม่นั้น ให้สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าเป็นแม่ทัพคุมนายทัพและไพร่สองหมื่นเศษ ๚

ครั้นยกมาถึงเชียงแสน สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าจึงบังคับให้ปันยีตะจองโบ จุยลันตองโบ แยจอนอระทา ปลันโย นัดซูมะลำโบ มุกอุโบ สาระจอซู กับไพร่ห้าพัน ให้เนมะโยสิหะซุยะเป็นแม่ทัพ ยกมาตีเมืองพิษณุโลก ครั้นได้พิษณุโลกแล้ว ลงมาตั้งทัพอยู่ปากพิง ทางแจ้หุ่มนั้น ให้เมือยยอง เชียงกะเล พระยาไชยะ น้อยอันทะ กับไพร่สามพัน ตั้งให้ธาปะระกามะนีเป็นแม่ทัพยกมาทางแจ้หุ่มเป็นกองหน้า ยกขึ้นไปล้อมเมืองลคร แจกแกโบ พระยาแพร่ อขุนวุ่น อุติงแจกกะโบ แนมะโยยันตะมิต กับไพร่หมื่นห้าพัน สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าเป็นแม่ทัพ ยกขึ้นไปล้อมเมืองลคร ครั้นกองทัพกรุงศรีอยุธยายกขึ้นไปช่วยเมืองลคร ปะทะกันกับกองทัพพะม่ารบกันที่ปากพิง กองทัพพะม่าแตกหนีกระจัดกระจายล้มตาย เสียม้าและไพร่พลที่นั้นเป็นอันมาก กองทัพพะม่าซึ่งแตกไปแต่ปากพิงขึ้นไปที่เมืองลครค่ายล้อม บอกแก่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นธาปะระกามะนี กับสะโดะสิริอุจจะหน่าซึ่งเป็นโปชุกแม่ทัพซึ่งล้อมเมืองลคร ว่า กองทัพกรุงศรีอยุธยาไล่ติดตามขึ้นมาแล้ว ธาปะระกามะนี สะโดะมหาสิริอุจจะหน่าซึ่งเป็นโปชุกแม่ทัพ ได้รบกันกับทัพกรุงแต่เช้าจนเที่ยง กองทัพพะม่าซึ่งล้อมเมืองลครนั้นแตกหนีไปพร้อมทัพกันณเมืองเชียงแสน พอมีตราให้ข้าหลวงถือหนังสือขึ้นมาว่า เจ้าอังวะ นายทัพนายกองทั้งปวง ถอยทัพกลับมาเมืองอังวะแล้ว ให้เร่งสะโดะมหาสิริอุจจะหน่านายทัพนายกองและไพร่พลอย่าให้ล่วงเทศกาลฝนให้ถึงเมืองอังวะตามกำหนด แต่ธาปะระกามะนีให้เป็นเจ้าเมืองเชียงแสนกับไพร่พะม่าสามพัน ๚

ครั้นเมื่อศักราชได้ ๑๑๔๘ ปี เจ้าอังวะให้ปันยีเวซอ ซุยตองเวยะจอแทง กับไพร่สองพัน จอฆองนอระทา กับไพร่พันห้าร้อย เป็นโปชุกแม่ทัพ ธาปะระกามะนีกับไพร่สามพันเฝ้าเมืองเชียงแสนอยู่ ครั้งนั้น มีตราขึ้นไปให้เข้ากองทัพจอฆองนอระทาโปชุก ได้คนมาเข้ากองทัพแต่ห้าร้อย หนีไปก่อนสองพันห้าร้อย ยกไปตีเมืองฝางได้ แล้วให้ตั้งทำไร่นาอยู่ที่นั้น แต่ธาปะระกามะนีกับไพร่ห้าสิบคน โปชุกนอระทาให้กลับไปจัดแจงบ้านเมืองทำไร่นาอยู่ณเมืองเชียงแสนประมาณหมื่นหนึ่ง พระยาแพร่ พระยายอง ยกกองทัพมาณเมืองเชียงแสน ข้าพเจ้าผู้เป็นธาปะระกามะนีหนีไปหาพระยาเชียงราย ๆ จับข้าพเจ้าได้ ส่งมาเมืองลคร เจ้าเมืองลครส่งมากรุงศรีอยุธยาคุ้งเท่าบัดนี้ แต่ข้าพเจ้าธาปะระกามะนีรู้ว่า รามัญข้าราชการคนเก่าในเมืองหงสาวดี บุตรชันลุนอำมาตย์ทิน บุตรจอกะตุกวุ่น เป็นกองหน้า ละเมิงหวุ่นเป็นโปชุก ยกมาทางเมืองมัตมะจะมากรุงศรีอยุธยา ตั้งรวมเสบียงอาหารอยู่ท่าดินแดง กองทัพกรุงศรีอยุธยายกขึ้นไปตีกองทัพพะม่าแตกหนีล้มตายเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้ทราบเกล้าฯ จำได้แต่เท่านี้ ก่อนมังลองยังไม่ได้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าธาปะระกามะนีได้รู้มา มีนามชื่อว่า เจ้าอาทิตย์ ได้สมบัติยี่สิบปี มีบุตรคนหนึ่งได้สมบัติสิบห้าปี ตั้งให้สาอ่องนั่งเมืองหงสาวดีสามเดือน แซงหมู่คิดประทุษฐร้ายฆ่าสาอ่องเสีย แซงหมู่ขึ้นเป็นเจ้าได้เจ็ดปี มังลองไปตีเอาเมืองหงสาวดีได้ มังลองได้ราชสมบัติเมืองอังวะเจ็ดปี มังลองมีพี่ชายคนหนึ่ง น้องชายคนหนึ่ง ก่อนยังไม่ได้เป็นเจ้านั้น พี่ชายตาย น้องชื่อ สะโดะอุจจะหน่า ยังอยู่คุ้งเท่าบัดนี้ มังลองมีบุตรชาย ๖ มีบุตรหญิง ๓ รวม ๙ คน ครั้นมังลองถึงอนิจกรรม มองลอกได้สมบัติ มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ มองหม่อง ได้นั่งเมืองสามปี มองลอกถึงอนิจกรรม มองระได้ราชสมบัติ มีบุตรชายชื่อ จิงกู คนหนึ่ง ชะแลง คนหนึ่ง มีบุตรหญิงสองคน แต่ได้นั่งเมืองอยู่ ๑๓ ปี มองระเป็นโรคสำหรับบุรุษถึงอนิจกรรม จิงกูได้ราชสมบัติอยู่ห้าปี จิงกูถึงอนิจกรรม มองหม่องได้ราชสมบัติหกวันครึ่งถึงอนิจกรรม ปะดุงได้เสวยราชสมบัติ ฆ่าแปงตะแลน้องชายสุดท้องเสีย ยังอยู่แต่ปะคานสะแข่งบุตร แต่บุตรมังลองยังคงอยู่เท่าทุกวันนี้แต่สองคน มีบุตรชาย ๓ หญิง ๓ อินแซะสะแข่ง ๑ จักกุสะแข่ง ๑ กามะสะแข่ง ๑ รวม ๖ คน ขอเดชะ ๚