ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๙
หน้า ๑๒๐–๑๓๐ สารบัญ
ฝ่ายหลุยไขเร่งรีบตามทางทิศใต้มาจนเพลาค่ำ จึงให้ทหารจุดคบเพลิงเดินทางไปจนเพลาสองยาม ถึงตำบลหนึ่งมีต้นสนใหญ่ ศาลเทพารักษ์อยู่ใต้ต้นไม่ หลุยไขจึงคิดว่า เวลานี้ก็ดึกแล้ว จำจะหยุดพักก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยไป หลุยไขก็แวะเข้าไปที่ต้นสนใหญ่ จึงลงจากม้า ให้ทหารเอาคบเพลิงขึ้นไปส่งดูบนศาลเทพารักษ์ แลเห็นเด็กน้อยคนหนึ่งนอนหลับอยู่ ก็รู้จักว่า อินหอง พระราชบุตร หลุยไขดีใจนัก จึงปลุกอินหองขึ้น แล้วบอกว่า พระบิดารับสั่งให้ข้าพเจ้ามาตามเชิญท่านกลับเมืองหลวง อินหองตื่นขึ้นเห็นหลุยไขกับทหารจุดคบเพลิงล้อมอยู่ก็ตกใจ จึงว่า พระบิดาให้ท่านมาตามเรา หวังจะเอาตัวเราไปฆ่าเสีย เราก้แจ้งอยู่แล้ว หลุยไขจึงเชิญอินหองขึ้นม้ากลับมาถึงต้นทาง ยังมิได้เห็นอิโภ้ไป้กลับมา จึงหยุดคอยอินโภ้ไป้อยู่ตามคำที่ได้สัญญากันไว้
ฝ่ายอินโภ้ไป้รีบเร่งทหารไปทางทิศตะวันออก เดินทางมาได้สามวันถึงตำบลฮ่องหุ้น แล้วเดินไปอีกทางประมาณร้อยยี่สิบเส้นเศษ ถึงบ้านเสี่ยงหยง พอเพลาค่ำลง อินโภ้ไป้จึงคิดว่า จำจะเข้าไปคำนับเยี่ยมเยียนเสี่ยงหยงผู้เป็นนายเก่า จะได้อาศัยนอนสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าจึงจะตามพระราชบุตรสืบไป อินโภ้ไป้จึงลงจากม้าเดินเข้าไปในตึกที่เสี่ยงหยงอยู่ พอแลเห็นเสี่ยงหยงกับอินเฮาพระราชบุตรนั่งกินโต๊ะอยู่ก็ดีใจ เข้าไปคำนับเสี่ยงหยงแล้วว่า บัดนี้ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าตามมาเชิญพระราชบุตรกลับไปเมืองหลวง เสี่ยงหยงได้ยินอินโภ้ไป้บอกความดังนั้นก็โกรธ จึงว่า ในเมืองจิวโก๋นั้น ขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนประมาณสี่ร้อยคน หาผู้ใดจะกตัญญูช่วยเพ็ดทูลทัดทานไม่ พากันนิ่งเสียสิ้น จนพระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ท่านมาตามจับพระราชบุตรไปทำโทษ ฉะนี้ไม่ควรนัก อินเฮาจึงว่าแก่เสี่ยงหยงว่า พระบิดาให้มาตามจับข้าพเจ้าไปฆ่าเสีย ครั้งนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นหน้าผู้ใดที่จะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษให้รอดจากความตาย อินเฮาว่าแล้วก็ร้องไห้ เสี่ยงหยงจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะเข้าไปช่วยทูลขอโทษท่าน เสี่ยงหยงจึงสั่งคนใช้ให้จัดแจงเสบียงอาหาร พรุ่งนี้จะเข้าไปเมืองจิวโก๋ อินโภ้ไป้จึงว่า รับสั่งใช้ข้าพเจ้ามาเป็นการเร็ว จะเชิญพระราชบุตรไปถวายก่อน เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่อินเฮาว่า ท่านจงไปกับอินโภ้ไป้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจึงจะตามไปภายหลัง อินโภ้ไป้ก็คำนับลาเสี่ยงหยง เชิญอินเฮา พระราชบุตร ขึ้นม้ากลับมาในเพลากลางคืน
ฝ่ายอินเฮามากับอินโภ้ไป้ คิดถึงอินหองผู้น้องว่า ถึงตัวเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่วิตกอยู่แต่อินหองจะเป็นตายประการใดมิได้แจ้ง ว่าแล้วก็ร้องไห้ ขณะนั้น อินโภ้ไป้เชิญพระราชบุตรขี่ม้ามาในเพลากลางคืนจนรุ่ง ถึงต้นทางสองแพร่ง เห็นหลุยไขได้อินหองมาคอยอยู่ จึงเข้าไปหาหลุยไข หลุยไขเห็นอินโภ้ไป้ได้อินเฮา พระราชบุตรผู้พี่ มาถึงก็ดีใจ จึงว่า เดชบุญเราทั้งสองได้พระราชบุตรมาครั้งนี้สมความคิดแล้ว
ฝ่ายอินเฮาจึงยุดมืออินหองผู้น้องเข้าไว้ว่า เราทั้งสองกำพร้ามารดาแล้ว พระบิดาโกรธจะลงโทษถึงสิ้นชีวิต เราหาที่พึ่งมิได้ จะหนีไปพึ่งตาเล่า พระบิดาก็ให้ตามจับตัวเรามา เราทั้งสองจะตายด้วยอาญาครั้งนี้เป็นมั่นคง ว่าแล้วก็ร้องไห้รักกัน อิโภ้ไป้กับหลุยไขครั้นได้พระราชบุตรทั้งสองมาพร้อมกันแล้ว ก็เชิญขึ้นขี่ม้ากลับไปเมืองหลวง
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอ ครั้นรู้ว่า มีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขตามไปจับพระราชบุตรทั้งสองดังนั้น ก็คิดวิตกอยู่ พอมีผู้เข้ามาบอกว่า อิโภ้ไป้กับหลุยไขจับพระราชบุตรทั้งสองมาถึงแลว อึ้งป่วยฮอก็ถอนใจใหญ่ คิดว่า เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางเห็นจะสิ้นสูญเสียสมดังคำทำนายหุนต๋งจู๊ครั้งนี้แล้ว จำจะให้ประชุมขุนนางเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงคอยเฝ้าทูลขอโทษพระราชบุตรทั้งสองไว้ จะได้สืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ไปภายหน้า อึ้งป่วยฮอจึงสั่งทหารคนสนิทว่า เมื่อเราเข้าไปพร้อมอยู่กับขุนนางทั้งปวง ท่านทั้งสี่จงคอยดูท่วงที เราจะให้หน้ากระหยิบตาให้ทำประการใดจงทำตาม แล้วอึ้งป่วยฮอก็พาทหารทั้งสี่ลงจากตึกเข้าไปในวัง จึงให้คนใช้ไปหาขุนนางทั้งปวงให้เข้ามาเตรียมเฝ้า คนใช้ก็คำนับลาไปบอกอาเสี้ยงปิกัน หนึ่ง ปีจู๊ หนึ่ง กีจู๊ หนึ่ง ปีจู๊เค้ หนึ่ง ปิจู๊หิม หนึ่ง เป๊กหยี หนึ่ง ซกฉี หนึ่ง กาแกะ หนึ่ง เตียวคี หนึ่ง เอียวหยิม หนึ่ง ซุนอี๋น หนึ่ง บึงเทียนเจียก หนึ่ง หลีหัว หนึ่ง หลีซุย หนึ่ง ขุนนางสิบสี่คน เข้ามาพร้อมกัน ณ ที่เฝ้า อึ้งป่วยฮอเห็นขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่มาพร้อมแล้ว จึงว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องมีรับสั่งให้อินโภ้ไป้กับหลุยไขไปตามจับพระราชบุตรมาได้ เราเห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะให้ประหารชีวิตเสีย ท่านทั้งปวงจงช่วยกันทูลทัดทานขอชีวิตไว้ให้จงได้ อึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงยังปรึกษากันอยู่ พอเห็นอินโภ้ไป้กับหลุยไขเชิญพระราชบุตรเข้ามาถึงประตูวัง ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็เข้าไปคำนับพระราชบุตรทั้งสอง อินเฮากับอินหองจึงร้องไห้ ว่าแก่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งปวงว่า จงช่วยทูลขอโทษเอาชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วย ปิจู๊เค้จึงว่า ขอท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ากับเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งปวงจะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายขอโทษไว้ให้จงได้
ฝ่ายอินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงให้ผู้คุมคุมพระราชบุตรทั้งสองไว้ แล้วก็ไปเฝ้า ณ ตำหนักที่พระบรรทม พระเจ้าติวอ๋องเห็นทหารทั้งสองมา จึงตรัสถามว่า อ้ายสองคนได่มาหรือไม่ อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้าไปตามพระราชบุตรทั้งสองมาแล้ว พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งว่า ท่านอย่าเอามันมาให้เราเห็นหน้าเลย จงเอามันไปฆ่าเสียเถิด อินโภ้ไป้กับหลุยไขจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้น้อย จะขอรับพระราชทานหนังสือรับสั่งออกไปเป็นสำคัญ พระเจ้าติวอ๋องจึงทรงพระอักษรส่งให้ อินโภ้ไป้กับหลุยไขคำนับรับหนังสือรับสั่ง ออกมาถึงประตูหงอหมุ่ยที่เสด็จออก
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอยืนอยู่ริมประตู ขุนนางคนสนิททั้งสี่ก็ยืนคอยทีอึ้งป่วยฮออยู่ พออินโภ้ไป้กับหลุยไขชูหนังสือรับสั่งออกมา อึ้งป่วยฮอจึงว่ากับอินโภ้ไป้เป็นที่ประชดว่า ครั้งนี้ ท่านอุตส่าห์ติดตามได้พระราชบุตรมาถวาย ได้ความชอบนักหนา อึ้งป่วยฮอจึงพยักหน้าให้เตียวคี คนสนิท เตียวคีเห็นดังนั้นก็เข้าชิงฉวยได้หนังสือรับสั่งมาฉีกเสีย แล้วร้องว่า พระมหากษัตริย์ทรงพระโกรธจะให้ฆ่าพระราชบุตร ขุนนางทั้งปวงจงตีระฆังเชิญเสด็จออกมาช่วยกันทูลทัดทานไว้ก่อน จึงจะควร อึ้งป่วยฮอจึงสั่งเตียวคีกับคนสนิททั้งนั้นให้ไปอยู่กับพระราชบุตรอย่าให้ผู้ใดทำอันตราย แล้วจึงให้ตีระฆังเชิญเสด็จ
ฝ่ายพระเจ้าติวอ่องเสด็จอยู่พระตำหนักที่บรรทมกับนางขันกี ครั้นได้ยินเสียงระฆัง จึงตรัสกับนางขันกีว่า ขุนนางทั้งปวงเข้ามาตีระฆังให้เราออกไป ครั้งนี้ เราเห็นว่า จะขอโทษอ้ายสองคนซึ่งให้ไปจับมา เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีทูลว่า ขอให้พระองค์มีหนังสือรับสั่งออกไปว่า เวลาวันนี้ จะให้ฆ่าอินเฮา อินหอง เสียก่อน ต่อรุ่งพรุ่งนี้จึงจะออกไปว่าราชการ พระเจ้าติวอ๋องก็เชื่อฟัง จึงมีหนังสือรับสั่งตามคำนางขันกี แล้วสั่งให้ฮองงีกั๋วออกไปบอกแก่ขุนนางทั้งปวง ขุนนางทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็รู้ว่า ไม่เสด็จออก ก็พากันจนใจ มิรู้ที่จะทำประการใด
ขณะนั้น มีเทวดาสององค์ องค์หนึ่งชื่อ เซียเจ๋งจู๊ อยู่ถ้ำหุนเสี้ยวต๋ง องค์หนึ่งชื่อ ก๋งซึงจู๊ อยู่ถ้ำโถวังต๋งที่เชิงเขากิวเสียน และเทวดาสององค์นี้เทวดาผู้ใหญ่ให้ลงมาเป็นพนักงานสำหรับดูเหตุการณ์ทั้งแผ่นดิน วันนั้น พอเทวดาสององค์ออกจากถ้ำ ขี่เมฆเลื่อนลอยไปในกลางอากาศ หวังจะคอยช่วยผู้ซึ่งยังไม่ถึงตายให้รอดจากความตาย แลไปเป็นอินเฮา อินหอง บุตรพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องจะฆ่าเสีย เทวดาสององค์พิจารณาดูก็รู้ว่า อินเฮา อินหอง ยังมีจะมีชีวิตสืบไปอยู่ จึงใช้เทวดาองค์หนึ่งชื่อ อึงกิมเลกซู ท่านจงบันดาลเป็นพายุใหญ่พัดผงคลีกรวดทรายให้ฟุ้งขึ้นเป็นมืดคลุ้มไปทั้งเมืองจิวโก๋ แล้วจงอุ้มเอาพระราชบุตรทั้งสองมาให้แก่เรา อึงกิมเลกซูก็ทำตามสั่ง แล้วอุ้มเอาพระราชบุตรทั้งสองไปให้เทวดาผู้ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ทั้งสององค์รับเอาพระราชบุตรองค์ละคนไปถ้ำที่อยู่
ฝ่ายอึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงนั่งอยู่พร้อมกันในที่เตรียมเฝ้า ครั้นพายุสงบแล้ว มีผู้วิ่งเข้ามาบอกว่า พระราชบุตรทั้งสองซึ่งคุมไว้นั้นหายไปเมื่อขณะเกิดพายุแล้ว อึ้งป่วยฮอกับขุนนางทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ ต่างคนพูดกันว่า พระราชบุตรทั้งสองมีบุญ เทวดาจึงช่วยพาเอาไปให้พ้นจากความตาย อินโภ้ไป้ครั้นพระราชบุตรหายไปก็ตกใจ รีบเข้าไปทูลแก่พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็นึกตรึกตรองอยู่ มิได้ตรัสประการใด
ฝ่ายเสี่ยงหยง ครั้นอินโภ้โป้พาพระราชบุตรไปในเพลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้า ก็รีบตามอินโภ้โป้มาถึงเมืองหลวง ได้ยินชาวเมืองพูดกันว่า ลมพายุหอบพระราชบุตรทั้งสองไป เสี่ยงหยงตกใจ จึงรับเข้ามาถึงสะพานมังกร พอพบปิกันกับขุนนางทั้งปวงเดินออกมา เสี่ยงหยงก็พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกลับเข้าไปที่เตรียมเฝ้า เสี่ยงหยงจึงว่า บรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ทั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็แต่งตั้งชุบเลี้ยงให้กินเบี้ยหวัดตามสมควร บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทำผิดอย่างธรรมเนียม เหตุใดท่านจึงมิได้ทูลทัดทาน อึ้งป่วยฮอจึงว่า ตั้งแต่ท่านออกไปอยู่บ้านเก่า นางขันกีแกล้งยุยงให้ทำโทษพระมเหสีถึงสิ้นชีวิต พระราชบุตรทั้งสองหนีไป ก็สั่งให้อินโภ้โป้ตามจับเอามา จะให้ฆ่าเสีย พอเกิดพายุหอบพาพระราชบุตรทั้งสองไปได้พ้นจากความตาย ข้าพเจ้ากับขุนนางทั้งปวงแต่พากันเข้ามาเตรียมเฝ้า ตีระฆังให้เสด็จออก จะได้ช่วยกันทูลทัดทาน ก็มิได้เสด็จออก เสี่ยงหยงจึงว่า เราไปอยู่บ้านเก่าหวังจะหาความสบาย ครั้นได้ยินข่าวออกไปว่า เมืองวุ่นวายนัก จึงเข้ามาหมายจะทูลทัดทานเตือนพระสติ ถึงพระเจ้าติวอ๋องจะลงโทษประการใดก็ตามเถิด ขณะเมื่อเสี่ยงหยงพูดกับอึ้งป่วยฮออยู่ริมประตูที่เสด็จออก พอเห็นอินโภ้โป้เดินออกจากประตูมาคำนับ เสี่ยงหยงโกรธ จึงประชดอินโภ้โป้ว่า ครั้งนี้ ท่านอุตส่าห์ติดตามได้พระราชบุตรทั้งสองมาถวาย เห็นท่านจะได้ความชอบมาก เรากับขุนนางทั้งปวงจะต้องฝากตัวท่านต่อไป อินโภ้โป้ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้านิ่งอยู่ เสี่ยงหยงก็ให้ตีระฆังเชิญเสด็จ
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ ณ ที่บรรทม แจ้งว่า พายุพาอินเฮา อินหอง ไป พระทัยไม่สบาย พอได้ยินเสียงระฆังก็เสด็จออก เสี่ยงหยงกับขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่เฝ้าพร้อมกัน พระเจ้าติวอ๋องเห็นเสี่ยงหยงเข้ามาเฝ้าจึงตรัสถามว่า ท่านลาเราออกไปอยู่บ้านเก่า เราก็ให้ไปแล้ว เรามิได้ให้หา เหตุใดจึงเข้ามา ท่านจะมาว่าความสิ่งใดหรือ เสี่ยงหยงก็คุกเข่าลงคำนับแล้วทูลว่า ซึ่งพระองค์กรุณาโปรดให้ไปอยู่บ้าน ข้าพเจ้าหาความสุขมิได้ ด้วยได้ยินลือออกไปว่า พระองค์ไม่สบายพระทัย ข้าพเจ้าจึงเข้ามาเฝ้า หวังจะเตือนพระสติ แล้วเสี่ยงหยงจึงทูลเป็นธรรมเนียมว่า กษัตริย์ซึ่งบำรุงแผ่นดินเป็นสุขมาแต่ก่อนมีพระทัยโอบอ้อมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ขุนนางและพระสนมจะเพ็ดทูลความสิ่งใด พระทัยหนักแน่นดังศิลา มิได้หวาดไหวด้วยลม คือ ถ้อยคำคนสอพลอทูลยุยง ตรึกตรองต้องตามประเพณีแล้วจึงตรัส ครั้งเมื่อพระองค์ครองราชสมบัติใหม่นั้น ฝนฟ้าก็ตกตามฤดู ข้าวปลาอาหารและผลไม้ก็บริบูรณ์ ขุนนางและราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม เลื่องลือพระเกียรติยศไปทั้งแผ่นดิน หัวเมืองต่างประเทศเข้ามาขอเป็นเมืองออกถวายเครื่องราชบรรณาการ ตั้งแต่พระองค์เชื่อฟังนางขันกี ให้ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่ที่สัตย์ซื่อต่อแผ่นดินเสีย ขุนนางและราษฎรได้ความเดือดร้อนเหมือนครั้งแผ่นดินพระเจ้าแฮเคียด ขอให้กำจัดนางขันกีเสียจากพระราชวัง แผ่นดินจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข แม้นมิฟังข้าพเจ้ากราบทูลแล้ว จงเสวยสมบัติให้ทรงพระเจริญเถิด ข้าพเจ้าจะขอถวายบังคมลาตาย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเสี่ยงหยงกราบทูลว่า จะให้ฆ่านางขันกี ก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารซึ่งถือกระบองทองยืนรักษาพระองค์อยู่ซ้ายขวาให้ตีเสี่ยงหยงเสียให้ตาย เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลุกยืนขึ้น แล้วชี้มือร้องว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า เราเป็นขุนนางมาถึงสามแผ่นดิน พระบิดาท่านได้ฝากแก่เราไว้ว่า ถ้าเห็นท่านทำผิดให้ทัดทาน บัดนี้ เราเห็นว่า ท่านทำมิชอบ ให้ทำโทษนางเกียงฮองเฮาซึ่งเป็นที่คำนับแก่ราษฎรทั้งแผ่นดิน จนนางเกียงฮองเฮาสิ้นชีวิต แล้วจะฆ่าบุตรเสียด้วยเล่า เราจึงเข้ามาว่ากล่าวห้ามปราม กลับโกรธ จะเลี้ยงอีขันกีไว้ก็ตามเถิด เสี่ยงหยงก็เอาศีรษะโดนเสาศิลาตาย พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งเจ้าพนักงานให้เอาศพเสี่ยงหยงไปทิ้งเสียนอกเมือง