ข้ามไปเนื้อหา

ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 1

จาก วิกิซอร์ซ
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๑

ตราของโบราณคดีสโมสร
ตราของโบราณคดีสโมสร
โบราณคดีสโมสร
โบราณคดีสโมสร
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๑


สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา สมเด็จพระมาตุฉา
มีรับสั่งให้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณรวบรวมพิมพ์
เมื่อทรงบำเพ็ญพระกุศลในงานศพหม่อมเจ้าดนัยวรนุช ท.จ,
พ.ศ. ๒๔๕๗


พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทย ณสพานยศเส
กรุงเทพฯ

คำนำ

สมเด็จพระนางเจ้า พระมาตุฉา มีพระประสงค์จะพิมพ์หนังสือแจกในงานศพหม่อมเจ้าดนัยวรนุช ท.จ, ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบำรุงเลี้ยงแต่ยังเยาว์ แลได้ทรงพระกรุณาอุปการะมาตลอดจนสิ้นชีพิตักไษยเมื่อณวันพฤหัศบดีที่ ๕ ธันวาคม แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีชวดจัตวาศก พ.ศ. ๒๔๕๕ มีรับสั่งให้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณเลือกหาเรื่องหนังสือซึ่งควรจะพิมพ์ให้เปนการพระกุศลสาธารณประโยชน์ กรรมการเห็นพร้อมกันว่า ในสมัยนี้มีผู้เอาใจใส่ในการศึกษาโบราณคดี มีพงษาวดารเปนต้น ตามพระราชนิยมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความลำบากของผู้ศึกษามีอยู่ ด้วยจะหาหนังสือตรวจสอบได้ด้วยยาก ด้วยหนังสือพงษาวดารแลตำนานเก่าโดยมากยังมิได้พิมพ์บ้าง พิมพ์แล้วแต่จำหน่ายหมดไปเสียแล้วบ้าง บางทีที่พอจะหาได้ก็เปนฉบับที่วิปลาศคลาศเคลื่อนไม่สมควรจะใช้ในการตรวจสอบศึกษาไปเสียบ้าง ความต้องการหนังสือพงษาวดารแลตำนานเก่าที่เปนฉบับดีจึงมีอยู่แก่ผู้ศึกษาอยู่ทั่วไป

ที่จริงการศึกษาหาความรู้พงษาวดารแลตำนานการเก่าย่อมถือว่าเปนส่วนสำคัญอย่าง ๑ ในการศึกษาทั่วทุกประเทศ ในสยามประเทศนี้ แม้แต่โบราณมา ท่านผู้เปนใหญ่ในแผ่นดิน ตั้งต้นแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อน ๆ มา ก็ย่อมทรงเปนพระราชธุระทำนุบำรุงความรู้พงษาวดารตลอดมาแทบทุกรัชกาล ยกตัวอย่างเพียงในชั้นกรุงรัตนโกสินทรนี้ ในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกก็ได้เปนพระราชธุระทรงชำระพระราชพงษาวดารกรุงเก่า แลโปรดให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย แต่เมื่อเสด็จดำรงพระเกียรติยศกรมพระราชวังบวรสถานมงคล[1] ทรงรับน่าที่ชำระหนังสือพงษาวดารเหนือ อันเปนเรื่องพงษาวดารตอนก่อนสร้างกรุงศรีอยุทธยาอิกเรื่อง ๑ มาในรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวดูเหมือนจะได้โปรดให้ผู้ใดรวบรวมเรื่องราวเมืองศุโขไทยครั้งเปนราชธานี ที่ว่าเปนหนังสือนางนพมาศแต่งเรื่อง ๑ แลได้ทรงอาราธนาให้กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงเรียงเรียงพระราชพงษาวดารต่อที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงไว้ คือ ตั้งแต่ตอนตั้งกรุงธนบุรีมาจนถึงปีชวดจัตวาศก จุลศักราช ๑๑๕๔ พ.ศ. ๒๓๓๕ ในรัชกาลที่ ๑ หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับนี้ มาถึงในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้กรมหลวงวงษาธิราชสนิทชำระ แลทรงตรวจแก้ไขเองอิกครั้ง ๑ คือ พระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัดถเลขาซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดช ได้ทรงพิมพ์เปนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ นั้น ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เอาพระไทยใส่เสาะแสวงหาหนังสือพงษาวดารรวบรวมไว้ในหอหลวงหลายเรื่อง ที่ได้พบฉบับแล้ว คือ เรื่องราวครั้งกรุงศุโขไทยเปนราชธานี ที่อ่านแลแปลจากศิลาจาฤกซึ่งเสด็จไปพบแต่ครั้งยังทรงผนวชแลโปรดให้เอามาไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น ก็ควรนับเปนเรื่อง ๑ หนังสือพงษาวดารกรุงเก่าแปลจากภาษารามัญ ที่เรียกกันว่าคำให้การขุนหลวงหาวัด เรื่อง ๑ หนังสือพงษาวดารเขมร มีรับสั่งให้แปลออกเปนภาษาไทยเมื่อปีเถาะสัปตศก จุลศักราช ๑๒๑๗ พ.ศ. ๒๓๙๘ เรื่อง ๑ พงษาวดารพม่ารามัญ โปรดให้แปลออกเปนภาษาไทยเมื่อปีมเสงนพศก จุลศักราช ๑๒๑๙ พ.ศ. ๒๔๐๐ ยังตำนานต่าง ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ก็หลายเรื่อง มาถึงในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ (ขำ บุนนาค) แต่งหนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทรต่อเรื่องที่กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสได้ทรงไว้ในรัชกาลที่ ๑ ลงมาจนสิ้นรัชกาลที่ ๔ เรื่อง ๑ ในส่วนพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์เองก็มีหลายเรื่อง คือ หนังสือพระราชวิจารณ์เปนต้น นอกจากที่ทรงพระราชนิพนธ์ ยังโปรดให้พิมพ์หนังสือพงษาดารต่าง ๆ ซึ่งยังมิได้เคยพิมพ์มาแต่ก่อนให้ปรากฎแพร่หลายขึ้นในรัชกาลที่ ๕ เปนอันมาก แลที่สุดเมื่อปีมแมนพศก จุลศักราช ๑๒๖๙ พ.ศ. ๒๔๕๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโบราณคดีสโมสร แลเมื่อปีมเสงสัปตศก จุลศักราช ๑๒๖๗ พ.ศ. ๒๔๔๘ ทรงพระกรุณาโปรดให้ตั้งหอสมุดสำหรับพระนครขึ้น การศึกษาโบราณคดีจึงเปนหลักฐานยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงนิยมการศึกษาโบราณคดีมาแต่แรก เมื่อเสด็จออกไปทรงศึกษาวิชาการอยู่ในยุโรป ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่องสงครามในการรับราชสมบัติเมืองโปแลนด์ไว้ในภาษาอังกฤษเรื่อง ๑ ซึ่งชมกันในยุโรปมาก เมื่อเสด็จกลับเข้ามากรุงสยามแล้ว ก็ได้เปนพระราชธุระสอบสวนโบราณคดี ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วงแต่ยังเสด็จดำรงพระเกียรติยศเปนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชอิกเรื่อง ๑ ได้ทรงรับเกียรติยศเปนสภานายกกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณตั้งแต่แรกจัดตั้งเปนหอสมุดสำหรับพระนครตลอดมา จนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว ก็ทรงอุดหนุนการศึกษาโบราณคดีมาเปนนิจมิได้ขาด ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องบ่อเกิดรามเกียรดิ์ ตำนานเรื่องพระร่วง เรื่องท้าวแสนปม เปนต้น

หนังสือพงษาวดารแลตำนานในภาษาไทยที่พิมพ์แล้วก็มี ที่ยังไม่แพร่หลายยังมีหลายเรื่อง บางเรื่องเปนเรื่องยาวซึ่งควรจะพิมพ์เฉภาะเรื่อง บางเรื่องเปนเรื่องดี แต่เรื่องไม่สู้ยาว ควรรวมหลายเรื่องพิมพ์เปนเล่มเดียวได้ ถ้าพิมพ์หนังสือพงษาวดารแลตำนานเหล่านี้ให้แพร่หลายได้หมด จะเปนคุณแก่การศึกษาไม่น้อยทีเดียว กรรมการได้นำความเห็นดังกล่าวมานี้ขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้า พระมาตุฉา พระองค์ทรงดำริห์เห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้พิมพ์หนังสือพงษาวดารเปนของประทานแจกในงานศพหม่อมเจ้าดนัยวรนุช

กรรมการหอพระสมุดเลือกหนังสือได้ ๖ เรื่อง พิมพ์รวมกันเปนเล่มสมุด ๑ คือ ๑ หนังสือพงษาวดารเหนือ ๒ หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ๓ หนังสือเรื่องครั้งกรุงศุโขไทยตามศิลาจาฤก ๔ พงษาวดารเขมร ๕ พงษาวดารพม่ารามัญ ๖ พงษาวดารล้านช้าง หนังสือ ๖ เรื่องนี้เรื่องใดเปนอย่างไร จะทราบได้ในคำอธิบายต่อไปนี้

หนังสือพงษาวดารเหนือ

หนังสือพงษาวดารเหนือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย แต่ยังดำรงพระเกียรติยศเปนกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีรับสั่งให้พระวิเชียรปรีชา (น้อย) เปนผู้รวบรวมเรื่องมาเรียบเรียงเมื่อปีเถาะนพศก จุลศักราช ๑๑๖๙ พ.ศ. ๒๓๕๐ ต้นฉบับที่มีในหอพระสมุดมีบานแพนกดังนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า พระวิเชียรปรีชา น้อย เจ้ากรมราชบัณฑิตย์ขวา ได้รับพระราชทานเรียงเรื่องสยามราชพงษาวดารเมืองเหนือ ตั้งแต่บาธรรมราชสร้างเมืองสัชชนาไลย เมืองสวรรคโลก ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามพระเจ้าธรรมราชาธิราช เปนลำดับลงมาจนถึงพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุทธยาโบราณราชธานี โดยกำลังสติปัญญาสักกานุรูปอันน้อย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ขอเดชะ”

หนังสือที่รวมเรียกว่าพงษาวดารเหนือนี้ ที่จริงเปนหนังสือหลายเรื่องมีมาแต่ครั้งกรุงเก่า แต่เดิมดูเหมือนจะจดจำไว้เปนเรื่องต่าง ๆ กัน ได้เคยเห็นบางเรื่องมีอยู่ในที่อื่น จะพึ่งเอามารวบรวมแลแต่งหัวต่อเชื่อมให้เปนเรื่องเดียวกันเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลยรับสั่งให้พระวิเชียรปรีชาเรียบเรียง วิธีเรียบเรียงอยู่ข้างจะไขว้เขวสับสน บางทีเรื่องเดียวกันเล่าซ้ำเปนสองหนก็มี หนังสือพงษาวดารเหนือนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้พิมพ์เปนครั้งแรกเมื่อปีมเสงเอกศก จุลศักราช ๑๒๓๑ พ.ศ.๒๔๑๒ มีเรื่องตำนานพระแก้วมรกฎติดอยู่ข้างท้ายด้วย ในการพิมพ์ใหม่ครั้งนี้ เพื่อจะให้สดวกแก่ผู้อ่าน ข้าพเจ้าได้ลงชื่อเรื่องไว้ทุก ๆ เรื่องในพงษาวดารเหนือ แลเรื่องที่เล่าซ้ำกันได้ตัดออกเสีย แต่ขอให้ผู้อ่านเข้าใจว่า หนังสือพงษาวดารเหนือนี้พิมพ์ตามฉบับเดิม ข้าพเจ้าไม่ได้สอบสวนลงเนื้อเห็นความจริงเท็จของเรื่องราวไว้ในที่นี้

พระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐ

พระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐเปนหนังสือเรื่องพงษาวดารกรุงเก่าซึ่งสมเด็จพระนารายน์มหาราชมีรับสั่งให้เรียบเรียงขึ้นเมื่อปีวอกโทศก จุลศักราช ๑๐๔๒ พ.ศ. ๒๒๒๓ ที่เรียกว่าพระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐ เพราะพระปริยัติธรรมธาดา (แพ เปรียญ) แต่ยังเปนที่หลวงประเสริฐอักษรนิติ ไปได้ต้นฉบับมาให้แก่หอพระสมุดวชิรญาณ เปนหนังสือพระราชพงษาวดารความแปลกเปนฉบับ ๑ ต่างหาก จำจะต้องเรียกชื่อให้แปลกกว่าฉบับอื่น กรรมการจึงให้เรียกว่าฉบับหลวงประเสริฐให้เปนเกียรติยศแก่ผู้ไปหามาได้ หนังสือเรื่องนี้ได้พิมพ์เมื่อปีมแมนพศก จุลศักราช ๑๒๖๙ พ.ศ. ๒๔๕๐ ครั้งหนึ่ง ฉบับครั้งนั้นยังบกพร่อง ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ต้นฉบับหลวงของพระเจ้ากรุงธนบุรีมาอิกฉบับ ๑ สอบสวนได้ความที่ฉบับเดิมลบเลือนครบบริบูรณ์ ดังพิมพ์ไว้ในเล่มนี้

หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐนี้ ทั้งเนื้อเรื่องแลศักราชผิดกับพระราชพงษาวดารฉบับพิมพ์ ๒ เล่ม แลฉบับพระราชหัดถเลขาอยู่หลายแห่ง ข้าพเจ้าได้สอบสวนกับหนังสือพงษาวดารประเทศอื่น เห็นเนื้อความแลศักราชที่ลงไว้ในฉบับหลวงประเสริฐแม่นยำมาก ข้าพเจ้าเชื่อว่า ศักราชที่ลงไว้ในฉบับหลวงประเสริฐเปนถูกต้องตามจริง

เรื่องครั้งกรุงศุโขไทย

เรื่องนี้เดิมจาฤกไว้ในหลักศิลา ๓ หลักเมื่อครั้งนครศุโขไทยเปนราชธานีของสยามประเทศ ศิลาจาฤกที่ ๑ เปนคำจาฤกของพระเจ้าขุนรามคำแหงเล่าถึงพระราชวงษ์พระร่วงแลเรื่องราวกรุงศุโขไทยครั้งพระเจ้าขุนรามคำแหงครองราชสมบัติ เปนจาฤกดีที่สุดในทางพงษาวดารของไทย ศิลาจาฤกหลักนี้เดี๋ยวนี้อยู่ที่ศาลารายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จาฤกด้วยตัวอักษรไทยที่พระเจ้าขุนรามคำแหงทรงคิดแบบขึ้นเมื่อปีมแมเบญจศก จุลศักราช ๖๔๕ พ.ศ. ๑๘๒๖ ตัวอักษรนี้ไม่มีผู้ใดอ่านออกอยู่หลายร้อยปี เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช เสด็จธุดงค์ไปถึงเมืองศุโขไทย ได้มาพร้อมกับพระแท่นมนังศิลา แลศิลาจาฤกภาษาเขมรอิกหลัก ๑ เพียรทรงพิจารณาอักษรไทยนี้จนทรงทราบวิธีอ่านหนังสือของพระเจ้าขุนรามคำแหง จึงทราบเรื่องในศิลาจาฤกนี้

ศิลาจาฤกที่ ๒ เปนคำจาฤกของพระบาทกมรเดงอัดศรีสุริยพงษรามมหาธรรมราชา คือ พระเจ้าลิไทย ไนยหนึ่งเรียกว่าพระมหาธรรมราชา ซึ่งครองนครศุโขไทยในรัชกาลที่ ๕ เปนราชนัดดาของพระเจ้าขุนรามคำแหง แสดงราชประวัติของพระองค์เอง มีเรื่องราวซึ่งเปนข้อสำคัญในความรู้พงษาวดารเหมือนกัน จาฤกที่ ๒ นี้ของเดิมสร้างเปน ๒ หลัก จาฤกด้วยอักษรขอมเปนภาษาเขมรหลัก ๑ จาฤกด้วยอักษรไทยในภาษาไทยหลัก ๑ ความต้องกัน หลักอักษรไทยเห็นจะมีผู้เอามาเสียจากเมืองศุโขไทยช้านาน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพบแลได้มาแต่หลักภาษาเขมร โปรดให้สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เปนหัวน่ากรรมการแปลเปนภาษาไทย ได้ความตามที่ได้พิมพ์ไว้นี้ ส่วนหลักภาษาไทยนั้น พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชคุปต์) ไปพบอยู่ที่วัดใหม่ริมพระนครหลวงในแขวงกรุงเก่า จะมาอยู่ที่นั่นช้านานเท่าใดไม่ทราบ มีผู้ลับมีดเสียจนตัวอักษรลบเลือนไปมาก ส่งหลักจาฤกนี้มาไว้กับหลักคู่กันที่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อ่านสอบตัวหนังสือเท่าที่มีอยู่ พอได้ความว่าเปนเนื้อความเดียวกับหลักภาษาเขมรนั้นเอง ตัวหลักศิลาทั้ง ๒ ก็มีรูปร่างอย่างเดียวแลเท่ากัน จึงรู้ได้เปนแน่ว่า เมื่อแรกสร้างหลักศิลาจาฤก คงจะสร้างขึ้น ๒ หลักพร้อมกัน ด้วยในเวลานั้นไพร่พลเมืองศุโขไทยจะยังมีมากทั้งไทยแลขอม ศิลาจาฤกหลักที่ ๒ นี้น่าเสียดายอยู่น่อยที่มิได้มีผู้ใดคัดภาษาเขมรไว้แต่เมื่อยังมีบริบูรณ์ กรรมการหอพระสมุดพึ่งให้ไปคัดเมื่อสัก ๔ ปีมานี้ เห็นจะเปนด้วยหลักศิลาที่ตั้งไว้ในศาลารายวัดพระศรีรัตนศาสดารามไม่มีที่กำบังแดดแลฝนมาแต่ก่อน อักษรลบเลือนไปเสียมาก จะเอาภาษาเขมรมาสอบกับภาษาไทยในเวลานี้อิกไม่ได้ จึงจำต้องถือเอาความตามที่สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงแปลไว้ว่าเปนถูกต้อง

หลักที่ ๓ เปนคำจาฤกของพระเจ้าลิไทยมหาธรรมราชาเหมือนกัน เล่าเรื่องรับพระบรมธาตุแลพระมหาโพธิจากลังกามาประดิษฐานไว้ที่เมืองนครปุที่อยู่หลังเมืองกำแพงเพ็ชรเดี๋ยวนี้ ศิลาจาฤกนี้แต่เดิมเห็นจะอยู่ที่เมืองนครปุ ได้ลงมาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานเมื่อในรัชกาลที่ ๕ เดี๋ยวนี้รับเอามาไว้ในหอพระสมุดวชิรญาณ

พงษาวดารเขมร

หนังสือพงษาวดารเขมรฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้ขุนสุนทรโวหารในกรมพระอาลักษณ์ แลพระยาธรรมาธิบดี พระเสนาพิจิตร หมื่นมหาสมุท ๓ นายเปนล่ามเขมร แปลออกเปนภาษาไทยเมื่อปีเถาะสัปตศก จุลศักราช ๑๒๑๗ พ.ศ. ๒๓๙๘ แลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้พิมพ์เปนครั้งแรกเมื่อปีมเสงเอกศก จุลศักราช ๑๒๓๑ พ.ศ. ๒๔๑๒ หนังสือพงษาวดารฉบับนี้ ต้นฉบับเดิมคงจะได้มาจากกรุงกัมพูชา จะได้มาในรัชกาลที่ ๔ หรือก่อนนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ มีหนังสือพงษาวดารเขมรอิกฉบับ ๑ เรียกว่าพงษาวดารเมืองลแวก ความซ้ำกัน แลเนื้อเรื่องมีน้อย ต้นฉบับภาษาไทยที่หอพระสมุดได้มาเขียนแต่ในรัชกาลที่ ๑ เชื่อว่าในรัชกาลที่ ๑ ยังไม่ได้พงษาวดารเขมรฉบับที่พิมพ์นี้ ข้าพเจ้าได้สืบสวนถึงกรุงกัมพูชา หมายว่าจะหาพงษาวดารเขมรมาสอบ ได้ความว่า พงษาวดารเขมรที่มีอยู่ในกรุงกัมพูชาก็เท่าที่พิมพ์นี้เอง

พงษาวดารพม่ารามัญ

หนังสือพงษาวดารพม่ารามัญที่พิมพ์นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ขุนสุนทรโวหาร กรมพระอาลักษณ์ กับขุนอักษรรามัญ นายขำเปรียญ นายสุดเปรียญ นายจุ รวม ๔ นายเปนล่าม แปลออกเปนภาษาไทยเมื่อปีมเสงนพศก จุลศักราช ๑๒๑๙ พ.ศ. ๒๔๐๐ ต้นฉบับเดิมที่ได้มาเห็นจะเปนภาษารามัญ แลผู้แต่งเปนรามัญ เพราะพงษาวดารพม่าที่พม่าแต่งของเขามีอิกเรื่อง ๑ เรียกว่าเรื่องมหาราชวงษ์ ซึ่งหอพระสมุดกำลังแปลอยู่ เปนหนังสือยืดยาวหลายเล่มสมุดไทย

พงษาวดารล้านช้าง

หนังสือพงษาวดารล้านช้างมี ๒ ฉบับ พะบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดให้เรียบเรียงไว้ฉบับ ๑ พระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ไปได้ต้นฉบับตามภาษาเดิมส่งมาพิมพ์ไว้ในหนังสือวชิรญาณอิกฉบับ ๑ สอบกันดูเห็นฉบับของพระยาประชากิจกรจักรแม่นยำแลมีเรื่องราวชัดเจนดี จึงเอาฉบับของพระยาประชากิจกรจักรมาพิมพ์ในเล่มนี้ วิธีภาษาที่แต่งเปนภาษาไทยล้านช้างผิดกับภาษาไทยที่พูดกันข้างใต้ ผู้อ่านแต่แรกคงจะฉงนอยู่บ้าง แต่เมื่อพิเคราะห์ดูหรืออ่านไปให้ชินสักหน่อย ก็จะเข้าใจได้สดวกไม่ยากอันใด

หนังสือเล่มนี้ที่ให้ชื่อว่า “ประชุมพงษาวดารภาค ๑” เพราะเปนหนังสือพงษาวดารต่าง ๆ รวมกันเปนเล่มเดียว ซึ่งพิมพ์ขึ้นเปนคราวแรก ตำนานแลพงษาวดารต่าง ๆ ยังจะรวบรวมพิมพ์ต่อไปได้อิก เมื่อรวบรวมพิมพ์ขึ้นทีหลังจะได้เรียกเปนภาคที่ ๒ ที่ ๓ ให้เปนลำดับต่อกันไป ส่วนภาคที่ ๑ ที่รวมแต่เพียง ๖ เรื่องเท่าที่พิมพ์นี้ ขนาดเล่มก็พอควรอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าเชื่อว่า บรรดาผู้ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ โดยเฉภาะผู้ที่เอาใจใส่ศึกษาพงษาวดารแลโบราณคดี จะขอบพระเดชพระคุณแลอนุโมทนาในการซึ่งสมเด็จพระนางเจ้า พระมาตุฉา ได้โปรดให้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ประทานความรู้เปนสาธารณประโยชน์ อันควรนับว่าเปนพระกุศลอันจะมีผลถาวรวัฒนาการสืบไปตลอดกาลนาน.

ลายมือชื่อของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๕๗

สารบาน
พงษาวดารเหนือ
บานแพนก
น่า
เรื่องพระยาสักรดำตั้งจุลศักราช
เรื่องสร้างเมืองสวรรคโลก
เรื่องอรุณกุมารเมืองสวรรคโลก
เรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
๑๖
เรื่องสร้างเมืองพิศณุโลก
๑๙
เรื่องสร้างพระชินสีห์ พระชินราช
๒๑
เรื่องสร้างเสนาราชนคร
๒๓
เรื่องพระยากาฬวรรณดิศตั้งเมืองต่าง ๆ
๒๕
เรื่องที่กัลปนา
๒๖
ทำเนียบคณะสงฆ์
๒๗
เรื่องพระร่วงศุโขไทย
๒๘
เรื่องพระยาแกรก
๓๐
เรื่องพระนเรศวรหงษา
๓๘
เรื่องพระเจ้าสายน้ำผึ้ง
น่า ๔๓
เรื่องพระมาลีเจดีย์
๔๙
เรื่องพระยากง
๕๗
เรื่องพระเจ้าอู่ทอง
๖๓
เรื่องพระบรมราชาเมืองสวรรคโลก
๗๒
เรื่องขุนสิงหฬสาคร
๗๕
ตำนานพระแก้วมรกฎ
๗๙
พระนาคเสนปรารภจะสร้างพระแก้ว
๘๑
พระวิศุกรรมรับเปนช่างสร้างพระแก้ว
๘๓
เชิญพระบรมธาตุประดิษฐานในองค์พระแก้ว
๘๕
พระแก้วอยู่เมืองปาตลีบุตร
๘๗
พระแก้วอยู่เมืองลังกา
๘๙
พระแก้วอยู่เมืองอินทปัต
๙๓
พระแก้วอยู่กรุงศรีอยุทธยา
๑๐๑
พระแก้วอยู่เมืองกำแพงเพ็ชร
๑๐๓
พระแก้วอยู่เมืองเชียงใหม่
๑๐๕
พระแก้วอยู่เมืองหลวงพระบาง
๑๐๙
พระแก้วอยู่เมืองเวียงจันท์
๑๑๑
สารบาน
พระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐ
คำนำ
น่า ๑๑๓
แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
๑๑๕
แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๑)
๑๑๕
แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑
๑๑๕
แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๒)
๑๑๗
แผ่นดินสมเด็จพระรามราชาธิราช
๑๑๗
แผ่นดินสมเด็จพระอินทราชา
๑๑๗
แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒
๑๑๘
แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
๑๑๙
แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ (พระอินทราชาที่ ๒)
๑๒๒
แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
๑๒๒
แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร
๑๒๔
แผ่นดินสมเด็จพระรัฏฐาธิราช
๑๒๔
แผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาธิราช
๑๒๔
แผ่นดินสมเด็จพระยอดฟ้า
๑๒๖
แผ่นดินขุนชินราช
๑๒๖
แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
๑๒๖
แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
๑๓๑
แผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
๑๓๖
สารบานจาฤกศิลา
อธิบายจาฤกศิลาวัดจุฬามณี
น่า ๑๓๙
จาฤกศิลาวัดจุฬามณี
๑๔๐
จาฤกหลักศิลาศุโขไทยที่ ๑
๑๔๓
จาฤกหลักศิลาเมืองศุโขไทยที่ ๒
๑๔๘
แปลหลักศิลาเมืองศุโขไทยที่ ๒
๑๕๒
จาฤกแผ่นศิลาเมืองกำแพงเพ็ชร
๑๕๑
สารบานพงษาวดารเขมร
บานแพนก
น่า ๑๖๕
ตั้งราชธานีที่นครหลวง
๑๖๗
นครธม
๑๖๘
พนมเพ็ญ
๑๖๙
เมืองปาสาณ
๑๗๐
เมืองลแวก
๑๗๑
เมืองศรีส่อชอ
๑๗๗
พนมเพ็ญ
๑๗๙
เมืองอุดงฦๅไชย
๑๘๐
เมืองบันทายเพ็ชร
๒๐๘
สารบานพงษาวดารพม่ารามัญ
บานแพนก
น่า ๒๖๙
พระพุทธทำนายเรื่องเมืองหงษาวดี
๒๗๑
เรื่องพระเจ้าเสนะคงคาได้บุตรีนางนาคเปนมเหษี มีโอรส ๒ องค์
๒๗๔
เรื่องสร้างเมืองหงษาวดี
๒๗๖
ลำดับกระษัตริย์กรุงหงษาวดี
๒๘๑
เรื่องพระเจ้าดิศราชา
๒๘๒
เรื่องพระเจ้าอลังคจอสูตีเมืองหงษาวดี
๒๘๖
เรื่องพระเจ้าฟ้ารั่ว
๒๘๗
เรื่องพระยาอู่
๒๙๑
เรื่องพระยาแก่นท้าว
๒๙๓
เรื่องนางพระยาท้าว
๒๙๕
เรื่องพระเจ้าธรรมเจดีย์ (ปิฎกธร)
๒๙๗
เรื่องพระยาราม
๒๙๙
เรื่องพระเจ้าพะธิโรราชา
๓๐๐
เรื่องพระเจ้าฝรั่งมังโสตถิ์
๓๐๒
เรื่องพระเจ้าฝรั่งมังตรี
๓๐๔
เรื่องพระเจ้านันกู
๓๐๖
เรื่องกับตันหันชรา
๓๑๑
เรื่องพระเจ้าปราสาททองกลดแก้ว
น่า ๓๑๒
เรื่องพระเจ้านันตยะ
๓๑๕
เรื่องพระเจ้ามังรายกะยอของ
๓๑๗
เรื่องพระเจ้ามังลาวะมิน
๓๒๑
ไทยเปนไมตรีกับพม่า
๓๒๑
เรื่องสมิงธอกวย
๓๒๓
เรื่องพระเจ้าหงษาวดีตีเมืองอังวะ
๓๔๕
เรื่องอองไชยะมังลอง
๓๕๙
มังลองได้เมืองหงษาวดี ได้เปนเจ้าอังวะ
๓๖๗
เรื่องมังลอก
๓๗๑
เรื่องมองระ
๓๗๒
เรื่องจิงกุจา
๓๗๘
เรื่องปะดุง
๓๗๙
เรื่องจักกายแมง
๓๘๕
เรื่องพม่ารบกับอังกฤษ
๓๘๕
สารบานพงษาวดารเมืองล้านช้าง
ต้นวงษ์กระษัตริย์เมืองล้านช้าง
น่า ๓๘๗
สร้างเมืองล้านช้าง
๓๘๘
ขุนชวาสร้างเมืองเชียงคง เชียงทอง
๓๘๙
ผีกับคนยังไปมาหากันได้
๓๘๙
สามขุนสร้างเมืองลุ่ม (คือเมืองมนุษย์)
น่า ๓๙๐
แถนบันดาลให้น้ำท่วมเมืองลุ่ม
๓๙๐
พระยาแถนให้มนุษย์ไปอยู่ที่บึงดอน
๓๙๐
ปู่ลางเชิงเผาเหล็กแดงเจาะผลน้ำเต้า
๓๙๑
ปู่ลางเชิงสอนให้มนุษย์ทำไร่ไถนา
๓๙๑
มนุษย์เกิดจากน้ำเต้า
๓๙๑
สองขุนลงมาสร้างบ้านสร้างเมือง
๓๙๒
ขุนเด็กขุนคานขึ้นไหว้พระยาแถน
๓๙๒
พระยาแถนใช้ให้ขุนบูลมมหาราชาธิราชลงมาเมืองมนุษย์
๓๙๒
มนุษย์ยอมตนเปนบ่าวไพร่ขุนบูลม
๓๙๒
ขุนบูลมปฤกษาการทำมาหากินกับขุนทั้งหลาย
๓๙๓
พระยาแถนใช้ให้แถนแต่งแลพิศณุกรรมลงมาบอกการงานแก่มนุษย์
๓๙๓
แถนสั่งสอนขุนบูลมให้เปนท้าวเปนพระยาในมนุษย์
๓๙๔
พระยาแถนห้ามไม่ให้มนุษย์ไปมาหาแถน
๓๙๕
เครือเขากาดเกิดเปนอุบาทว์
๓๙๕
เถ้าเยอเถ้าย่าตัดเครือเขากาด
๓๙๖
ช้างเขียวงาก้อม (งาสั้น) ล้ม
๓๙๗
ขุนบูลมแบ่งแก้วแหวนให้แก่บุตร
๓๙๘
ขุนบูลมสั่งสอนบุตร
๓๙๘
ขุนบูลมถึงอนิจกรรม
๓๙๙
ขุนลอสั่งชาวเมือง
น่า ๓๙๙
ขุนลอยกรี้พลมาถึงแม่น้ำของ
๔๐๑
ขุนลอมีบุตรชายแลสืบวงษ์กันมา
๔๐๒
ท้าวผีฟ้าทำชู้ด้วยนางสนม
๔๐๔
ฟ้างุ่มเกิด
๔๐๔
บุตรฟ้างุ่มเปนพระยาแทนบิดา
๔๐๕
ลูกฟ้าคืนเปนพระยาชื่อพระยาไค
๔๐๖
พระยาคำเกิดเสวยราชย์
๔๐๗
มหาเทวีเปนเจ้าถูกสำเร็จโทษ
๔๐๗
พระยาไชยจักรพรรดิทิ้งเมืองหนีไปเชียงคาน
๔๐๘
พระยาไชยจักรพรรดิถึงอนิจกรรม
๔๐๙
พระสุวรรณปาสังเสวยราชย์
๔๑๐
พระยาล่าน้ำถึงอนิจกรรม
๔๑๐
พระวิชุณหราชเสวยราชย์
๔๑๐
โพธิสารราชกุมารเสวยราชย์
๔๑๑
อุปัทวะเกิดในเมืองลานนาเชียงใหม่
๔๑๓
ลูกพระเจ้าหงษาวดีกับพระเจ้าอังวะขับไล่พระยาสามล้าน
๔๑๔
พระไชยเชษฐาธิราชสร้างบ้านเมือง
๔๑๔
อภิเศกพระยาแสนสุรินทรขว้างฟ้าเปนกระษัตริย์
๔๑๕
พวกโจรยวนตีพระเจ้าล้านช้าง
๔๑๖
เมืองล้านช้างส่วยเมืองหงษาวดี
๔๑๗
เกิดคนอุบาทว์
น่า ๔๑๗
ตั้งพระยาแสนสุรินทรขว้างฟ้าเปนเจ้าล้านช้าง
๔๑๘
พระยาแสนสุรินทร์ตาย
๔๑๘
พระสังฆราชไปขอพระหน่อเมืองเปนเจ้าล้านช้าง
๔๑๙
พระธรรมิกราชกับพระอุปยุวราชผิดกัน
๔๑๙
พระโพธิสารราชถึงอนิจกรรม
๔๒๐
เกิดกระลียุคในเมืองศรีฟ้าวาหะหัวขาว
๔๒๒
พระยาสุริยวงษาครองเมืองลาว
๔๒๒
เจ้าเมืองศรีฟ้าตาย
๔๒๓
พระยานันทราชมาตีเวียงจันท์
๔๒๓
เจ้ากิ่งกิจกับหม่อมน้อยมาอยู่เมืองหลวง
๔๒๔
พระไชยองค์แวเสวยราชย์ในเวียงจันท์
๔๒๔
เจ้ากิ่งกิจเสวยราชย์ในเมืองหลวงพระบาง
๔๒๕
กล่าวถึงเจ้าองค์คำ
๔๒๘
เจ้าเชียงใหม่ถึงอนิจกรรม
๔๒๙
พระยาจ่าบ้านกับอำมาตย์เสียงโอ (ขัน) คำ
๔๒๙
เจ้าองค์คำเสวยราชย์ในเมืองลานนา
๔๒๙
เจ้าสารบวชอยู่วัดใหม่
๔๓๐
ท้าวอินนำขอเปนหมื่นน่า
๔๓๐
เจ้าอินทโฉมเสวยราชย์ในเมืองล้านช้าง
๔๓๑
เจ้าอินทโฉมถึงอนิจกรรม
๔๓๑

  1. ในคำอธิบายหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัดถเลขาว่ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทนั้นผิดไป

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก

Public domainPublic domainfalsefalse