ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๒๗

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๘๐–๒๙๒ สารบัญ



ฝ่ายเซอึง ฮวนส้วย ซึ่งอยู่ในวัง รู้ว่า ปิกันตัดหัวใจถวายพระเจ้าติวอ๋อง แล้วหาตายไม่ ขึ้นม้าขี่ไป ก็คิดสงสัยนัก จึงใช้อึ้งเบ๋ง จิวกี๋ ตามไปดูว่า ปิกันจะไปถึงบ้านแล้วหรือจะเป็นประการใด ครั้นอึ้งเบ๋ง จิวกี๋ มาเห็นปิกันตายอยู่ที่กลางทาง จึงกลับไปบอกความแก่เซอึง ฮวนส้วย ขุนนางบรรดานั่งอยู่ในที่นั้นก็มีความสังเวช ชวนกันร้องไห้รักปิกัน แฮเจียว ขุนนางนายทหารคนหนึ่ง มีความโกรธแค้นพระเจ้าติวอ๋องว่า แกล้งให้ปิกันตาย จึงเอากระบี่ซ่อนในเสื้อ วิ่งตรงไปบนพระที่นั่งที่พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ พระเจ้าติวอ๋องจึงถามว่า ท่านขึ้นมาทำไม แฮเจียวจึงว่า เราขึ้นมานี้จะฆ่าท่านเสีย ด้วยท่านเป็นคนหาดีไม่ หลงรักเฮาหลีปิศาจยุยงจนปิกันซึ่งเป็นอาของตัวนั้นตาย พระเจ้าติวอ๋องทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เอ็งเป็นแต่ข้า มาเจรจาจองหองหยาบคายดังนี้ กูเป็นกษัตริย์ มีบุญมาก ที่ไหนมึงจะฆ่ากูได้ แฮเจียวก็ชักกระบี่ออกจากเสื้อ วิ่งตรงเข้าไปฟัน เดชบารมีพระเจ้าติวอ๋องยังมิถึงที่ตาย ก็เผอิญให้ฟันผิดพระองค์ไป พระเจ้าติวอ๋องจึงร้องบอกขุนนางให้ทหารจับแฮเจียวไปฆ่าเสีย ทหารวิ่งเข้ามาจับตัวแฮเจียว แฮเจียวจึงว่า อย่าจับเราวุ่นวายเลย เราผิดแล้วก็จะยอมตาย แล้วว่ากับพระเจ้าติวอ๋องว่า ท่านเป็นกษัตริย์ หาตั้งอยู่ในยุติธรรมประเพณีรักษาแผ่นดินโดยสุจริตไม่ หลงรักนางขันกี นางฮิบี๋ ยุยงฆ่าปิกันขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีสัตย์กตัญญูรักษาแผ่นดินมาช้านาน ท่านเป็นคนหาดีไม่ ว่าเท่านั้นแฮเจียวก็โดดลงมาจากพระที่นั่งลกไต๋อันสูง จนกระดูกนั้นหักตาย ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบรรดาอยู่ที่นั้นก็มีความอาลัยด้วยแฮเจียวว่า เป็นคนซื่อสัตย์ สู้เสียชีวิตด้วยความซื่อรักปิกัน

ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เอาศพแฮเจียวไปที่สะพานปักหนึง ปลูกโรงให้มิดชิด ให้เอาศพปิกันมาในที่นั้นด้วยกันทั้งสองศพ

ฝ่ายอึ้งปวยฮอซึ่งเป็นบูเสงอ๋อง กับปิจู๊ผู้เป็นบุตรปิกัน นุ่งขาวห่มขาวมาที่ศพ แล้วจัดแจงการตามสมควร ให้หามศพปิกันกับแฮเจียวไปทำที่ฝังไว้ ณ ริมประตูเมืองข้างทิศเหนือ ขณะนั้น พวกรักษาประตูเมืองเห็นบุนไท้สือ ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งไปปราบศัตรู ณ เมืองปักไฮ ขี่กิเลนมา จึงเข้าไป ณ ที่ว่าราชการ บอกกับขุนนางซึ่งอยู่ในที่นั้นว่า บุนไท้สือมา ขุนนางบรรดาอยู่ที่นั้นรู้แล้วก็ชวนกันออกไปคำนับรับที่ประตูอ้อนหนึง บุนไท้สือจึงว่ากับขุนนางที่ไปรับว่า ท่านจงพาไปคอยท่าเราอยู่ที่ประตูเหงาหมึงก่อนเถิด แล้วบุนไท้สือก็มาตามทางที่ฝังศพปิกัน แฮเจียว พอถึงที่ศพอยู่ ก็ได้ยินเสียงโห่อื้ออึงขึ้น บุนไท้สือจึงใช้คนเข้าไปดูที่นั้นว่า เป็นศพผู้ใด ปิศาจจึงคะนองโห่ร้องหลอนเราดังนี้ และคนซึ่งเข้าไปดูนั้นกลับมาบอกว่า เป็นศพปิกันกับแฮเจียว บุนไท้สือจึงทำเป็นตกใจแล้วก็หัวเราะขึ้นมา ครั้นถึงประตูเหงาหมึง เห็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาคอยรับอยู่เป็นอันมาก ก็ลงจากกิเลนคำนับกันตามธรรมเนียม บุนไท้สือแลเห็นพระที่นั่งลกไต๋และพระตำหนักใหญ่น้อยทำขึ้นเป็นอันมาก จึงว่า เราไปอยู่เมืองปักไฮหลายปีเพิ่งมา ได้เห็นพระที่นั่งและบ้านเมืองซึ่งขึ้นประหลาดนักหนา บูเสงอ๋องจึงว่า ของทั้งปวงทำใหม่นั้นประหลาดจริงอยู่ แต่ทว่า บ้านเมืองทุกวันนี้หามีความสุขไม่ คนคิดกบฏต่อแผ่นดิน บุนไท้สือจึงว่า ตัวเราอยู่เมืองปักไฮก็จริง แต่ใจเราคิดถึงพระเจ้าติวอ๋องมิได้เว้นวันเว้นเดือน ด้วยใจเราสามิภักดิ์ต่อแผ่นดิน คิดจะทำราชการสนองพระเดชพระคุณโดยสัตย์กตัญญู แตทว่าเป็นทางไกลจึงช้า แม้นมีปีกบินได้ก็จะมาเฝ้ามิให้ขาด แล้วพากันเข้าไปที่พระที่นั่งกิวเตงเตียน บุนไท้สือจึงเห็นเผาหลกเสาทองแดงซึ่งมีไฟอยู่ในนั้น มีพวกทหารเฝ้าประจำอยู่ จึงถามว่า นี่ทำไว้จะประสงค์สิ่งใด บูเสงอ๋องจึงบอกว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ทำไว้สำหรับผู้ใดขัดรับสั่งแล้วให้เอาตัวกระหนาบเข้าที่เสาให้ไฟไหม้ตาย แลดูที่เสานั้นซากศพผู้ตายติดอยู่เป็นอันมาก มีกลิ่นเหม็นเป็นที่โสโครก บุนไท้สือดูแล้วคิดสังเวชนัก จึงอ่านหนังสือรับสั่งที่จารึกไว้ แจ้งความแล้วก็โกรธพระเจ้าติวอ๋องเป็นอันมาก ขุนนางทั้งนั้นก็ดีใจ ชวนกันหัวเราะ บุนไท้สือจึงตีกลองใหญ่ซึ่งแขวนอยู่ริมพระที่นั่งขึ้น

ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องได้ยินเสียงกลองก็เสด็จออกมา เห็นบุนไท้สือก็ดีพระทัยนัก จึงตรัสปราศรัยว่า ท่านไปปราบศัตรูครั้งนี้เป็นทางไกลกันดาร เดินป่าขึ้นเขาโดยอุตส่าห์ ลำบากนัก เกิดอันตรายป่วยไข้เป็นอย่างไรบ้าง เราเห็นกายท่านซูบผอมแก่ลงกว่าแต่ก่อน เรามีความวิตกถึงท่านนัก และหัวเมืองฝ่ายเหนือราบคาบลงทั้งนี้ก็เพราะท่านเห็นแก่แผ่นดิน ความชอบของท่านมีเป็นอันมาก บุนไท้สือจึงทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้าไปทำราชการสำเร็จมาทั้งนี้ ใช่จะด้วยวิชาความรู้และสติปัญญาข้าพเจ้านั้นหาไม่ ได้ด้วยพระบารมีของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะมายกความชอบข้าพเจ้านั้นหาควรไม่ ด้วยข้าพเจ้าเป็นข้ามาแต่พระบิดา เมื่อพระบิดาสวรรคต ก็ได้สั่งให้ข้าพเจ้าช่วยทำนุบำรุงพระองค์สืบมา และการเกิดขึ้นในแผ่นดินก็เป็นพนักงานของข้าพเจ้าจะต้องทำ อย่ายกความชอบข้าพเจ้าเลย แต่ขอให้พระองค์รักษาแผ่นดินโดยสัตยธรรม ขุนนางและราษฎรจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อข้าพเจ้าไปทำศึกอยู่ข้างหัวเมืองเหนือนั้น ได้ยินข่าวขึ้นไปว่า หัวเมืองทั้งปวงที่จะคิดประทุษร้ายต่อพระองค์นั้นก็มี และรบพุ่งฆ่าฟันกันเองนั้นก็มี ในเมืองหลวงนั้นก็ระส่ำระสาย ข้าพเจ้ามีความร้อนใจนัก ครั้นจะมาก็เป็นห่วงด้วยการศึก ครั้นจะมิมาก็วิตกถึงพระองค์ ถ้าข้าพเจ้ามีปีกบินได้ จะบินมาให้รู้ความแล้วจะบินกลับไป บัดนี้ ข้าพเจ้ามาถึงพระองค์ และการทั้งปวงซึ่งทำไว้เห็นจะจริงเหมือนกิตติศัพท์ที่เขาเล่าลือ พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า หาเป็นดังนั้นไม่ แต่เกียงฮวนฌ้อนั้นคิดจะฆ่าเรา งกจงฮูคิดกบฏต่อแผ่นดินปล้นบ้านเมือง ซีเหงียยก ผู้บุตรเรานั้น ไม่อยู่ในคำสั่งสอน เที่ยวไปคบคนพาลทำทุจริตต่าง ๆ เราจึงให้ริบแล้วจึงฆ่าเสีย บุนไท้สือจึงว่า ซึ่งคนสามคนนี้พระองค์ได้สืบสาวได้สักขีพยานแน่แล้วหรือ พระเจ้าติวอ๋องก็นิ่งอยู่ บุนไท้สือจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปปราบศัตรู ณ เมืองฝ่ายเหนือ ก็เหนื่อยยากถึงสิบห้าปี จึงสำเร็จราชการ และพระองค์อยู่ในพระราชวัง หลงไปด้วยผู้หญิง แล้วเสวยสุราเล่นสบายพระทัย มิได้เอาใจใส่กิจราชการบ้านเมือง จนขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงคิดกบฏเป็นอันมาก และข้อซึ่งให้ทำเผาหลกเสาทองแดงกับที่แห่งหนึ่งใหญ่สูงกว่าที่ทั้งปวง ของสองสิ่งนี้จะประสงค์สิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เผาหลกนั้นเราทำไว้สำหรับเอาโทษผู้ซึ่งกระทำผิด ไม่อยู่ในบังคับ จึงให้เอาตัวกระหนาบเข้ากับเสาไฟให้ไหม้ตาย อันที่ลกไต๋อันใหญ่สูงนั้นทำไว้สำหรับฤดูร้อนจะได้ขึ้นไปนั่งเล่น แล้วจะได้ดูไกลและใกล้ แล้วจะมิให้ได้ยินเสียงคนพูดจาหยาบช้าอันไม่ชอบใจ บุนไท้สือได้ฟังดังนั้นจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า พระมหากษัตริย์ทำให้ผิดอย่างธรรมเนียม ไม่เชื่อขุนนางที่สัตย์ซื่อ ฟังแต่คนสอพลอยุยง แล้วทำลกไต๋อันสูงใหญ่ให้เสียไม้ คนทำลำบาก แต่เสบียงก็ไม่มีกิน ไพร่บ้านพลเมืองจึงคิดเอาใจออกหากหลบหนีไป อันทหารพลเรือนอุปมาเหมือนมือเหมือนเท้าของพระองค์ เมื่อพระองค์ไม่รักขุนนางอันเป็นมือเป็นเท้าแล้ว ก็เหมือนยังอยู่แต่พระองค์เปล่า บัดนี้ ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงเป็นกบฏ พระองค์จะคิดเป็นประการใดจึงจะได้ทหารปราบศัตรูเล่า และเมื่อครั้งพระบิดาของพระองค์เสวยราชสมบัติอยู่นั้นย่อมเลี้ยงข้าราชการที่มีสติปัญญากตัญญูสัตย์ซื่อ หัวเมืองทั้งปวงแปดทิศก็มีความรักใคร่กลัวเกรง มาถวายเครื่องบรรณาการ แผ่นดินก็อยู่เย็นเป็นสุข ตั้งแต่พระองค์ได้เสวยราชย์มานี้ สักกี่ปีนักหนา ทำใหบ้านเมืองเกิดจลาจลต่าง ๆ จนข้าพเจ้าต้องไปปราบปรามข้าศึกปิ้มว่าจะเสียชีวิต หัวเมืองฝ่ายเหนือจึงสงบไป บัดนี้ มาเกิดเป็นศึกขึ้นทั่วทุกทิศ จะทำประการใด พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งอยู่ มิได้ตรัสตอบ บุนไท้สือจึงว่า การทั้งนี้เป็นธุระข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านกับขุนนางทั้งปวงชำระปราบปรามให้แผ่นดินราบคาบจงได้ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเถิด

พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เสด็จไป บุนไท้สือออกมายืนอยู่ที่ประตูวัง แล้วร้องประกาศขุนนางทั้งปวงว่า วันนี้ ให้ไปพร้อมกันที่บ้านเรา จะคิดราชการ แล้วบุนไท้สือก็ออกไปบ้าน ขุนนางทั้งปวงตามไปพร้อมกัน บุนไท้สือจึงว่า เราไปปราบศัตรูหัวเมืองฝ่ายเหนือช้าถึงสิบห้าปีจึงได้กลับมา ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบรรดาอยู่ที่นี่ใครรู้เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องและผู้ใดทำประการใดบ้าง ให้ว่าไปตามจริง เสียงไต้หูสุ้ยและขุนนางคนหนึ่งยอบตัวลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้เป็นผู้น้อย รู้การไม่ทั่วถึง จะเอาเนื้อความกราบเรียนท่านนั้น รู้ไม่ตลอด ขอท่านจงให้หาบูเสงอ๋องมาถามเถิด จะได้เนื้อความทั้งข้างหน้าข้างในสิ้น บุนไท้สือจึงให้ไปหาบูเสงอ๋องมาถาม บูเสงอ๋องคำนับบุนไท้สือ แล้วจึงเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบบอกความว่า ตั้งแต่ท่านไม่อยู่นั้น พระเจ้าติวอ๋องได้นางขันกี ลูกเชาฮู มาไว้เป็นมเหสี รักหลงไป ว่าไรก็เชื่อฟังทุกสิ่ง แล้วให้ฆ่านางเกียงฮองเฮาซึ่งเป็นมเหสีเก่ากับพระราชบุตรชายคนหนึ่งเสีย แล้วฆ่าสูเทียนก้ำกับหมุยเปกเสียง และนางขันกีให้ฆ่าโตฮวนเสีย ปลูกพระที่นั่งลกไต๋ เกณฑ์คนมาทำ ที่มีเงินเสียให้ปล่อยไป ที่ไม่มีเงินจะเสียก็ให้ตรากตรำอดอยากจนตายเสียนับร้อย ที่หลบหนีไปก็เป็นอันมาก แล้วเสียเหล็ก เสียไม้ และของทั้งปวงก็นักหนา แล้วทำเผาหลกเสาทองแดงใส่ไฟข้างในไว้สำหรับฆ่าคนทูลความและขัดรับสั่ง และให้จำบุนอ๋อง ณ คุกไว้ถึงเจ็ดปี แล้วทำพระที่นั่งเตียะแซเหลาอันกว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ข้างล่างนั้นตั้งกระทะใหญ่ต้มส่าเหล้าใส่เหล็กแหลมไว้ในนั้น ถ้าใครไม่อยู่ในบังคับแล้ว ทิ้งลงในกระทะเสียให้ตาย นางขันกีให้เอานางจงหอ นางเลือยซือ ทิ้งลงไปตาย แล้วท่านเตียวเคทูลห้ามมิให้ปลูกพระตำหนักเตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องไม่ฟัง เตียวเคน้อยใจกระโดดลงมาจากที่สูงตาย เมื่อก่อนท่านมาถึงหน่อยหนึ่ง นางขันกีกับพวกนางขันกีกินเหล้าอยู่กับพระเจ้าติวอ๋อง แล้วทำล้มลงรากเลือด และพวกนางขันกีจึงทูลว่า ตับมังกรอยู่ในท้องปิกัน ให้เอามาต้มให้นางขันกีกิน จึงจะหายโรค พระเจ้าติวอ๋องให้ไปเอาตัวปิกันมาเอาตับมังกรในท้อง จนปิกันต้องผ่าท้องออกตาย บัดนี้ ยังฝังศพไว้ประตูทิศเหนือ แล้วว่า ทุกวันนี้ พวกเฮาหลีปิศาจเข้ามาอยู่ในพระราชวังเป็นอันมาก ถ้านิ่งไว้นานไป เห็นบ้านเมืองเราจะไม่มีสุขสืบไป บุนไท้สือได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า จะทำเรื่องราวถวายพระเจ้าติวอ๋อง แล้วสั่งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า อีกสามวันให้เข้าไปพร้อมกันในพระราชวัง เราจะทำเรื่องราวเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นถึงกำหนดสามวัน ก็เข้าไปในวัง พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ณ พระที่นั่งลกไต๋ ก็พาขุนนางเข้าไปเฝ้าถวายเรื่องราวมีเนื้อความสิบประการแก่พระเจ้าติวอ๋อง แล้วบุนไท้สือก็เข้าไปยืมริมพระองค์ ฝนหมึกเอาพู่กันถวาย แล้วว่า พระองค์จะโปรดประการใดก็ให้ทรงเขียนเถิด พระเจ้าติวอ๋องจึงคลี่เรื่องราวออกดูเป็นใจความว่า บุนไท้สือขอพระราชทานให้รื้อพระที่นั่งลกไต๋กับเผาหลกซึ่งทำไว้สำหรับฆ่าคน กับให้รื้อเตากระทะใหญ่ซึ่งต้มส่าเหล้า แล้วให้ขับนางขันกีปิศาจและพวกนางขันกีเสีย แล้วขอให้ฆ่าฮุยต๋งกับฮิวฮุน และให้ลบอักษรซึ่งจารึกห้ามมิให้ขุนนางเอาความทูล แล้วให้แต่งขุนนางไป ณ เมืองตังลู้ พูดจาให้ดีอย่าให้มีศึกต่อไป แล้วให้ปล่อยคนโทษซึ่งจำไว้ ณ คุก ขอให้เขียนหนังสือไปปิดไว้ประตูเมือง ให้ผู้ซึ่งมีสติปัญญาสัตย์ซื่อเข้ามาทำราชการ ครั้นทรงอ่านแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงทรงพู่กันลบเสียเจ็ดประการ แต่สามประการนั้น พระเจ้าติวอ๋องทรงจารึกพระอักษรสั่งให้ว่า พระที่นั่งลกไต๋ทำยาก ต้องเสียข้าวของนักหนา จะได้เป็นที่นั่งเล่นสบาย จะของดไว้ กับฮุยต๋ง ฮิวฮุน นั้นก็หาได้ทำความผิดสิ่งใดไม่ และนางขันกี นางฮิบี๋ เล่าก็ได้เลี้ยงไว้เป็นเมียช้านาน ยังหามีความชั่วสิ่งใดไม่ ซึ่งจะให้ฆ่าคนสองคน และขับนางขันกี นางฮิบี๋ เสียนั้น ขอคิดดูก่อน บุนไท้สือก็ทูลว่า เสียแรงข้าพเจ้ามีความสัตย์ซื่อรักษาพระองค์ อุตส่าห์เหนื่อยยากทำราชการรักษาแผ่นดินมาช้านาน เห็นผิดจึงทูลข้อความแต่สิบประการเท่านี้ พระองค์ยังไม่ทรงพระเมตตาโปรดให้ ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการช่วยรักษาแผ่นดินของพระองค์สืบไปนั้น เห็นเหลือสติปัญญา แล้วแลไปเห็นฮุยต๋ง บุนไท้สือจึงถามว่า ตัวเป็นขุนนางชื่อไร ฮุยต๋งจึงว่า ข้าพเจ้าชื่อ ฮุยต๋ง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และมาบังคับพระเจ้าติวอ๋องจะให้รื้อพระตำหนักลกไต๋และขับนางขันกีเสียนั้น ท่านเห็นสมควรแล้วหรือ บุนไท้สือก็โกรธ จึงเอามือตบฮุยต๋งพลัดตกลงมาหน้าฟก ฮิวฮุนจึงขึ้นไปว่า ซึ่งท่านบังอาจตีขุนนางต่อหน้าพระที่นั่ง ก็เหมือนตีพระเจ้าติวอ๋อง ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ลืมขนบธรรมเนียมเสียหรือ บุนไท้สือโกรธนัก จึงว่า เพราะมึงทั้งสองสอพลอ กฎหมายสำหรับแผ่นดินจึงฟั่นเฟือน แล้วเอาเท้าถีบฮิวฮุนกระเด็นไปประมาณสามวา แล้วสั่งให้ทหารซ้ายขวาจับเอาตัวฮิวฮุน ฮุยต๋ง ไปฆ่าเสีย พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้ตรัสประการใด บุนไท้สือจึงทูลว่า อ้ายสองคนนี้ให้ฆ่าเสียจึงจะชอบ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ความสามประการนั้นเราค่อยคิดกัน บุนไท้สือเห็นพระพักตร์พระเจ้าติวอ๋องไม่สบาย จึงกราบทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำการทั้งนี้หวังจะให้แผ่นดินเป็นสุข จะได้ทรยศนั้นหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง นั้นจงจำใส่คุกไว้ก่อน แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ขุนนางทั้งปวงก็ออกจากที่เฝ้า บุนไท้สือครั้นกลับมา ณ บ้านจึงคิดว่า จะเร่งชำระความในพระราชวังเสียให้สำเร็จ เกลือกเชียงเสียงอ๋อง เมืองปักไฮ จะยกมา จะได้ทำการแต่หน้าเดียว

ขณะนั้น มีผู้มาบอกบูเสงอ๋องว่า กองทัพเมืองปักไฮยกมา บูเสงอ๋องก็ถอนใจใหญ่แล้วนึกว่า ถ้าศึกมีมาแต่ทางเดียวก็จะยังชั่ว ถ้ามีมาทั้งสี่ทางจะทำกระไร คิดแล้วจึงสั่งให้พาผู้ถือหนังสือไปแจ้งความแก่บุนไท้สือ ผู้สำเร็จราชการ ฝ่ายผู้ถือหนังสือก็มา ณ บ้านบุนไท้สือ ให้ทนายเข้าไปกราบเรียน บุนไท้สือดูหนังสือแจ้งความแล้วก็เข้ามาในที่ว่าราชการ พาบูเสงอ๋องเข้าไปเฝ้าถวายหนังสือแจ้งเรื่องความ พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรหนังสือแล้วก็ถอนใจใหญ่ จึงตรัสว่า ท่านจะคิดประการใด บุนไท้สือจึงทูลว่า ศึกเมืองปักไฮครั้งนี้เห็นหนักแน่น จะให้บูเสงอ๋องไปก็ยังไม่เคยการศึก ข้าพเจ้าจะขอทหารยี่สิบหมื่นยกไป จะให้บูเสงอ๋องอยู่ ซึ่งเนื้อความสามประการที่พระองค์ขอไว้นั้น เมื่อสำเร็จการศึกแล้วกลับมา จึงคิดอ่านชำระต่อไป พระเจ้าติวอ๋องดีพระทัย ด้วยจะหามีผู้ใดว่ากล่าวให้ขัดเคืองใจไม่ จึงมอบธงอาญาสิทธิ์ให้ แล้วพระราชทานสุราถ้วยหนึ่ง บุนไท้สือรับถ้วยสุรามาแล้วก็ส่งให้บูเสงอ๋อง บูเสงอ๋องจึงว่า ท่านเป็นคนผู้ใหญ่จะไปการศึก ของพระราชทานเชิญท่านกินให้สบายเถิด บุนไท้สือจึงตอบว่า เราไปครั้งนี้ไม่ช้านัก สักปีหนึ่งครึ่งปีจะกลับมา แต่วิตกด้วยพระเจ้าติวอ๋องและราชการบ้านเมืองยิ่งนัก ถ้าท่านมีใจสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าติวอ๋อง ช่วยทำนุบำรุงให้เป็นสุขก็ดีกว่าที่เราไปการศึกอีก ท่านจงกินเถิด บูเสงอ๋องคำนับแล้วก็รับจอกสุรามากิน พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงพระราชทานให้อีกถ้วยหนึ่ง บุนไท้สือจึงรับพระราชทาน แล้วถวายบังคมลาออกมาจัดแจงทหาร ครั้นวันดีได้ฤกษ์ ให้จุดประทัดใหญ่เป็นสำคัญ ก็ยกทัพ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จไปส่งบุนไท้สือจนออกนอกประตูเมือง




ตอน ๒๖ ขึ้น ตอน ๒๘