ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 1/เรื่องที่ 2
๏ แต่ที่นี้จะกล่าวเรื่องตำนานพระแก้วมรกฎต่อไป ดำเนินความแต่ต้นดังนี้ จะกล่าวนิทานพระแก้วเจ้าอันประเสริฐล้ำเลิศยิ่งนักหนา ยังมีพระอรหันต์เจ้าพระองค์หนึ่งทรงนามชื่อว่าพระนาคเสน อันจบด้วยไตรปิฎก แลมีปัญญาอันฉลาดฦกล้ำ แลรู้โจทนาแก้ปฤษณาปัณหาทั้งปวง ซึ่งพระอรหันต์เจ้าองค์นั้นเธอเปนอาจารย์แก่พระยามิลินทราชมหากระษัตริย์ นั้นแล เดิมเมื่อพระศรีสากยมุนีโคดมบรมพุทธครูเจ้า พระองค์ได้เสด็จดับขันธ์เข้าสู่เมืองแก้ว กล่าวคืออมตมหานฤพานไปแล้วนั้น ครั้นอยู่มานานได้ ๕๐๐ พระวัสสา ยังมีพระอรหันต์เจ้าพระองค์หนึ่ง มีนามปรากฏชื่อว่าพระมหานาคเสน เปนศิษย์แห่งพระมหาธรรมรักขิตเถร อยู่ในอโสการามอันมีในปาตลีบุตรมหานครแล ครั้นพระมหาธรรมรักขิตเถรเจ้านิพพานไปแล้ว อยู่มาข้างหลังพระมหานาคเสนองค์เปนศิษย์เธอจึงพิจารณาเห็นโดยปัญญาแห่งเธอ ว่า ควรเราจะสร้างพระพุทธรูปเจ้าไว้ให้เปนที่นมัสการแก่มนุษย์แลเทพาไปข้างน่า นั้นควรแล แต่ว่าเราจะสร้างด้วยเงินแลคำให้มั่นคงถึง ๕๐๐๐ พระวัสสานั้นหาได้ไม่ด้วยคนทั้งปวงเขามีโลภะโทสะโมหะมาก กลัวแต่เขาจะทำให้พระพุทธรูปเจ้าฉิบหายยับเยินเสียแต่ข้างน่านั้นแลควรเราจะสร้างพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วลูกประเสริฐอย่าให้พวกคนบาปทั้งปวงทำอันตรายให้ ฉิบหายได้แต่ข้างน่านั้นจึงควรแล แต่ว่าเราจะได้แก้วอันสมควรจะสร้างพระพุทธรูปเจ้าแต่ที่ไหน ครั้นพระมหานาคเสนคิดวิตกดังนี้แล้ว
๏ เมื่อนั้นบั้นสมเด็จอมรินทราธิราชบพิตร พระองค์จึงคิดเห็นอัธยาไศรยแห่งพระมหานาคเสนเถรเจ้า อันมีความปรารถนาจะใคร่สร้างพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วดังนั้นแล้ว จึงสมเด็จบพิตรพระองค์จึงเสด็จลงมาจากสวรรค์กับด้วยพระวิศณุกรรมเทพบุตรนั้น แล้ว พระองค์จึงเข้าไปไหว้พระมหานาคเสนเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้เปนเจ้า บัดนี้พระผู้เปนเจ้ามีความปรารถนาจะใคร่สร้างพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วลูก ประเสริฐ จะให้เปนที่นมัสการบูชาแก่มนุษย์แลเทพยดาทั้งปวงนั้นแล แต่นั้นบั้นพระมหานาคเสนเจ้าจึงรับขานกับพระอินทราว่า เออเราก็มีความปรารถนาอยากจะใคร่สร้างยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วลูกประเสริฐ นั้นจริงแล แต่นั้นบั้นโกสินทร์อมรินทราธิราชบพิตรพระองค์จึงไหว้พระมหานาคเสนเจ้าต่อไป ว่า ข้าแต่พระผู้เปนเจ้า ถ้าแลพระผู้เปนเจ้ามีความปรารถนาจะใคร่สร้างพระพุทธรูปเจ้า ด้วยแก้วลูกประเสริฐจริงแท้ ข้าจะช่วยสง เคราะห์ให้แล้วโดยสมความปรารถนา ข้าจะใช้ให้วิศณุกรรมเทพบุตรไปเอาแก้วอันมีในเขาเวบุลบรรพตมาถวายแก่พระผู้ เปนเจ้าแล ครั้นสมเด็จพระอินทราไหว้พระมหานาคเสนเท่านั้นแล้ว พระอินทร์จึงตรัสแก่พระวิศณุกรรมเทพบุตรว่า ดูกรเจ้าวิศณุกรรม เจ้าจงไปนำเอามายังแก้วลูกประเสริฐ อันมีอยู่ในเขาเวบุลบรรพตนั้นมาโดยเร็วเถิด เราจะเอามาถวายแก่พระนาคเสนเจ้า ท่านจะสร้างเปนพระพุทธรูปไว้ให้เปนที่นมัสการบูชาแก่มนุษย์แลเทพาไปข้างน่า แล
๏ เมื่อนั้นบั้นพระวิศณุกรรมเทพบุตร กราบทูลสมเด็จอมรินทราธิราชเจ้าว่า ข้าแต่พระอินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าพเจ้าไปเอาแก้วลูกประเสริฐในเขาเวบุลบรรพตนั้น ซึ่งพวกกุมภัณฑ์คน ธรรพยักษ์อารักษเทพยดาทั้งปวงที่เขาอยู่รักษาแก้วไว้นั้นก็มีมากนักหนาจะให้ แต่ข้าพเจ้าไปคนเดียวเท่านั้นเห็นเขาจะไม่ให้ ข้าพเจ้าขอเชิญองค์สมเด็จพระอินทราเจ้าจงเสด็จไปด้วยข้าพเจ้าเถิด ซึ่งพวกกุมภัณฑ์คนธรรพยักษ์ทั้งปวง ครั้นเขาได้เห็นองค์สมเด็จพระอินทราเจ้าแล้วเขาก็จะให้แก้วลูกประเสริฐ ถวายแก่สมเด็จพระราชบพิตรเจ้าแล
๏ เมื่อนั้นบั้นสมเด็จพระอินทรา ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยคำแห่งพระวิศณุกรรมเทพบุตรกราบทูลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปสู่เขาเวบุลบรรพต พร้อมกับพระวิศณุกรรมเทพบุตรนั้นแล ครั้นถึงแล้วพระองค์ก็เห็นคนธรรพกุมภัณฑ์ทั้งปวง อยู่ในเขาเวบุลบรรพตเปนอันมาก พระอินทร์จึงทรงตรัสแก่พวกกุมภัณฑ์คนธรรพยักษ์ทั้งปวงว่า ดูกรท่านทั้งหลายทั้งปวง เราเข้ามาสู่เขาเวบุลบรรพตบัดนี้ ด้วยเราจะมาขอเอาแก้วลูกประเสริฐไปถวายแก่พระมหานาคเสนเจ้า ด้วยท่านมีความ ปรารถนาจะสร้างแปลงเปนพระพุทธรูปเจ้าแล ท่านทั้งปวงจงให้แก้วลูกประเสริฐแก่เราเถิด
๏ เมื่อนั้นบั้นกุมภัณฑ์คนธรรพยักษ์ทั้งปวง จึงกราบทูลสมเด็จพระอินทราว่า ข้าแต่พระองค์เจ้า ซึ่งแก้วลูกประเสริฐอันข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงรักษาไว้นี้ มิใช่เปนแก้วสิ่งใดสิ่งอื่นเลย แม่นแก้วมณีโชติอันเปนของพระบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า มีแก้วทั้งหลายพันลูกเปนบริวารล้อมอยู่ ครั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงจะถวายแก้วลูกนี้แก่องค์สมเด็จมหาราชเจ้านั้น ครั้นบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเกิดมาแต่ข้างน่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงก็หาแก้วลูกประเสริฐจะถวายท่านมิได้เสีย อนึ่งซึ่งแก้วมณีโชติลูกนี้ก็มีอิทธิเลิศมหิทธิศักดานุภาพนักหนา ถ้าสำ แดงฤทธิเสด็จที่ใดดังนั้น คนทั้งปวงก็จะมีความสงไสยว่า พระยาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าตนประเสริฐเกิดมาในที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงก็มิอาจที่จะถวายแก้วมณีโชติลูกนี้แก่องค์สมเด็จ มหาราชเจ้าได้แล แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงจะขอถวายแก้วมรกฎลูกหนึ่ง มีรัศมีอันเขียวงามบริสุทธิ์ แก่องค์สมเด็จมหาราชเจ้าแล ซึ่งมณีโชติลูกนั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงยังถวายไม่ได้ ขอองค์สมเด็จมหาราชเจ้าจงเอาแก้วมรกฎลูกนี้เพื่อถวายแก่พระมหานาคเสนเจ้า เถิด ซึ่งแก้วมรกฎลูกนี้มีแก้วลูกประเสริฐเปนบริวารพันลูกล้อมเปนบริวาร อยู่ถัดกำแพงอันล้อมแก้วมณีโชติลูกนั้นแล
๏ เมื่อนั้นบั้นสมเด็จอมรินทราธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยคำพวกกุมภัณฑ์คนธรรพยักษ์ทั้งปวงหากกราบทูล นั้นแล้ว พระองค์ก็พาเอาพระวิศณุกรรมเสด็จเข้าไปสู่ที่มีแก้วมรกฎนั้นแล พระองค์ก็ถือเอายังแก้วมรกฎลูกประเสริฐ ครั้นได้แล้วพระองค์ก็พาเอาพระวิศณุกรรมเทพบุตร เสด็จรีบมาจากเขาเวบุลบรรพต ครั้นถึงอโสการามแล้ว พระองค์ก็เอาแก้วมรกฎลูกนั้นเข้าไปถวายแก่พระมหานาคเสนเจ้าแล้ว พระองค์ก็กราบลาพระมหานาคเสนเจ้าแล้วก็เสด็จคืนเมื่อสู่เมืองสวรรค์อันเปน ที่อยู่ของพระองค์นั้นแล อยู่มาแต่นั้นบั้นพระมหานาคเสนเจ้า ครั้นท่านได้แก้วมรกฎลูกนั้นแล้วก็มีความยินดีเปนที่สุด แล้วท่านจึ่งลำลึกนึกในใจว่า เราจะได้บุทคลผู้ใดมีปัญญาอันฉลาด อาจ มาสร้างแปลงยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วมรกฎลูกนี้ ให้สำเร็จดังความปรารถนาของเรานี้เล่า ครั้นพระมหานาคเสนเจ้านึกในน้ำพระไทยดังนี้แล้ว
๏ เมื่อนั้นพระวิศณุกรรมเทพบุตร ก็ฉลาดรู้อัธยาไศรยน้ำใจแห่งพระมหานาคเสนเจ้าแล้ว พระวิศณุกรรมจึ่งจำแลงแปลงกายเปนมนุษย์คนหนึ่งเข้ามาไหว้พระมหานาคเสนเจ้า แล้วว่า ข้าแต่พระผู้เปนเจ้า ข้านี้ก็ฉลาดเคยสร้างแปลงพระพุทธรูปเจ้าแล ถ้าและพระผู้เปนเจ้ามีความ ปรารถนาจะใคร่สร้างพระพุทธรูปเจ้า ด้วยแก้วมรกฎลูกนี้ ข้าก็จะสร้างแปลงให้สำเร็จความปรารถนาพระผู้เปนเจ้าเถิด
๏ เมื่อนั้นบั้นพระมหานาคเสนเจ้า ครั้นได้ฟังยังถ้อยคำพระวิศณุ กรรมเทพบุตรอันจำแลงแปลงเปนมนุษย์เข้ามาบอกแก่ตนนั้นแล้ว ท่านก็มีน้ำใจยินดีเปนที่สุด ท่านจึงพูดกับบุรุษคนนั้นว่าถ้าท่านเคยฉลาดสร้างแปลงอย่างนั้น ท่านจงสร้างแปลงยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้ว มรกฎลูกนี้ ให้เปนที่นมัสการแก้มนุษย์แลเทพบุตรทั้งปวงเถิด
๏ เมื่อนั้นจึงพระวิศณุกรรมเทพบุตร อันจำแลงแปลงเปนบุรุษนั้น ครั้นได้ฟังพระมหานาคเสนบอกตนเท่านั้นแล้ว ท่านก็สร้างแปลงยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วมรกฎลูกนั้น นานได้ ๗ วันจึงสำเร็จการแล้วพระวิศณุกรรมเทพบุตรจึงนิมิตรเปนมหาวิหารอันใหญ่แล้ว ให้ประดับไปด้วยเครื่องประดับทั้งปวงต่าง ๆ มีแก้วเปนประธาน ให้ทั่วไปในอโส การามที่นั้นแล้ว จึงตั้งไว้ยังพระแก้วเหนือแท่นรัตนบัลลังก์กาญจนอันประเสริฐ ในท่ามกลางพระมหาวิหารที่นั้นแล้ว จึงพระวิศณุกรรมเทพบุตรก็เสด็จขึ้นไปสู่สวรรคเทวโลกอันเปนที่อยู่แห่งตนนั้น แล
๏ เมื่อนั้นบั้นพระอินทร์พระพรหม แลเทพยดานาคครุธมนุษย์กุม ภัณฑ์ทั้งปวง ครั้นได้รู้ว่าพระวิศณุกรรมเทพบุตรได้สร้างแปลงยังพระแก้วเจ้า ให้แก่พระมหานาคเสนเจ้าแล้ว ก็มีความชื่นชมโสมนัศทุกตนทุกพระองค์แล้ว จึงนำมายังสิ่งของอันควรบูชาทั้งปวง มีดอกไม้แลธูปเทียนเปนประธานแล้ว ก็พากันเข้ามาถวายนมัสการบูชาพระแก้วเจ้าเปนอันมากนัก แม้ว่าพระอรหันตาสาวกเจ้าทั้งปวงได้ร้อยโกฏิพระองค์อันอยู่ในชมพูทวีปทั้ง ๔ ทิศ ๘ ทิศ มีพระมหานาคเสนเปนประธาน ก็พร้อมกันเข้ามานมัสการพระแก้วเจ้าทั้งสิ้น แม้ท้าวพระยามหากระษัตริย์ แลเสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวงอันอยู่แต่ประเทศราชทั้ง ๔ ทิศ ๘ ทิศ ก็พากันเข้ามาถวายนมัสการบูชาพระแก้วเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งพระแก้วเจ้าพระองค์นั้นอันหาจิตรวิญญาณมิได้ ก็กระทำปาฏิหาริย์เปล่งออกยังฉัพพรรณรังษีมากนักหนาหาที่จะเปรียบมิได้
๏ เมื่อนั้นพระอินทร์พระพรหม กับทั้งหมู่เทพยดานาคครุธกุมภัณฑ์ ทั้งปวง แลพระอรหันต์เจ้าทั้งปวง ครั้นได้เห็นยังอัศจรรย์นั้นแล้ว ก็มีน้ำใจยินดีซึ่งอานุภาพพระแก้วเจ้านั้นเปนที่สุดก็พร้อมกันไปส้องสาธุ การมากนักหนา แล้วก็สมเสพด้วยเสียงดุริยดนตรีทิพย์ต่าง ๆ นั้นแล
๏ เมื่อนั้นจึงพระมหานาคเสนเจ้า จึงนำเอามายังพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์อันงามบริสุทธิ์ แลมีฉัพพรรณรังษีต่าง ๆ กัน อันพระอินทร์พระพรหมแลเทพยดาทั้งปวงหากรักษาไว้นั้นมาแล้ว ท่านจึงให้ตั้งไว้ยังพานเงิน ๗ พานซ้อนกันขึ้นแล้ว จึงตั้งไว้ยังสุวรรณพานทอง ๗ พาน ซ้อนกันขึ้นแล้วเล่า ตั้งยังพานแก้ว ๗ พานซ้อนกันขึ้นบนพานเงินพานทองนั้นแล้ว จึงเชิญพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์นั้นใส่ในผะอบแก้วลูก ๑ อันวิจิตรงามมากนักด้วยฤทธิ์แห่งตนแล้ว จึงยกผะอบแก้วขึ้นประดิษ ฐานไว้บนพานเงินพานทองพานแก้วนั้นแล
๏ เมื่อนั้นจึงพระอรหันต์เจ้าทั้งปวง มีพระมหานาคเสนเจ้าเปนประธาน กับพระอินทร์พระพรหมแลหมู่เทพยดาแลคนทั้งปวงก็มีความชื่นชมโสมนัศหาที่สุดมิ ได้ ก็พร้อมกันถวายนมัสการบูชาด้วยสุคนธรศทั้งปวง มีดอกไม้เปนประธานแล้ว ก็พร้อมกันสรรเสริญยกยอคุณพระแก้วเจ้านั้นเปนที่สุด จึงเทพยดาเจ้าทั้งปวงก็หว่านลงยังดอกไม้ทิพย์ถวายบูชาแล้ว ก็สรงยังพระบรมชินธาตุเจ้า ๗ พระองค์ด้วยน้ำสุคนธ รศอันหอมนักในผะอบแก้วนั้นแล้ว จึงพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์นั้นก็กระทำปาฏิหาริย์เปล่งพระรัศมี ๖ ประการ ให้รุ่งเรืองสว่างไปทั่วทิศทั้ง ๔ ทิศทั้ง ๘ แล้ว ก็ให้รุ่งขึ้นทั่วพื้นอากาศเวหาทั้งมวญนั้นแล
๏ เมื่อนั้นพระมหานาคเสนเจ้า จึงตั้งสัตยาธิษฐานขออาราธนาเชิญ พระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์นั้น ให้เสด็จเข้าไปในพระองค์พระแก้วเจ้านั้นแล
๏ เมื่อนั้นพระบรมธาตุเจ้า๗พระองค์นั้น จึงพระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในพระโมฬี พระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าไปในพระภักตร์ พระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในพระหัตถ์กำขวา พระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในพระหัตถ์กำซ้าย พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในเข่าข้างขวา พระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในเข่าข้างซ้าย พระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในพระชงฆ์แห่งพระแก้วเจ้าสิ้นทั้ง ๗ พระองค์นั้นแล้ว
๏ เมื่อนั้นพระแก้วเจ้าก็ทำปาฏิหาริย์ยกขึ้นยังฝ่าพระบาทกำขวาดุจดังจะเสด็จลง จากแท่นบัลลังก์กาญจนนั้น
๏ เมื่อนั้นพระอินทร์พระพรหมเทพยดา แลคนทั้งปวง เห็นเปนน่าอัศจรรย์นักหนา ก็ร้องป่าวกันให้ส้องสาธุการเปนอันมากแล้วก็ถวายบูชาด้วยแก้วแลเงินคำ ผ้าผ่อนเครื่องอาบอบแก่พระแก้วเจ้าเปนอันมากนั้นแล
๏ เมื่อนั้นพระมหานาคเสนเจ้าครั้นท่านได้เห็นอัศจรรย์อันนั้นแล้วท่านจึงเล็ง อรหัตมรรคญาณไปแต่ข้างน่านั้น จึงเห็นว่าพระแก้วเจ้านี้จะไม่ได้อยู่ในเมืองปาตลีบุตรเปนมั่นคง ท่านจึงทำนายไว้ว่า ดูกรท่านทั้งปวง ซึ่งพระแก้วเจ้าของเราองค์นี้ มิใช่จะอยู่เมืองปาตลีบุตรที่นี้เปนมั่นคงเลย ท่านยังจะเสด็จไปโปรดสัตวในประเทศ ๕ แห่ง คือลังกาทวีปเปนกัมโพชวิไสยแห่ง ๑ ศรีอยุทธยาวิไสยแห่ง ๑ โยนก วิไสยแห่ง ๑ สุวรรณภูมิวิไสยแห่ง ๑ ปมหลวิไสยแห่ง ๑ เข้ากันเปน ๕ แห่งนี้แล ครั้นพระมหานาคเสนเจ้าทำนายไว้ดั่งนี้แล้ว ซึ่งคนทั้งปวงอันได้นมัสการบูชาพระแก้วก็ตั้งอยู่ชั่วแดนอายุแห่งตน ครั้นจุติจากมนุษโลกแล้ว ก็เมื้อเกิดในสวรรคเทวโลกสิ้นทุกคนนั้นแล ซึ่งพระมหานาคเสนเจ้าอันประกอบด้วยศีลาทิคุณบริสุทธิ์ แลปรากฏในพระสาสนาพระสัพพัญญูพุทธเจ้าแห่งเรานี้เหมือนอย่างพระสุริยอาทิตย์ อันปรากฏในนภากาศเวหา แลยกยอพระพุทธสาสนาให้รุ่งเรืองงามต่อถึง ๕๐๐๐ พระวัสสา ท่านจึงสร้างพระแก้วเจ้าพระองค์นี้ไว้ให้เปนที่นมัสการบูชาแก่เทพยดาแลคน ทั้งปวง ครั้นท่านตั้งอยู่ตามเขตรอายุของท่านนั้น อันมีสังโยชนธรรมหากสิ้นแล้ว ท่านก็ถึงแก่พระนิพพานธาตุ มีวิบากขันธ์แลกรรมชะรูปในอันนั้นแล
๏ อยู่แต่นั้นไปข้างน่า จึ่งชาวเมืองปาตลีบุตรทั้งปวงมีพระมหากระษัตริย์ แลเสนาอำมาตย์ราชมนตรี เศรษฐีพราหมณเปนประธาน ก็พร้อมกันปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าสืบ ๆ มานานได้ ๓๐๐ ปี ตั้งแรกแต่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระมหานครนฤพานไปแล้วนั้น มาผสมเข้า ๓๐๐ ปีนั้นพระพุทธสาสนาครบ ๕๐ พระวัสสา จึงมาถึงพระมหากระษัตริย์เจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าตะละกะเปนหลานแห่งพระมหากระษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามพระเจ้าบุนดะละราชาธิราชท่านก็ได้ครองราชสมบัติเปนกระษัตริย์ใน เมืองปาตลีบุตรที่นั้น ท่านก็ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้าองค์นั้นต่อไป ท่านจึ่งมีพระราชโอรสองค์หนึ่งทรงพระนามว่าศิริกิตติกุมาร ครั้นพระเจ้าตะกะละอันเปนพระราชบิดาได้ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น จึงเจ้าศิริกิตติราชกุมารอันเปนพระราชโอรสก็ได้ครองราชสมบัติเปนกระษัตริย์ ในเมืองปาตลีบุตรที่นั้นสืบแทนพระราชบิดาแห่งตนแล้ว ก็ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้าต่อไปนั้นแล แต่นั้นการศึกสงครามก็เกิดมีในเมืองปาตลีบุตรที่นั้นมากนัก คนทั้งปวงก็รบพุ่งกันฉิบหายล้มตายมาก แต่นั้นซึ่งคนทั้งปวงพวกเข้าอยู่ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้านั้น เขาเห็นเหตุจะไม่ดีกลัวพระแก้วเจ้าจะฉิบหายเสีย เขาจึ่งเชิญเอาพระแก้วขึ้นสู่สำเภาลำหนึ่ง พร้อมกับด้วยพระปิฎกธรรมเจ้า กับสิ่งของอันคนทั้งปวงบูชาพระแก้วเจ้านั้นขึ้นสู่สำเภาลำนั้นแล้ว เขาพาหนีไปสู่กัมโพชวิไสยคือว่าลังกาทวีป ครั้นพระแก้วเจ้าเข้าไปอยู่ในลังกาทวีปนานได้ ๒๐๐ ปีแล้ว แรกแต่สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานมาผสมเข้ากับ ๒๐๐ ปีนั้น พระพุทธศักราชครบ ๑๐๐๐ พระวัสสา
๏ ในกาลครั้งนั้นมีกระษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้า อนุรุธราชาธิราช ท่านก็ได้ครองราชสมบัติในพระนครภุกาม แลกระษัตริย์พระองค์นั้นมีฤทธาศักดานุภาพนัก อาจสามารถเหาะไปด้วยล่องอากาศเวหาได้ พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชพระองค์นั้นท่านก็คำนับยังพระสาสนาเปนที่สุด ท่านก็ปฏิบัติรักษาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆเจ้า เปนนิจมิได้ขาด ทีนั้นยังมีพระภิกษุเจ้าพระองค์หนึ่ง มีนามปรากฏ ชื่อว่าสีลขันธ์ ได้อุปสมบทภาวเปนภิกษุสงฆ์ได้ ๕ พระวัสสา ท่านนั้นได้ร่ำเรียนมาก มีปัญญาก็ฉลาดนัก ท่านก็มาพิจารณาดูยังปิฎกธรรมอันมีอยู่ในเมืองภุกาม ทีนั้นท่านก็เห็นว่าพระปิฎกธรรมนั้นผิดอักขระพยัญชนะหาถูกต้อง ไม่ ท่านจึ่งไหว้พระอาจารย์อันอยู่ในวิหารที่นั้นว่า ข้าแต่พระอาจารย์เจ้า ซึ่งเราทั้งปวงได้กระทำบรรพชากรรมแลอุปสมบทกรรมมาแต่ก่อนนั้นผิดเสียแล้ว แลด้วยว่าไม่ถูกอักขระพยัญชนะ บัดนี้เราจะคิดอ่านสถานใดดีเล่า
๏ เมื่อนั้นบั้นพระอาจารย์จึ่งตอบความท่านสีลขันธ์ว่า แต่ข้างหลัง อันเราทั้งปวง ก็ยังหาได้พิจารณาดูในพระปิฎกธรรมทั้งปวงให้รู้เห็นที่ผิดแลชอบเสีย ถ้าแม้จะกระทำบรรพชากรรม แลอุปสมบทกรรมก็ดี เราทั้งปวงก็ได้ทำสืบ ๆ มาตามอย่างธรรมเนียมท่านแต่ก่อนนั้นแล ถ้าแลพระปิฎกธรรมทั้งปวงหากผิดด้วยอักขระพยัญชนะเสียอย่างนั้นเจ้าจงคิดอ่าน พิจารณาดูด้วยปัญญาของเจ้าเถิด ครั้นพระอาจารย์กล่าวเท่านั้นแล้ว จึ่งเจ้าสีลขันธภิกษุนั้น ท่านจึ่งพิจารณาดูว่าตัวของข้านี้ก็ได้อุปสมบทภาวเปนภิกษุแล้ว แต่จะขึ้นฤๅไม่ขึ้นนั้นก็ยังหารู้ไม่ ควรแต่ตูจะไปอุปสมบทในเมืองลังกาทวีปเถิด ท่านพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว ท่านจึ่งเข้าไปบอกแก่พระเจ้าอนุรุธราชาธิราช อันเปนเจ้าพระนครภุกามนั้นว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร พระองค์จงเข้าพระไทยในถ้อยความอาตมาจะถวายพระพรบัดนี้เถิด ซึ่งพระปิฎกธรรมทั้งปวงอันมีอยู่ในเมืองของพระองค์นี้เปนผิดเสีย ไม่ถูกต้องตามอักขระพยัญชนะเลย แม้ว่าเราจะทำบรรพชากรรมแลอุปสมบทกรรมมาแต่ข้างหลังนั้นเปนผิดเสียแล้วแล พระองค์เจ้าจงทรงเห็นในน้ำพระไทยของพระองค์เถิด
๏ เมื่อนั้นบั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยความอันพระสีลขันธภิกษุหากถวายพระพรนั้นแล้ว พระองค์จึ่งทรงตรัสต่อพระสีลขันธภิกษุว่า ถ้าแลพระปิฎกธรรมทั้งปวงอันมีอยู่ในเมืองของเราผิดเพี้ยนเสีย ไม่ถูกต้องตามอักขระพยัญชนะอย่างนั้น ซึ่งพระปิฎกธรรมอันไม่ผิดด้วยอักขระพยัญชนะนั้น ยังจะมีแต่เมืองไหนเล่า พระสีลขันธภิกษุจึ่งถวายพระพรว่า ซึ่งพระปิฎกธรรมไม่ผิดอักขรพยัญชนะนั้น พระมหาพุทธโฆษาจารย์เถรเจ้า ท่านหากเขียนไว้ในเมืองลังกาทวีปนั้นเปนอันบริสุทธิ์นักหนาแล
๏ เมื่อนั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชมหากระษัตริย์ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังดังนั้น แล้วท่านก็มีความยินดีเปนที่สุด แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสแก่เสนาบดีให้จัดแจงแต่งสำเภา ๒ ลำ แล้วให้นิมนต์พระสงฆ์ ๘ พระองค์กับพระสีลขันธภิกษุนั้น กับแต่งให้อำมาตย์ ๒ คน แลบ่าวไพร่ทั้งปวงพร้อมแล้ว ก็ให้ขึ้นบนสำเภาทุกคน พระองค์ก็ให้นำไปยังสิ่งของบรรณาการเปนอันมาก มอบให้แก่อำมาตย์ทั้ง ๒ แล้ว พระองค์ก็ส่งสำเภานั้นไปสู่เมืองลังกาทวีปนั้นแล จึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชนั้น ครั้นพระองค์ได้ส่งสำเภา ๒ ลำนั้นไปแล้ว ท่านสังเกตดูว่ากาลบัดนี้สมควรที่สำเภา ๒ ลำนั้นจะถึงเมืองลังกาทวีปแล้ว ท่านจึ่งขึ้นหลังม้าอัศดรเหาะไปทางอากาศเวหา ท่านก็ไปถึงเมืองลังกาทวีปพร้อมกับสำเภา ๒ ลำในวันเดียวนั้น ครั้นพระองค์ได้ไปถึงเมืองลังกาทวีปแล้ว พระองค์จึ่งแต่งให้อำมาตย์ ๒ คนนั้น นำเอาเครื่องราชบรรณาการไปถวายแก่พระเจ้าลังกาทวีป ท่านจึ่งสั่งให้กราบทูลพระเจ้าลังกาว่า พระเจ้าอนุรุธ ราชาธิราชอันเปนสหายท่านก็เสด็จมาถึงเมืองลังกาทวีปที่นี้ด้วย ท่านมีความปรารถนาจะขอเขียนเอาพระปิฎกธรรมทั้ง ๓ กับพระคัมภีร์สัททาวิเสสขึ้นไปไว้ปฏิบัติรักษาในเมืองภุกามนั้นแล
๏ เมื่อนั้นบั้นพระมหากระษัตริย์เจ้าพระนครเมืองลังกาทวีป ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังข่าวสาร อันอำมาตย์ทั้งสองหากกราบทูลนั้นแล้วพระองค์ก็มีความยินดีเปนที่สุด พระองค์จึ่งตรัสแก่อำมาตย์ทั้งปวงให้นำเอาสิ่งของบรรณาการเข้าปลาอาหารเปน อันมากให้ไปทูลถวายแก่พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชแล้ว พระองค์ซ้ำให้ปลูกโรงเปนตำหนักพักเซาแก่พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชนั้นแล้ว
๏ เมื่อนั้นเจ้าภิกษุสีลขันธ์องค์ นั้นท่านก็เข้าไปไหว้พระมหาสังฆ ราชทั้งปวง ในเมืองลังกาทั้งปวงนั้นว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ซึ่งพระปิฎกธรรมทั้งสามแลพระคัมภีร์สัททาวิเสสอันมีในชมพูทวีปนั้น ก็ผิดด้วยอักขระพยัญชนะเสียนัก แม้จะกระทำบรรพชากรรมแลอุปสมบทกรรมก็กลัวจะไม่ชอบ ข้าทั้งปวงจึ่งได้พร้อมกันเข้ามาในเมืองลังกาทวีปที่นี้ ด้วยมีความปรารถนาจะขอเขียนเอาพระปิฎกธรรมทั้งสามกับพระคัมภีร์สัททาวิเสส ขึ้นไปไว้เปนมูลพระสาสนาในชมพูทวีป อนึ่งข้าทั้งปวงซ้ำจะขอบวชเปนสามเณร แลอุปสมบทภาวเปนภิกษุให้บริสุทธิ์ก่อน
เมื่อนั้นเจ้าสีลขันธภิกษุไหว้ขึ้นทั้งนั้น ซึ่งพระสังฆราชเจ้าจึงกล่าวตอบพระสีลขันธภิกษุว่า เออสาธุดีแล ข้าทั้งปวงจะบอกกล่าวแก่พระภิกษุสงฆ์แลคนทั้งปวงให้ทั่วไปในลังกาทวีปนี้ ก่อน ครั้นมหาสังฆราชกล่าวตอบพระสีลขันธ์เท่านั้นแล้ว ท่านก็ให้บอกกล่าวไปแก่พระภิกษุสงฆ์แลคนทั้งปวงมีพระมหากระษัตริย์เจ้าพระนครลังกาทวีปเปน ประธาน
๏ เมื่อนั้นพระมหากระษัตริย์แลเสนาอำมาตย์ราชมนตรีแลคนทั้งปวงก็ มีความยินดีหาที่สุดมิได้ จึงพร้อมกันนำมายังเครื่องสมณะบริกขารเปนอันมากแล้ว จึงมหาสังฆราชเจ้านั้น ก็ให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงเข้ามาพร้อมมูลกันในอุโบสถวัดนั้น แล้วก็ให้เจ้าภิกษุสงฆ์ ๘ องค์อันไปแต่ชมพูทวีปนั้น มีพระสีลขันธ์เปนประธาน ก็ให้บวชเปนสาม เณร แล้วก็ให้อุปสมบทภาวเปนภิกษุสงฆ์ทั้ง ๘ องค์นั้นแล
๏ เมื่อนั้นเทพยดาเจ้าทั้งปวงก็มีความยินดีมากนักหนา ก็หว่านลงยังเข้าตอกดอกไม้ถวายบูชาเปนอันมากนั้นแล
๏ เมื่อนั้นจึงพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชเจ้า ท่านก็หว่านพระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงเขียนเอายังพระปิฎกธรรมสาร ซึ่งตนพระองค์ก็เขียนเอาด้วยตนเอง ครั้นสำเร็จเสร็จการอันเขียนเอายังพระปิฎกธรรมนั้นได้ครบถ้วนแล้ว พระองค์ก็ขอเอาพระแก้วมรกฎเจ้ากับพระมหากระษัตริย์เจ้าพระนครลังกาซึ่งเปนพ ระสหาย ครั้นได้แล้วท่านก็ให้ยกเอาพระแก้วมรกฎเจ้ากับทั้งพระปิฎกธรรมอันพวกเมืองภุ กามหากเขียนเอานั้นขึ้นสู่สำเภาลำ ๑ แล้วก็ให้ยกเอาพระปิฎกธรรมอันพวกชาวเมืองลังกาช่วยเขียนนั้น กับพระภิกษุ ๘ องค์นั้นขึ้นสู่สำเภาลำ ๑ แล้วพระองค์ก็สั่งให้ออกมาจากลังกาทวีปทั้ง ๒ ลำนั้นแล้ว จึงพระอนุรุธราชาธิราช พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่หลังม้าแก้วอัศดรแล้วก็เหาะมาทางอากาศ พระองค์ก็มาถึงพระนครภุกามแล้วก็อยู่ตามศุขสวัสดิ พระองค์ก็คอยท่าสำ เภา ๒ ลำนั้นอยู่แล
๏ บัดนี้จะกล่าวถึงสำเภา ๒ ลำนั้นก่อน ครั้นออกมาถึงท่ามกลางมหาสมุท ซึ่งสำเภาลำอันใส่พระปิฎกธรรมพวกชาวลังกานั้นก็เข้าไปถึงเมืองภุกามโดย สวัสดี ซึ่งสำเภาลำใส่พระแก้วเจ้ากับพระปิฎกธรรม อันชาวเมืองภุกามหากเขียนเอานั้น ก็พลัดเข้าไปถึงเมือง อินทปัตมหานครนั้นแล
๏ เมื่อนั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชมหากระษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงคอยยังสำเภา ๒ ลำนั้น ก็เห็นแต่สำเภาพระปิฎกธรรมเข้ามาแต่ลำเดียว ซึ่งสำเภาทรงพระปิฎกธรรมแลพระแก้วเจ้านั้น ก็ไม่เห็นเข้ามาเลย พระองค์ก็น้อยน้ำพระไทยเปนนักหนา พระองค์ก็นึกแหนงแคลงพระไทยอยู่ จะเปนเหตุผลอันตรายประการใดก็ไม่รู้เลย พระองค์ก็พิจารณาไปในน้ำพระไทยอยู่ดังนี้มิได้ขาด ครั้นอยู่มามินานเท่าใด พระองค์จึงได้ข่าวว่าสำเภาอันทรงพระปิฎกธรรมกับพระแก้วเจ้านั้น พลัดเข้าไปในเมืองอินทปัตมหานคร พระองค์ก็มิอาจที่จะอยู่ช้าได้ พระองค์ขึ้นสู่หลังม้าแก้วอาชาไนย ก็เสด็จไปด้วยล่องอากาศเวหา จึงไปถึงเมืองอินทปัตมหานครแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงสู่อารามแห่งหนึ่ง อันใกล้เมืองอินทปัตมหานครนั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จลงจากหลังม้าแก้วอาชาไนยแล้ว พระองค์ก็แลเห็นแผ่นศิลาแห่งหนึ่งใหญ่หนานัก พระองค์ก็ถ่ายปัสสาวะลงเหนือหลังศิลาแผ่นนั้น น้ำปัสสาวะของพระองค์นั้นก็ลอดหินนั้นลงมาลุ่มนั้นแล
๏ เมื่อนั้นยังมีพระภิกษุองค์หนึ่ง อันอยู่ในอารามที่นั้น ท่านก็มาเห็นยังน้ำมูตรแห่งพระมหากระษัตริย์องค์นั้น อันลอดหลังหินลงไปท่านก็บังเกิดความอัศจรรย์เปนนักหนา ท่านจึงถามพระเจ้าอนุรุธรา ชาธิราชเจ้าพระองค์นั้นว่า ดูกรอุบาสก ท่านนี้มาแต่เมืองใด ท่านนี้มีชื่อใด
๏ เมื่อนั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชมหากระษัตริย์ ท่านก็บังความเสียไม่บอกตามสัจซื่อ ท่านจึงไขไปว่าข้านี้เปนคนใช้พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชเจ้าพระมหานครภุกาม แลเจ้าภิกษุองค์นั้นซ้ำถามว่าท่านนี้มีธุรกิจการอะไร ท่านจึ่งเข้ามาเมืองอินทปัตมหานครนี้เล่า พระเจ้าอนุ รุธราชาธิราชจึงไหว้ว่า ข้าแต่พระผู้เปนเจ้า ซึ่งเจ้าพระนครภุกามนั้น ใช้ให้ข้ามานำสำเภาอันทรงพระแก้วเจ้า กับทั้งพระปิฎกธรรมซึ่งพลัดหลงเข้ามาถึงเมืองอินทปัตมหานครนี้แล
๏ เมื่อนั้นจึ่งเจ้าภิกษุองค์นั้น ครั้นท่านได้ยินความพระเจ้าอนุรุธ ราชาธิราชบอกเล่านั้นแล้ว ท่านก็ไปแจ้งความแก่พระสังฆราชเจ้าว่า นี้นั้นตามเหตุผลทุกประการ ครั้นพระมหาสังฆราชทราบถ้อยความดังนั้นแล้ว ท่านก็เข้าไปถวายพระพรแก่พระเจ้าอินทปัตมหานครนั้นว่า อาตมาภาพขอถวายพระพรแก่มหาราชบพิตร ซึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิ ราชเจ้าพระนครภุกาม แต่งให้คนใช้นำเอาพระปิฎกธรรมกับทั้งพระแก้วอันพลัดหลงมาในเมืองพระองค์นี้ แล
๏ เมื่อนั้นบั้นพระมหากระษัตริย์เจ้าพระนครอินทปัต ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังเหตุผล อันพระมหาสังฆราชถวายพระพรนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงคิดในพระไทยแล้วพระองค์จึงไหว้พระมหาสังฆราชเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้เปนเจ้า ซึ่งสำเภาพระปิฎกธรรมกับทั้งพระแก้วเจ้าอันพลัดเข้ามาถึงบ้านเมืองของเรานี้ ก็เพราะบุญสมภารของข้า แลข้าไม่ให้แล ครั้นพระองค์ทรงตรัสเท่านั้นแล้ว จึงพระมหาสังฆราชเจ้าก็ลาหนีเมื้อพระอาวาศของท่าน แต่นี้ความก็เลื่องฦๅไปทั่วพระมหานครอินทปัตนั้นแล
๏ เมื่อนั้นจึงพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบยังข่าวสาร อันชาวเมืองทั้งปวงหากได้บอกกันว่า พระเจ้าอินทปัต มหานครไม่ให้ยังสำเภาพระปิฎกธรรมกับพระแก้วเจ้าแก่ตน พระองค์ก็ทรงพระกริ้วโกรธเปนนักหนา พระองค์จึงพิจารณาดูน้ำพระไทยของพระองค์ว่า แม้กูจะฆ่าเสียยังกระษัตริย์เจ้าเมืองอินทปัตมหานครเสนาอำมาตย์ก็ได้แต่ว่า กูได้เกิดมาในชาตินี้กูก็ได้เปนพระยาธรรมิกราชาธิราชย่อมได้พูดยังสัตย์แลคน ทั้งปวงโดยชอบธรรมมากนัก ครั้นแลจะฆ่าเสียยังคนทั้งปวงเหล่านี้ มหากรรมอันหนักก็ถึงยังองค์กูพระมหากระษัตริย์เจ้านี้แล อย่ากระนั้นเลยควรแก่กูพระมหากระษัตริย์จะแสดงศักดานุภาพ ให้แก่คนทั้งปวงได้เห็นเปนที่อัศจรรย์ ให้เขาเข็ดขามเกรงกลัวแก่ฤทธิ์เดชของกูเถิด ครั้นพระองค์ทรงพระราชดำริห์ในพระไทยดังนี้แล้ว พระองค์ก็เอาไม้มากระทำเปนรูปดาบ จึงทาด้วยฝุ่นหินดิบดีแล้ว พระองค์ก็เหาะขึ้นไปสู่อากาศเวหา แล้วจึงกระทำประทักษิณรอบกำแพงเมืองอินทปัตมหานครสามคาบ สกดคนทั้งปวงมีพระมหากระษัตริย์เปนประธานแล้ว จึงเสด็จเข้าไปในพระมหาปราสาทราชมณเฑียรแห่งพระมหากระษัตริย์เมืองอินทปัต มหานครนั้น แล้วท่านจึงเอาดาบไม้นั้นขีดพระสอเจ้าพระนครนั้นแล้ว แลขีดฅอพระอรรคมเหษี แลฅอเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงแล้ว จึงเสด็จไปโดยอากาศแล้วจึงป่าวร้องด้วยพระสุรสิงหนาทว่าดูราท่านทั้งปวงเฮย ถ้าแลท่านทั้งปวงจะไม่ให้ยังสำเภาพระปิฎกธรรมกับพระแก้วเจ้าแก่เราพระมหากระษัตริย์ดังนี้ เราผู้พระมหากระษัตริย์ก็จะตัดศีศะท่านทั้งปวงพรุ่งนี้เสียจงสิ้น ถ้าท่านทั้งปวงมิเกรงกลัวเข็ดขามแก่พระราชอาชญาของเราพระมหากระษัตริย์ดัง นั้น ท่านทั้งปวงจงลูบฅอท่านทั้งปวงดูเถิด
๏ เมื่อนั้นบั้นพระมหากระษัตริย์แลเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อย บรรดาอยู่ในเมืองอินทปัตมหานครนั้น ครั้นได้ยินเสียงสิงหนาททองอาจป่าวร้องทั่วเมืองอินทปัตมหานครนั้นแล้ว ก็มีความตกใจเปนนักหนา จึงพากันลูบฅอดูทุกคนก็เห็นฝุ่นหินติดอยู่ที่ฅอทุกคน ก็มีความเข็ดขามเกรงกลัวแก่ฤทธิ์เดชของพระองค์เจ้าอนุรุธราชาเปนนักหนา จึงพระมหากระษัตริย์เจ้าพระนครอินทปัตก็มิอาจที่จะเอาไว้ได้ พระองค์จึงใช้ให้อำมาตย์ทั้งสองผู้ฉลาดด้วยปัญญาไปกราบทูลแก่พระเจ้าอนุรุ ธราชาธิราชว่า ข้าแต่พระองค์เจ้าซึ่งสำเภาพระแก้วเจ้ากับทั้งพระปิฎกธรรมอันพลัดหลงเข้ามา ในที่นี้ ถ้าแลเปนสำเภาของพระองค์เจ้าจริงแท้ ซึ่งพระเจ้าอินทปัต มหานครท่านก็ทรงเห็นแก่ทางพระราชไมตรี ท่านก็ไม่ขัดขวางไว้เลย ท่านก็ใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๒ มาทูลถวายคืนให้แก่พระองค์เจ้าแลแต่ ว่าพระองค์เจ้าเสด็จมาเปนแต่พระองค์หนึ่งพระองค์เดียว จะมอบหมายแก่พระองค์เจ้าก็ไม่สมไม่ควรเลย ขอเชิญพระองค์เจ้าเสด็จไปยังพระนครภุกามเสียก่อน ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงจักขอพระราชทานส่งไปต่อภายหลัง
๏ เมื่อนั้นจึงพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังถ้อยคำอำมาตย์ทั้ง ๒ หากกราบทูลนั้น พระองค์ก็เสด็จหนีมาโดยทางอากาศก็มาถึงพระนครภุกามแล้ว
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพระเจ้าอินทปัตมหานคร ครั้นเมื่อพระเจ้าอนุรุธ ราชาธิราชเสด็จหนีไปเมืองภุกามแล้ว พระองค์ก็ให้เสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวง ยกเอาพระแก้วมรกฎเจ้าให้ประดิษฐานในที่อันสมควรแล้ว พระองค์ก็ให้จัดแจงส่งไปกับทั้งสำเภาพระปิฎกธรรม ให้แก่พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชนั้นแล
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้สำเภาพระปิฎกธรรม ซึ่งพระเจ้าอินทปัตมหากระษัตริย์ส่งไปนั้นแล้ว พระองค์ก็ให้คนทั้งปวง ยกเอาพระปิฎกธรรมเจ้าจากสำเภาขึ้นไปไว้ในที่อันสมควรแล้ว พระองค์ก็ไม่เห็นยังพระแก้วเจ้านั้น แล้วพระองค์ก็ทรงเห็นในน้ำพระไทยว่า ซึ่งพระเจ้าอินทปัตมหานครมีความปรารถนาจะใคร่ ได้พระแก้วเจ้าไว้ปฏิบัติรักษา พระองค์ก็ไม่มีอาไลยกับพระแก้วเจ้านั้นแล พระองค์ก็ยกย่องพระพุทธสาสนาในเมืองภุกามที่นั้น ให้รุ่งเรืองงามมากนั้นแล
๏ ขณะนั้น จึ่งพระสาสนาของพระบรมพุทธครูเจ้านั้น ก็ล่วงลับดับไปนานได้ ๑๑๗๒ จึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชนั้น พระองค์ให้ตัดเสียซึ่งพระพุทธศักราชอันเก่าซึ่งล่วงไปแล้วนั้น ท่านจึงให้ตั้งเอายังพระพุทธศักราชแรกแต่นั้นมา ซึ่งพระปิฎกธรรมทั้ง ๓ พระคัมภีร์ก็ดี พระคัมภีร์สัททาวิเสสทั้งปวงก็ดี ก็ไม่ผิดด้วยอักขระพยัญชนะสักแห่ง พระองค์ก็แผ่ไปในสกลชมพูทวีปทั้งปวงต่อ ๆ มาจนกาลบัดนี้แล
๏ บัดนี้จะกล่าวถึงพระเจ้าอินทปัตมหานครนั้นก่อน ครั้นพระองค์ได้พระแก้วมรกฎแล้ว พระองค์ก็ทรงตรัสแก่เสนาอำมาตย์ ให้บอกแก่ชาวเมืองทั้งปวงทั่วไปในพระนครทั้งปวงแล้ว ก็พร้อมมูลกันมาฉลองบูชาพระแก้วเจ้าด้วยสิ่งทั้งปวงอันควรบูชาเปนอันมาก นักหนา อยู่มาแต่นั้น พระองค์ก็ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าเปนนิตย์มิได้ขาดนั้นแลแต่นั้นซึ่งพระพุทธสาสนาของพระบรมพุทธครูเจ้านั้น ก็รุ่งเรืองงามไปทั่วสกลชมพูทวีปทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระแก้วเจ้านั้นแล พระแก้วเจ้าองค์นั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองอินทปัตมหานครนั้นสิ้นกาลนานนัก ได้หลายชั่วพระมหากระษัตริย์ ซึ่งครองราชสมบัติในเมืองอินทปัตมหานครนั้น ต่อมาถึงพระมหากระษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าเสนกราชกระษัตริย์ ก็ได้ครองราชสมบัติในเมืองอินทปัตมหานครนั้น ท่านก็ได้ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าต่อไปนั้นแล
๏ ครั้นอยู่มาแต่นั้น ซึ่งพระเจ้าเสนกราชพระองค์นั้น ท่านก็มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง ครั้นเจริญพระกายใหญ่มาพอเล่นแล้ว จึงเจ้าราชบุตรพระองค์นั้น ก็เอาแมลงวันเขียวมาเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ใส่ไว้ในผะอบคำแล้ว ก็เล่นไปทุกวันนั้นแล
๏ ในกาลนั้นยังมีสับบุรุษคนหนึ่ง อันเปนอาจารย์แห่งพระเจ้าเสนกราช จึงอาจารย์คนนั้นก็ได้ลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งบุตรอาจารย์คนนั้นก็เลี้ยงแมลงมุมเสือตัวหนึ่ง จึงกุมารทั้งสองก็ถือเอาซึ่งของเล่นแห่งตนไปเล่นอยู่ด้วยกันทุกวัน ยังมีในวันหนึ่งซึ่งแมลงมุมเสือของกุมารลูกปโรหิตอาจารย์นั้น ก็กินแมลงวันเขียวของเจ้าราชบุตรองค์นั้นเสีย จึงเจ้าราชบุตรองค์นั้นก็ร้องไห้มากนัก จึงบ่าวชายของเจ้าราชบุตรองค์นั้น ก็เข้าไปในพระราชวังแล้ว ก็กราบบังคมทูลพระเจ้าอินทปัต มหานครนั้นว่า ข้าแต่พระองค์ ซึ่งแมลงมุมเสือของลูกปโรหิตอาจารย์นั้น ก็มากินแมลงวันเขียวของเจ้าราชบุตรของพระองค์เสียแล้ว แลซึ่งเจ้าราชบุตรก็ร้องไห้อยู่เปนนักหนา
๏ เมื่อนั้นจึงพระเจ้าอินทปัตมหานคร ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยคำอันราชบุรุษหากกราบทูลนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงพระกริ้วโกรธเปนนักหนา แล้วจึงทรงตรัสแก่เพ็ชฌฆาฏทั้งปวงว่า ให้ไปจับเอากุมารคนนั้นมาแล้ว พระองค์ก็ให้ผูกไปจมสระเสียนั้นแล แต่นั้นฝ่าย ปโรหิตาจารย์ผู้เปนบิดาแห่งกุมารคนนั้น ก็มีความเคียดแค้นเปนนักหนาจึงกล่าวว่าพระมหากระษัตริย์พระองค์นี้หาชอบธรรม ไม่ ควรแต่กูจะหนีไปในประเทศราชที่อื่นเถิด ครั้นปโรหิตาจารย์คิดเท่านั้นแล้วมินาน ก็พาเอาบุตรภรรยาบ่าวชายหญิงของท่านออกจากเมืองหนีไปในประเทศที่อื่นนั้นแล
๏ แต่นั้นยังมีพระยานาคตัวหนึ่ง อันอยู่ในสระที่นั้น ท่านก็โกรธแก่พระเจ้าอินทปัตมหานครนั้นว่า พระมหากระษัตริย์พระองค์นี้หาชอบธรรมไม่ มัดเอาคนอันหาโทษบมิได้มาจมเสียในสระที่อยู่ของเราให้ตายเสีย พระมหากระษัตริย์พระองค์นี้กระทำไม่ชอบธรรม ควรเราจะกระทำปาฏิหาริย์ ให้น้ำท่วมเมืองอินทปัตมหานครที่นี้เถิด ครั้นพระยานาคตรัสเท่านั้นแล้ว ก็ให้น้ำท่วมเมืองอินทปัตมหานครด้วยฤทธาศักดานุภาพแห่งตนนั้นแล ซึ่งผู้คนอันอยู่ในเมืองอินทปัตมหานครก็ฉิบหายจมน้ำตายเปนอันมาก เท่ายังเศษเหลืออยู่แต่พวกคนทั้งปวงอันขึ้นอยู่บนเรือบนสำเภานั้นแล แต่นั้นยังมีมหาเถรเจ้าองค์หนึ่งท่านก็ยกเอาพระแก้วเจ้า กับทั้งพวกคนทั้งปวงที่อยู่รักษาพระแก้วเจ้าขึ้นสู่สำเภาลำหนึ่งแล้ว ก็ออกหนีไปแต่เมืองอินทปัตมหานครแล้ว ก็ขึ้นไปสู่บ้านแห่งหนึ่ง ฝ่ายหนเหนือนั้นแล
๏ บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระมหากระษัตริย์เจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้า อาทิตยราช พระองค์ก็ได้ครอบครองราชสมบัติในกรุงศรี อยุทธยา ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบว่าน้ำท่วมเมืองอินทปัตมหานครแล้วพระองค์ก็ทรงพระวิ ตกไปเปนอันมาก กลัวแต่พระแก้วเจ้าจะฉิบหายเสียพระองค์ก็เสด็จไปจากกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา พร้อมด้วยจัตุรงคเสนาทแกล้วทหารเปนอันมาก ครั้นไปถึงเมืองอินทปัตมหานครแล้วพระองค์ก็ให้สืบสวนได้พระแก้วมรกฎเจ้าได้ แล้ว ก็กวาดเอาผู้คนที่สมัคกับพระแก้วเจ้านั้นเปนอันมาก ก็เสด็จกลับเจ้ามายังกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาแล ซึ่งพระเจ้าอาทิตยราชพระมหากระษัตริย์พระองค์นั้นครั้นพระองค์ได้พระแก้ว เจ้ามาแล้ว ก็มีน้ำพระไทยเลื่อมไสยินดีในพระแก้วเจ้าเปนที่สุด พระองค์จึงทรงตรัสแก่เสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวงให้จัดแจงแต่งการฉลองบูชา พระแก้วเจ้าเปนอันมาก ด้วยสิ่งมีต้นว่าแก้วแลเงินคำเปนประธานแล้ว จึงให้ป่าวร้องแก่ราษฎรทั้งปวงให้ทั่วไปในทิศทั้ง ๔ ทั้ง ๘ ฝ่ายคนทั้งปวงอันอยู่ในทิศทั้ง ๔ ทั้ง ๘ นั้นก็นำมา ยังสิ่งของแก้วแหวนแลเงินคำ แลธูปเทียนแลดอกไม้อันมีกลิ่นสุคนธรศต่าง ๆ มาพร้อมกันแล้ว ก็ฉลองบูชาพระแก้วเจ้านั้นสิ้นกาลอันนานได้เดือนหนึ่งแล้ว แล้วก็เชิญแห่เอาพระแก้วเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในพระศรีรัตนศาสดาราม อันประดับประดาด้วยแก้วแลเงินคำเปนอันงามบริสุทธิ์เปนนักหนาแล้ว จึงพระเจ้าอาทิตยราชมหากระษัตริย์ พระองค์ก็ทรงพระปีติโสมนัศในน้ำพระไทยหาที่สุดมิได้ พระองค์ก็ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้านั้นเปนนิตย์มิได้ขาด ซึ่งว่าคนทั้งปวงอันอยู่ในพระมหานครก็ดี อันอยู่นอกพระนครทั้ง ๔ ทิศทั้ง ๘ ทิศก็ดี ก็เข้ามาถวายนมัสการบูชาพระแก้วเจ้าทุกวันมิได้ขาดนั้นแล ด้วยเดชะอานุภาพพระแก้วเจ้านั้น ซึ่งพระพุทธสาสนาของพระบรมพุทธครูเจ้า ก็รุ่งเรืองงามมากนักในกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา หาที่จะประมาณมิได้ซึ่งพระแก้วเจ้านั้น ก็ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาสิ้นกาลอันนานมากนักหนา สืบมาได้หลายชั้นพระมหากระษัตริย์เจ้าแล้ว อยู่มาข้างน่าแต่นั้นจึงเจ้าพระยายากำแพงเพ็ชร ก็ลงมาทูลขอพระแก้วเจ้าขึ้นไปไว้ในเมืองกำแพงเพ็ชร ท่านก็ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าต่อไป มินานเท่าใดท่านก็ได้ราชบุตรคนหนึ่ง ครั้นราชบุตรคนนั้นเจริญใหญ่ขึ้นแล้ว ท่านก็ตั้งขึ้นให้ไปเปนเจ้าเมืองลโว้ ครั้นราชบุตรคนนั้นได้เปนเจ้าเมืองลโว้แล้ว ก็รฦกนึกถึงพระแก้วเจ้าเปนที่สุด ด้วยท่านมีน้ำใจอยากได้พระแก้วเจ้าเมื้อไว้ปฏิบัติรักษาบูชา ท่านจึงมาสู่เมืองกำแพงเพ็ชรแล้ว จึงขึ้นกราบทูลพระมารดาว่า ข้าแต่พระราชมารดาเปนเจ้า ข้านี้จะใคร่ได้พระแก้วเจ้าเมื้อไว้ปฏิบัติรักษาบูชาในเมืองลโว้ ขอพระราชมารดาเจ้าจงกราบทูลพระราชบิดา ขอเอาพระแก้วเจ้าให้แก่ข้าบ้างเถิด เจ้าเมืองลโว้อันเปนราชบุตรมีความอ้อนวอนแก่พระราชมารดาเปนหลายพักหลายหนอ ยู่
๏ ฝ่ายพระราชมารดา ครั้นได้ยินยังถ้อยคำลูกของตนอ้อนวอนอยู่ดังนั้น ก็มิอาจที่จะขัดขืนได้ ท่านจึงขึ้นไปกราบทูลเจ้าเมืองกำแพง เพ็ชรอันเปนพระราชสามีว่า ข้าแต่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าเกษา ซึ่งเจ้าเมืองลโว้อันเปนพระราชโอรสของพระองค์นั้น มีความปรารถนาให้ข้าพระพุทธเจ้ามากราบทูลขอพระราชทานเอาพระแก้วเจ้าขึ้น ปฏิบัติรักษาในเมืองลโว้ ขอพระองค์ได้โปรดให้แล้ว ซึ่งความปรารถนาเถิด
๏ เมื่อนั้นฝ่ายเจ้าเมืองกำแพงเพ็ชรผู้เปนพระราชสามี ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังถ้อยคำพระอรรคมเหษีกราบทูลนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงพระราชเมตตาในพระราชโอรสเปนนักหนา พระองค์จึงทรงตรัสว่า ดูกรเจ้ามเหษี ถ้าแลเจ้าราชบุตรมีความปรารถนาอย่างนั้นเราก็จะให้โดยความมักนั้นทุกประการแล แต่ว่าพระแก้วเจ้านั้นอยู่ในอารามที่นั้น ก็มีอยู่มากนักเปนหลายองค์อยู่ ถ้าเจ้าราชโอรสรู้จักพระแก้วเจ้าเปนแน่แท้ก็ให้เอาขึ้นไปเถิด เมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสเท่านั้นแล้ว
๏ ฝ่ายพระอรรคมเหษี ก็กราบถวายบังคมลาลงมาแล้วก็บอกเล่าแก่พระราชบุตรแห่งตนให้แจ้งแล้ว ก็ให้หามายังนายประตูปราสาทที่อยู่รักษาพระแก้วเจ้านั้นแล้ว จึงกล่าวว่าดูกรเจ้านายประตู บัดนี้ ซึ่งเจ้าเมืองลโว้อันเปนพระราชโอรสของข้านี้ ท่านมีความปรารถนาจะใคร่ได้พระแก้วเจ้าขึ้นไปไว้ปฏิบัติรักษาในเมืองลโว้ ข้าก็ได้กราบทูลก็ทรงพระกรุณาแล้ว แลแต่ว่าข้านี้ยังไม่รู้ว่าพระแก้วเจ้าองค์ใด จะเปนพระแก้วมรกฎเจ้าแน่แท้นั้น ข้าทั้งสองแม่ลูกก็ยังหารู้ไม่ เจ้าจงแก้ไขบอกด้วยกลอุบายแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเถิด
๏ เมื่อนั้นจึงนายประตูรักษาพระแก้วเจ้า ก็รับพระประสาทแล้วก็กราบทูลว่าข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าจะเอาดอกไม้แดงทอดไว้ที่ฝ่าพระหัดถ์พระแก้วมรกฎเจ้าแล้ว พระแม่เจ้าจงรู้ในสำคัญนั้นเถิด
๏ ฝ่ายพระอรรคมเหษี แลพระราชโอรส พระองค์ได้ทรงฟังนายประตูกราบทูลบอกอาการนั้นแล้ว ก็มีความยินดีเปนที่สุด จึงพระราชทานทองคำหนักสองตำลึงให้แก่นายประตูแล้ว จึงนายประตูก็กราบถวายบังคมลาลงมาแล้ว ครั้นถึงเวลากลางคืนนายประตูก็เอาดอกไม้แดงเข้าไปวางไว้ในฝ่าพระหัดถ์พระแก้วมรกฎเจ้านั้นแล้ว
๏ ฝ่ายพระอรรคมเหษี แลพระราชโอรส ก็พากันเข้าไปในปราสาทพระแก้วเจ้า ก็เห็นสำคัญอันนายประตูหากทำไว้นั้นแล้ว เจ้าพระราชบุตรก็ให้บ่าวชายของท่านยกเอาพระแก้วเจ้าได้แล้ว ก็พาหนีไปยังเมืองลโว้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าอยู่นานได้ปีปลายเก้าเดือนแล ท่านก็เอากลับลงมาส่งให้แก่เจ้าเมืองกำแพงเพ็ชร อันเปนพระราชบิดาของท่านนั้นแล ๏ แต่นั้นมาข้างน่ายังมีพระยาองค์หนึ่ง มีนามปรากฏชื่อว่าพระยาพรหมทัต ท่านครองราชสมบัติในเมืองเชียงราย ซึ่งพระยาพรหมทัตองค์นั้น ท่านก็ได้เปนมิตรไมตรีกับพระเจ้ากำแพงเพ็ชรมาแต่ก่อน ครั้นได้ทราบว่าเจ้าเมืองกำแพงเพ็ชรได้พระแก้วมรกฎมาปฏิบัติรักษาดังนั้น ท่านก็มีความปรารถนาอยากได้พระแก้วมรกฎเจ้าขึ้นมาปฏิบัติรักษาในเมือง เชียงราย ท่านจึงพาเอาเสนาอำมาตย์ไพร่พลทั้งปวง ลงมาสู่เมืองกำแพงเพ็ชรแล้ว ก็ขอเอายังพระแก้วเจ้ากับเจ้าเมืองกำแพงเพ็ชรอันเปนพระสหายได้แล้ว ท่านก็แห่เอาพระแก้วมรกฎเจ้าขึ้นไปไว้ณเมืองเชียงราย ท่านก็ปฏิบัติรักษาบูชาเปนนิตย์ทุกวันมิได้ขาด แม้คนทั้งปวงก็เข้ามานมัสการบูชาเสมออยู่ทุกวันมิได้ขาดนั้นแล ครั้นอยู่มาแต่นั้นไปข้างน่า ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่อันเปนอาว์เจ้าเมืองเชียงรายนั้นก็เกิดอริวิวาทกัน จึงเจ้าเมืองเชียงใหม่ผู้เปนอาว์ ก็ลอบล้อมเอาไพร่พลโยธาทแกล้วทหารเปนอันมาก ท่านก็ยกขึ้นไปรบพุ่งกับเมืองเชียงราย ๆ ก็แตกกระจัดกระจายไปแล้ว ท่านก็ให้คนทั้งปวงเชิญเอาพระแก้วเจ้าแล้ว ก็กวาดเอาครอบครัวผู้คนหนีลงมาไว้ณเมืองเชียง ใหม่แล้ว ท่านก็สร้างปราสาทหลังหนึ่งในวังของท่านนั้นแล้ว ท่านก็ให้ประดับประดาไปด้วยแก้วแลเงินคำเปนอันมากบริสุทธิ์แล้ว ก็เชิญพระแก้วเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทนั้นแล้ว ท่านก็ให้บอกกล่าวป่าวร้องแก่ราษฎรทั้งปวงทั้งขอบแขวงทุกตำบล จึงคนทั้งปวงก็นำมา ยังเครื่องสักการบูชา เข้ามาพร้อมมูลกันเปนอันมากแล้ว ก็ฉลองบูชาพระแก้วเจ้านั้นได้ ๗ วัน ๗ คืนนั้นแล
๏ ในครั้งนั้นพระพุทธสาสนาในเมืองเชียงใหม่ ในครั้งนั้นก็รุ่งเรืองงามเปนที่สุด ด้วยเดชานุภาพพระแก้วเจ้านั้น ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่พระองค์นั้นท่านก็ได้ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้าอยู่นาน ต่อแดนอายุของท่าน ครั้นสิ้นอายุแล้วท่านก็ได้ถึงแก่กรรมไปนั้นแล แต่นั้นมาราชตระกูลลูกหลานทั้งปวง ก็ได้ครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่สืบต่อกันไป ก็เปนช้านานหลายชั้นแล้ว แรกตั้งแต่องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถศาสดาจารย์ แต่พระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่อมตมหานครนฤพานไปแล้วนั้นต่อมาถึงพระมหานาค เสนสร้างพระแก้วมรกฎเจ้าต่อ ๆ มา จนถึงพระแก้วมรกฎเจ้าไปอยู่เมืองเชียงใหม่นั้น ซึ่งพระพุทธศักราชล่วงไปได้ ๒๐๐๐ ครบจุลศักราชได้ ๘๑๘ พรรษา ซึ่งพระแก้วมรกฎเจ้าก็อยู่ในเมืองเชียงใหม่ที่นั้นแล
๏ ครั้นอยู่ไปข้างน่าแต่นั้นยังมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง เปนบุตรของพระเจ้าวิชุนราชมหากระษัตริย์ ครองราชสมบัติในเมืองศรีสัตนา คนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครนั้นแล้ว ซึ่งเจ้าราชกุมารพระองค์นั้นทรงพระนามว่าเจ้าโพธิสารราชกุมารแล ครั้นพระองค์เจริญพระไวยใหญ่มาได้สิบห้าปีแล้ว จึงพระเจ้าวิชุนราชมหากระษัตริย์ผู้เปนพระราชบิดาของเธอนั้น ท่านก็ได้ถึงพิราไลยไปนั้นแล จึงเจ้าฟ้าโพธิสารราชกุมารท่านก็ได้ครองราชสมบัติ ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานคร แทนพระราชบิดาของพระองค์นั้นแล อยู่ไปข้างน่าแต่นั้นจึงพระแซกคำเจ้าเสด็จมาโดยทางอากาศ ก็มาตั้งอยู่ในเมืองชวาละวัติมหานครที่นั้นแล แต่นั้นพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์ ก็ให้คนทั้งปวงทำการฉลองบูชาพระแซกคำเจ้ามากนักแล้ว ก็ให้ปฏิบัติรักษาบูชาเปนนิตย์มิได้ขาดนั้นแล ซึ่งพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์พระองค์นั้น ท่านมีบุญสมภารก็มาก มีเดชานุภาพก็มากนัก
๏ แต่นั้นยังมีพระมหากระษัตริย์พระองค์หนึ่งท่านครองราชสมบัติในเมือง เชียงใหม่ ท่านได้ยินข่าวสารว่าพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์พระองค์นั้น มีบุญฤทธิ์แลอิทธิฤทธิ์มหิทธิศักดานุภาพมากนักดังนั้น ท่านก็มีความยินดีซึ่งบุญพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์เปนนักหนา ท่านจึงให้อำมาตย์นำเอาพระราชธิดาองค์หนึ่งอันเปนบุตรของท่านนั้น ชื่อว่านางยอดคำราชกัญญา มาถวายพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์พระองค์นั้นแล
๏ จึงพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์พระองค์นั้น ท่านก็ได้ตั้งไว้ยังนางยอดคำราชกัญญาองค์นั้น ให้เปนอรรคมเหษีแล้ว จึงแปลงพระนามว่านางหอสูงนั้นแล อยู่ไปข้างน่าแต่นั้นจึงนางหอสูงราชเทวีองค์นั้น ก็ประสูตรพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าเจ้าไชยเสษฐาราชกุมารนั้นแล ครั้นอยู่ไปข้างน่าแต่นั้น ยังมีห้ามคนหนึ่ง ก็ประสูตรพระราชบุตรองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าเจ้ากิถนาวะราชกุมารนั้นแล ครั้นอยู่ไปข้างน่าแต่นั้นอิกจึงพระอรรคมเหษีองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่านางหอขอก ก็ประสูตรพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าเจ้าสีลวะวงษาราชกุมารนั้นแล ซึ่งพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์พระองค์นั้น แรกแต่ท่านได้ครองราชสมบัติ ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละมหานครมานั้น ท่านก็ได้ยังพระราชโอรสสามองค์นี้แล
๏ บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระมหากระษัตริย์ในเมืองเชียงใหม่ ครั้นท่านได้ให้นางยอดคำอันเปนราชธิดาของท่านนั้น มาเปนพระอรรค มเหษีแห่งพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์ ในเมืองศรีสัตนาคนหุต อุตมรัตนชวาละมหานครแล้ว อยู่ไปมินานเท่าใดเลยท่านก็ได้ถึงแก่กรรมไปนั้นแล จึงเมืองเชียงใหม่หาตระกูลวงษาเจ้านายที่จะสืบแทนบ้านเมืองต่อไปนั้นมิได้
๏ ฝ่ายเสนาอำมาตย์ราชบัณฑิตย์ทั้งปวง ก็มาปฤกษาพร้อมมูลกันในสิหิงคมหาอาราม พร้อมกับมหาสังฆราชเจ้ากูเจ้าวัดที่นั้นแล้ว จึ่งแต่งให้อำมาตย์ทั้งหลายนำเอาซึ่งเครื่องราชบรรณาการ ให้เปนราชทูตเข้าไปสู่เมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครแล้วก็ขอ เอาเจ้าไชยเสษฐาราชกุมาร ให้เมื้อครองราชสมบัติในเมืองเชียง ใหม่นั้นแล
๏ ฝ่ายพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์ พระองค์เปนเจ้าพระมหานครศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละมหานคร ก็มิอาจที่จะขัดขืนได้ด้วยเห็นแก่ราชไมตรี ท่านจึ่งให้เสนาอำมาตย์ทั้งปวง จัดแจงแต่งยังจัตุรงคเสนาทั้งสี่พร้อมแล้ว ท่านก็พาเอาเจ้าไชยเสษฐาราชกุมารอันเจิรญอายุได้สิบสองปีนั้น ขึ้นไปครอบครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่แล้ว จึ่งทรงพระนามว่าพระไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์นั้นแล จึ่งพระเจ้าโพธิสารราชมหากระษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้พาเอาเจ้าไชยเสษฐาธิราชกุมาร อันเปนราชโอรสของพระองค์ ขึ้นไปตั้งแต่งให้ครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ก็พาเอาเสนาอำมาตย์ราชจัตุรงค์ทั้งปวง ก็เสด็จกลับคืนมาหาเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครของพระองค์ นั้นแล ครั้นอยู่มาแต่นั้นไปนานได้ ๓ ปี พระองค์มีอายุแต่ชาติมาได้ ๔๒ ปี พระองค์ก็ถึงแก่พิราไลยไปตามบุญกรรมของท่านนั้นแล แต่นั้นเสนาอำมาตย์ราชบัณ ฑิตย์แลไพร่พลเมืองทั้งปวง ก็ปฤกษาพร้อมมูลกันยกเอาเจ้ากิถนาวะราชกุมาร ขึ้นครองราชสมบัติเปนเจ้ากระษัตริย์ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติ มหานครนั้นแล้วจึงปฤกษาพร้อมมูลกัน ก็ยกเอาเจ้า ศรีวรวงษาราชกุมารให้ไปเปนเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีราชธานีแล้ว จึ่งแต่งทูตนำราชสาสนไปบอกข่าวแก่พระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์ในเมือง เชียงใหม่ว่าพระเจ้าโพธิสารอันเปนพระราชบิดาของพระองค์นั้นก็ได้ถึงพิราไลย ไปแล้วแล
๏ เมื่อนั้น จึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังข่าวสารนั้นแล้ว ก็มิอาจที่จะตั้งอยู่ได้ ด้วยน้ำพระไทยของท่านก็ลำลึกนึกถึงยังพระราชบิดาแลบ้านเมืองของท่านนั้น พระองค์จึ่งพิจารณาในน้ำพระไทยว่า ควรแก่กูผู้เปนพระมหากระษัตริย์ได้ไปดูบ้านเมืองของกูก่อน จะได้ทำบุญให้ทานพร้อมกับด้วยญาติพี่น้องทั้งปวง ถวายพระราชกุศลไปแก่พระราชบิดาของกูจึ่งควรแล ครั้นพระองค์ทรงคิดในน้ำพระไทยดังนี้แล้ว พระองค์จึ่งทรงพระวิตกต่อไปว่า เมื่อกูผู้เปนพระมหากระษัตริย์ไปถึงเมืองชวาละวัติมหานครของกูแล้ว ที่จะได้กลับคืนมาหาเมืองเชียงใหม่นั้นจะช้าเร็วประมาณสักเท่าใดกูก็หาทราบ ไม่เลย ควรแต่กูผู้เปนพระมหากระษัตริย์เชิญเอาพระแก้วเจ้าไปด้วยควร ครั้นพระองค์ทรงพระวิตกดังนี้แล้ว พระองค์ก็จัดแจงยังเสนาอำมาตย์ราชจัตุรงค์พร้อมเสร็จแล้ว พระองค์ก็ให้ไปอาราธนาเชิญเอาพระแก้วเจ้ามาแล้ว พระองค์ก็เสด็จมายังเมืองศรีสัตนคนหุต อุตมรัตนชวาละวัติมหานคร พร้อมกับด้วยเสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวงนั้นแล ครั้นพระองค์ลงมาถึงเมืองชวาละวัติมหานครแล้ว พระองค์ก็ให้เชิญเอาพระแก้วมรกฎเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาท ที่พระแซกคำเจ้าอยู่นั้น พระองค์ก็ให้เสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวงจัดแจงสิ่งของซึ่งจะทำบุญให้เปนทาน อันมากแล้ว พระองค์ก็พร้อมด้วยเจ้านายขัติยราชวงษา เสนาอำมาตย์ไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง ก็พากันฉลองบูชาคุณพระแก้วมรกฎเจ้าแล้ว ก็ทำบุญให้ทานเปนอันมากนานได้ ๗ วัน ๗ คืน ครั้นเสร็จราชการทำบุญให้ทานแล้ว พระองค์ก็ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าอยู่เปนนิตย์ทุกวันมิได้ขาดนั้นแล ซึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์นั้น ท่านก็อยู่ในเมืองศรีสัตนคน หุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครนานได้ ๓ ปีนั้นแล
๏ บัดนี้มาจะกล่าวถึงเสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวง อันอยู่ในเมืองเชียงใหม่ที่นั้นก่อนแล ครั้นเมื่อพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์หนีมาอยู่เมืองชวาละวัติมหานคร แล้วนั้น ครั้นอยู่มานานได้ ๓ ปี เขาจึงพิจารณากันวา บ้านเมืองเรานี้ไม่มีพระมหากระษัตริย์ครอบครองราชสมบัตินั้น กลัวจะมีความพิบัติฉิบหายเสีย เขาพิจารณากันดังนี้แล้ว เขาจึ่งพร้อมมูลสืบหาขัติยราชวงษาอันเปนเนื่องแนวเชื้อสายกระษัตริย์มาแต่ ก่อนนั้น เขาจึ่งเห็นยังพระสงฆ์องค์หนึ่งมีนามปรากฏชื่อว่าพระเมกุฏิอันเปนราชวงษามา แต่ก่อน เขาจึ่งได้ไปขออาราธนาให้ลาพรตเสีย แล้วจึ่งพร้อมมูลกันทำพิธีขัติยราชาภิเศกขึ้นเปนกระษัตริย์ ให้ครอบครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่นั้นแล
๏ บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์ ซึ่งพระองค์เสด็จอยู่ในเมืองชวาละวัติมหานคร ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบยังข่าวสารอาการพระเมกุฏิได้ขึ้นครองราชสมบัติใน เมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ก็ทรงกริ้วโกรธนัก จึงให้เสนาบดีกะเกณฑ์ไพร่พลโยธาทแกล้วทหารทั้งปวงแล้ว พระองค์ก็เสด็จยกขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงแสนได้แล้ว พระองค์ก็รวบรวมไพร่พลโยธาทั้งปวง จะยกขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงใหม่นั้นแล
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพระเมกุฏิ อันเปนเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ครั้นเธอได้ยินข่าวสารว่า พระเจ้าไชยเสษฐาธิราชนั้นยกขึ้นมาตีเอาเมืองเชียงแสนได้แล้ว เธอก็มีความเข็ดขามเกรงกลัวแต่พระราชเดชานุภาพพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชนั้นเปน นักหนา ท่านจึ่งยกเอาเมืองเชียงใหม่ไปถวายแก่เจ้าเมืองอังวะแล้ว เจ้าเมืองอังวะก็ให้เกณฑ์กองทัพยกเข้ามาหนุนเมืองเชียงใหม่เปนอันมากนัก
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชเจ้ามหากระษัตริย์ พระองค์ก็พาไพร่พลโยธาอาสาทแกล้วทหารทั้งปวง ยกเข้าไปถึงปลายแดนเมืองเชียงใหม่ พระองค์จึงทรงทราบว่าพระเมกุฏิยกเอาเมืองเชียงใหม่ไปถวายแก่พม่า ๆ จึ่งยกกองทัพขึ้นมาอุดหนุนเมืองเชียงใหม่เปนอันมากนัก พระองค์จึ่งทรงดำริห์การว่า ครั้นกูจะยกกองทัพเข้าไปตีเมืองเชียงใหม่ การศึกสงครามครั้งนี้จะยืดยาวเปนมหาสงครามอันใหญ่ ถ้าไพร่ลาวตายก็เสียข้าพระราชบิดาของกู ถ้าไพร่เมืองเชียง ใหม่ตายก็จะเสียข้าพระราชมารดาของกูก็จะฉิบหายทั้งสองฝ่าย ครั้นพระองค์ทรงดำริห์การดังนี้แล้ว พระองค์จึ่งให้ถอยทัพกลับมาตั้งอยู่ในเมืองเชียงแสนนานได้ ๙ ปีแล้ว พระองค์จึ่งเลิกทัพกลับลงมาเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครของ พระองค์ แล้วพระองค์จึ่งพิจารณาดูน้ำพระไทยของพระองค์ว่า ซึ่งเมืองชวาละวัติมหานครนี้ก็เปนที่คับแคบนัก มีภูเขาใหญ่น้อยก็มากนัก ไม่สมควรที่กูผู้เปนพระมหากระษัตริย์จะอยู่ครองราชสมบัติที่นี้เลย ควรแต่กูผู้เปนพระมหากระษัตริย์ จะไปสร้างแปลงอยู่ในที่อันกว้างขวางนั้นจึงควรแล ครั้นพระองค์ทรงพิจารณาดังนี้แล้ว พระองค์ก็จัดแจงตั้งแต่งเจ้านายเสนาบดีไว้ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวา ละวัติมหานครไว้เรียบร้อยเปนอันดีแล้ว พระองค์ก็พาเอาเสนาบดีไพร่พลทั้งปวงขึ้นไปเอาพระแก้วเจ้าแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปเวียงจันทนบุรีแล้ว พระองค์ก็ให้จัดแจงสร้างแปลงบ้านเมืองให้ดีงามแล้ว พระองค์ก็อยู่ครองราชสมบัติในเมืองเวียงจันทนบุรีแล้ว ท่านก็ให้สร้างปราสาทหลังหนึ่งในวังของท่านนั้นแล้ว ก็ให้ประดับประดาปราสาทหลังนั้นด้วยแก้วแลเงินคำเปนอันงามบริสุทธิ์แล้ว ท่านก็ให้เชิญเอาพระแก้วเจ้าแลพระแซกคำเจ้า ขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทหลังนั้นแล้ว พระองค์ก็ให้จัดแจงยังเครื่องสมณะบริกขารทั้งปวงมีบาตรคำฉัตรคำร่มคำพานคำแล เครื่องสำหรับบูชาด้วยแก้วแลเงินคำอันรุ่งเรืองงามมากนักแล้ว ก็ถวายบูชาไว้ยังพระแก้วเจ้าพระแซกคำเจ้านั้น แลซึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์ พระองค์ก็ให้สร้างพระเจดีย์ลูกหนึ่งไว้ฝ่ายตวันออก ถัดเจดีย์พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชสร้างไว้นั้นแล้ว พระองค์จึงให้กระทำพระเจดีย์น้อย ๓๐ ลูกให้แวดวงเปนบริวารทั่วทุกกำทุกพาย แล้วพระองค์จึงปลงพระนามพระมหาเจดีย์เจ้าว่าพระโลกจุฬามณีศรีเชียงใหม่แล้ว พระองค์จึงให้จัดแจงข้าหญิงร้อยหนึ่ง ข้าชายร้อยหนึ่ง ให้เปนข้ารักษาพระแก้วเจ้าแลพระแซกคำเจ้าแล้ว พระองค์ก็ให้ทำการสมโภชบูชาพระแก้วเจ้า แลพระแซกคำเจ้า แลทำบุญให้ทานนานได้เดือนหนึ่งจึงเสร็จการ ด้วยเดชะการทำบุญนั้นแล้วพระองค์ก็อยู่ครอบครองราชสมบัติในเมืองเวียงจันทน บุรีราชธานี ด้วยอันเปนบรมศุขเกษมต่อแดนอายุของพระองค์นั้นแล ครั้นสิ้นอายุแล้ว พระองค์ก็ถึงพิราไลยไปตามบุญกรรมของท่านนั้นแล
