ข้ามไปเนื้อหา

ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๗

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๙๐–๑๐๔ สารบัญ



ขณะนั้น เสียงมโหรีได้ยินไปถึงนางเกียงฮองเฮา มเหสีพระเจ้าติวอ๋อง นางถอนใจใหญ่แล้วบ่นว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังอีขันกี ให้ทำเผาหลกขึ้นฆ่าป่วยเป๊ก ขุนนางผู้ใหญ่ เสีย อีขันกีมันแกล้งทำเล่ห์กลมารยาให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลง นางเกียงฮองเฮาคิดเคืองใจ จึงลงจากตำหนักมาถึงที่บรรทม แล้วก็ขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง นางขันกีก็คำนับเชิญพระมเหสีขึ้นนั่งตามตำแหน่งที่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสสั่งให้นางพนักงานบำเรอดีดกระจับปี่สีซอ แล้วตรัสสั่งนางขันกีให้ร้องรำทำเพลงให้พระมเหสีดู นางเกียงฮองเฮาก็เมินหน้าเสีย พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นจึงตรัสแก่นางเกียงฮองเฮาว่า นางขันกีร้องเพลงรับกระจับปี่เสียงเพราะ รำก็งามเหมือนนางฟ้า เหตุใดเจ้าจึงมิได้ดูเล่า นางเกียงฮองเฮาได้ฟังพระเจ้าติวอ๋องตรัสชมนางขันกีดังนั้นก็โกรธ จึงคำนับพระเจ้าติวอ๋องแล้วทูลว่า นางขันกีฉลาดในการร้องรำทำกระบวนต่าง ๆ ฉะนี้ พระองค์ตรัสชมว่าดีนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ ในธรรมเนียมโบราณนับถือว่าดีมีห้าสิ่ง คือ พระมหากษัตริย์ตั้งอยู่ในยุติธรรม มิได้หลงด้วยสตรี หนึ่ง พระจันทร์พระอาทิตย์เป็นของวิเศษอยู่บนฟ้า หนึ่ง ข้าวโพดสาลี ถั่ว งา เป็นของดีในแผ่นดิน หนึ่ง เสนาบดีซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน หนึ่ง บุตรเหลนหลานอยู่ในบังคับบัญชาบิดามารดาปู่ย่าตายายสอนสั่ง หนึ่ง และซึ่งพระองค์จะลุ่มหลงมัวเมาด้วยการเล่น และประมาทหมิ่นฤษีผู้มีวิชาการ เพราะเชื่อฟังคำคนยุยงฉะนี้ ข้าพเจ้าหาเห็นชอบด้วยไม่ นางเกียงฮองเฮาทูลแล้วก็คำนับลาไปที่อยู่ พระเจ้าติวอ๋องได้ยินนางเกียงฮองเฮาว่ากล่าวก็เคืองพระทัย จึงตรัสแก่นางขันกีว่า นางเกียงฮองเฮาว่ากล่าวหยาบช้ามิยำเกรงเรา ตรัสแล้วเรียกสุรามาเสวยจนเวลาประมาณยามสาม จึงสั่งนางขันกีให้ทำมโหรีขับรำถวาย นางขันกีจึงทูลว่า เมื่อเวลาประมาณสองยาม ข้าพเจ้าร้องรำบำเรอถวาย พระมเหสีของพระองค์มาว่ากล่าวเปรียบเทียบข้าพเจ้าให้ได้ความอัปยศ ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้าขับรำถวายอีก ข้าพเจ้าจะขอขัดรับสั่ง ตามแต่จะโปรด พูดแล้วนางทำร้องไห้ด้วยมารยาปิศาจ หวังจะให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษนางเกียงฮองเฮา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสปลอบนางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้ เราจะถอดเกียงฮองเฮาเสีย จะตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาได้ว่ากล่าวบังคับนางฝ่ายในให้สิทธิ์ขาด นางขันกีได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็ยินดีนัก ถวายบังคม แล้วเข้าไปรินสุราหยิบกับแกล้มถวายให้เสวย พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุรากับนางขันกีจนเวลารุ่งสว่าง พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุราเมาก็เข้าที่บรรทม

ฝ่ายนางขันกีคิดริษยาจะคอยหาความผิดนางเกียงฮองเฮา มเหสีเอก ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับแล้ว จึงลงจากที่บรรทมไปถึงในตึกใหญ่สำหรับพระสนม เฝ้าพระมเหสีทั้งสาม พอเกียงฮองเฮา นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย มเหสีทั้งสาม ออกมานั่งอยู่ นางขันกีก็เข้าไปคุกเข่าลงคำนับ นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย จึงแกล้งถามนางเกียงฮองเฮาเป็นเย้ยว่า นางคนนี้หรือชื่อ ขันกี นางเกียงฮองเฮาจึงบอกว่า คนนี้ชื่อ ขันกี พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงจนลืมเสด็จออกว่าราชการ นางเกียงฮองเฮาจึงว่าแก่นางขันกีว่า แต่นี้ไป เจ้าอย่าทำใจกำเริบ จงอยู่รับราชการแต่ตามที่ตำแหน่งผู้น้อย บำรุงเกียรติยศของพระเจ้าติวอ๋องไว้ อย่าให้ขุนนางและชาวเมืองทั้งปวงล่วงเข้ามานินทาพระมหากษัตริย์ นางขันกีได้ฟังพระมเหสีว่ากล่าวดังนั้นก็เคืองใจ แต่มิอาจออกปากว่า จึงคำนับลาลงจากตำหนักไปที่อยู่ นางคนใช้ทั้งสองก็ออกมารับ นางขันกีนั่งบนเก้าอี้แล้วถอนใจใหญ่ คนใช้ทั้งสองเห็นดังนั้นจึงคำนับถามว่า วันนี้ ท่านไปเฝ้าพระมเหสีกลับมาไม่สบายขัดเคืองด้วยสิ่งใด นางขันกีฟังดังนั้นก็ขบฟันแล้วว่า ตัวเราพระมหากษัตริย์ก็ชุบเลี้ยง เราคิดว่า เราเป็นผู้น้อย ถ่อมตัวไปอ่อนง้อ พระมเหสีกลับตัดพ้อว่ากล่าวให้ได้อับอายแก่นางอึ้งกุยหุย นางเอี๋ยวกุยหุย และนางสนมทั้งปวง เรามีความน้อยใจนัก จะขอแก้แค้นพระมเหสีให้จงได้ จึงจะนอนตาหลับ นางคนสนิททั้งสองจึงว่า เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าได้ยินรับสั่งว่า จะถอดนางเกียงฮองเฮาเสีย จะตั้งท่านขึ้นเป็นพระมเหสีเอก ท่านก็คงจะได้แก้แค้นสมความคิดเป็นมั่นคง นางขันกีจึงว่า นางเกียงฮองเฮายังหาความผิดมิได้ ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะสั่งให้ถอดเสียจากที่ เราเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงจะเข้ามาทูลทัดทานไว้ เราคิดไปยังมิตลอด ท่านทั้งสองเห็นอุบายประการใด จงช่วยแนะให้แก่เราบ้าง คนสนิททั้งสองจึงว่า สติปัญญาข้าพเจ้านี้น้อยนัก หาเห็นอุบายประการใดไม่ ขอท่านจงให้หาขุนนางคนสนิทเข้ามาคิดอ่านกลอุบายเอาความผิดใส่โทษนางเกียงฮองเฮา ข้าพเจ้าเห็นจะสำเร็จความคิดท่านเป็นมั่นคง นางขันกีจึงว่า ขุนนางฝ่ายหน้าท่านจะเห็นผู้ใดที่จะวางใจไว้ความลับได้เล่า คนสนิทจึงว่า มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อ ฮุยต๋ง ฮุยต๋งคนนี้ได้ทูลเสนอท่านไว้แต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงมีรับสั่งให้บิดาท่านพาท่านมาถวาย ฮุยต๋งก็หมายจะฝากตัวอยู่ เห็นจะไว้ความลับได้ เวลาพรุ่งนี้ ข้าพเจ้าได้ยินว่า พระเจ้าติวอ๋องจะเสด็จออกชมสวน ขอท่านจงแต่งหนังสือลับฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าจะซ่อนเร้นไปให้แก่ฮุยต๋ง นางขันกีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย

ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องครั้นเวลาเช้าก็เสด็จไปชมสวนดอกไม้ นางขันกีจึงเขียนหนังสือลับส่งให้คนสนิทไปคอยฮุยต๋งอยู่ ครั้นพระเจ้าติวอ๋องประพาสสวนแล้วเสด็จเข้าพระราชวัง พอฮุยต๋งเดินกลับออกมาพบคนใช้ คนใช้ก็ส่งหนังสือให้แล้วกระซิบบอกว่า นางขันกีผู้นายข้าพเจ้าให้หนังสือมาถึงท่าน เป็นความลับขำอยู่ ท่านอย่าให้แพร่งพราย ถ้าท่านช่วยทำนุบำรุงให้นายข้าพเจ้าได้สมความคิดแล้ว นายข้าพเจ้าจะช่วยเพ็ดทูลให้ท่านได้ที่ยศศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป ฮุยต๋งก็รับหนังสือซ่อนใส่ไว้ในกลีบเสื้อ แล้วกลับมาบ้าน ขึ้นไปบนหอหนังสือ จึงฉีกผนึกออกอ่าน แจ้งความในหนังสือลับนางขันกีว่า ให้คิดทำร้ายนางเกียงฮองเฮา ดังนั้น ฮุยจึงคิดว่า เกียงฮองเฮาเป็นลูกสาวเกียงฮวนฌ้อซึ่งเป็นเจ้าเมืองตังลู้ พี่ชายนางเกียงฮองเฮาชื่อ เกียงบุนฮวน กำลังและฝีมือกล้าแข็ง มีนายทหารเอกพันหนึ่ง ทหารเลวถึงร้อยหมื่น ถ้าความทั้งนี้มิสมคิดผิดพลั้งลง เห็นเราจะถึงความฉิบหาย แม้นมิทำตามนางขันกี นางขันกีก็เป็นคนโปรดอยู่ในพระเจ้าติวอ๋อง เกรงเกลือกจะทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องลงอาญาฆ่าเสีย ฮุยต๋งคิดวิติก มิรู้จะไว้ตัวประการใด นั่งกอดเข่าทุกข์ใจอยู่ พอแลเห็นเกียงฮวนซึ่งเป็นทหารมานั่งแอบอยู่นอกประตูหอหนังสือ ฮุยต๋งจึงถามออกไปว่า ผู้ใดมานั่งอยู่ เกียงฮวนจึงเข้าไปคำนับแล้วว่า แต่ข้าพเจ้าเข้ามาอยู่กับท่านถึงห้าปีแล้ว ยังหาได้ทำการสิ่งใดฉลองคุณท่านไม่ วันนี้ ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่สบาย จึงเข้ามาคอยให้ใช้อยู่ ถึงท่านจะใช้ให้ข้าพเจ้าดำดินลุยเพลิงประการใด ข้าพเจ้ามิได้คิดแก่ความลำบาก จะขออาสาท่านกว่าจะสิ้นชีวิต ฮุยต๋งเห็นกิริยาเกียงฮวนเป็นคนมีสติปัญญาและใจซื่อตรง จะไว้ความลับได้ จึงกระซิบบอกเกียงฮวนตามหนังสือลับซึ่งนางขันกีให้มานั้น แล้วว่า ท่านจะช่วยธุระเราแล้ว จงถือกระบี่แอบเข้าไปแฝงอยู่ ณ พระที่นั่งเย็น เราจะมีหนังสือลับเข้าไปบอกแก่นางขันกีให้เสด็จพระเจ้าติวอ๋องออกมาในเวลาพรุ่งนี้ ท่านจงออกขวางหน้าพระที่นั่ง แล้วแกว่งกระบี่ร้องว่า จะฆ่าพระเจ้าติวอ๋องเสีย ถ้าพระเจ้าติวอ๋องจะให้จับตัวมาไต่ถาม ท่านจงให้การว่า นางเกียงฮองเฮาใช้มาให้ฆ่าพระเจ้าติวอ๋องผู้มิได้อยู่ในยุติธรรมเสีย โทษที่ท่านทำนั้นอย่าวิตกเลย เรากับนางขันกีจะช่วยเพ็ดทูลแก้ไขมิให้เป็นอันตราย เกียงฮวนก็คำนับรับไปทำตามสั่ง พอคนสนิทของนางขันกีมาคำนับฟังความ ฮุยต๋งจึงเขีนหนังสือลับส่งให้ คนสนิทของนางขันกีคำนับลาเข้าไปในวัง จึงส่งหนังสือลับนั้นให้แก่นางขันกี นางขันกีคลี่หนังสือออกอ่าน แจ้งว่า เวลาเช้าพรุ่งนี้ ให้เชิญเสด็จออกมาที่ข้างหน้า จะให้คนไปทำการให้สำเร็จ อย่าวิตกเลย ครั้นเวลาค่ำลง พระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาหานางขันกี นางขันกีจึงกราบทูลว่า พระองค์เสด็จอยู่ในพระราชวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ขุนนางทั้งปวงจะกระหายนินทาว่า พระองค์ลุ่มหลงด้วยข้าพเจ้า เวลาพรุ่งนี้เช้า ขอเชิญเสด็จออกตัดสินความราชการบ้านเมืองตามประเพณีกษัตริย์ จึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องตรัสชมนางขันกีว่า เจ้าว่านี้ชอบนัก ครั้นเวลาเช้า ก็เสด็จลงจากที่พระบรรทม จะไปออกขุนนางข้างหน้า

ฝ่ายฮองงีกั๋ว เจ้าพนักงานรักษาพระองค์ ก็ตามเสด็จไป ฝ่ายเกียงฮวนซึ่งฮุยต๋งใช้มาแอบซ่อนอยู่ที่มุมตำหนักที่ยั่งเย็นข้างตะวันออกนั้น ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมา จึงวิ่งออกไปถึงหน้าพระที่นั่ง แกว่งกระบี่ร้องว่า พระองค์ไม่อยู่ในสัตยธรรม เราจะฆ่าเสีย จะเอาสมบัติไว้ให้แก่เจ้านายเรา ฮองงีกั๋วเห็นดังนั้นก็วิ่งออกไปจับมัดเกียงฮวนเข้ามาถวาย พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จถึงพระที่นั่งที่ออกขุนนาง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมเฝ้าตามตำแหน่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสบอกปิกัน อึ้งป่วยฮอ ว่า มีคนร้ายปลอมเข้ามาจะทำร้ายเรา บัดนี้ จับได้ตัวมา อึ้งป่วยฮอได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงถามเจ้าพนักงานรักษาพระตำหนักว่า เวลาวานนี้เป็นเวรของผู้ใดเข้าไปอยู่รักษา โลหยงจึงว่า วานนี้เวรข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าจะเข้าไปในพระราชวัง ก็ได้ตรวจตราตัวนายและไพร่เข้าไปรักษา หามีผู้ใดแปลกปลอมไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่า คนร้ายจะปลอมเข้าไปเมื่อเวลาเช้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ให้เอาตัวอ้ายคนร้ายไปชำระ เอาผู้ร่วมคิดและพวกเพื่อนอ้ายกบฏมาฆ่าเสียให้สิ้น ฮุยต๋งจึงชิงทูลขึ้นว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาตัวเกียงฮวนไปชำระเอาพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดอ่านให้จงได้ อย่าทรงพระวิตกเลย ฮุยต๋งจึงเอาตัวเกียงฮวนออกไปถามโดยปรกติ เกียงฮวนก็ให้การตามที่ฮุยต๋งสอนไว้ ฮุยต๋งจึงให้จดหมายถ้อยคำเกียงฮวนเข้าไปกราบทูลว่า นางเกียงฮองเฮาใช้ให้เกียงฮวนมาทำร้าย หมายจะเอาสมบัติของพระองค์ให้แก่บิดา พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธนัก จึงตรัสว่า นางเกียงฮองเฮานี้เราก็ตั้งแต่งเป็นผู้ใหญ่ ได้บังคับบัญชานางข้างในเป็นสิทธิ์ขาด เราเลี้ยงก็ถึงขนาดแล้ว หาควรที่จะให้เกียงฮวนมาทำร้ายเราไม่ หากว่าบุญเรายังไม่ถึงที่ตาย จึงจับตัวเกียงฮวนได้ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จมาข้างใน จึงสั่งให้นางอึ้งกุยหุยไปซักถามนางเกียงฮองเฮา พระมเหสีเอก ว่า บิดาของตัวพระมหากษัตริย์ก็ชุบเลี้ยงเป็นถึงเจ้าเมืองตังลู้ ตัวมิได้ซื่อตรง แกล้งใช้เกียงฮวนปลอมเข้ามาทำร้ายพระมหากษัตริย์ฉะนี้ ตัวจะเอาสมบัติไว้ให้แก่บิดาของตัวหรือ นางเกียงฮองเฮาได้ยินกระทู้รับสั่งให้ถามดังนั้นก็ตกใจ ยกมือตบลงที่โต๊ะแล้วร้องไห้ จึงว่า เราได้ความสุข มียศถาศักดิ์ เพราะพระมหากษัตริย์ทรงพระเมตตาชุบเลี้ยง เราก็ตั้งใจว่า จะฉลองพระคุณไปกว่าจะสิ้นชีวิต และเกียงฮวนคนใดเราก็ไม่รู้จักหน้า เกียงฮวนแกล้งเอาความผิดข้อใหญ่มาใส่โทษเราฉะนี้ เราจะได้คบคิดกับเกียงฮวนให้ทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์หามิได้ เรากับท่านอยู่มาด้วยกันก็ช้านาน ท่านก็ย่อมรู้อยู่สิ้นว่าชั่วดี และความทั้งนี้ท่านช่วยกรุณาเพ็ดทูลให้พระองค์ดำริดูจงถ่องแท้ก่อน พอมีผู้รับสั่งมาเร่ง นางอึ้งกุยหุยก็ลานางเกียงฮองเฮาไปเฝ้าทูลความตามคำนางเกียงฮองเฮาทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรอง มิได้ตรัสประการใด นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องยังอาลัยในพระมเหสีอยู่ จึงแกล้งทำหัวเราะขึ้น พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสถามว่า เจ้าหัวเราะสิ่งใด นางขันกีจึงทูลว่า อึ้งกุยหุยกับเกียงฮองเฮาเป็นคนสนิทชอบกัน ซึ่งจะให้ชำระความเกียงฮองเฮานั้น หาได้ความจริงไม่ ซึ่งเกียงฮองเฮาไม่รับว่า มิได้ใช้เกียงฮวนนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นไม่ ขอให้ควักตาเกียงฮองเฮาเสียข้างหนึ่ง เห็นจะรับเป็นสัตย์ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าว่านี้ชอบ จึงสั่งฮองงีกั๋วให้ไปควักตานางเกียงฮองเฮาเสียตามนางขันกี นางอึ้งกุยหุยได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ตกใจ คำนับลาพระเจ้าติวอ๋อง แล้วรีบไปแจ้งความแก่นางเกียงฮองเฮาว่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ควักตาท่านเสีย นางเกียงฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้แล้วจึงว่า เรากับนางขันกีก็มิได้มีข้อขัดเคืองแก่กัน นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษ ถึงจะฆ่าเราเสีย ก็จะขอยอมถวายชีวิตด้วยความสัตย์ จะได้คบคิดใช้สอยเกียงฮวนมาทำร้ายพระเจ้าติวอ๋องเหมือนดังคำเกียงฮวนนั้นหามิได้ พอฮองงีกั๋วเข้ามาบอกว่า มีรับสั่งให้ควักตาเสีย ฮองงีกั๋วก็เข้าไปควักตานางเกียงฮองเฮา นางอึ้งกุยหุยก็เอาถาดทองคำเข้ารองรับดวงตาและโลหิตของนายเกียงฮองเฮาขึ้นไปเฝ้าพร้อมกันกับฮองงีกั๋ว นางอึ้งกุยหุยจึงยกถาดโลหิตกับดวงตาตั้งไว้หน้าพระที่นั่งให้ทอดพระเนตร แล้วทูลตามคำนางเกียงฮองเฮาว่าทุกประการ

พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็นดวงตาและโลหิตนางเกียงฮองเฮาดังนั้น จึงเหลียวไปตรัสถามนางขันกีว่า เจ้าว่า ให้ควักตานางเกียงฮองเฮาเสีย จึงจะได้ความจริง บัดนี้ นางเกียงฮองเฮาสู้เสียชีวิตว่า มิได้ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายเรา เจ้าจะเห็นประการใดเล่า นางขันกีจึงคิดว่า การได้ทำเกินมาถึงเพียงนี้แล้วก็ยังหาสมความคิดไม่ จำจะคิดให้พระเจ้าติวอ๋องฆ่านางเกียงฮองเฮาเสียให้จงได้ จึงจะหายที่ความแค้น นางขันกีจึงทูลว่า นางเกียงฮองเฮาแกล้งอำพรางความผิดไว้ไม่ถวายความจริงนั้น ขอให้มัดมือโอบเข้ากับเสาทองแดง เอาถ่านเพลิงมาพัดให้เสาทองแดงนั้นร้อน นางเกียงฮองเฮาทนร้อนมิได้ ก็จะถวายความจริงเป็นมั่นคง พระเจ้าติวอ๋องยังมิได้ตรัสประการใด นางอึ้งกุยหุยได้ยินนางขันกีทูลดังนั้นก็ตกใจ จึงกลับมาบอกความแก่นางเกียงฮองเฮาตามคำนางขันกีทุกประการ

นางเกียงฮองเฮา ขณะนั้น พระเจ้าติวอ๋องให้ควักตาเสียแล้ว โลหิตไหลลงอาบเสื้อ ความเจ็บเป็นสาหัส นั่งหลับตาอยู่ พอได้ยินเสียงนางอึ้งกุยหุยบอกความดังนั้น จึงว่า เราจะได้คบคิดกันกับผู้ใดให้มาทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์นั้นหามิได้ นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้ควักตาเสียแล้ว บัดนี้ จะซ้ำให้โอบเสาทองแดงอีกเล่า หวังจะให้เรารับว่า ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายแก่พระมหากษัตริย์ ถึงมาตรว่าจะตาย ก็จะสู้เสียชีวิต นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นก็คิดสงสารนัก ร้องไห้พลางคำนับลากลับไปเฝ้าทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปไต่ถามไล่เลียงเกียงฮองเฮาเป็นหลายครั้ง จนถึงควักตาเสีย ได้ความเจ็บป่วยเป็นสาหัส แล้วจะให้ทำโทษด้วยเผาหลกตามรับสั่ง นางเกียงฮองเฮาจะสู้ถวายชีวิต จะได้คิดใช้ให้เกียงฮวนมาทำร้ายพระองค์หามิได้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังจึงตรัสถามนางขันกีว่า เราให้ทำโทษเกียงฮองเฮาสาหัสถึงเพียงนี้แล้ว เกียงฮองเฮาก็หาให้ความจริงไม่ เจ้าจะคิดให้ทำประการใด นางขันกีจึงทูลว่า เกียงฮองเฮาไม่รับ ว่า มิได้ใช้เกียงฮวนมาทำร้ายพระองค์นั้น เกียงฮวนก็ให้การยืนคำอยู่ว่า เกียงฮองเฮาใช้ให้มาทำการทั้งนี้ ขอให้เอาตัวเกียงฮวนเข้าไปสอบกันกับเกียงฮองเฮา เห็นว่า เกียงฮองเฮาจะรับเป็นสัตย์ พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งอุยบู๊ ไต้เจียงกุ๋นขุนนางนายตำรวจ ให้เตียวฉาน เตียวหลุย คุมตัวเกียงฮวนเข้าไปถามสอบกันกับเกียงฮองเฮาเอาความจริงให้จงได้ อุยบู๊ ไต้เตียงกุ๋น รับสั่งแล้วรีบมาให้ผู้คุมพาเกียงฮวนเข้าไป ณ ตึกที่ทำโทษเกียงฮองเฮา




ตอน ๖ ขึ้น ตอน ๘