ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๒๙

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๙๘–๓๐๕ สารบัญ



ฝ่ายซ่องเอ๋งปิวซึ่งอยู่รักษาเมืองรู้ว่า อามาถึง ดีใจนัก ก็ออกไปคำนับถึงนอกเมือง ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า เรารู้ว่า ศึกมาติดเมือง จึงรีบมาช่วย ซ่องเอ๋งปิวบอกว่า เกียงจูแหยกับบุนอ๋องยกทัพมา ฆ่าหมุยเต๊ก กับกิมเสง นายทหาร ตาย ซ่องเฮกเฮ้าก็ทำเป็นโกรธแล้วว่า พรุ่งนี้ เราจะออกไปรบ ซ่องเอ๋งปิวก็ดีใจ พาเข้ามาในเมือง แต่งโต๊ะเลี้ยงกันทั้งนายและไพร่

ครั้นรุ่งเช้า ซ่องเฮกเฮ้าก็พาซ่องเอ๋งปิวคุมทหารออกไป เกียงจูแหยเห็นทัพยกมา จึงให้หลำจงกวดคุมทหารออกไป หลำจงกวดแลเห็นทหารซ่องเฮกเฮ้าจึงร้องว่า พี่ชายท่านทำผิดยังเห็นดีด้วย ยกทหารมาจะรบกับเราหรือ แล้วขับม้ารำดาบเข้าไป ซ่องเฮกเฮ้าก็แกล้งชักม้าเข้าต่อสู้ให้ซ่องเอ๋งปิวเห็น ได้ยี่สิบเพลงแล้วบอกกับหลำจงกวดว่า เราจะเช้าด้วยซ่องเฮ่าเฮ้าหามิได้ เราสู้ท่านพอคนทั้งปวงเห็นมือ มิให้มีความสงสัย แล้วจึงจะลวงจับพี่เราผู้ทำผิดส่งให้บุนอ๋อง หลำจงกวดได้ยินดังนั้นก็ทำเป็นชักม้าพาทหารหนีเข้าค่ายบอกความแก่เกียงจูแหยและบุนอ๋องทุกประการ ซ่องเอ๋งปิวครั้นเห็นหลำจงกวดหนีไป จึงว่าแก่อาว่า ข้าพเจ้าดูเห็นหลำจงกวดเสียทีท่านแล้ว เหตุไรจึงมิติดตามฆ่าเสียเล่า ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า หลำจงกวดเป็นศิษย์เกียงจูแหย มีความรู้มาก ที่จะหักหาญเอาโดยเร็วไม่ได้ จำจะคิดอ่านให้ดีก่อน แล้วก็พาซ่องเอ๋งปิวและทหารกลับมาเมือง จึงว่ากับซ่องเอ๋งปิวว่า อันการทั้งนี้หนักแน่นอยู่ จะทำแต่กำลังเราเห็นไม่ได้ จำจะบอกไปถึงบิดาท่านให้เร่งออกมาช่วยกัน ซ่องเอ๋งปิวก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือบอกข้อความ ให้ซุนเอ๋งถือหนังสือรีบไป ณ เมืองจิวโก๋

ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้าแจ้งความแล้วก็โกรธนัก จึงเอาหนังสือบอกเข้าไปในวัง พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ก็เข้าไปเฝ้าถวายหนังสือแล้วทูลว่า เกียงจูแหยกับบุนอ๋องซึ่งหนีไป บัดนี้ คิดกบฏ คุมกองทัพมาตีเมืองข้าพเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า จะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ ท่านจงเร่งรีบไปรักษาเมืองไว้ก่อน แล้วเราจะแต่งกองทัพตามไปช่วย ซ่องเฮ่าเฮ้าก็ถวายบังคมลาออกมาจัดทหารได้สามพันยกไป

ฝ่ายซ่องเฮกเฮ้า ครั้นมีหนังสือไปแล้ว ภายหลังจึงให้เกาเต๋งคุมทหารมีฝีมือยี่สิบคนไปอยู่ที่ประตู ถ้าซ่องเฮ่าเฮ้ามาถึงแล้ว ได้ยินเสียงเราร้องขึ้น จงชักกระบี่ออกไล่ฟัน แล้วจงช่วยกันจับเอาตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับบุตรให้ได้ ครั้นสั่งทหารแล้วก็รักษาเมืองมั่นอยู่ ครั้นรู้ว่า ซ่องเฮ่าเฮ้า พี่ชาย มาถึง จึงพาซ่องเอ๋งปิวกับซิมกั๋งออกไปรับนอกเมือง ทางไกลร้อยห้าสิบหกเส้น ซ่องเฮ่าเฮ้าครั้นเห็นน้องชายกับบุตรออกมารับก็มีความยินดี หยุดคำนับกัน ซ่องเฮกเฮ้าจึงร้องสั่งทหารทั้งปวงบรรดามาด้วยซ่องเฮ่าเฮ้าให้หยุดอยู่ที่นี้ เราจะเข้าไปปรึกษาคิดราชการกันในเมือง แล้วก็พากันเดินมา ครั้นถึงประตูเมืองที่ให้ทหารยี่สิบคนอยู่นั้น ซ่องเฮกเฮ้าจึงชักกระบี่ออกแล้วร้องให้จับ เกาเต๋งกับทหารก็จับได้ตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเอ๋งปิวมัดไว้ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงถามซ่องเฮกเฮ้าว่า เหตุไรเจ้าจึงคิดการกระทำกับพี่ดังนี้ ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่า ท่านทำการไม่ชอบ ไปคบคิดกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลยุยงพระเจ้าติวอ๋องให้ทำลกไต๋ให้คนได้ความแค้น แล้วให้ฆ่าผู้มีความสัตย์ซื่อเสียเป็นอันมาก แผ่นดินเดือดร้อน จะพลอยให้เขาฆ่าพวกพ้องตายเสียด้วย ซ่องเฮ่าเฮ้ารู้ตัวว่าผิดก็นิ่งถอนใจใหญ่อยู่ มิได้ตอบประการใด ซ่องเฮกเฮ้าก็นำทหารคุมตัวซ่องเฮ่าเฮ้ากับบุตรรีบลัดไปโดยเร็ว

ฝ่ายบ่าวซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นเห็นเขาจับนายมัดไป วิ่งมาบอกความที่บ้านนาย ภรรยาลูกหลานซ่องเฮ่าเฮ้าครั้นรู้เหตุต่างคนตกใจ ชวนกันวิ่งมาที่ประตูก็ไม่เห็น จะตามไปก็ไม่ทัน ต่างคนต่างร้องไห้อยู่ที่นั้น ซ่องเฮกเฮ้าครั้นพาพี่ชายกับหลานมาถึงค่ายก็เข้าไปหาเกียงจูแหย เกียงจูแหยเห็นก็มีความยินดี ออกมาต้อนรับคำนับกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อย แล้วว่ากับซ่องเฮกเฮ้าว่า ท่านนี้เป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน พี่ชายและหลานทำผิดก็ไม่เข้าด้วย อุตส่าห์จับเอาตัวมาให้ เราขอบใจนัก แล้วก็พาซ่องเฮกเฮ้า ซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว มาที่บุนอ๋องอยู่ บุนอ๋องเห็นเกียงจูแหยเดินหน้าแล้วมัดคนทั้งสองมาด้วย จึงถามว่า ท่านมัดใครมา เกียงจูแหยจึงว่า คนนี้ชื่อ ซ่องเฮ่าเฮ้า เป็นคนกระทำผิด ไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดิน ซ่องเฮกเฮ้าผู้น้องเห็นมิชอบจึงจับตัวมา แต่คนน้องนี้เป็นบุตรที่คุมทหารออกมารบเรา บุนอ๋องมีความสงสารคนทั้งสองจึงว่า ข้าขอโทษแก้มัดปล่อยเสียเถิด เกียงจูแหยจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ปล่อยเสียไม่ได้ การข้างหน้ายังมากอยู่ คนทั้งปวงจะดูเยี่ยงอย่างต่อไป จะให้ฆ่าเสีย บุนอ๋องครั้นจะขัดนักก็เกรงอาจารย์ จึงนิ่งอยู่ เกียงจูแหยจึงให้ทหารคุมตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว ไปฆ่าเสีย เอาศีรษะเข้ามาเสียบประจานไว้หน้าค่ายที่ทางคนเดิน บุนอ๋องเห็นทหารหิ้วศีรษะออกมาก็ตกใจ เอาเสื้อปิดหน้าเสีย มิได้ว่าประการใด ซ่องเฮกเฮ้าจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปจับภรรยาซ่องเฮ่าเฮ้ากับพวกพ้องซึ่งอยู่ ณ เมืองมาให้ท่านทำโทษ แล้วขอให้ไปตรวจเอาทรัพย์สิ่งของด้วย เกียงจูแหยจึงว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าคิดมิชอบ ซ่องเอ๋งปิวนั้นทำองอาจ จึงตายด้วยกัน อันภรรยาและพวกพ้องมิได้รู้เห็น เราไม่เอาโทษแล้ว และบ้านเมืองของทั้งปวงของซ่องเฮ่าเฮ้านั้นจงเป็นธุระของท่านไปรักษาดูแลเถิด บุนอ๋องตั้งแต่เห็นศีรษะซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว มาก็ไม่สบายใจ บังเกิดป่วยไข้ หมอให้กินยาเป็นหลายขนานก็ไม่หาย โรคนั้นก็กำเริบหนักขึ้น บางทีนอนอยู่ก็เคลิ้มเห็นหน้าซ่องเฮ่าเฮ้า ซ่องเอ๋งปิว เนือง ๆ บุนอ๋องมีความวิตก จึงปรึกษาอาจารย์ว่า เราจะอยู่ที่นี่เห็นไม่ได้ จำจะกลับไปเมืองก่อนเถิด เกียงจูแหยเห็นด้วย จึงนัดกันพร้อมแล้วก็เลิกทัพมาเมืองไซรกี

ฝ่ายขุนนางซึ่งอยู่ ณ เมืองปักเป๊กเฮ้า ครั้นซ่องเฮ่าเฮ้ากับบุตรตายแล้ว ก็ทำหนังสือบอกแจ้งข้อความไป ณ เมืองจิวโก๋ เตียวอ๋อง บูจู๋ ซึ่งเป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นผู้ถือหนังสือมาถึง แจ้งความแล้ว ก็เอาหนังสือเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรหนังสือแล้วทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า บุนอ๋องเป็นคนโทษปล่อยไป ไม่คิดถึงคุณเรา กลับอกตัญญูไปคบเกียงจูแหยยกทัพมาตีบ้านเมือง ฆ่าซ่องเฮ่าเฮ้ากับซ่องเอ๋งปิวซึ่งเป็นขุนนางของเราเสียดังนี้ โทษบุนอ๋องกับเกียงจูแหยผิดล่วงเกินนัก จึงตรัสปรึกษาขุนนางว่า เราจะให้กองทัพยกไปจับตัวมาฆ่าเสีย เอียวจอง ไต้หูสิหยิน จึงกราบทูลว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าทำราชการมีความชอบก็จริงอยู่ แต่น้ำใจหาตรงต่อแผ่นดินไม่ เป็นคนโลภ เบียดเบียนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน ซึ่งบุนอ๋องฆ่าเสียก็ควรแล้ว พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย ซึ่งจะให้แต่งกองทัพไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นบุนไท้สือก็ไม่อยู่ แล้วข่าวการศึกก็กำเริบทั้งสี่ทิศ ขอให้งดจัดแจงรักษาเมืองหลวงไว้ก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นด้วย

ฝ่ายบุนอ๋อง ครั้นกลับมาถึงเมืองไซรกี ตั้งแต่ไม่สบาย ข้าวปลาก็กินไม่ได้ ซูบผอมนัก ครั้นรู้ว่า อาจารย์เกียงจูแหยมาเยี่ยม จึงเชิญให้เข้าไปนั่งข้างใน เล่าอาการโรคให้ฟัง แล้วถอนใจใหญ่ เกียงจูแหยจึงว่า ท่านอย่าเพ่อเสียใจ อุตส่าห์กินยากินข้าวรักษากายไว้ก่อน ข้าพเจ้าเห็นยังจะไม่เป็นไรดอก บุนอ๋องจึงว่า โรคเราครั้งนี้เหลือกำลังที่จะรักษาให้รอดชีวิตสืบไปได้ แต่เราคิดว่า ถึงตัวเราจะตายไป เดชะผลความสัตย์ซึ่งได้ทำมา ก็จะไปสวรรค์เป็นสุข แต่คิดวิตกถึงการภายหลังยิ่งนัก ด้วยพระเจ้าติวอ๋องก็ไม่เป็นสัตยธรรม แผ่นดินก็หาเป็นปรกติไม่ และเมืองเราก็มีเมืองขึ้นถึงสองร้อย บุตรเราซึ่งจะรักษาสืบไปก็ยังเด็กนัก เราขอฝากธุระทั้งปวงไว้แก่ท่าน ท่านได้เอ็นดูคิดว่า กีฮวดนี้เป็นบุตรของท่าน ท่านช่วยสั่งสอนสืบไป เหมือนรักเรามาแต่หลังนั้นเถิด แล้วบุนอ๋องจึงเรียกกีฮวดเข้ามา ให้คำนับเกียงจูแหย แล้วสั่งว่า หาบุญบิดาไม่แล้ว จงฝากตัวอาจารย์ให้จงดี คิดว่า เป็นบิดา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ให้ฟังถ้อยคำ จึงจะเป็นสุขสืบไป แล้วซ้ำสั่งอีกสามประการว่า สิ่งใดที่ชั่วอย่าทำ แล้วอย่าได้ประมาทคนดี แม้นมีแขกมาหาให้ต้อนรับ สั่งสิ้นเท่านั้นแล้ว บุนอ๋องก็ร้องไห้ โรคที่บังเกิดในกายก็กำเริบหนักขึ้น จึงร้องว่า เราจะอยู่รักษาแผ่นดินสืบไปไม่ได้แล้ว ก็ขาดใจตาย เกียงจูแหยจึงคิดอ่านแก่กีฮวดผู้บุตรจัดแจงทำตามบรรดาศักดิ์ แล้วเชิญศพไปฝังไว้ที่แปะเหาเตียน เมื่อบุนอ๋องตายอายุได้เก้าสิบเจ็ดปี

ขณะนั้น เกียงจูแหยจึงให้บรรดาหัวเมืองขึ้นมาพร้อม แล้วปรึกษาว่า บัดนี้ บุนอ๋องก็ถึงแก่กรรม พระเจ้าติวอ๋องก็หาเอาใจใส่ราชการบ้านเมืองไม่ อาณาประชาราษฎรก็เดือดร้อน แผ่นดินไม่เป็นสุข เราเห็นว่า กีฮวดผู้บุตรบุนอ๋องนั้นสติปัญญารอบคอบพอจะรักษาเมืองไซรกีและคนทั้งปวงได้ จะยกกีฮวดเป็นพระเจ้าบูอ๋องรักษาแผ่นดินต่อไป เราจะช่วยทำนุบำรุง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางปรึกษาพร้อมกันแล้วจึงว่า ซึ่งท่านจัดแจงทั้งนี้ข้าพเจ้าก็เห็นดีด้วย เกียงจูแหยก็ทำการตั้งกีฮวดเป็นบูอ๋อง กีฮวดครั้นเป็นบูอ๋องแล้วก็คิดอ่านจัดแจงว่าราชการตามขนบธรรมเนียมแผ่นดินสืบมาอย่างบิดา




ตอน ๒๘ ขึ้น ตอน ๓๐