ข้ามไปเนื้อหา

ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 2 (2457)

จาก วิกิซอร์ซ
ดูฉบับอื่นของงานนี้ที่ ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 2
ตราของราชบัณฑิตยสภา
ตราของราชบัณฑิตยสภา
โบราณคดีสโมสร
โบราณคดีสโมสร
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๒
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
มีพระราชเสาวนีดำรัสสั่งให้พิมพ์พระราชทานในงานศพฟักทองราชินิกูล
พ.ศ. ๒๔๕๗
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทย สพานยศเส
กรุงเทพฯ

คำนำ

สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนีพระพันปีหลวง มีพระราชประสงค์จะทรงพิมพ์หนังสือช่วยงานศพฟักทองราชินิกูลในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเปนภรรยาพระยาจ่าแสนบดี (เดช) มีพระราชเสาวนีดำรัสสั่งให้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณเลือกหาเรื่องหนังสือซึ่งจะพิมพ์แจกในงานศพ กรรมการได้รวบรวมพงษาวดารเกร็ดเรื่องต่าง ๆ ซึ่งมีต้นฉบับอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณพิมพ์เปนภาคที่ ๒ พิมพ์อิกภาค ๑ ด้วยหนังสือพงษาวดารเกร็ดมีมาก จะพิมพ์เรื่องใดแต่เรื่องเดียวก็น้อยไป จะรวบรวมพิมพ์คราวเดียวให้หมด หนังสือก็มาก แลหอพระสมุดก็หาได้ใหม่อยู่เสมอ จึงได้ตกลงว่า จะรวมพิมพ์ไปเปนภาค ๆ ได้รวมพิมพ์ภาคที่ ๑ ไปส่วน ๑ แล้ว เล่มนี้เปนภาคที่ ๒ เลือกเฉภาะพงษาวดารเกร็ดหัวเมืองที่เกี่ยวทางปักษ์ใต้ฝ่ายตวันตก คือ

เรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เปนแบบแผนราชการตั้งแต่ครั้งกรุงเก่ามาในเรื่องตั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เปนหนังสือในทางราชการ นับว่า เปนหนังสือดีเรื่อง ๑

พงษาวดารเมืองถลาง หนังสือเรื่องนี้เปนคำให้การ ดูเหมือนจะจดในรัชกาลที่ ๕ กล่าวด้วยเรื่องราวเมืองถลาง คือ เกาะภูเก็จ หนังสือเรื่องนี้หอพระสมุดได้มาจากมณฑลภูเก็จ

พงษาวดารเมืองไทรบุรี

พงษาวดารเมืองตรังกานู

พงษาวดารเมืองกลันตัน

หนังสือพงษาวดารเหล่านี้ดูเหมือนจะได้แต่งขึ้นในรัชกาลที่ ๔ จะมีเพิ่มเติมในรัชกาลที่ ๕ บ้าง รวมพงษาวดารเกร็ดเปน ๕ เรื่อง ซึ่งเห็นว่า พอควรเข้าเล่มเปนของพระราชทานแจกในงานศพฟักทองราชินิกูลได้ ได้นำความกราบบังคมทูลแด่สมเด็จพระบรมราชินีนารถ พระบรมราชชนนี ก็ทรงพระราชดำริห์เห็นชอบด้วย จึงได้ให้พิมพ์หนังสือเล่มนี้ แต่ส่วนประวัติของฟักทองนั้น เจ้าภาพรับเปนธุระเรียง ไม่เกี่ยวแก่กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ

  • ลายมือชื่อของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
  • หอพระสมุดวชิรญาณ
  • วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๗

การศพวัดราชาธิวาศ
วันที่ ๔ มิถุนายน พระพุทธศักราช ๒๔๕๗
คำนำ
การศพท่านฟักทอง ต.จ. ภรรยาพระยาจ่าแสนบดี (เดช)

ในสมัยซึ่งเปนโอกาศอันควรที่ข้าพเจ้าผู้เปนบุตรีจะได้แสดงประวัติสำหรับท่านฟักทอง ผู้มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว และได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชทานเพลิงศพเปนศพหลวง และสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนารถ พระราชชนนีพระพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานหนังสือประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๒ ซึ่งพิมพ์ขึ้นสำหรับแจกในงานครั้งนี้ บรรดาบุตรหลานทั้งปวงของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วย่อมเต็มตื้นไปด้วยความปรีดาปราโมทย์ในพระมหากรุณาธิคุณ และรู้สึกว่า จะได้เปนเกียรติยศอยู่ในสกูลนี้ชั่วกาลนาน ข้าพเจ้า ผู้เปนบุตรี จึงได้แต่งประวัติของมารดาโดยย่อ ๆ พอเปนที่ระฦกไว้ในน่ากระดาด ดังต่อไปนี้

ประวัติ

ฟักทอง ต.จ. ภรรยาพระยาจ่าแสนบดี (เดช) เกิดวันพฤหัศบดี เดือน ๘ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีระกา นพศก พระพุทธศักราช ๒๓๙๐ เปนบุตรีที่ ๒๒ ของพระยาราชสุภาวดี (ปาล) ซึ่งนับเนื่องอยู่ในพวกราชินิกูลในรัชกาลที่ ๕ ด้วยว่าพระยาราชสุภาวดี (ปาล) เปนบุตรพระยาสุรเสนา (คุ้ม) แลท่านปิ่นเปนมารดา ท่านปิ่นเปนน้องร่วมบิดามารดาของอัยกีแห่งพระชนนีในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระยาราชสุภาวดี (ปาล) มีบุตรทั้งชายแลหญิงรวม ๔๖ คน มารดาฟักทองชื่อ ทองคำ เปนบุตรีพระยาเมืองจัน ตระกูลเมืองเวียงจันทน์ ภายหลัง พระยาราชสุภาวดีได้มอบการงานบ้านเรือนและภรรยาชั้นเล็ก ๆ ให้ทองคำเปนผู้ปกครองดูแลตลอด ทองคำมีบุตร ๒ คน ๆ ใหญ่เปนหญิงชื่อ ฟักทอง คนเล็กเปนชายชื่อ นกเล็ก ซึ่งได้เปนซายัน (คือ นายสิบเอก) กรมทหารมหาดเล็ก เมื่อต้นรัชกาลที่ ๕ แต่ได้ถึงแก่กรรมเสียแต่ยังหนุ่ม ๆ ครั้นฟักทองมีอายุเจริญวัย ก็ได้เปนผู้ชิดใช้ใกล้บิดา และเปนผู้ที่ทำการงานดี เปนที่รักใคร่ของบิดายิ่งนัก

เมื่อพระยาราชสุภาวดี (ปาล) ถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สมบัติเปนอันตรธานไปด้วยความไม่ปรองดองกันในวงษ์ญาติ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีจึงได้ทรงรับเปนเจ้าภาพทำศพพระยาราชสุภาวดี (ปาล) ที่วัดสระเกษ แต่เฉภาะเปนเวลากำลังทรงพระครรภ์อยู่ จะเสด็จไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยกำลังพระองค์ไม่ได้ จึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น เสด็จไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลแทนพระองค์ทั้ง ๓ วัน ต่อถึงวันพระราชทานเพลิง สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีจึงได้โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปพระราชทานเพลิง

ครั้นพระราชทานเพลิงศพพระยาราชสุภาวดี (ปาล) เสร็จแล้ว ทองคำจึงได้รวบรวมเงินทองซึ่งมีอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เดิมนั้นมาแต่งงานให้ฟักทองอยู่กินกับหลวงเสนาภักดี คือ พระยาจ่าแสนบดี (เดช) นั้น ตามยากตามจน เปนเงินทุน ๕ ชั่ง สินสอดชั่งหนึ่ง ฟักทองก็ได้อุส่าห์ช่วยสามีทำมาหากินจนกลับมั่งคั่งตั้งตัวได้ดีกว่าพี่น้องทุกคน ที่บ้านของบิดาซึ่งตั้งอยู่ณตำบลสามเพ็งใกล้วัดจักรวรรดิราชาวาศกำลังจะตกไปเปนของผู้อื่นอยู่แล้ว ก็ได้รับซื้อไว้ทั้งสิ้น ซึ่งมีราคาปรากฏณภายหลัง โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงซื้อ ๒ คราวเปนเงิน ๒๘๑๓ ชั่ง ซึ่งได้เปนที่รวบรวมและที่พะพิงอาศรัยของญาติพี่น้องในเวลานั้น ครั้นเลื่อน บุตรีฟักทอง ได้ทำการวิวาหมงคลกับหลวงฤทธินายเวร (พุด เทพหัสดิน) ก็ได้ให้เงินเปนทุน ๕๐ ชั่ง บุตรผู้เกิดแต่ภรรยาน้อยอิก ๖ คนก็ยังได้อุปการะตกแต่งให้ได้มีเย่าเรือนไปทั้งสิ้น

ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้เสวยราชสมบัติแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเบี้ยหวัดให้ฟักทองได้รับพระราชทานอยู่ในพวกราชินิกูลปีละ ๑๐ ตำลึง แล้วพระราชทานเพิ่มขึ้นเปนลำดับมาจนถึงปีละชั่งหนึ่ง กับได้พระราชทานหีบหมากจุลจอมเกล้าชั้นที่ ๓ ในงานบรมราชาภิเศกครั้งที่ ๒ นั้นด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระมหากรุณาแก่ฟักทองซึ่งเปนผู้ที่สามารถกู้สมบัติและสกูลไว้ได้ มิได้ทำให้ขายใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทนั้น

โดยที่ทรงพระมหากรุณาแก่ฟักทอง จึงได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงตลอดมาจนถึงเลื่อน เทพหัสดิน ซึ่งเปนบุตรีฟักทอง ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเบี้ยหวัดให้อยู่ในพวกราชินิกูลเหมือนมารดา และเมื่อพระพุทธศักราช ๒๔๓๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้าเจ้าชั้นที่ ๓ แก่ฟักทอง ก็ได้พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นที่ ๔ แก่เลื่อน เทพหัสดิน ด้วย ครั้นต่อมา ฟักทองป่วยจักษุมืดทั้ง ๓ ข้าง มิได้เข้าเฝ้าใต้ฝ่าลอองพระบาทได้เหมือนแต่ก่อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนชั้นเครื่องอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นที่ ๓ พระราชทานเลื่อน เทพหัสดิน เปนส่วนพิเศษ ซึ่งสามีมิได้รับพระราชทานพานทองนั้น ได้มีผู้ที่ได้พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้าชั้นที่ ๓ เฉภาะเลื่อน เทพหัสดิน บุตรีฟักทอง ผู้เดียว

เลื่อน เทพหัสดิน ได้มีบุตรชายหญิง คือ นายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ (ผาด เทพหัสดิน) ๑ ลม้าย เทพหัสดิน ๑ นายพันตรี หลวงอภิบาลภูวนารถ (จำรัส เทวคฤหปาล) ๑ เพ็ญ ภรรยาหลวงสุวพิทย์พิสุทธิ (กระแส อมาตยกุล) ๑ รวม ๔ คน ซึ่งยังมีชื่อเสียงสืบเชื้อวงษ์มาจนทุกวันนี้

ครั้นฟักทองถึงแก่กรรมลงในรัชกาลปัตยุบันนี้ ก็ได้รับพระมหากรุณาพิเศษได้พระราชทานหีบทองทึบและผ้าไตร ๕ ไตร พระราชทานน้ำอาบศพเปนเกียรติยศ ใช่แต่เท่านั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปนศพหลวงด้วย เชื่อว่า เปนเกียรติยศแก่ฟักทองยิ่งกว่าญาติพี่น้องทั้งปวง และน่าเปนที่ยินดีในหมู่บุตรหลานของฟักทอง โดยที่ฟักทองได้เปนสัตรีที่แปลกอยู่ในสกูลนี้

และถ้าคิดสำหรับสัตรีทั่วไปก็ควรจะเห็นเปนตัวอย่างได้ด้วยว่า ความเจริญสำหรับสัตรีนั้นไม่จำเภาะแต่ผู้ที่มีทรัพย์มากเลย แม้จะมีทุนเพียง ๕ ชั่งเช่นนี้ ถ้ามีอุสาหขวนขวายหรือรู้จักเก็บงำเช่นฟักทองแล้ว ก็อาจมั่งคั่งตั้งวงษ์สกูลได้เหมือนกัน

ซึ่งข้าพเจ้ายกเอาเหตุแห่งความยากจนมารำพรรณโดยไม่ปกปิดเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เปนประโยชน์แก่เพื่อนสัตรีทั้งหลายซึ่งควรจะเห็นความอุสาหพากเพียรของท่านแต่ก่อนซึ่งตั้งตัวได้จนมีชื่อเสียง อันต้องนับว่า ผู้หญิงก็เปนหลักสำคัญของสามีและของสกูลส่วนหนึ่ง เมื่อบุรุษใดได้ภรรยาดีแล้ว ย่อมจะเจริญในวงษ์สกูลได้ดังตัวอย่างในประวัตินี้

เลื่อน เทพหัสดิน

ป,ล, ประวัติที่เจ้าภาพเรียงนี้มีข้อความอธิบาย แลเจ้าภาพได้ขอให้กรรมการจดอธิบายไว้น่อยหนึ่ง คือ ที่นามสกุลนายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ ลงไว้ว่า เทพหัสดิน แต่นามสกุลนายพันตรี หลวงอภิบาลภูวนารถ ผู้เปนน้องชายร่วมบิดามารดา ลงไว้ว่า เทวคฤหปาล ผิดกันอยู่ดังนี้นั้น ถ้าไม่อธิบาย ผู้อ่านจะไม่เข้าใจว่า เหตุใดจึงผิดกัน นามสกุล เทพหัสดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่บรรดาผู้ซึ่งสืบสกุลวงษ์ลงมาจากพระยาราชภักดี (ช้าง) ๆ เปนหลานกรมหลวงเทพหริรักษ์ พระยาไชยสุรินทร์ (เจียม) เปนบุตรพระยาราชภักดี (ช้าง) หลวงนายฤทธิ (พุด) เปนบุตรพระยาไชยสุรินทร์ (เจียม) นามสกุลว่า เทพหัสดิน จึงสืบลงมาถึงพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ (ผาด) บุตรคนใหญ่ดำรงสกุลข้างฝ่ายบิดา แต่เลื่อน ต.จ. ผู้เป็นมารดา สืบสกุลลงมาจากฟักทองราชินิกูล ซึ่งมีสกุลวงษ์อิกสาย ๑ เกรงนามสกุลวงษ์สายนี้จะสูญเสีย ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอภิบาลภูวนารถ (จำรัส) ซึ่งเปนบุตรที่ ๒ มีนามสกุลว่า เทวคฤหปาล เพื่อจะให้ดำรงวงษ์สกุลข้างฝ่ายมารดาไว้มิให้สูญ ด้วยเหตุนี้ พี่น้อง ๒ คนนี้จึงมีนามสกุลต่างกัน

ด.ร.

สารบาน
น่า
๑๑
๓๓
๔๔
๕๖
๖๙
๑๐๐
๑๑๗

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก

Public domainPublic domainfalsefalse