ห้องสิน/เล่ม ๓/ตอน ๖๖
หน้า ๑–๑๕ สารบัญ
ฝ่ายอินเฮานั่งปรึกษาการศึกอยู่กับเตียวสัน ลีกี๋ม ในค่าย เห็นอัศจรรย์บังเกิดเป็นกลาบาตตกลงในค่าย เตียวสันจึงว่า นิมิตอย่างนี้ไม่สู้ดี แต่ยกมาทำศึกด้วยเมืองไซรกีก็นานแล้ว หามีชัยชนะไม่ จำเราจะล่าทัพกลับไปเมืองจิวโก๋ขอกองทัพเพิ่มเติมให้มากขึ้น จึงกลับมาตีเมืองไซรกี เห็นจะได้โดยง่าย อินเฮาจึงว่า ซึ่งจะถอยทัพกลับไปเมืองจิวโก๋ก่อนนั้น เราหาเห็นด้วยไม่ ทหารเมืองไซรกีก็จะได้ใจ แต่ให้หนังสือไปขอกองทัพเพิ่มเติมมาอีกสักหน่อยก็พอตีเมืองไซรกีได้ดอก เตียวสันจึงว่า ข้าพเจ้าดูฝีมือทหารของเขานั้นแต่ละคนแกล้วกล้าสามารถ แล้วโตหยินอาจารย์ผู้ใหญ่ก็มาช่วยเป็นหลายคน ทหารก็มากกว่าเรานัก เกลือกจะมิสมคิด ศึกจะเสียที ปลายมือจะได้ความลำบาก อินเฮาจึงตอบว่า ทำไมกับโตหยินอาจารย์และทหารทั้งปวง เป็นการบอกแขกมาช่วย กลัวอะไร แต่ก๋งเสงจู๊ผู้เป็นอาจารย์ของเรายังสู้เราไม่ได้ แทรกแผ่นดินหนีไป ท่านหาเห็นไม่หรือ อินเฮา เตียวสัน ลีกี๋ม พูดกันอยู่ในค่าย พอทัพปล้นมาตีค่ายเสียงอึงขึ้นทั้งสี่ด้าน ก็พากันตกใจ อินเฮาจึงขี่ม้าพาทหารจุดคบเพลิงแห่ออกมารักษาค่ายด้านตะวันออก เตียวสันกับลีกี๋มก็ออกมารักษาค่ายคนละด้าน ทหารทั้งสองฝ่ายก็รบกันเป็นสามารถ ทัพหนุนก็เพิ่มเติมตีค่ายเข้ามาอีกทั้งสี่ด้าน พวกทหารข้างอินเฮาก็ย่อย่นทนฝีมือกองทัพชาวเมืองไม่ได้ อึ้งปวยฮอ เตงจิวก๋ง ตัวนายทั้งแปดทัพ ก็ไล่ทหารเข้าพังค่ายทลายลงทั้งสี่ด้าน รบกันถึงตะลุมบอน เตียวสันกับลีกี๋มก็ขับม้าเข้าต่อสู้ มิได้ถอยหนี พวกทหารเมืองไซรกีก็กลุ้มรุมกันเข้ารบฆ่าเตียวสันกับลีกี๋ตาย ทหารเลวแตกระส่ำระสายต่างคนต่างไป ขณะนั้น อินเฮาขี่ม้าถือทวนไล่แทงทหารเมืองไซรกีมาจนถึงอึ้งปวยฮอ แล้วร้องว่า อึ้งปวยฮอพ่อลูกรอดตายไปครั้งหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้กลับมาหาที่ตายอีก อึ้งปวยฮอจึงตอบว่า วันนี้ ตัวท่านจะถึงที่ตาย อย่าหมายเลยจะรอดไป ว่าแล้วกลุ้มรุมกันเข้ารบอินเฮา อินเฮาจึงเอาตรามีฤทธิ์ทิ้งไป ก็มิได้ต้องทหารบูอ๋อง ด้วยอำนาจมนตร์ลงเกียดก๋งจู๊ป้องกันอยู่ อาวุธของอินเฮาทั้งสิ้นมิได้พ้องพานทหารเมืองไซรกี อินเฮาก็คิดเสียน้ำใจ ทหารบูอ๋องก็เข้ารุมรบอินเฮาทั้งสิ้น ล้อมไว้หลายชั้น อินเฮาเหลือกำลังจะต่อสู้ คิดจะหนี พอเห็นด้านข้างอึ้งเทียนฮัวคนเบาบาง ก็เอาตราทิ้งไป อึ้งเทียนฮัวหลบตราพลัดตกม้าลง อินเฮาก็ควบม้าหนีออกจากที่ล้อมได้ มีทหารเลวติดตามไปเจ็ดคนแปดคน พวกทหารเมืองไซรกีก็ติดตามไปประมาณทางสามร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น หาพบอินเฮาไม่
ฝ่ายอินเฮาขับม้าหนีมาอิดโรยนัก พอเวลาสว่างก็ไปทางเหงาก๋วนเป็นทางจะไปด่านเมืองจิวโก๋ บุนซูก๋งฮวด[1] ก็ยืนขวางหน้าไว้แล้วร้องว่า วันนี้ ถึงที่ตายแล้ว อินเฮาเห็นบุนซูก๋งฮวดเทียนจุ๋น[1] ก็ร้องว่า ข้าพเจ้าจะไปเมืองจิวโก๋ ท่านมายืนขวางไว้ด้วยเหตุอันใด บุนซูก๋งฮวดก็บอกว่า ตัวท่านเข้าอยู่ในที่ล้อมแล้ว เราจะจับตัวส่งไปเมืองไซรกี อินเฮาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงเข้ารบด้วยบุนซูก๋งฮวดเทียนจุ๋น แล้วเอาตราทิ้งไป บุนซูก๋งฮวดก็รับด้วยธง ตราก็กระเด็นไป อินเฮาสู้มิได้ ก็ขับม้าหนีไปพบเซียะเจงจู๊ เซียะเจงจู๊จึงร้องว่า อินเฮา ท่านเป็นคนทรยศต่ออาจารย์ เราจะจับส่งไปเมืองไซรกี อินเฮาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบ แล้วเอากระดึงขว้างไป เซียะเจงจู๊ก็รับด้วยธง กระดึงก็กระเด็นไป อินเฮาก็ขับม้าหนีมาพบจุ้นเถโต้หยินออกยืนขวางหน้าไว้ อินเฮาจึงร้องว่า เหตุใดอาจารย์ทั้งปวงมายืนสกัดอยู่ทุกทางดังนี้ เรารบกับชาวเมืองไซรกีต่างหาก กงการอะไรของอาจารย์ทั้งปวงเล่า จึงพากันมาเที่ยวสกัดทางอยู่ดังนี้ จุ้นเถโต้หยินจึงตอบว่า ท่านเป็นคนเสียสัตย์ต่ออาจารย์ เราจะจับตัวส่งไปเมืองไซรกี อินเฮาได้ฟังก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบ จะแทงด้วยทวน จุ้นเถโต้หยินก็รับด้วยธง อินเฮาเห็นจะต่อสู้มิได้ ก็ขับม้าหนีไป มาพบทัพหลวง เห็นเกียงจูแหยขี่ซูปุดเสียงยืนอยู่ ยิ่งคิดแค้นด้วยฆ่าอินหองเสีย ก็ขับม้าตรงเข้ามาจะรบกับเกียงจูแหย บูอ๋องเห็นประหลาด จึงถามเกียงจูแหยว่า ผู้ที่ขี่ม้า สามศีรษะ หกมือ นั้นชื่อใด เกียงจูแหยก็บอกว่า ชื่อ อินเฮา บุตรพระเจ้าติวอ๋อง บูอ๋องแจ้งดังนั้นจึงว่ากับเกียงจูแหยว่า จำเราจะลงจากหลังม้าคำนับจึงจะควร ด้วยท่านเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน เกียงจูแหยจึงห้ามว่า ท่านอย่าลงคำนับ เมืองไซรกีกับเมืองจิวโก๋เป็นข้าศึกรบพุ่งกันอยู่ ซึ่งจะคำนับนั้นไม่ควร พอว่าขาดคำ อินเฮาก็ขับม้ามาถึงเกียงจูแหย เกียงจูแหยเข้ารบกับอินเฮาได้สามเพลง อินเฮาจึงทิ้งด้วยตรา อำนาจบุญบูอ๋องกับมนตร์ลงเกียดก๋งจู๊ อาวุธมิได้ต้องเกียงจูแหย อินเฮาอิดโรยมา เห็นจะต่อสู้มิได้ ก็ขับม้าหนีไปพบเหยียนเต๋งโตหยินออกยืนสกัดทางอยู่ แล้วแลไปข้างหลังเห็นกองทัพเกียงจูแหยติดตามมากระชั้นใกล้ จะหนีไม่พ้น จึงอธิษฐานว่า ถ้าพระเจ้าติวอ๋อง บิดาข้าพเจ้า ยังจะได้ครองสมบัติอยู่ในแผ่นดินเมืองจิวโก๋สืบไป ข้าพเจ้าทิ้งตราไป ขอให้ภูเขาทะลุเป็นช่องตลอดไปข้างโน้นเถิด อธิษฐานแล้วก็ทิ้งตราไป ภูเขาก็ทะลุเป็นช่องไป อินเฮาจึงหนีไปตามช่องภูเขา ครั้นศีรษะอินเอาออกช่องภูเขาข้างโน้น ตัวยังอยู่ในภูเขา เหยียนเต๋งโตหยินก็ตบมือเข้า ภูเขาก็หุบเข้า ตัวอินเฮาก็ติดอยู่ในภูเขานั้น แต่ศีรษะออกมาอยู่ข้างนอกภูเขาเพียงคอ อินเฮาหนีอยู่ในภูเขา เหยียนเต๋งโตหยินก็ขับทหารเข้าล้อมภูเขาไว้ทั้งสี่ด้าน
ฝ่ายบูอ๋องขี่ม้าขึ้นไปบนภูเขาที่อินเฮาหนีแทรกอยู่นั้น แลดูกองทัพล้อมไว้ทั้งสี่ทิศหวังจะจับอินเฮาฆ่าเสีย บูอ๋องคิดสังเวชใจ ลงจากม้า คุกเข่าคำนับ แล้วจึงร้องว่าแก่อินเฮาว่า เขาล้อมท่านไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็หาสบายใจไม่ ฝ่ายเกียงจูแหยตามบูอ๋องขึ้นไปด้วย จึงจับมือบูอ๋องให้ลุกขึ้น แล้วว่า ท่านคำนับติวอ๋องทำไม อินเฮาคนนี้เป็นคนชั่ว หาตั้งอยู่ในคำอาจารย์สั่งไม่ จะถึงแก่ความตายครั้งนี้เพราะกรรมที่ตนทำมิชอบ บูอ๋องจึงว่า อินเฮานี้เป็นบุตรพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องเป็นเจ้าของเรา เมื่อเราทำร้ายแก่อินเฮา ก็เหมือนทำร้ายแก่พระเจ้าติวอ๋องผู้มีพระคุณแก่เรา ท่านจงให้เลิกทัพกลับไปเสียเถิด ฝ่ายเหยียนเต๋งโตหยินได้ยินบูอ๋องว่าแก่เกียงจูแหยดังนั้นก็หัวเราะ จึงร้องว่ากับบูอ๋องว่า ท่านรู้หรือไม่ว่า อินเฮานี้กรรมมาถึงตัวแล้ว ท่านอย่าห้ามเลย ฝ่ายบูอ๋องมีกตัญญูต่อพระเจ้าติวอ๋องยิ่งนัก ก็ร้องห้ามเหยียนเต๋งโตหยินและนายทหารทั้งปวงมิให้ทำร้ายแก่อินเฮา เกียงจูแหยจึงว่าแก่บูอ๋องว่า ท่านจะห้ามทหารไว้หาควรไม่ ข้าพเจ้าให้ยกกองทัพมาล้อมอินเฮาครั้งนี้ เพราะกระทำตามเยี่ยงอย่างแต่ก่อน ขณะนั้น บูอ๋องก็จุดธูปปักไว้เป็นคำนับ แล้วปฏิญาณตัวว่า ข้าพเจ้าก็มีกตัญญู คิดว่า เป็นลูกเจ้า ทหารซึ่งมาล้อมไว้ทั้งนี้เขาก็ทำตามเยี่ยงอย่าง ข้าพเจ้าให้ห้ามปรามนักแล้ว ฝ่ายเหยียนเต๋งโตหยินจึงลวงบูอ๋องว่า เชิญท่านลงจากภูเขาเลิกทัพไปเถิด บูอ๋องกับเกียงจูแหยก็ลงจากภูเขา เหยียนเต๋งโตหยินก็ใช้ให้เลิกทัพไป จึงกลับสั่งบูกิดให้เอาไถเหล็กไปไถในซอกเขาที่อินเฮาอยู่นั้น ขณะเมื่อบูกิดไปไถนั้น เห็นกระดูกอินเฮาแตกหักกระจัดกระจายอยู่ บูกิดก็ร้องไห้ คิดกรุณาว่า ข้าพเจ้ามาไถท่านทั้งนี้ ใช่กระทำตามอำเภอตนหามิได้ ท่านผู้เป็นนายใช้ จึงได้มาทำแก่ท่านถึงเพียงนี้ เมื่อบูกิดไถที่หลุมยับย่อยแล้ว ดวงจิตอินเฮาก็ลอยขึ้นไปจากหลุมเป็นลมพัดไปสู่เมืองจิวโก๋
ขณะนั้น พระเจ้าติวอ๋องนั่งเสวยสุราอยู่บนลกไต๋กับนางขันกี นางฮิบี๋ นางอึ้งกุยหยิน มเหสีสามคน ดวงจิตอินเฮาเป็นลมพัดมาต้องพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องให้ง่วงเหงาหาวนอนซบหลับไป ดวงจิตอินเฮาก็เข้าฝันพระเจ้าติวอ๋องให้เห็นเป็นคนสามหัวมายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะเรียกพระเจ้าติวอ๋องว่า บิดา แล้วบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ อินเฮา เพราะข้าพเจ้าหาตั้งอยู่ในคำอาจารย์ไม่ เขาจึงฆ่าข้าพระองค์เสีย พระบิดายังอยู่รักษาบ้านเมืองต่อไป จงเลี้ยงทหารที่มีสติปัญญาไว้ จะได้ต่างพระเนตรพระกรรณ และยังมีทหารคนหนึ่งชื่อ ง่วนหยง เป็นขุนนางเก่า มีสติปัญญาความรู้มาก พระบิดาจงไปเอามาตั้งแต่งเลี้ยงให้ดี จะได้ช่วยราชการบ้านเมือง บัดนี้ ข้าพระองค์จะลาไปอยู่ห้องสินใต้ และผู้รักษาห้องสินใต้จะให้ข้าพระองค์อยู่หรือไม่ให้อยู่ยังหารู้ไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็ตกใจตื่นขึ้น แล้วบ่นว่า ประหลาดใจหนักหนา มเหสีทั้งสามก็ถามว่า เหตุไฉนพระองค์ตรัสดังนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็เล่าความฝันให้ฟัง มเหสีทั้งสามจึงทูลว่า พระองค์จะเชื่ออะไรแก่ฝัน เชิญเสวยสุราให้สบายเถิด แล้วรินสุราให้พระเจ้าติวอ๋องเสวย ขณะนั้น ฮั่นเอ๋งอยู่หัวเมืองกีจุยก๋วนให้คนถือหนังสือมาถึงปิจู๊ ขุนนางเมืองจิวโก๋ ครั้นปิจู๊ได้แจ้งหนังสือนั้นก็เสียใจ เอาหนังสือเข้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงอ่าน ใจความว่า อินเฮา พระราชบุตร กับเตียวสัน ไปรบกับเกียงจูแหยที่เขากีสาน เสียทีแก่ข้าศึก ข้าศึกฆ่าอินเฮากับเตียวสันเสีย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า กีฮวดฆ่าทหารเอกของเราเสียหลายคนแล้ว บัดนี้ ซ้ำฆ่าอินเฮาซึ่งเป็นบุตรเราเสีย เห็นจะมีใจกำเริบยกมาทำถึงเมืองเรา ครั้นจะละให้ล่วงด่านเข้ามา ก็ซ้ำจะเสียเกียรติยศ จำจะชิงไปกำจัดเสีย ขุนนางทั้งปวงจะเห็นผู้ใดที่จะปราบปรามกีฮวดได้ หลีเต๋ง ขุนนางผู้ใหญ่ จึงทูลว่า กีฮวดตั้งตัวเป็นเจ้า หัวเมืองฝ่ายตะวันตกก็อยู่ในอำนาจสิ้น ทหารเอกทหารเลวก็มีเป็นอันมาก แล้วเกียงจูแหยซึ่งเป็นแม่ทัพก็มีสติปัญญา ทหารในเมืองหลวงนี้ นอกกว่าอังกิ๋ม นายด่านซำซันก๋วนแล้ว ข้าพระองค์ไม่เห็นผู้ใดที่จะสู้ปัญญาแลฝีมือเกียงจูแหยได้ ด้วยอังกิ๋มชำนาญการศึกนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็เห็นด้วย จึงให้มีหนังสือรับสั่งไปถึงอังกิ๋ม ให้อังกิ๋มจัดแจงทหารยกไปตีเมืองไซรกีจงได้ อังกิ๋มแจ้งในหนังสือรับสั่งดังนั้น ก็จัดแจงทหารสืบหมื่นยกไปถึงแดนเมืองไซรกี ตั้งค่ายมั่นอยู่ แล้วปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทหารเมืองไซรกี เกียงจูแหยเป็นแม่ทัพ มีสติปัญญา ทั้งฝีมือก็เข้มแข็ง จะรบกับเกียงจูแหยเหมือนรบกับเมืองอื่นนั้นไม่ได้ ท่านจงกำชับนายทัพนายกองทั้งปวงให้แข็งเมืองจงทุกคน
ฝ่ายเกียงจูแหยรู้ว่า ทัพจิวโก๋ยกมา ก็หัวเราะ จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เมืองจิวโก๋นี้คิดว่า จะไปตีอีก บัดนี้ กลับให้ทหารยกมารบเราอีกเล่า ก็สมคะเนแล้ว ทหารผู้ใดจะออกไปรบกับอังกิ๋มได้ หลำจงกวดก็รับอาสา แล้วใส่เกราะ ขึ้นขี่ม้า ถือทวน ยกทหารออกไปหน้าค่ายอังกิ๋ม อังกิ๋มก็ให้กุยก๋องออกรบ กุยก๋องก็ขึ้นม้าถือง้าวยกทหารออกจากค่าย หลำจงกวดจึงร้องถามว่า ใครจะต่อสู้กับเรา กุยก๋องก็บอกว่า เราชื่อ กุยก๋อง เป็นทหารอังกิ๋ม หลำจงกวดได้ฟังก็หัวเราะ จึงร้องว่า แต่ข้าศึกตายเพราะฝีมือเรานับพันแล้ว ท่านจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า ๆ กุยก๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ขับม้ารำง้าวเข้ารบกับหลำจงกวดได้สามสิบเพลง กุยก๋องก็ร่ายมนตร์เป็นลมดำพลุ่งขึ้นแล้วกลายเป็นสุนัขโตใหญ่โจนขึ้นกัดรักแร้หลำจงกวดเสื้อเกราะขาด หลำจงกวดก็ขับม้าหนี กุยก๋องก็กลับเข้าค่ายแล้วแจ้งเนื้อความซึ่งมีชัยชนะแก่ข้าศึกนั้นให้อังกิ๋มฟัง อังกิ๋มก็ดีใจนัก จึงว่า เพลาวันนี้ กุยก๋องออกรบมีชัยชนะแล้ว เพลาพรุ่งนี้ เปกเฮียนหยงจงออกรบกับทหารเมืองไซรกี ครั้นเพลารุ่งเช้า เปกเฮียนหยงก็ขึ้นม้าถือทวนยกออกจากค่ายเข้าไปตั้งชิดเชิงกำแพงเมืองไซรกี เกียงจูแหยแจ้งดังนั้นก็ให้เตงจิวก๋งออกไปรบ เตงจิวก๋งก็ขึ้นม้า ถือกระบี่สองมือ ยกทหารออกจากเมือง แล้วร้องว่าแก่เปกเฮียนหยงว่า ท่านหารักชีวิตไม่หรือ จะมารบกับเรา เปกเฮียนหยงจึงว่า ท่านเป็นพวกทรชน หารู้คุณเจ้าแผ่นดินไม่ เรา ทหารเมืองหลวง จะมาล้างชีวิตเสีย เตงจิวก๋งได้ฟังก็โกรธ ขับม้ารำกระบี่เข้ารบกับเปกเฮียนหยงได้สามสิบเพลง เตงจิวก๋งก็เอากระบี่ฟันเปกเฮียนหยงตกม้าตาย แล้วตัดเอาศีรษะมาให้เกียงจูแหย เกียงจูแหยก็ให้เอาศีรษะเปกเฮียนหยงไปเสียบประจานไว้ที่ประตูเมือง ฝ่ายอังกิ๋มรู้ว่า เปกเฮียนหยงตาย ก็โกรธนักเท้ากัดฟันว่า ถ้าเราไม่ล้างมันเสียให้สิ้นทั้งพวก ก็หาหายความแค้นไม่ แล้วอังกิ๋มขึ้นม้า ถือง้าว ยกทหารสิบหมื่นไปตั้งประชิดใกล้เมือง แล้วร้องท้าทายว่า ให้เกียงจูแหยยกออกมารบกัน เกียงจูแหยรู้ก็จัดแจงทหาร เสร็จแล้วใส่เกราะเงิน ถือตั้วกี่ แปลว่ ธงเหลือง เป็นอาวุธ ขึ้นขี่ซูปุดเสียง[2] ยกทหารเปิดประตูเมืองออกตั้งกระบวนอยู่ อังกิ๋มจึงร้องถามว่า กองทัพใคร เกียงจูแหยบอกว่า กองทัพชื่อว่า เกียงจูแหย แล้วร้องถามไปว่า ท่านชื่อไร อังกิ๋มก็บอกว่า เราชื่อ อังกิ๋ม แล้วว่า ท่านเป็นคนทรชน ไม่รู้คุณพระเจ้าติวอ๋อง ตั้งตัวเป็นใหญ่ แข็งเมือง หาไปคำนับพระเจ้าติวอ๋องไม่ เกียงจูแหยจึงว่า ตัวท่านอุปมาดังคลองน้อย ยังจะรู้กระแสน้ำในทะเลใหญ่เป็นประการใด พวกทหารเหล่านี้หาตั้งอยู่ในยุติธรรมไม่ เที่ยวรบตีบ้านเมืองอื่น ทำให้ยากแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ซึ่งท่านมารบกับเรา จะเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่า จะหนีไปจากเงื้อมมือเรานั้นหาพ้นไม่ ถ้ารักชีวิต จงลงมาคำนับเราเสียโดยดีเถิด
ฝ่ายอังกิ๋มได้ฟังก็โกรธ ร้องด่าเกียงจูแหยว่า อ้ายคนแก่ พูดโอกโขยก ใครจะไปคำนับกับทรชน แล้วขับม้ารำง้าวเข้าไปจะฟันเกียงจูแหย กีซกเบ๋ง บุตรบุนอ๋องที่เจ็ดสิบสอง เป็นคนร้ายกล้าหาญนัก ยืนอยู่ข้างเกียงจูแหย เห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ารบกับอังกิ๋มพักหนึ่ง อังกิ๋มก็ทำเป็นขับม้าหนี กีซกเบ๋งก็ไล่ตามไป อังกิ๋มก็โบกธงขาวเป็นสำคัญ ทหารทั้งปวงก็ล้อมกีซกเบ๋งเข้าไว้ แล้วโบกธงสำคัญขึ้น ทหารทั้งปวงก็แหวกออกเป็นช่อง มีประตูสี่ทิศ ทหารถือธงยืนประจำอยู่ทั้งสี่ประตู แล้วอังกิ๋มกลับเข้ารบกับกีซกเบ๋งอีกสี่สิบเพลง แล้วอังกิ๋มก็โบกธงให้ปิดประตูเสียสามประตู เปิดไว้ประตูหนึ่ง แล้วทำเป็นชักม้าหนีเข้าแอบธงใหญ่ในประตูที่เปิด กีซกเบ๋งโกรธร้าย ไม่ทันคิด ก็ขับม้าไล่ตามไป อังกิ๋มได้ทีก็เอาง้าวฟันกีซกเบ๋งตกจากม้าตาย อังกิ๋มก็โบกธงสัญญา ทหารที่ล้อมอยู่นั้นก็คลายเป็นกระบวนประชุมกันอยู่อย่างเก่า อังกิ๋มก็ออกไปยืนม้า ร้องท้าทายเกียงจูแหยว่า ท่านอวดฝีมือดี จงออกมารบกัน นางเตงตันหยกยืนอยู่ข้างหลังเกียงจูแหยได้ยินอังกิ๋มท้าทายก็โกรธ ขับม้ารำกระบี่สองมือเข้ารบกับอังกิ๋ม อังกิ๋มก็โบกธงให้ทหารล้อมเข้า แล้วก็ทำเป็นชักม้าหนีหลบเข้าแอบธงอยู่ นางเตงตันหยกก็หาไล่ตามไปไม่ แล้วเอาศิลาแก้วทิ้งไปถูกศีรษะอังกิ๋มแตก อังกิ๋มก็โบกธงสัญญาให้ทหารกลับเข้าค่าย ทัพเกียงจูแหยก็กลับเข้าเมือง ฝ่ายอังกิ๋มครั้นมาถึงค่ายก็เอายาวิเศษปิดแผลที่ศีรษะนั้นคืนเดียวก็หาย ครั้นรุ่งเช้า ก็พาทหารออกจากค่าย แล้วร้องว่า ให้เกียงจูแหยแต่งทหารผู้หญิงคนนั้นออกมารบกันอีก เกียงจูแหยได้ฟังก็สั่งนางเตงตันหยกให้ออกรบ โทเฮงสุน ผัวนางเตงตันหยก จึงว่า เจ้าจะออกรบ จงระวังกลศึกอังกิ๋มที่ประตูสี่แห่ง อย่าล่วงไล่ให้เกินเข้าไป จะเสียที ลงเกียดก๋งจู๊ ทหารผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ยินโทเฮงสุนกำชับเมีย ก็ร้องถามว่า ท่านพูดจาสั่งเสียอะไร โทเฮงสุนจึงว่า เราสอนเมียให้ระวังกลศึกอังกิ๋ม ลงเกียดก๋งจู๊ก็ว่า กลัวอะไรกับความคิดอังกิ๋ม ถึงจะให้เราออกมารบ เราก็ไม่พรั่น โทเฮงสุนก็ไปบอกกับเกียงจูแหยว่า ลงเกียดก๋งจู๊จะอาสาออกรบ เกียงจูแหยก็สั่งให้ลงเกียดก๋งจู๊ออกรบ ลงเกียดก๋งจู๊ก็จัดทหาร เสร็จแล้วขึ้นขี่ม้าสีชมพูชื่อว่า ไกฮัวแปะ ถือกระบี่ ยกทหารออกไป อังกิ๋มแลเห็นก็รู้ว่า มิใช่นางเตงตันหยก จึงถามว่า เจ้าชื่อไร ลงเกียดก๋งจู๊จึงว่า จะถามเราทำไม เร่งลงจากม้ามาคำนับเราเถิด อังกิ๋มก็โกรธ ขับม้าเข้ารบกับลงเกียดก๋งจู๊ได้สี่เพลง แล้วขับม้าหนีเข้าไปแฝงอยู่ที่ธง ลงเกียดก๋งจู๊ก็โบกธงอันมีฤทธิ์ปิดบังตามิให้ข้าศึกแลเห็น แล้วขับม้าเข้าไปเอากระบี่ฟันอังกิ๋มเสื้อเกราะขาด อังกิ๋มเห็นจะสู้รบมิได้ ก็ขับม้าหนี ลงเกียดก๋งจู๊ก็ขับม้าไล่ตามไป แล้วร้องว่า ท่านจะหนีไปไหนนั้น เห็นจะพ้นมือเราแล้วหรือ เราเป็นลูกเทวดาชื่อ เอี๋ยวตี๋เสียงโป๊ แม่เราให้ลงมาช่วยบูอ๋องล้างเมืองจิวโก๋ ถึงท่านจะหนีไปบนฟ้าก็มิพ้น จะดำดินไปเราก็จะตามไปฆ่าเสียให้ได้ อย่าหนีไปเลยให้เหนื่อยกาย จงลงจากม้าให้เราตัดศีรษะเสียดี ๆ เถิด อังกิ๋มก็ลงจากม้า กระทำฤทธิ์หนีแทรกแผ่นดินไป ลงเกียดก๋งจู๊ก็ตามอังกิ๋นไปบนดิน อังกิ๋มไปถึงไหนก็แลเห็นตัว อังกิ๋มไปถึงทะเลใหญ่ชื่อว่า ปักไฮ้ จึงเอาของวิเศษที่อาจารย์ให้ไว้ทิ้งลงในน้ำ ก็เป็นมังกรว่ายอยู่ อังกิ๋มก็ขึ้นขี่หลังมังกรหนีไป ลงเกียดก๋งจู๊ก็เอาของวิเศษทิ้งลงในน้ำ เป็นก้อนศิลา แล้วขึ้นขี่ก้อนศิลาตามไปทันอังกิ๋ม จึงเอาก้อนศิลาทับอังกิ๋มกับมังกรไว้ แล้วร่ายมนตร์เรียกผีพรายในทะเลให้ขึ้นมามัดอังกิ๋มเข้า แล้วสั่งว่า ให้เอาตัวไปส่งยังเมืองไซรกี พรายน้ำก็จับตัวอังกิ๋มมัดให้มั่น โยนขึ้นไปครึ่งฟ้า ตกลงในเมืองไซรกีตรงหน้าเกียงจูแหย เกียงจูแหยเห็นอังกิ๋ม ก็รู้ว่า จับโยนมาเป็นมั่นคง พอลงเกียดก๋งจู๊มาถึง เกียงจูแหยก็สั่งหลำจงกวดให้เอาตัวอังกิ๋มไปฆ่าเสียนอกเมือง หลำจงกวดก็พาตัวอังกิ๋มออกมา
เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ
[แก้ไข]- ↑ 1.0 1.1 "บุนซูก๋งฮวด" กับ "บุนซูก๋งฮวดเทียนจุ๋น" คือบุคคลเดียวกัน สำเนียงกลางว่า "เหวินชูกวั๋งฝ่าเทียนจุน" (文殊廣法天尊) คำว่า "เหวินชู" ทับศัพท์จากคำสันสกฤตว่า "มัญชุ" คือ มัญชุศรี ซึ่งเป็นชื่อโพธิสัตว์องค์หนึ่งในศาสนาพุทธนิกายอาจารยวาท ส่วน "กวั๋งฝ่า" เป็นสร้อยแปลว่า ไพศาลนีติ และ "เทียนจุน" แปลว่า เทวราช เป็นคำเรียกเทวดาชั้นสูงจำพวกหนึ่งในลัทธิเต๋า
- ↑ "ซูปุดเสียง" หรือสำเนียงกลางว่า "ซื่อปู้เซียง" (四不相) มีความหมายตรงตัวว่า "สี่ไพจิตร" (four unlikes) เป็นคำตลาดที่จีนใช้เรียกกวางชนิด Elaphurus davidianus ที่เรียก "สี่ไพจิตร" นั้นมีคำอธิบายว่า กวางชนิดนี้จะว่าเหมือนสัตว์สี่อย่างก็เหมือน จะว่าต่างก็ต่าง สัตว์สี่อย่างเหล่านั้น คือ วัว กวาง ลา ม้า