ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๑๒
หน้า ๑๕๗–๑๗๓ สารบัญ
ฝ่ายลิเจ้งซึ่งรักษาด่านตันตึงก๋วน แดนเมืองจิวโก๋ เมื่อยังเด็กอยู่นั้น ลิเจ้งไปเที่ยวเรียนวิชากับผู้วิเศษริมเขาคุนหลุนซัวข้างทิศใต้ อาจารย์บอกวิชาให้ถึงห้าประการ เรียกว่า กี๋ม หนึ่ง ปัก หนึ่ง จุย หนึ่ง หวย หนึ่ง เทา หนึ่ง ลิเจ้งเรียนได้เท่านั้น ภาษาไทยว่า วิชาดำดินได้ ครั้นนานมา ลิเจ้งมีภรรยาคนหนึ่งชื่อ นางฮึนสี นางฮึนสีเกิดบุตรชายสองคน ผู้พี่ชื่อ กิมเฉีย ผู้น้องชื่อ บกเฉีย และนางฮึนสีนั้นยังมีครรภ์อยู่อีก กำหนดสามปีหกเดือนแล้วยังหาคลอดบุตรไม่ ลิเจ้งเป็นทุกข์นัก จึงเอามือชี้เข้าที่ท้องภรรยาว่า ท้องนี้นานนักหนาแล้วยังหาคลอดไม่ ถ้าคลอดออกมา เห็นจะเป็นปิศาจ นางฮึนสีได้ยินสามีว่าดังนั้นก็ทุกข์นัก ในเพลากลางคืนวันนั้น นอนมิใครจะหลับ ครั้นเพลาสามยามเศษ นางฮึนสีม่อยหลับไป จึงฝันว่า มีฤษีองค์หนึ่งเดินเข้าไปในห้องที่นอน นางฮึนสีจึงว่า ท่านมาแต่ไหน จึงบังอาจเข้ามาในห้องเรานี้ ฤษีจึงว่า เจ้าจงมารับเอาบุตรของเจ้าเถิด นางฮึนสียังมิทันจะตอบประการใด ฤษีก็เอาวางลงที่อกนางฮึนสี นางฮึนสีมิได้ว่าสิ่งอันใด ก็ตกใจตื่น แล้วปลุกสามีขึ้นเล่าความฝันให้ฟัง ยังมิทันสิ้นความ นางฮึนสีก็เจ็บท้อง ลิเจ้งลุกออกไปข้างนอก ให้หญิงคนใช้พยาบาลอยู่
ครั้นเพลาใกล้รุ่ง นางฮึนสีก็คลอดบุตรออกมา หญิงคนใช้จึงเข้าไปบอกลิเจ้งว่า ภรรยาท่านคลอดบุตรแล้ว แต่หาเป็นรูปคนไม่ ลิเจ้งได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ จึงถอดกระบี่เดินเข้ามา แลเห็นในห้องนั้นเป็นรัศมีสว่าง แล้วมีกลิ่นหอมประหลาด เห็นบุตรซึ่งคลอดออกมานั้นเป็นก้อนเนื้อกลิ้งอยู่ ลิเจ้งจึงเอากระบี่ฟันก้อนเนื้อนั้นลง พอได้ยินเสียงทารกร้องไห้ ลิเจ้งก็เอากระบี่แหวะออก เห็นทารกรูปงาม ผิวเนื้อขาวเป็นนวล มีกำไลใส่มืออยู่ข้างหนึ่ง แพรหลินพาดอกอยู่พับหนึ่ง แพรและกำไลนั้นรัศมีนัก ทารกนั้นลุกขึ้นเดินได้ ลิเจ้งมีความยินดี จึงเข้าอุ้มเอาบุตร แล้วว่า บุตรของเรานี้ชะรอยจะมาแต่สวรรค์ เมื่อแรกเราสงสัยว่า ปิศาจ แทบจะฆ่าเสีย ลิเจ้งก็อุ้มเอาบุตรไปให้ภรรยาดู นางฮึนสีก็มีความรักใคร่นัก
ครั้นเวลาเช้า นายทหารทั้งปวงก็ชวนกันไปเยือนลิเจ้งเป็นอันมาก คนใช้เข้าไปบอกลิเจ้งว่า หลวงจีนคนหนึ่งจะเข้ามาหาท่าน ลิเจ้งก็ออกไปคำนับ เชิญให้นั่งที่สมควร จึงถามว่า ท่านชื่อไร มาแต่ไหน หลวงจีนจึงบอกว่า เราชื่อ ไทอิดจินหยิน อยู่ถ้ำกี๋มกวางตั้ง ณ เขาเขียนงวนซัว ซึ่งมานี้แจ้งว่า ภรรยาท่านคลอดบุตร จะขอชมบุตรท่านสักหน่อยหนึ่ง ลิเจ้งได้ฟังดังนั้นก็ใช้ให้คนไปอุ้มเอาบุตรมาให้ไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินรับเอาแล้วจึงถามว่า บุตรท่านนี้คลอดเพลาไร ลิเจ้งจึงบอกว่า คลอดเมื่อเพลาใกล้รุ่ง ไทอิดจินหยินจึงว่า บุตรท่านคนนี้คลอดเวลาหาดีไม่ ลิเจ้งสงสัยนัก จึงว่า บุตรข้าพเจ้าคนนี้เลี้ยงไม่รอดหรือ ไทอิดจินหยินจึงว่า หาเป็นดังนั้นไม่ เราเห็นว่า บุตรท่านคนนี้นานไปเบื้องหน้าจะต้องรบศึกถึงพันเจ็ดร้อยครั้ง แล้วไทอิดจินหยินว่า ท่านให้ชื่อบุตรแล้วหรือยัง ลิเจ้งก็บอกว่า ยังหาได้ให้ชื่อไม่ ไทอิดจินหยินจึงว่า ถ้าท่านให้เป็นศิษย์เรา เราจะให้ชื่อ ลิเจ้งก็ยอมให้ ไทอิดจินหยินจึงถามว่า บุตรท่านมีกี่คน ลิเจ้งบอกว่า บุตรข้าพเจ้ามีสามคน คนหัวปีนั้นนชื่อ กิมเฉีย ข้าพเจ้าให้เป็นศิษย์ฮวดเทียนจุ๋น อยู่ในถ้ำหันเซียวตัง ณ เขางวนเลงซัว บุตรคนหนึ่งชื่อ บกเฉีย ให้เป็นศิษย์เผาเหียนจินหยิน อยู่ในถ้ำแปะเฮาะตั้ง ณ เขากิวเกงซัว แต่บุตรคนนี้ข้าพเจ้าจะให้เป็นศิษย์ท่าน ตามแต่ท่านจะให้ชื่อเถิด ไทอิดจินหยินจึงให้ชื่อบุตรลิเจ้งว่า โลเฉีย ลิเจ้งก็มีความยินดีนัก จึงแต่งโต๊ะเชิญไทอิดจินหยินกิน ไทอิดจินหยินจึงว่า ของอย่างนี้เรากินไม่ได้ แล้วไทอิดจินหยินก็ลาไป
พอมีผู้มาบอกลิเจ้งว่า แดนเมืองหลวงเกิดศึก ลิเจ้งก็ให้ทหารทั้งปวงซ้อมหัดเพลงอาวุธให้ชำนาญ ลิเจ้งก็ไปดูตรวจตราทุกวันมิได้ขาด แต่ลิเจ้งฝึกหัดทหารอยู่ถึงเจ็ดปี จนอายุโลเฉียได้เจ็ดขวบ โลเฉียนั้นสูงหกเซียะ คิดข้างไทยได้สามศอกคืบแปดนิ้ว พอเดือนเจ็ดข้างจีน เป็นฤดูร้อน โลเฉียไม่สบาย จึงเข้าไปคำนับมารดาว่า ข้าพเจ้าจะลาไปเที่ยวเล่นสักหน่อยหนึ่ง นางฮึนสีมีความรักใคร่โลเฉียนัก ครั้นจะห้ามก็กลัวจะน้อยใจ จึงว่า เจ้าจะไปก็ตามเถิด แต่อย่าอยู่ช้านัก บิดากลับมาไม่เห็นเจ้า จะติโทษมารดาได้ โลเฉียจึงว่า ข้อนั้นอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าแจ้งอยู่แล้ว โลเฉียก็ชวนบ่าวสี่ห้าคนออกจากบ้าน ครั้นถึงประตูด่าน โลเฉียเห็นแดดร้อนกล้านัก จึงให้บ่าวไปดูว่า ทางข้างหน้าจะมีร่มไม้หรือไม่ บ่าวกลับมาบอกโลเฉียว่า ทางข้างหน้านั้นมีต้นไม้เป็นอันมาก โลเฉียก็ให้บ่าวนำทางไปถึงต้นไม้ แล้วโลเฉียเปลื้องเสื้อเสีย นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ลมพัดเย็นสบาย โลเฉียจึงว่ากับบ่าวทั้งปวงว่า เมื่อเราฝ่าแดดมานั้นร้อนนัก บัดนี้ สบายดังได้อาบน้ำ พอได้ยินเสียงน้ำไหลลงมาจากซอกเขา โลเฉียเดินไปดูเห็นธารน้ำใหญ่กว้าง น้ำก็ใสไหลไปในชเล มีก้อนศิลาอยู่กลางธารน่านั่งอาบน้ำเล่น โลเฉียจึงว่ากับบ่าวว่า เราจะลงไปอาบน้ำเล่นที่ก้อนศิลาอันนี้ บ่าวก็ว่า จะลงไปอาบน้ำก็ตามเถิด แต่อย่าเล่นให้ช้านัก โลเฉียก็โดดลงไปนั่งที่ก้อนศิลา แล้วเอาแพรปูลงในน้ำ แพรก็ลอยอยู่ โลเฉียก็ลงนั่งบนแพร วักน้ำอาบเล่นตามสบาย รัศมีแพรนั้นจับแสงน้ำแดงไปสิ้น แล้วโลเฉียเอาแพรนั้นซักฟาดเล่นตามประสาเด็ก ก็เป็นคลื่นใหญ่กระเทือนไปถึงที่อยู่พระยานาค พระยานาคก็คิดสงสัยนัก จึงให้แหมแฉไปเที่ยวดูว่า เหตุสิ่งใดจึงเป็นดังนี้ แหมแฉขึ้นมาถึงปากอ่าวชเล เห็นเด็กคนหนึ่งเล่นน้ำอยู่ จึงถามโลเฉียว่า ตัวทำประการใด จึงกระเทือนไปถึงที่อยู่พระยานาค โลเฉียได้ยินดังนั้นเหลียวไปดู เห็นแหมแฉหน้าเขียวดังสีเมฆ ผมและหนวดแดง เขี้ยวออกนอกปาก โลเฉียสงสัยนัก จึงถามว่า เอ็งนี้เป็นสัตว์อะไร แหมแฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่า เราเป็นทหารพระยานาคสำหรับตรวจตราในท้องชเล ซึ่งตัวบังอาจหยาบช้าต่อเรานั้น เราจะประหารชีวิตเสีย แล้วโลดขึ้นไปเอาขวานฟันโลเฉีย โลเฉียหลบทัน จึงถอดเอากำไลที่ข้อมือขว้างไปถูกแหมแฉศีรษะแตกตาย โลเฉียหัวเราะแล้วว่า กูคิดว่ามีฤทธิ์เดชประการใดเล่า ให้กำไลของกูเปื้อนโลหิตเสียเปล่า ๆ โลเฉียก็หยิบเอากำไลมาส่ายน้ำล้างโลหิต น้ำนั้นก็เป็นคลื่นใหญ่กระเทือนถึงที่อยู่พระยานาคดังจะทำลายลง พระยานาคก็ยิ่งสงสัยนัก พอมีผู้มาบอกพระยานาคว่า แหมแฉซึ่งขึ้นไปตรวจปากอ่าวชเลนั้น ลูกเล็กคนหนึ่งมันตีตายเสียแล้ว พระยานาคแจ้งดังนั้นก็ตกใจนัก จึงว่า แหมแฉคนนี้เทพยดาตั้งไว้สำหรับตรวจท้องชเล ผู้ใดบังอาจฆ่าเสียได้ แล้วจัดแจงทหารจะยกไปจับตัวผู้ซึ่งฆ่าแหมแฉ
ขณะนั้น เงาเปงซึ่งเป็นบุตรพระยานาคที่สามเห็นบิดาจัดแจงบ่าวไพร่วุ่นวายอยู่ จึงถามบิดาว่า จะไปรบผู้ใด พระยานาคก็เล่าความในบุตรฟังทุกประการ เงาเปงจึงว่า การแต่เพียงนี้หาควรบิดาจะไปไม่ ข้าพเจ้าจะอาสาไปจับตัวคนร้ายมาให้ได้ แล้วถือทวนขึ้นหลังนาครีบมาปากอ่าวชเล โลเฉียเห็นระลอกใหญ่นัก แลไปดูเห็นคนถือทวนขี่นาคร้องขึ้นมาว่า ผู้ใดซึ่งฆ่าแหมแฉเสีย โลเฉียจึงตอบว่า เราฆ่าเอง เงาเปงก็โกรธ จึงถามว่า ตัวชื่อไร เป็นบุตรผู้ใด จึงบังอาจนัก โลเฉียจึงตอบว่า เราชื่อ โลเฉีย เป็รบุตรที่สามลิเจ้งซึ่งเป็นนายด่านตันตึงก๋วน เรามาอาบน้ำเล่นตามสบาย แหมแฉทำหยาบช้าต่อเรา เราก็ฆ่าเสีย จะผิดชอบกระไรนักหนา เงาเปงก็โกรธ ด่าโลเฉียเป็นข้อหยาบช้า จึงว่า แหมแฉคนนี้เทพยดาตั้งไว้สำหรับตรวจท้องชเล ตัวฆ่าเสียแล้ว ยังว่าไม่ผิดเล่า แล้วเงาเปงเอาทวนแทงโลเฉีย โลเฉียหลบได้ เงื้อกำไลขึ้นจะตีเงาเปง แล้วคิดว่า จะฆ่าคนมิได้มีชื่อเสียงนั้นหาเป็นเกียรติยศไม่ ร้องถามว่า ท่านชื่อไร เงาเปงจึงบอกว่า เราชื่อ เงาเปง เป็นบุตรพระยานาคที่สามอยู่ชเลตะวันออก โลเฉียได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งตัวถือว่า เป็นบุตรพระยานาค จะมาสู้กับเรานั้น เราจะขอดเกล็ดเสียให้จงได้ เงาเปงก็โกรธ จึงเอาทวนแทงโลเฉีย โลเฉียหลบได้ แล้วเอาแพรหลินโยนขึ้นไปบนอากาศ สีแดงดังเปลวเพลิงตกลงมามัดคองาเปง โลเฉียโจนขึ้นเหยียบบ่าไว้ แล้วถอดกำไลออกต่อยหน้าผากเงาเปงศีรษะแตกตาย รูปเงาเปงกลับกลายเป็นนาค โลเฉียจึงชักเอาเอ็นมาจากตัวนาค จะเอาไปให้บิดาสำหรับรัดเสื้อเกราะ แล้วโลเฉียก็ขึ้นมาบนตลิ่ง บ่าวซึ่งไปด้วยเห็นโลเฉียถือเอ็นนาคขึ้นมาก็ตกใจ แล้วพาโลเฉียกลับมาบ้าน โลเฉียก็เข้าไปคำนับนางฮึนสีซึ่งเป็นมารดา นางฮึนสีจึงถามว่า เจ้าไปข้างไหนมา จึงมาต่อเย็นอย่างนี้ โลเฉียจึงบอกว่า ข้าพเจ้าไปถึงนอกด่าน แดดร้อนนัก จึงกลับมาต่อเย็น โลเฉียบอกแล้วก็เดินเข้าไปในเรือน ลิเจ้งดูซ้อมหัดทหารแล้วก็กลับมาบ้าน จึงว่า พระมหากษัตริย์ทุกวันนี้มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ราษฎรได้ความเดือดร้อน และหัวเมืองทั้งปวงก็เป็นกบฏขึ้น ลิเจ้งคิดแล้วก็เป็นทุกข์อยู่มิได้ขาด
ฝ่ายเงาก๋อง พระยานาค แจ้งว่า โลเฉีย บุตรลิเจ้ง ฆ่าเงาเปงผู้บุตรเสีย ก็มีความสงสารนัก จึงคิดว่า ลิเจ้งคนนี้เป็นศิษย์ไซรกุนหลุน เป็นเพื่อนรักกับเรามาแต่ก่อน ซึ่งบุตรลิเจ้งฆ่าบุตรเราเสียนั้น จำจะบอกลิเจ้งเสียให้รู้ คิดแล้วเงาก๋องก็จำแลงเป็นมนุษย์รีบมา ณ ด่านตันตึงก๋วน แล้วบอกนายด่านว่า เราชื่อ เงาก๋อง เป็นเพื่อนรักของลิเจ้ง จะเข้าไปสนทนาด้วย นายด่านก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งกับลิเจ้ง ลิเจ้งก็ออกมารับคำนับกัน แล้วพามานั่งที่สมควร ลิเจ้งจึงว่า พี่ท่านกับข้าพเจ้าจากกันไปนานแล้ว พึ่งได้เห็นหน้ากันวันนี้ ข้าพเจ้ายินดีนัก ลิเจ้งเห็นหน้าเงาก๋องตึงเป็นทีโกรธ ลิเจ้งก็คิดสงสัยอยู่ เงาก๋องจึงว่า บุตรท่านดีนัก ลิเจ้งมิได้รู้เหตุ พาซื่อไป จึงว่า พี่กับข้าพเจ้ามิได้พบกันนานแล้ว ทำไมจึงรู้ว่า บุตรข้าพเจ้าดีเล่า และบุตรข้าพเจ้านั้นมีสามคน บุตรที่หนึ่งชื่อ กิมเฉีย ที่สองนั้นชื่อ บกเฉีย ที่สามชื่อ โลเฉีย เป็นศิษย์อาจารย์ทั้งสาม แล้วจะดีประการใดก็ยังมิได้ปรากฏ เงาก๋องจึงว่า ซึ่งท่านว่า ยังมิได้เห็นดีของบุตรท่านนั้น เราสงสัยนัก แล้วเงาก๋องก็เล่าความซึ่งโลเฉียไปเล่นน้ำแล้วฆ่าแหมแฉกับเงาเปงเสียนั้นให้ลิเจ้งฟังทุกประการ แล้วถามว่า บุตรท่านถืออาวุธสิ่งใด มีฤทธิ์เดชนัก เงาก๋องเล่าความพลางคิดอาลัยถึงบุตร ก็ร้องไห้ ลิเจ้งจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้เห็นจะมิใช่บุตรข้าพเจ้าดอก ด้วยกิมเฉีย บุตรที่หนึ่งข้าพเจ้า ไปอยู่กับอาจารย์ ณ เขากิวเลงซัว บกเฉีย บุตรที่สอง ก็ไปอยู่กับอาจารย์ ณ เขากิวเกงซัว ยังแต่โลเฉียผู้บุตรน้อยอายุได้เจ็ดขวบ แต่เกิดมาประตูก็ยังมิได้ออกไป เงาก๋องจึงว่า บุตรที่สามชื่อ โลเฉีย นั้นแหละ ฆ่าบุตรเราเสีย ลิเจ้งจึงว่า ท่านอย่าเพิ่งโกรธ บุตรข้าพเจ้าซึ่งชื่อ โลเฉีย นั้นเด็กนัก ข้าพเจ้าจะไปเรียกมาให้ท่านดู แล้วลิเจ้งก็เดินเข้าไปที่ข้างใน นางฮึนสีจึงถามว่า ผู้ใดมาหาท่าน ลิเจ้งจึงบอกว่า เงาก๋อง เป็นเพื่อนเก่าของเรา มากล่าวโทษโลเฉียว่า ฆ่าเงาเปง บุตรเขา เสีย เราว่า โลเฉีย บุตรเรา เด็กนัก แล้วยังหาเคยไปไหนไม่ เราจะให้เงาก๋องดูตัว บัดนี้ โลเฉียอยู่ไหนเล่า นางฮึนสีได้ยินดังนั้นก็กริ่งใจ คิดว่า วานนี้ โลเฉียไปเที่ยวเล่นประหลาด แล้วนางฮึนสีจึงบอกว่า โลเฉียเล่นอยู่ข้างหลังบ้าน ลิเจ้งก็เดินไปเรียกหา เห็นที่ดูหนังสือนั้นประตุปิดอยู่ ลิเจ้งก็เปิดเข้าไปพบโลเฉีย จึงว่า ทำไมเข้ามาอยู่ในนี้ โลเฉียพลั้งปากบอกออกมาว่า วานนี้ ข้าพเจ้าร้อนนัก ไปอาบน้ำเล่นหน่อยหนึ่ง ลิเจ้งคิดประหลาด จึงถามว่า เมื่อไปอาบน้ำเล่นนั้นมีเหตุประการใดบ้าง โลเฉียก็เล่าความซึ่งรบกับแหมแฉกับเงาเปงให้บิดาฟัง แล้วว่า เงาเปงเมื่อตายนั้นตัวกลับเป็นนาค ข้าพเจ้าคิดว่า นาคนั้นเป็นของวิเศษ จึงเอาเอ็นมา หวังจะให้บิดาผูกเสื้อเกราะ ลิเจ้งได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า ซึ่งเจ้าทำทั้งนี้จะเกิดความใหญ่แล้ว จงไปหาเงาก๋องเถิด โลเฉียจึงว่า บิดาอย่าวิตกเลย เอ็นนาคซึ่งข้าพเจ้าเอามาก็ยังอยู่ดอก แล้วโลเฉียก็หยิบเอ็นนาคถือออกมาด้วย ลิเจ้งก็ให้โลเฉียคำนับเงาก๋อง โลเฉียก็เข้าไปคุกเข่าคำนับเงาก๋องแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าฆ่าบุตรท่านเสียนั้น อย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย แล้วเอาเอ็นนาควางให้เงาก๋อง เงาก๋องเห็นเอ็นเงาเปงผู้บุตรก็ร้องไห้ แล้วว่ากับลิเจ้งว่า บุตรท่านฆ่าบุตรเราเสีย จนเห็นประจักษ์สำคัญอยู่ฉะนี้ ท่านยังว่า หารู้ไม่ บุตรเราผู้นี้เทพยดาตั้งไว้สำหรับบันดาลฝนและน้ำค้างให้ตกต้องตามฤดู แหมแฉเล่าเทพยดาก็ตั้งไว้สำหรับตรวจปากอ่าวชเล เมื่อบุตรท่านฆ่าเงาเปง แหมแฉ เสียฉะนี้ เราจะไปทูลพระอิศวรให้ทราบ แล้วเงาก๋องก็ลาไป ลิเจ้งลุกขึ้นกระทืบเท้าแล้วก็ร้องไห้ นางฮึนสีได้ยินเสียงลิเจ้งร้องไห้ จึงให้หญิงคนใช้ออกไปฟังดู หญิงคนใช้กลับมาบอกนางฮึนสีว่า ได้ยินว่า โลเฉีย บุตรที่สามท่าน ไปฆ่าเงาเปง บุตรเงาก๋อง เสีย เงาก๋อง บิดาเงาเปง จะไปทูลพระอิศวร นางฮึนสีก็ตกใจ จึงออกมาจะฟังให้แน่ ลิเจ้งเห็นนางฮึนสีผู้เป็นภรรยา ลิเจ้งเช็ดน้ำตาพลางว่าแก่นางฮึนสีว่า เมื่อเราไปเที่ยวเรียนวิชาอยู่นั้น หมายว่า จะเป็นฤษีอาศัยอยู่ภูเขาและถ้ำที่สงัด มิได้คิดว่า จะมีภรรยาและบุตร หากบุญเราน้อย สละไปมิได้ จึงมาได้เจ้าเป็นภรรยาจนมีบุตรถึงสามคนแล้ว เราก็มิได้คิดจะกระทำบาปกรรมเลย เมื่อและบุตรเราร้ายกาจฆ่าเงาเปงซึ่งสำหรับบันดาลฝนและน้ำค้างให้ตกมีคุณแก่แผ่นดินเสียดังนี้ เรากับเจ้าและญาติพี่น้องก็จะพลอยฉิบหายเสียสิ้น นางฮึนสีได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ เอามือชี้เข้าที่โลเฉียผู้บุตร แล้วว่า เสียแรงอุ้มท้องเจ้ามาถึงสามปีหกเดือน ก็มิได้คิดแก่ความลำบาก หวังว่า จะได้พึ่งเจ้าผู้บุตร เมื่อเจ้ามาทำการหยาบช้าฉะนี้ มารดาก็จะพลอยตายด้วย แล้วนางฮึนสีก็ร้องไห้ร่ำไรเป็นอันมาก โลเฉียได้ยินมารดาว่าดังนั้นก็ร้องไห้แล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้าเกิดมานี้ไม่เหมือนคนทั้งปวง ไทอิดจินหยินอยู่ถ้ำกิมกังตั๋งให้ข้าพเจ้ามาเกิด กำไลกับแพรนี้ก็เป็นของไทอิดจินหยิน ซึ่งเงาก๋องโกรธว่า ฆ่าเงาเปงผู้บุตรเสียนั้น หาวิตกไม่ ข้าพเจ้าจะไปหาครูให้ช่วยแก้ไขได้อยู่ บิดามารดาอย่าเป็นทุกข์เลย แล้วโลเฉียคำนับลาบิดามารดาลงมากลางบ้าน โลเฉียไหว้เทพยดา แล้วเอาธาตุดินเป็นกำลังลอยไปถึงปากถ้ำกิมกังตั๋ง ยืนคอยไทอิดจินหยินอยู่ กิมแหทองจือซึ่งเป็นเพื่อนศิษย์กันแต่ก่อนเห็นโลเฉียมา ก็เข้าไปบอกไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินก็ให้กิมแหทองจือมาพาโลเฉียเข้าไปในถ้ำ โลเฉียก็คุกเข่าลงคำนับไทอิดจินหยิน ไทอิดจินหยินจึงถามโลเฉียว่า เราให้ไปอยู่ด่านตันตึงก๋วนแล้ว ตัวกลับมาทำไมเล่า โลเฉียจึงว่า ท่านให้ข้าพเจ้าไปอยู่ด่านตันตึงก๋วนได้เจ็ดปีแล้ว แล้วโลเฉียก็เล่าความทั้งปวงให้ไทอิดจินหยินฟังทุกประการ แล้วโลเฉียว่า เงาก๋อง บิดาเงาเปงซึ่งข้าพเจ้าฆ่าเสียนั้น จะไปทูลพระอิศวรเพลาเช้าวันนี้ ไทอิดจินหยินได้ฟังดังนั้น นิ่งรำพึงอยู่ช้านาน แล้วว่า เงาก๋องเป็นถึงพระยานาค รู้แต่จะบันดาลได้ให้ฝนและน้ำค้างตก หาเห็นเหตุว่า โลเฉีย กับเงาเปง แหมแฉ สามคนนี้เป็นเวรกันไม่ ความแต่เพียงนี้ไม่ควรจะเคืองถึงพระอิศวร ไทอิดจินหยินจึงเรียกโลเฉียเข้าไปใกล้ แก้แพรหลินที่พันตัวออกเสีย เขียนยันต์ลงที่หน้าผาก แล้วไทอิดจินหยินก็บอกอุบายให้โลเฉียต่าง ๆ โลเฉียก็คำนับลาไทอิดจินหยินไป ณ โก๋เต๊กหมึง ภาษาไทยว่า ประตูไกรลาส
ขณะเมื่อโลเฉียไปถึงนั้นเพลาเช้าตรู่ โก๋เต๊กหมึงยังไม่เปิด โลเฉียก็แอบชะง่อนเขาคอยอยู่