ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๑๑
หน้า ๑๔๕–๑๕๗ สารบัญ
ครั้นเวลารุ่งเช้า ปิกันจึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า จะขอศพงกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ไปฝังตามธรรมเนียม และกีเซียงนั้นมาอยู่นานแล้ว หัวเมืองตะวันตกนั้นก็ว่างเปล่าอยู่ เกลือกราษฎรจะกำเริบ ขอให้กีเซียงกลับไปเมืองไซรกี พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงค่อยกระซิบทูลว่า ซึ่งจะปล่อยกีเซียงไปครั้งนี้เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยมังกรลงน้ำ ข้าพเจ้าเห็นจะไปร่วมคิดกับงกซุยเอ๋ง บุตรงกจงฮูซึ่งอยู่เมืองนำเป๊กเฮ้า เกียงฮุนขวัน บุตรเกียงฮวนฌ้อซึ่งอยู่เมืองตังลู้ ยกมากระทำกับเมืองหลวง เห็นจะเคืองพระทัยนัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งท่านว่าก็ชอบอยู่ แต่เราเป็นกษัตริย์ ได้ออกวาจาให้เขาไปแล้ว จะคืนคำเสียก็มิควร ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่า ขณะเมื่อกีเซียงจะไปนั้น เห็นขุนนางในเมืองจะตามส่งเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจะลอบไปดูกิริยากีเซียง ถ้าเห็นสุจริตอยู่ก็จะปล่อยไป ถ้าเห็นไม่สุจรติจึงค่อยมีรับสั่งให้หากลับมา พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็กลับมา ณ บ้าน ให้คนใช้คอยดูอยู่ว่า กีเซียงจะไปเวลาใด
ฝ่ายปอกัน ครั้นออกจากเฝ้า ก็แวะไปหากีเซียง ณ บ้าน กีเซียงก็ออกมารับคำนับตามประเพณี เชิญให้นั่งที่สมควร ปิกันจึงว่า เวลานี้ ข้าพเจ้ากราบทูลให้ท่านกลับไปเมืองไซรกี พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ แต่ข้าพเจ้าวิตกอยู่ว่า เกลือกจะมีผู้พูดขัดขวาง ท่านจะมิได้ไปโดยสะดวก ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์มาเตือนสติท่านให้ท่านเร่งทูลลาไปในวันพรุ่งนี้ กีเซียงได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับปิกันแล้วว่า ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณหาที่สุดมิได้ สืบไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน ปิกันจึงยุดเอามือกีเซียงไว้แล้วกระซิบว่า ในเมืองหลวงทุกวันนี้ กฎหมายขนบธรรมเนียมก็ฟั่นเฟือนไป เพราะพระมหากษัตริย์เชื่อฟังแค่คำคนพาล เราพิเคราะห์ดูเห็นจะไม่มีความสุข กีเซียงก็มิได้ตอบประการใด เป็นแต่ถอนใจใหญ่ ปิกันก็ลาไป ครั้นเวลารุ่งเช้า กีเซียงก็เข้าไปกราบทูลถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็มาจัดแจงทหารและบ่าวไพร่ของตัวยกออกจากเมืองหลวงไปทางประตูตะวันตก ปิกัน บูเซียงอ๋อง มุยจื้อ กิจื้อ กับขุนนางทั้งปวงรู้ว่า กีเซียงจะกลับไปเมือง ก็ชวนกันออกไปตามส่ง และขณะเมื่อกีเซียงออกจากเมืองหลวงไปทางประมาณพันเส้น เหลือบมาเห็นขุนนางตามมาส่งเป็นอันมาก จึงลงจากม้าแวะเข้าหยุดอยู่ที่กงก๋วน ขุนนางทั้งปวงก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย บูจือจึงว่ากับกีเซียงว่า ข้าพเจ้าจะเตือนสติท่านสิ่งหนึ่ง ถ้าท่านรับคำข้าพเจ้าได้ คุณท่านจะอยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ถึงข้าพเจ้าจะตายก็ไม่ลืมคุณท่าน กีเซียงจึงว่า ท่านจะสั่งสอนข้าพเจ้าประการใดก็ตามเถิด บูจือจึงว่า ครั้งนี้ ท่านหามีความผิดไม่ พระเจ้าติวอ๋องจะให้ฆ่าเสีย หากขุนนางทั้งปวงทูลขอท่าน ท่านจึงได้รอดชีวิต ซึ่งท่านจะกลับไปเมืองไซรกีครั้งนี้ ท่านอย่าได้มีใจแค้นพระเจ้าติวอ๋องเลย จงคิดถึงคุณพระมหากษัตริย์ซึ่งผ่านสมบัติมาแต่ก่อนนั้นเถิด กีเซียงจึงว่า ความข้อนั้นท่านอย่าวิตกเลย ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายก็จะไม่ละความกตัญญูเสีย ขณะเมื่อกีเซียงกับขุนนางทั้งปวงพูดกันอยู่นั้น พอแลเห็นฮิวฮุน ฮุยต๋ง ควบม้ามาตาม ขุนนางทั้งปวงรังเกียจฮิวฮุน ฮุยต๋ง นัก ต่างคนคำนับลากีเซียงกลับไป ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับกีเซียง กีเซียงก็รับคำนับแล้วว่า เรามิได้มีคุณสิ่งไรแก่ท่าน ซึ่งท่านอุตส่าห์มาส่งเราถึงนอกเมือง เราขอบใจนัก ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงตอบว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย จำมาส่งตามธรรมเนียม ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็รินสุราคำนับส่งให้กีเซียงเป็นหลายที ครั้นเห็นกีเซียงเมาสุราตึงตัวอยู่แล้ว ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงถามว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เขาเล่าลือว่า ท่านรู้การในอากาศว่าดีและร้าย การแผ่นดินเล่าท่านก็รู้ในเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กีเซียงจึงแกล้งถ่อมตัวว่า ตำราทั้งปวงเราก็ได้เรียนอยู่บ้าง แต่หาเหมือนคำคนสรรเสริญไม่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงถามว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็ละอย่างธรรมเนียมแต่ก่อนเสีย ผู้ใดจะทัดทานก็มิได้เชื่อฟัง ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่หาความผิดมิได้เสียเป็นอันมาก สืบไปเมื่อหน้า ท่านจะเป็นประการใด กีเซียงได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า ซึ่งเราจะทำนายนั้นไม่ควร จงกำหนดแต่ปีมะเมียจนถึงปีชวด ก็จะเห็นประจักษ์ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า เมื่อพระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นพระชนม์นั้นด้วยเหตุประการใด กีเซียงกำลังเมาสุรา ไม่ทันคิด จึงว่า พระเจ้าติวอ๋องจะสิ้นบุญนั้นหาสู้ดีไม่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ก็วิตกอยู่ว่า เมื่อตายนั้นจะเป็นประการใดบ้าง กีเซียงพิเคราะห์ดูลักษณะฮิวฮุน ฮุยต๋ง แล้วคิดแต่ในใจว่า คนทั้งสองนี้ลักษณะร้ายนัก ลูกเห็บจะตกถูกตาย แล้วเกียงจูแหยจะเอาศพไปเซ่นเทพยดาที่เขากิซัว ครั้นจะบอกตามจริง บัดนี้ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จะเสียใจนัก กีเซียงจึงแกล้งว่า เมื่อท่านทั้งสองจะตายนั้นประหลาด หาเหมือนคนทั้งปวงไม่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นคนแล้วก็ย่อมตายด้วยป่วยไข้ ประการหนึ่ง ก็ตายด้วยเชือกและอาวุธต่าง ๆ ซึ่งท่านว่า ข้าพเจ้าจะตายประหลาดกว่าคนทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ กีเซียงจึงว่า เราจะทำนายต่อไปนั้นเหลือรู้เรานัก ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงอ้อนวอนว่า ท่านได้เมตตาข้าพเจ้าแล้ว อย่าคิดรังเกียจเลย จงทำนายให้ประจักษ์เถิด กีเซียงขัดมิได้ จึงว่า ท่านทั้งสองนี้จะต้องลูกเห็บตาย ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ท่านว่า ต้องลูกเห็บแล้ว ตัวท่านจะตายด้วยเหตุประการใดเล่า กีเซียงจึงว่า ตัวเรานี้จะตายโดยปรกติดุจหนึ่งนอนหลับอยู่ ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงแกล้งสรรเสริญว่า ท่านได้เรียนวิชาชำนิชำนาญนัก หาผู้เสมอมิได้ ข้าพเจ้าคิดจะใคร่สนทนาด้วยท่านให้ได้คติไว้ วิตกด้วยราชการในพระราชวัง แล้วฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็คำนับลากีเซียงขึ้นม้ากลับมา ฮิวฮุนจึงว่ากับฮุยต๋งว่า กีเซียงนั้นมันเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ตัวมันจะตายวันนี้พรุ่งนี้หารู้ไม่ กลับมาทำนายเราเสียอีกเล่า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง พูดกันแล้วก็รีบเข้าไปในวังทูลพระเจ้าติวอ๋องตามซึ่งได้พูดกับกีเซียงทุกประการ แล้วว่า กีเซียงนั้นหยาบช้าต่อพระองค์นัก พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธ จึงว่า กีเซียงนั้นโทษถึงตายแล้ว เรายกโทษเสียให้กลับไปเมืองไซรกี ยังหารู้คุณไม่ จำจะให้เอาตัวมาตัดศีรษะแขวนไว้ที่ประตูเมือง จึงจะหายความแค้น แล้วสั่งเตียวฉาน นายทหารเอก ให้รีบตามไปจับตัวกีเซียงมาให้จงได้ เตียวฉายรับสั่งแล้วออกมาขึ้นม้าพาทหารทั้งปวงรีบตามไป
ฝ่ายกีเซียง ครั้นเห็นฮิวฮุน ฮุยต๋งกลับไปแล้ว ก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากกงก๋วนเดินไปทางตะวันตก แล้วคิดถึงคำที่พูดกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็สะดุ้งใจ เห็นว่า จะมีเหตุแล้ว พอได้ยินเสียงทหารเรียกมาว่า ให้กีเซียงหยุดอยู่ก่อน กีเซียงเหลียวไปเห็นเตียวฉาน จึงว่า รู้ตัวอยู่แล้ว เตียวฉานเข้ามาใกล้จึงบอกว่า มีรับสั่งให้หาท่านกลับไปก่อน กีเซียงจึงสั่งแก่ทหารทั้งปวงว่า ท่านจงพากันกลับไปเมืองไซรกีก่อนเถิด แล้วบอกแก่บุตรทั้งสองให้บำรุงรักษามารดาจงดี กิจการบ้านเมืองทั้งปวงก็ให้ว่าตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ทหารทั้งปวงได้ยินกีเซียงว่าดังนั้นก็ร้องไห้ กีเซียงจึงว่า ท่านอย่าเศร้าโศกนักเลย จงฟังข่าวเราในเจ็ดปีเถิด ทหารทั้งปวงก็คำนับลาไป เตียวฉานก็พากีเซียงเข้ามาถึงพระราชวัง ผู้ซึ่งเฝ้าประตูเห็นดังนั้นก็รีบเอาเนื้อความไปบอกอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอก็ตกใจ จึงคิดว่า มีรับสั่งโปรดให้กีเซียงไปเมืองไซรกีแล้ว เหตุไรจึงหาตัวกลับมาเล่า ชะรอยอ้ายฮิวฮุน ฮุยต๋ง จะทูลขัดขวาง อึ้งปวยฮอก็ให้จิวจือไปบอกขุนนางผู้ใหญ่ทั้งปวงให้เข้าไปเตรียมคอยเฝ้า อึ้งปวยฮอก็เข้าไปในพระราชวัง เห็นเตียวฉานคุมตัวกีเซียงอยู่ อึ้งปวยฮอจึงถามกีเซียงว่า มีรับสั่งโปรดท่านให้กลับไปเมืองแล้ว เหตุไรท่านจึงกลับมาเล่า กีเซียงจึงว่า จะมีเหตุสิ่งไรข้าพเจ้ามิได้รู้ พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก เตียวฉานก็พาตัวกีเซียงเข้าไปในที่เฝ้า พระเจ้าติวอ๋องเห็นกีเซียง ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า ตัวทำผิด เรายกโทษเสียแล้ว และตัวยังหยาบช้าหามีกตัญญูต่อเราไม่ กีเซียงจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามีกตัญญูอยู่ถึงห้าประการ ประการหนึ่ง รู้จักคุณบิดามารดา คุณครูอาจารย์ซึ่งสั่งสอนข้าพเจ้า แล้วรู้จักคุณฟ้า คุณดิน คุณพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าคิดจะสนองอยู่มิได้ขาด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งมึงว่า มีกตัญญูต่อท่านผู้มีคุณนั้น จะพูดแก้ตัวหรือ ถ้ามึงมีกตัญญูรู้จักคุณกูแล้ว ทำไมมึงหยาบช้าว่ากูไม่ดีเล่า กีเซียงจึงทูล ซึ่งข้าพเจ้าจะได้ทรยศหยาช้าหามำด้ ข้าพเจ้าว่านั้นตามตำราสินหลงฮวดยีซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนไว้แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ตัวสิฮวดว่า ได้เรียนตำราดูแม่นยำแล้ว จะทำนายชะตาเมืองเราจะเป็นประการใดบ้าง กีเซียงจึงทูลว่า ซึ่งการแผ่นดินทั้งปวง ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับฮิวฮุน ฮุยต๋ง แล้ว แต่จะได้หยาบช้าสิ่งใดหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งตัวว่า เราจะตายไม่ดีนั้น หาเป็นข้อหยาบช้าไม่หรือ ส่วนตัวสิยกย่องว่า จะตายโดยปรกติเล่า ซึ่งตัวพูดจาทั้งนี้หวังจะให้คนทั้งปวงลุ่มหลง ตัวสิทำนายไว้ว่า จะตายดีแล้วก็ เราจะให้ฆ่าเสียบัดนี้ ตัวจะทำนายถูกหรือ หรือเราจะทำนายถูก แล้วสั่งบูซูให้เอาตัวกีเซียงไปฆ่าเสีย บูซูก็ฉุดตัวกีเซียงออกไป อึ้งปวยฮอจึงร้องห้ามบูซูว่า อย่าเพ่อวุ่นวายก่อน แล้วเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งโปรดให้กีเซียงกลับไปเมืองไซรกี ขุนนางและราษฎรก็มีความยินดีนัก ซึ่งกีเซียงกระทำให้ขัดเคืองพระทัยนี้ เพราะเป็นคนซื่อ ว่าตามตำรา ใช่จะแกล้งหยาบช้าต่อพระองค์หามิได้ จะขอพระราชทานโทษกีเซียงไว้ก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรดให้ ปิกันจึงทูลว่า กีเซียงเป็นคนสัตย์ซื่อ แล้วมีใจเจ็บร้อนต่อแผ่นดิน ขุนนางและราษฎรนับถือ ซึ่งจะฆ่ากีเซียงเสียนั้น ขุนนางซึ่งมีกตัญญูต่อแผ่นดินก็จะเสียใจ การซึ่งจะรักษาแผ่นดินสืบไปเมื่อหน้าเป็นการใหญ่ และกีเซียงทำนายการทั้งปวงนั้นตำราก็ยังมีเป็นพยานอยู่ ขอให้กีเซียงทายในวันหนึ่งสองวันในเมืองจิวโก๋จะมีเหตุประการใดบ้าง ถ้ากีเซียงทายถูก จะขอให้พ้นโทษ ถ้าไม่สมเหมือนคำกีเซียง จึงลงพระราชอาญา พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงหากีเซียงเข้ามาเฝ้า ให้ทำตามคำปิกันว่า กีเซียงก็ให้เอาอีแปะมาสามอันใส่เข้าในเตา ตามสังเกตดูตามตำรา รู้ว่าเหตุร้ายก็ตกใจนัก จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า พรุ่งนี้เพลาเที่ยง จะบังเกิดเพลิงไหม้ ณ พระตำหนักไทเบียซึ่งไว้รูปพระมหากษัตริย์แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้นก็มีรับสั่งให้งดโทษกีเซียงไว้ก่อน กีเซียงกับขุนนางทั้งปวงออกมาจากที่เฝ้า
พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ว่า ครั้งนี้ จะได้ดูเท็จจริงกีเซียง ฮิวฮุนจึงว่า ซึ่งกีเซียงดูว่า จะเกิดเพลิงไหม้พระราชวังนั้น ข้าพเจ้าจะให้ไปสั่งผู้ซึ่งรักษาพระตำหนักไทเบียให้ดับธูปและตะเกียงเสียให้สิ้น ก็เห็นว่า จะหาเกิดเพลิงเหมือนคำกีเซียงไม่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย ก็ให้ไปสั่งตามคำฮิวฮุนว่า อึ้งปวยฮอครั้นกลับมา ณ บ้านจึงสั่งบุตรเจ็ดคนให้คุมบ่าวไพร่ไปเตรียมอยู่ริมพระราชวังคอยจะดับเพลิง แล้วสั่งอีเหมียง ผู้รักษาตำหนักไทเบีย ว่า ถ้าเกิดเพลิงไหม้ขึ้น ก็ให้มาบอกโดยเร็ว ครั้นเพลาเที่ยง ขุนนางทั้งปวงต่างคนคิดว่า ซึ่งกีเซียงทำนายไว้เห็นจะผิดเสียแล้ว
ขณะนั้น อสนีบาตผ่าลงที่พระตำหนักไทเบียเป็นเพลิงติดขึ้น ขุนนางทั้งปวงได้ยินเสียงฟ้าก็ตกใจ พออีเหมียงวิ่งร้องออกมาว่า เพลิงไหม้พระตำหนักไทเบียขึ้นแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปจะดับเพลิง และเปลวเพลิงร้อนนัก ต่างคนเข้าใกล้ไม่ได้ ก็จนใจยืนตะลึงอยู่ ปิกันคิดถึงคำกีเซียงทำนายไว้ก็ถอนใจใหญ่ ว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งไฟไหม้พระตำหนักไทเบียนี้เหมือนจะบอกเหตุว่า วงศ์เสี่ยงทางจะสูญแล้ว ขณะเมื่อเพลิงไหม้ขึ้นนั้น พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่พระที่นั่งออกขุนนาง ฮ่องยี่กั๋วเข้าไปกราบทูลว่า ไฟไหม้พระตำหนักไทเบีย พระเจ้าติวฮ่องก็ตกพระทัยนัก จึงให้ไปกำชับขุนนางทั้งปวงให้คอยรักษาอย่าให้เพลิงไหม้ลามไปได้ แล้วตรัสกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ว่า เมื่อกีเซียงทายถูกดังนี้ ท่านทั้งสองจะคิดประการใด ฮิวฮุน ฮุยต๋ง จึงทูลว่า ซึ่งจะปล่อยตัวกีเซียงกลับไปเมืองไซรกีนั้นไม่ได้ ขอให้เอาตัวคุมไว้ในเมืองหลวงก่อน แผ่นดินจึงจะเป็นสุข ข้าพเจ้าและราษฎรทั้งปวงจะได้พึ่งพระบารมีสืบไป
พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย ปิกัน มุยจือ อึ้งปวยฮอ ทั้งสามคนจึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งเพลิงไหม้พระตำหนักไทเบียนั้นต้องคำกีเซียงที่ทำนายไว้ ข้าพเจ้าจะขอพระราชทานให้กีเซียงพ้นโทษ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ซึ่งโทษถึงตายนั้นเรายกเสีย แต่ซึ่งจะให้กลับไปเมืองไซรกีนั้นยังไม่ได้ เราจะให้อยู่ที่จำสงัดก่อน ถ้าบ้านเมืองสงบอยู่ จึงจะให้กลับไป ปิกันก็ไปบอกกีเซียงตามรับสั่ง แล้วว่า ท่านทรมานอยู่ก่อนเถิด ถ้าพระเจ้าติวอ๋องค่อยสบายพระทัยแล้ว เราจึงจะกราบทูลให้ท่านไปเมืองไซรกีจงได้ กีเซียงจึงว่า ถึงข้าพเจ้าจะได้ความลำบากประการใด ก็มิลืมคุณพระมหากษัตริย์ บูซูก็พาตัวกีเซียงไว้จำไว้ที่สงัด ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงรู้ก็จัดของมาเยือนกีเซียงเป็นอันมาก เสียงอื้ออึงนัก ขณะเมื่อกีเซียงอยู่ในที่สงัด ก็สั่งสอนราษฎรให้รู้จักขนบธรรมเนียมทุกประการ ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญา ก็ให้เรียนฤกษ์บนตำราปวยกั้วนั้น แต่ก่อนผู้จะเล่าเรียนยากนัก กีเซียงก็แก้ไขให้จะแจ้งออก ผู้มีสติปัญญาน้อยก็รู้ง่าย ชาวเมืองทั้งปวงก็ไปมาหากีเซียงมิได้ขาด
ขณะนั้น ม้าใช้มาบอกอึ้งปวยฮอว่า งกซุยเอ๋ง บุตรงกจกฮูอยู่ ณ เมืองนำเป๊กเฮ้า คุมทหารยี่สิบหมื่นเศษมาติดด่านลำสัวก๋วน เกียงฮุนขวัน บุตรเกียงฮวนฌ้อ เมืองตังลู้ คุมทหารสี่สิบหมื่นมาติดด่านฮิวฮุนก๋วน อึ้งปวยฮอแจ้งดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า แผ่นดินเป็นจลาจลดังนี้ เห็นราษฎรจะไม่มีความสุข จึงเกณฑ์ทหารเติมไปให้ช่วยรักษาด่านทั้งสองตำบลไว้
ฝ่ายไทอิดจินหยินซึ่งเป็นเทพารักษ์อยู่ในถ้ำกี๋มกวางตั้ง ณ เขาเขียนงวนซัว คิดว่า บัดนี้ ศักราชได้พันห้าร้อยแล้ว เทพยดาซึ่งลงไปเกิดในแผ่นดินจะบังเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน เกียงจูแหยจะต้องลงไปปราบปราม แซ่เสี่ยงทางกำหนดจะสูญแล้ว แซ่บูอ๋องจะจำเริญรุ่งเรืองขึ้น และเขาคุนหลุนซัวนั้นมีเทพยดาอยู่องค์หนึ่ง ครั้นศักราชได้พันห้าร้อยแล้ว จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้แปะเฮาะทองจือเอาไปให้เทพยดาไทอิดจินหยิน ณ เขาเขียนงวนซัว ไทอิดจินหยินคำนับแล้วคลี่หนังสือออกอ่านได้ความว่า ศักราชครบพันห้าร้อยแล้ว เราจะให้เกียงจูแหยลงไปปราบปรามแผ่นดิน ท่านจงให้เลงจู๊จือซึ่งเป็นศิษย์ท่านลงไปช่วยเกียงจูแหยด้วย ไทอิดจินหยินจึงว่า เราแจ้งแล้ว แปะเฮาะทองจือคำนับลากลับมา