ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๘

จาก วิกิซอร์ซ
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๑๐๔–๑๒๐ สารบัญ



ฝ่ายนางอึ้งกุยหุย ผู้คุมพาเกียงฮวนเข้ามาคำนับ จึงบอกนางเกียงฮองเฮาว่า โจทก์ของท่านมีรับสั่งให้คุมเข้ามา จะให้สอบกับท่านแล้ว นางเกียงฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็โกรธ ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นเห็นเกียงฮวน จึงด่าเกียงฮวนว่า อ้ายขโมย มึงรับสินบนของผู้ใด มึงจึงแกล้งเอาความเท็จมาใส่ให้พระเจ้าติวอ๋องลงโทษกูถึงเพียงนี้ ผีสางเทวดาก็หาเข้าชอบด้วยมึงไม่ เกียงฮวนจึงแกล้งว่า ท่านใช้ข้าพเจ้าให้ทำร้ายพระเจ้าติวอ๋อง ข้าพเจ้าทำการหาสำเร็จตามท่านสั่งไม่ มีผู้จับได้ โทษข้าพเจ้าถึงที่ตายอยู่แล้ว ขอท่านจงถวายความจริงเถิด อย่าพรางไว้ให้พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธมากไปเลย นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงด่าเกียงฮวนว่า มึงแกล้งใส่ความเกียงฮองเฮาจนพระมหากษัตริย์ให้ทำโทษถึงสาหัสฉะนี้ ผีสางเทวดาก็จะอาเพศให้มีผู้มาฆ่ามึงเสีย ถ้ามึงมิตาย ก็จะบันดาลให้มึงเป็นอันตรายต่าง ๆ

ฝ่ายอินเฮากับอินหอง พี่น้องสองคนซึ่งเป็นบุตรนางเกียงฮองเฮา อยู่ ณ ตำหนักตึกฝ่ายตะวันออก อินเฮาผู้พี่ชายอายุสิบสี่ขวบ อินหองผู้น้องอายุสิบสองขวบ ขณะเมื่อเกียงฮองเฮาผู้มารดาต้องโทษนั้น พี่น้องทั้งสองเล่นหมากรุกกันอยู่ มิได้แจ้งความ พอเอียวหยง ขันทีซึ่งเป็นคนใช้นางเกียงฮองเฮา ไปบอกว่า มารดาต้องโทษ รับสั่งให้ควักตาเสีย อินเฮา อินหอง แจ้งดังนั้นก็ตกใจ พากันลงจากตึกวิ่งมาถึงตำหนักข้างตะวันตก เห็นมารดาต้องควักตาเลือดไหลหยดย้อยอยู่ ก็เข้าไปคำนับ ร้องไห้ถามว่า โทษมารดาผิดเป็นประการใดจึงมาเป็นดังนี้ นางเกียงฮองเฮาได้ยินเสียงบุตรทั้งสอง จึงอุตส่าห์ลืมตาขึ้นบอกว่า อ้ายเกียงฮวนมันแกล้งมาใส่โทษว่า แม่คิดกบฏต่อบิดาเจ้า อีขันกีมันซ้ำทูลยุยง บิดาเจ้าโกรธ ให้ควักตาแม่เสีย ความเจ็บแม่ครั้งนี้เป็นสาหัส เห็นจะไม่รอดชีวิต เจ้าเป็นชายเชื้อกษัตริย์ อย่าให้เสียแรงแม่เลี้ยงมา จงคิดแก้แค้นให้จงได้ คำแม่สั่งเจ้าอย่าลืม นางเกียงฮองเฮาว่าพอขาดคำก็ขาดใจตาย อินเฮา อินหอง เห็นมารดาตายก็ร้องไห้ แล้วแลไปเห็นเกียงฮวนคุกเข่าอยู่ อินเฮาไม่รู้จัก จึงถามนางอึ้งกุยหุยผู้เป็นมารดาเลี้ยงว่า ผู้ใดชื่อ เกียงฮวน นางอึ้งกุยหุยจึงชี้มือบอกว่า อ้ายคนร้ายคนนี้แลชื่อ เกียงฮวน ซึ่งเป็นโจทก์ของมารดาเจ้า อินเฮาแจ้งดังนั้นก็โกรธ พอแลไปเห็นกระบี่แขวนอยู่ ณ ประตูตึกข้างตะวันตก อินเฮาจึงไปเอากระบี่มาฟันเกียงฮวนตัวขาดออกเป็นสองท่อน แล้วร้องว่า กูจะไปฆ่าอีขันกีแก้แค้นแม่กูเสียให้จงได้ แล้วถือกระบี่วิ่งออกไปจากตึก นางอึ้งกุยหุยเห็นอินเฮาร้องว่า จะไปฆ่าอีขันกี ก็ตกใจ จึงให้อินหองสิ่งตามไปเรียกอินเฮากลับมา แล้วว่า ซึ่งเจ้าทำโดยโมโหฆ่าเกียงฮวนเสียฉะนี้ผิดนัก ถ้าเกียงฮวนยังมิตาย แม่จะเอาตัวมันเข้าโอบเสาทองแดงนาบตัวมันถามเอาความจริง มันทนร้อนมิได้ก็จะบอกตัวผู้ซึ่งทำคิดให้การใส่โทษมารดาเจ้า แม่จะได้กราบทูลให้พระบิดาเจ้าทราบ มารดาเจ้าจึงจะพ้นที่ความชั่ว ยังมิทันจะได้ชำระความจริง เจ้าด่วนฆ่ามันตายตัดความเสียฉะนี้ คนทั้งปวงก็จะนินทาว่า มารดาเจ้าคิดให้ทำร้ายบิดาของเจ้าจริง และเจ้าไม่ตรึกตรองทำโดยโกรธจะไปฆ่านางขันกีเสียอีกเล่า ความผิดเป็นสองโทษ ถ้าเตียวฉาน เตียวหลุย นำเนื้อความทั้งนี้ไปกราบทูลขึ้น เห็นเจ้าจะเป็นโทษ

ขณะเมื่ออินเฮาฆ่าเกียงฮวนนั้น เตียวฉานกับเตียวหลุยตกใจวิ่งไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า อินเฮา อินหอง พระราชบุตรของพระองค์ ถือกระบี่เข้ามาฆ่าเกียงฮวน โจทก์เกียงฮองเฮา เสียแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ยินดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เกียงฮวน โจทก์ มันยืนเอาว่า เกียงฮองเฮาใช้มาทำร้ายกู เกียงฮองเฮาไม่รับ เนื้อความยังชำระสอบสวนกันอยู่ อินเฮาบังอาจเข้ามฆ่าเกียงฮวน โจทก์ เสีย หวังจะให้ความสูญ โทษมันถึงตายแล้ว พระเจ้าติวอ๋องหยิบกระบี่ชื่อ เหลงหองเกี้ยม ส่งให้เตียวฉาน แล้วสั่งว่า จงรีบไปตัดเอาศีรษะอ้ายสองคนมาให้จงได้ จึงชอบด้วยกฎหมาย เตียวฉาน เตียวหลุย รับสั่งแล้วถือกระบี่รีบมาถึงไซเก๋ง ที่อยู่นางอึ้งกุยหุย จึงให้ฮองงีกั๋วเข้าไปบอกแก่นางอึ้งกุยหุยตามรับสั่ง นางอึ้งกุยหุยได้ยินดังนั้นจึงซ่อนอินเฮา อินหอง ไว้ในตึก แล้วลุกถลันออกไปถึงประตูตึก แลเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ถือกระบี่เหลงหองเกี้ยมมา จึงแกล้งถามว่า ท่านทั้งสองมาหาเรา จะว่าประการใดหรือ เตียวฉานจึงว่า มีรับสั่งให้เอากระบี่เหลงหองเกี้ยมมาตัดศีรษะอินเฮา อินหอง พระราชบุตรทั้งสอง ไปถวาย ตามโทษที่องอาจถือกระบี่เข้ามาในพระราชวัง นางอึ้งกุยหุยจึงร้องตวาดว่า มีรับสั่งให้ตัวไปตามจับอินเฮา อินหอง เหตุใดจึงมิไปค้นหาที่อยู่อินเฮา อินหอง เล่า ตัวล่วงเกินเข้ามาถึงตึกเรา หาว่าตัวถือรับสั่งมา หาไม่จะให้ลงโทษ เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ฟังดังนั้นก็กลัว คำนับลารีบไปค้นหาอินเฮา อินหอง ณ ตึกตะวันออก นางอึ้งกุยหุยเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ไปแล้ว จึงกลับเข้ามาในตึก ร้องไห้บ่านว่า พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงเชื่อฟังขันกี ให้ฆ่าพระมเหสีเสียแล้ว จะฆ่าลูกทั้งสองเสียอีกเล่า นางอึ้งกุยหุยจึงสั่งอินเฮา อินหอง ว่า เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ในตึกเอียวกุยหุยอยู่สักวันหนึ่งสองวันฟังความดูก่อน เกลือกว่าจะมีผู้ช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายให้ทุเลาโทษลงบ้าง อินเฮา อินหอง คำนับแล้วว่า ซึ่งท่านกรุณาข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณของท่านหาที่สุดมิได้ แม้นข้าพเจ้ามิตาย จะขอมาสนองคุณท่าน ข้าพเจ้าคิดวิตกแต่ศพมารดาข้าพเจ้าซึ่งตายในโทษ ขอท่านจงกรุณาช่วยกราบทูลขอศพมารดาข้าพเจ้าฝังเสีย ข้าพเจ้าจึงจะวายความวิตก นางอึ้งกุยหุยจึงว่า เจ้าจงเร่งไปซ่อนเร้นเอาชีวิตรอดเถิด ศพมารดาเจ้านั้นแม่จะช่วยทูลให้ทำการฝังเสีย อย่าวิตกเลย อินเฮา อินหอง ก็คำนับลานางอึ้งกุยหุยไปยังตึกเอียวกุยหุย

ฝ่ายนางเอียวกุยหุยซึ่งเป็นมเหสีรองรู้ข้าวว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ลงโทษเกียงฮองเฮา นางเอียวกุยหุยยังไม่แจ้งว่า ความจะหนักเบาประการใด จึงออกมายืนฟังความอยู่ ณ ประตูตึก พอเห็นอินเฮา อินหอง วิ่งเข้ามาคำนับแล้วร้องไห้ นางเอียวกุยหุยยังไม่รู้ความจึงถามว่า พี่น้องทั้งสองมาหาเราแล้วร้องไห้ ผู้ใดทำให้ได้ความแค้นเคืองหรือ อินเฮา อินหอง จึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า บัดนี้ พระบิดาโกรธข้าพเจ้า สั่งให้เตียวฉาน เตียวหลุย มาเที่ยวค้นหา จะจับตัวข้าพเจ้าทั้งสองไปฆ่าเสีย นางเอียวกุยหุยได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงให้พี่น้องทั้งสองคนเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตึก แล้วคิดว่า เตียวฉานจะเที่ยวหาพี่น้องทั้งสอง ณ ตึกเกียงฮองเฮาไม่พบแล้ว เห็นจะกลับมาตึกเราเป็นมั่นคง นางเอียวกุยหุยก็ยืนคอยอยู่ประตูตึก พอแลเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย วิ่งเร็วมา นางเอียวกุยหุยจึงแกล้งร้องสั่งผู้เฝ้าตึกว่า อ้ายสองคนนี้มาแต่ไหน จึงล่วงเกินเข้ามาถึงที่ห้าม โทษถึงตาย ให้จับตัวไว้

ฝ่ายเตียวฉาน เตียวหลุย มาถึงหน้าตึก ได้ยินนางเอียวกุยหุยว่าดังนั้นก็ตกใจหยุดยืนอยู่ จึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ เตียวฉาน เตียวหลุย เที่ยวหาตัวอินเฮา อินหอง เตียวฉานจึงเล่าความตามรับสั่งทุกประการ แล้วว่า ซึ่งข้ามิได้คำนับท่าน เพราะข้าพเจ้าถือรับสั่งอยู่ นางเอียวกุยหุยจึงร้องตวาดออกไปว่า อินเฮา อินหอง บุตรเกียงฮองเฮา อยู่ตึกข้างตะวันออก เหตุใดตัวมิไปค้นหา จึงล่วงเข้ามาถึงตึกเราฉะนี้ แม้นมิคิดว่าตัวถือรับสั่ง จะให้ลงโทษจงสาหัส เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ยินดังนั้นก็กลับถอยออกมาพากันไปค้นหาพระราชบุตรทั้งสอง ณ ตึกตะวันออก

ฝ่ายนางเอียวกุยหุย ครั้นเห็นเตียวฉาน เตียวหลุย ไปแล้ว ก็กลับเข้ามาในตึก จึงว่าแก่อินเฮา อินหอง ผู้บุตรเลี้ยง ว่า เจ้าอยู่ในตึกนี้เราเห็นจะหาพ้นไม่ จงไปซ่อนตัวอยู่ ณ ที่เสด็จออกคอยขุนนางเชื้อวงศ์เคยมาเตรียมเฝ้า ให้ช่วยเพ็ดทูลขอโทษ ถึงพระบิดาของเจ้าจะโกรธประการใด ปิกันกับเชื้อวงศ์ก็จะช่วยทูลทัดทานไว้มิให้เป็นอันตราย นางเอียวกุยหุยก็ส่งอินเฮา อินหอง ออกไปอยู่ ณ ที่เสด็จออก จึงคิดวิตกว่า เกียงฮองเฮามีบุตรถึงสองคน พระเจ้าติวอ๋องมิได้มีกรุณาเพราะหลงด้วยนางขันกีทูลยุยงให้ทำโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วจะให้จับบุตรทั้งสองคนไปฆ่าเสียอีกเล่า แต่เรามาเป็นมเหสีรองก็ปลายปีแล้ว มิได้มีบุตรหญิงชาย ตัวผู้เดียวหาที่พึ่งมิได้ ถ้านางขันกีรู้ว่า เราส่งอินเฮา อินหอง ออกไปเสียฉะนี้ เห็นจะทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษเหมือนนางเกียงฮองเฮาเป็นมั่นคง คัร้นจะมีชีวิตอยู่สู้ทนอาญา ก็จะได้ความลำบากนัก นางเอียวกุยหุยก็ลุกเดินเข้าไปในห้อง ประกอบยาพิษกินเข้าไปก็สิ้นชีวิต

ฝ่ายฮองงีกั๋ว พนักงานรักษาตึก รู้ว่า นางเอียวกุยหุยตาย ก็ไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ทำการฝังศพตามตำแหน่งมเหสีรอง ฝ่ายเตียวฉาน เตียวหลุย ครั้นเที่ยวค้นหาพระราชบุตรทั้งสองไม่พบ แล้วกลับมาเฝ้าทูลว่า ข้าพเจ้าไปค้นทุกตึกข้างตะวันตกตะวันออกแล้วหาพบไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ไปค้นหาอ้ายสองคนเอาตัวให้จงได้ เตียวฉาน เตียวหลุย ก็คำนับลาไปค้นหาตามรับสั่ง

ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยจึงขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องแล้วทูลว่า เกียงฮองเฮาซึ่งรับอาญาถึงสิ้นชีวิต เมื่อนางเกียงฮองเฮาจะตายนั้นร้องประกาศไว้ว่า แต่นางเกียงฮองเฮาเป็นมเหสีของพระองค์ถึงสิบหกปี มีบุตรสองคน เกียงฮองเฮาก็ตั้งใจจงรักภักดี มิได้คิดเป็นใจสอง ครั้งนี้ เกียงฮวนเอาความเท็จมาใส่โทษให้พระองค์ขัดเคือง ถึงจะมีบุตรก็หาเป็นที่พึ่งไม่เหมือนเมฆอันลอยเลื่อนไปในอากาศ ความซื่อตรงซึ่งได้ตั้งใจปฏิบัติพระองค์มาแต่ก่อนก็ละลายไหลไปเสียเหมือนดังน้ำ แล้วก็ตายลงในอาญาครั้งนี้ก็เวทนาเหมือนศพสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ควรจะเป็นถึงเพียงนี้ แล้วนางจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะขอศพนางเกียงฮองเฮาไปฝังไว้ ณ แปะเตี้ยนตามตำแหน่งที่ฝังศพพระมเหสี ขุนนางทั้งปวงจึงจะไม่มีความนินทา พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดพระราชทานศพนางเกียงฮองเฮาให้นางอึ้งกุยหุย นางอึ้งกุยหุยก็คำนับลามาทำการฝังศพตามรับสั่ง

ฝ่ายอินเฮา อินหอง ซึ่งมาอาศัยซ่อนเร้นอยู่ที่เสด็จออก เห็นขุนนางซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์มานั่งอยู่เป็นหลายคน ก็เข้าแฝงลับและคอยฟังความอยู่

ขณะนั้น อึ้งป่วยฮอซึ่งเป็นบู๊เสงอ๋องยืนอยู่ที่เชิงอัฒจันทร์ ได้ยินฝีเท้าคนเดินข้างหลังจึงเหลียวไปดู พอเห็นพระราชบุตรทั้งสอง อึ้งป่วยฮอก็เข้าไปรับ อินเฮา อินหอง ก็เข้ายึดชายเสื้ออึ้งป่วยฮอไว้ แล้วกระทืบเท้าร้องไห้เล่าความแต่หลังให้ฟังทุกประการ แล้วว่า นางขันกีแกล้งทูลยุยงให้พระบิดาทำโทษมารดาข้าพเจ้าตาย บัดนี้ เตียวฉาน เตียวหลุย ตามจับตัวข้าพเจ้าจะเอาไปฆ่าเสีย ขอท่านจงกรุณาช่วยชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้ให้รอดจากความตาย อึ้งป่วยฮอกับขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงได้ฟังพระราชบุตรทั้งสองเล่าความดังนั้นต่างคนสงสารนัก กลั้นน้ำตามิได้ จึงปรึกษากันว่า พระเจ้าติวอ๋องทำโทษพระมเหสีจนตายแล้ว จะฆ่าพระราชบุตรซึ่งสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เสียด้วยเล่า ปรึกษากันยังมิทันจะขาดคำ พอมีขุนนางสองคนพี่น้องชื่อ ปึงเป๊ก น้องชายชื่อ ปึงเสี้ยง ได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องพระสติฟั่นเฟือนเพราะเชื่อฟังนางขันกีจะให้จับพระราชบุตรทั้งสองฆ่าเสีย เห็นจะสิ้นเชื้อพระวงศ์ต้องกับคำทำนายหุนต๋งจู๊ ถึงจะทูลขอโทษก็เห็นจะไม่โปรดให้ ข้าพเจ้าจะพาพระราชบุตรไปซ่อนเร้นไว้ให้พ้นโทษ ปึงเป๊กก็เข้าอุ้มอินเฮา ปึงเสี้ยงอุ้มอินหอง พาวิ่งหนีออกจากประตูเมืองหลวงข้างทิศใต้

ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงว่ากับอึ้งป่วยฮอว่า ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง พาพระราชบุตรหนีไปฉะนี้ เหตุใดท่านมิว่ากล่าวห้ามปราม อึ้งป่วยฮอจึงว่า บรรดาขุนนางทั้งปวงนี้จะหาน้ำใจเหมือนปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง นั้นไม่ได้ ด้วยปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธพระราชบุตรทั้งสองอยู่ จึงพาหนีไปเสียพอรอดชีวิต เพราะคิดว่า จะให้พระราชบุตรสืบเชื้อพระวงศ์ไปภายหน้า

ขณะนั้น พอเตียวฉาน เตียวหลุย ถือกระบี่ออกมาจากวัง ถามขุนนางทั้งปวงว่า พระราชบุตรทั้งสองเข้ามาอยู่ที่เสด็จออกบ้างหรือ อึ้งป่วยฮอบอกว่า เมื่อกี้ พระราชบุตรทั้งสองมาร้องไห้อ้อนวอนให้เราช่วยทูลขอโทษ พอปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เข้ามาพาหนีไปทางประตูทิศใต้แล้ว เตียวฉาน เตียวหลุย ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสสั่งเตียวฉานจงเอากระบี่เหลงหองเกี้ยมไปส่งให้อึ้งป่วยฮอเร่งตามไปตัดเอาศีรษะอินเฮา อินหอง มาให้จงได้ เตียวฉานรับสั่งแล้วออกมาส่งกระบี่เหลงหองเกี้ยมให้แก่อึ้งป่วยฮอ แล้วแจ้งความตามรับสั่ง อึ่งป่วยฮอก็รับกระบี่อาญาสิทธิ์ออกจากวังขึ้นขี่โคห้าสีมีกำลังเดินทางได้วันละหมื่นเส้น อึ้งป่วยฮอก็รีบตามปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ไป

ฝ่ายปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง แบกพระราชบุตรหนีออกจากเมืองหลวงไปทางไกลประมาณร้อยยี่สิบห้าเส้นเศษ ถึงต้นไม้ใหญ่ริมทาง จึงความพระราชบุตรทั้งสองลง พอแลไปข้างต้นทางเห็นอึ้งป่วยฮอตามาทัน ก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับ อึ้งป่วยฮอจึงลงจากหลังโค บอกแก่พระราชบุตรทั้งสองว่า บัดนี้ พระบิดาของท่านให้ข้าพเจ้าถือกระบี่เหลงหองเกี้ยมมาตัดศีรษะท่านไปถวาย อินเฮา อินหอง ได้ฟังดังนั้นก็คำนับแล้วร้องไห้วอนขอชีวิตว่า พระบิดาข้าพเจ้าเชื่อคำคนยุยงฆ่ามารดาข้าพเจ้าเสีย แล้วจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสียเล่า ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่ท่านจะช่วยคิดอ่านให้ข้าพเจ้ารอดจากความตาย อึ้งป่วยฮอได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสารนัก จึงว่า พระเจ้าติวอ๋อง บิดาของท่าน หลงเชื่อฟังนางขันกีให้ฆ่าโต้ไทสือ ปวยเป๊ก ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน แล้วให้ทำโทษมารดาท่านจนสิ้นชีวิต พระบิดาท่านทำการผิดประเพณีกษัตริย์ ขุนนางทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก ข้าพเจ้าเห็นว่า สมบัติในเมืองจิวโก๋จะเป็นอันตราย บัดนี้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามจับตัวท่าน ข้าพเจ้าขัดมิได้จึงจำใจมา ขอท่านอย่าทุกข์ร้อนเลย ข้าพเจ้ามิได้ทำอันตรายท่าน ท่นจงไปหาเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ ผู้เป็นตาของท่าน เร่งคิดการมากำจัดขันกีเสียให้จงได้ อึ้งป่วยฮอจึงเรียกปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เข้ามาสั่งว่า ให้ปึงเป๊กเชิญอินเฮา พระราชบุตรผู้พี่ ไปเมืองตังลู้ ให้ปึงเสี้ยงเชิญอินหอง พระราชบุตรผู้น้อง ไปหางกจงอู๊ เจ้าเมืองนำเป๊กเฮา ท่านทั้งสองช่วยทำนุบำรุงรักษาอย่าให้พระราชบุตรทั้งสองมีอันตราย ไปภายหน้าท่านจะมีความชอบเป็นอันมาก อึ้งป่วยฮอจึงแก้วงทองประดับด้วยแก้วเป็นเครื่องสำหรับขุนนางผู้ใหญ่ส่งให้ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง แล้วว่า ท่านจงเอาไปขายจ่ายซื้อเลี้ยงพระราชบุตรทั้งสองไปกว่าจะถึงเมืองตังลู้เถิด อึ้งป่วยฮอจึงขับให้ขุนนางทั้งสองพาพระราชบุตรรีบหนีไป แล้วอึ้งป่วยฮอขึ้นขี่โคกลับมาเมืองหลวง จึงเข้าไปทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรทั้งสองทางไกลแปดร้อยเส้นเศษ ถึงหนทางเป็นสามแพร่ง ถามผู้ซึ่งเดินไปมาบอกว่า มิได้พบ ข้าพเจ้าจึงกลับมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เวลาก็ค่ำแล้ว จงกลับไปบ้านก่อนเถิด พรุ่งนี้จึงเข้ามาคิดกันใหม่ ติดตามเอาตัวอ้ายสองคนมาฆ่าเสียให้จงได้ อึ้งป่วยฮอก็คำนับลาไปบ้าน

ฝ่ายนางขันกีรู้ว่า อินเฮา อินหอง หนีไปได้ดังนั้น จึงทูลว่า อินเฮา อินหอง เป็นหลายเกียงฮวนฌ้อ เห็นว่า อินเฮา อินหอง จะไปเมืองตังลู้ ขอให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขคุมทหารสักสามพันยกตามไปในเพลากลางคืน เห็นจะทันอินเฮา อินหอง กลางทางเป็นมั่นคง พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงเสด็จออกให้หาอินโภ้ไป้กับหลุยไขเข้ามาสั่งว่า ท่านทั้งสองจงคุมทหารสามพันไปทางเมืองตังลู้ จับเอาตัวอินเฮา อินหอง มาให้จงได้ นายทหารทั้งสองรับสั่งแล้วคำนับลาไปหาอึ้งป่วยฮอขอทหารสามพันยกไป

ฝ่ายปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง เชิญพระราชบุตรทั้งสองไปได้ถึงสองวัน ถึงต้นทางแยก ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง คิดกลัวทหารเมืองจิวโก๋จะตามมาจับตัว จึงบอกแก่พระราชบุตรทั้งสองว่า ทางเหนือนี้เป็นทางจะไปเมืองตังลู้ ทางใต้ไปเมืองนำเป๊กเฮา ท่านจงไปเถิด ข้าพเจ้าจะลาเที่ยวอยู่ในซอกห้วยธารเขาคอยฟังข่าว ถ้าท่านได้ทแกล้วทหารจะยกมาถึงเมืองจิวโก๋เมื่อใด ข้าพเจ้าจึงจะมาช่วย ปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ก็ทิ้งพระราชบุตรทั้งสองเสีย แล้วเข้าป่าไป

ฝ่ายอินเฮา อินหอง ครั้นปึงเป๊ก ปึงเสี้ยง ไปแล้ว จึงว่ากับอินหองผู้น้องว่า พี่จะไปเมืองตังลู้ เจ้าจงไปเมืองนำเป๊กเฮาตามคำอึ้งป่วยฮอบอกมา ถ้าเราทั้งสองได้ทแกล้วทหารเป็นกำลังแล้ว จะได้ยกเป็นสองทัพมาจับขันกีฆ่าเสีย แก้แค้นแทนมารดาเราให้จงได้ อินเฮา อินหอง ให้สัญญากันแล้วต่างคนแยกกันไป

ฝ่ายอินหองเดินตามทางอดข้าวปลาอาหารได้ความลำบากมาหลายเวลา ถึงบ้านตำบลหนึ่ง ก็เข้าไปขอข้าวชาวบ้านกิน ชาวบ้านป่าเห็นเด็กผู้นั้นนุ่งห่มแดง รูปร่างงามผ่องใส จึงเชิญให้นั่งที่สมควร แล้วแต่งสำรับกับข้าวมาให้กิน อินหองกินข้าวอิ่มแล้วจึงว่าแก่ชาวบ้านว่า ท่านให้อาหารเรากินเมื่ออดอยาก ขอบคุณท่านนัก ถ้าเรามิตาย จะกลับมาแทนคุณ ชาวบ้านได้ฟังเด็กนั้นพูดจาหลักแหลม จึงถามถึงแซ่และชื่อ อินหองจึงบอกว่า เราเป็นบุตรเจ้าเมืองจิวโก๋ จะไปหางกจงอู๊ และทางที่จะไปเมืองนำเป๊ก้เฮาจะใกล้ไกลประการใด ชาวบ้านรู้ว่า เป็นพระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋อง ต่างคนตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า หนทางจะไปเมืองนำเป๊กเฮายังทางอีกวันหนึ่งจึงจะถึงเมืองนำเป๊กเฮา อินหองแจ้งความดังนั้นจึงลาชาวบ้านเดินตามทางใหญ่ไปประมาณสามสิบเจ็ดเส้น ถึงต้นสนใหญ่ มีศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นสน พอเพลาเย็นลง จึงแวะเข้าไปคำนับเทพารักษ์แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นหลานพระเจ้าเสี่ยงทาง เป็นลูกพระเจ้าติวอ๋อง จะขออาศัยสำนักนอนอยู่ที่นี้ ขออย่าให้มีภัยอันตราย สืบไปภายหน้า ถ้าข้าพเจ้าได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองหลวงแล้ว จะมาปลูกศาลให้ใหญ่กว้าง อินหองว่าแล้วก็นอนอยู่ในศาลเทพารักษ์นั้น

ฝ่ายอินเฮาเดินมาทางทิศตะวันออกจะไปเมืองตังลู้ เดินทางมาได้หกร้อยยี่สิบห้าเส้น ถึงบ้านตำบลหนึ่ง พอเพลาพลบค่ำ อินเฮาจึงแวะเข้าไปในบ้าน เห็นตึกใหญ่ก็เข้าไปในตึก มิได้เห็นผู้คน เงียบสงัดอยู่ อินเฮาก็เดินเข้าไปถึงหอหนังสือ เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งดูหนังสืออยู่ เป็นเวลาค่ำจำหน้ามิถนัด อินเฮาจึงร้องบอกเข้าไปว่า ข้าพเจ้าเดินทางไกลมา จะขออาศัยนอน พอรุ่งเช้าจึงจะลาไป

ฝ่ายเสี่ยงหยงนั่งตามตะเกียงดูหนังสืออยู่ ได้ยินเสียงร้องเข้ามาเป็นเสียงชาวเมืองจิวโก๋ จึงเหลียวไปดู อินเฮาเห็นหน้าก็รู้จักจำได้ว่าเสี่ยงหยง อินเฮาก็ตรงเข้าไปหาเสี่ยงหยง เสี่ยงหยงเห็นอินเฮาก็ตกใจ จึงคำนับเชิญเข้าไปในตึกหอหนังสือ ให้นั่งที่สมควร แล้วถามว่า บ้านเมืองเกิดเหตุประการใด ท่านจึงมาแต่ผู้เดียวฉะนี้ อินเฮาจึงร้องไห้บอกความแต่หลังให้เสี่ยงหยงฟังทุกประการ เสี่ยงหยงจึงว่า เหตุการณ์เกิดถึงเพียงนี้ ขุนนางทั้งปวงไม่ช่วยกันทูลทัดทาน พากันนิ่งเสีย จนท่านได้ความทุกข์หนีซอกซอนมาถึงข้าพเจ้า เสี่ยงหยงจึงให้คนใช้ยกโต๊ะมาให้อินเฮากิน เสี่ยงหยงกับอินเฮานั่งกินโต๊ะพูดจากันอยู่

ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไขคุมทหารสามพันยกตามพระราชบุตรทั้งสองมาได้สามวัน ถึงต้นทางแยก หลุยไขจึงปรึกษากับอินโภ้ไป้ว่า เราทั้งสองเร่งรีบทหารให้เดินทางมาโดยด่วน ทหารป่วยเจ็บเมื่อยล้าเป็นอันมาก บัดนี้ ทางเป็นสองแพร่งอยู่ จำจะแยกกันไปติดตามพระราชบุตรทั้งสองกองละทาง ถ้าผู้ใดจับพระราชบุตรได้ ให้มาคอยกันให้พร้อม ณ ต้นทางนี้ก่อน ท่านจะเห็นประการใด อินโภ้ไป้ก็เห็นชอบด้วย จึงจัดทหารที่มีกำลังกองละห้าสิบคน ให้หลุยไขไปทางทิศใต้ อินโภ้ไป้ยกมาทางทิศตะวันออก




ตอน ๗ ขึ้น ตอน ๙