ห้องสิน/เล่ม ๑/ตอน ๔
หน้า ๕๙–๗๒ สารบัญ
ฝ่ายเชาชวนต๋ง ครั้นมาถึงเมืองกีจิวเฮ้า ก็เข้าไปคำนับบิดา แล้วเล่าเนื้อความซึ่งได้รบกับซ่องเฮกเฮ้าจนซ่องเฮกเฮ้าปล่อยตัวมาให้แก่บิดาฟังทุกประการ เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีใจยินดีนัก จึงเล่าความซึ่งกีเซียงให้หนังสือมานั้นให้เชาชวนต๋งฟัง แล้วจึงว่า ประเพณีพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นใหญ่แก่คนอันเป็นข้าอยู่ในขอบขัณฑเสมา ตัวเราก็เป็นข้าแผ่นดิน ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน บัดนี้ พระมหากษัตริย์จะต้องพระราชประสงค์บุตรเรา แม้นเราจะอาลัยขืดขันไว้ไม่ถวายครั้งนี้ ก็จะได้ความเดือดร้อนแก่ไพร่บ้านพลเมือง ควรบิดาจะพานางขันกีผู้น้องเจ้าไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋องตามประสงค์ จึงจะชอบ เจ้าจงอยู่รักษาเมืองบำรุงราษฎรเถิด บิดาไปไม่ช้านักก็จะกลับคืนมา เชาฮูว่าดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง สั่งหญิงคนใช้ให้ไปหานางเฮียสีและนางขันกีมา แล้วเชาฮูจึงเล่าเนื้อความทั้งปวงซึ่งกีเซียงมีหนังสือมานั้นให้ฟังทุกประการ นางเฮียสีครั้นแจ้งว่า บุตรจะจากอกไปดังนั้น มีความอาลัยนัก จึงร้องไห้วิงวอนเชาฮูผู้สามีว่า ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนเดียว รักดังดวงชีวิต หวังว่าจะได้เห็นหน้ากันเมื่อยามไข้เจ็บ ข้าพเจ้าเล่าก็ตั้งใจจะฝากผีแก่บุตร ซึ่งท่านจะพรากบุตรข้าพเจ้าไปถวายพระเจ้าติวอ๋องนั้น ข้าพเจ้าก็จะมีแต่ความระกำใจ ขอท่านจงดำริดูก่อนเถิด เชาฮูได้ฟังภรรยาว่ากล่าววิงวอนดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ แล้วว่าแก่ภรรยาว่า เดิมเราก็คิดอยู่ว่า จะสู้เสียชีวิต หวังจะมิให้เสียบุตร จึงทำการรบพุ่งกับซ่องเฮ่าเฮ้า จนซ่องเฮกเฮ้าจับเชาชวนต๋งไปได้ ทหารทั้งปวงก็ล้มตายเป็นอันมาก ถ้าและเมืองกีจิวเฮ้าเสียลงในครั้งนี้ ราษฎรทั้งปวงก็จะพลอยฉิบหายด้วย และผู้ซึ่งได้ความเดือดร้อนก็จะนินทาว่า เกิดจลาจลทั้งนี้เพราะบุตรเราผู้เดียว และซึ่งกองทัพเลิกกลับไปนั้นก็เพราะเรารับคำกีเซียงว่า จะพาบุตรไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นเราจะคืนคำเสีย กีเซียงก็จะติเตียนว่า เราเจรจาไม่จริง แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็จะยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองเราอีก ซึ่งจะต้านทานกำลังพระเจ้าติวอ๋องนั้นก็เหมือนหนึ่งเอาฟางทอดลงกลางกองเพลิงสำหรับแต่จะฉิบหายไป ประการหนึ่ง ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงก็จะนินทาว่า เราหากตัญญูต่อแผ่นดินไม่ ความชั่วก็จะติดตัวอยู่ตราบเท่าสิ้นชีวิต ซึ่งเกิดการทั้งนี้เพราะสำหรับกรรมของเราเอง เจ้าอย่าโศกเศร้านักเลย
นางเฮียสีจึงว่า ซึ่งท่านขัดพระราชอาญามิได้และจะพาบุตรไปก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าคิดวิตกว่า ถ้าพระเจ้าติวอ๋องโปรดปรานบุตรเราอยู่ ข้าพเจ้ากับท่านก็จะค่อยมีความสุข ถ้าและพระเจ้าติวอ๋องไม่โปรดปรานบุตรเรา เราก็จะยิ่งมีความทุกข์ทวีไป ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็สำหรับแต่จะตรอมใจตาย เชาฮูจึงว่า พระเจ้าติวอ๋องต้องพระราชประสงค์บุตรเรา เราก็บิดพลิ้วอยู่มิได้ถวายจนยกกองทัพมาตีเมืองเรา บัดนี้ เราเกรงกลัวพระราชอาญาจึงยอมถวายบุตร ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องจะโปรดและมิโปรดนั้นก็ตามวาสนาของนางขันกีเถิด ใช่ว่าเราสวามิภักดิ์ถวายบุตรโดยดีเมื่อไรเล่า การทั้งนี้ก็เพราะความจำใจ ซึ่งจะคิดดังนั้นหาควรไม่ เจ้าจงหักใจเสียเถิด นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิอาจที่จะว่าประการใด เชาฮูกับนางเฮียสีก็สั่งสอนบุตรทุกประการ แล้วเรียกเชาชวนต๋งเข้ามาสั่งให้จัดแจงทหารสามพัน กับขุนนางห้าร้อย เกวียนบรรทุกทรัพย์สิ่งของ และรถสำหรับนางให้พร้อมไว้ เชาชวนต๋งก็ไปจัดตามคำเชาฮูสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูก็ให้จัดแจงทรัพย์สิ่งของทั้งปวงบรรทุกเกวียน พร้อมแล้วจึงสั่งหญิงคนใช้ให้ไปเชิญนางขันกีผู้บุตร นางขันกีได้แจ้งดังนั้นก็เข้าไปยังนางเฮียสีผู้เป็นมารดา แล้วร้องไห้ว่า ข้าพเจ้าตั้งใจจะอยู่สนองคุณท่านกว่าจะหาชีวิตไม่ บัดนี้ ก็เป็นผลกรรมของข้าพเจ้าแล้ว ท่านจงค่อยอยู่จงดีเถิด ซึ่งข้าพเจ้าไปครั้งนี้ที่ไหนจะได้กลับมาเห็นท่านอีกเล่า นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็กอดนางขันกีเข้าร้องไห้ด้วยความอาลัยมิใคร่จะจากกันได้ หญิงคนใช้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ปลอบนางเฮียสีและนางขันกีว่า ซึ่งท่านจะมาร้องไห้รักกันอยู่ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นหาควรไม่ การทั้งนี้จำเป็นจำจากกัน ขอท่านจงระงับความโศกเสียเถิด บัดนี้ เชาฮูคอยท่าอยู่ นางเฮียสีได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายโศกลงเพราะความจนใจ หญิงคนใช้ก็คำนับเชิญนางขันกีไปขึ้นรถ เชาฮูก็ขึ้นม้า ให้ยกทหารออกจากเมืองกีจิวเฮ้า เชาชวนต๋งก็ตามออกไปส่งทางไกลเมืองประมาณสิบเส้น แล้วคำนับลาบิดากลับมาเมือง
ขณะนั้น เชาฮูจึงให้เอาธงแพรเหลืองสองคันให้ทหารถือไปหน้า และธงนั้นจารึกเป็นตัวอักษรว่า กุยหยิน แปลเป็นคำไทยว่า ผู้มีบุญ และเชาฮูให้ทหารรีบเดินประมาณทางเจ็ดวันก็ถึงเมืองอินจี๋น พอเวลาจวนจะพลบค่ำ เชาฮูจึงเข้าไปที่กงก๋วนเป็นที่ตำแหน่งขุนนางไปมาราชการเข้าหยุดพัก
ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงออกมาคำนับเชาฮู แล้วถามด้วยกิจราชการ เชาฮูก็แจ้งเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วเชาฮูจึงสั่งแก่เจ้าพนักงานว่า เวลาค่ำวันนี้ เราจะให้บุตรเราเข้าหยุดพักในกงก๋วนนี้ ท่านจงเร่งจัดแจงการให้พร้อมไว้ เจ้าพนักงานซึ่งรักษากงก๋วนจึงบอกแก่เชาฮูว่า ในกงก๋วนนี้ ประมาณสามปีมาแล้ว มีปิศาจร้ายย่อมกระทำอันตรายแก่ผู้ไปมาราชการซึ่งมาหยุดพักในกงก๋วนนี้เนือง ๆ อยู่ ซึ่งท่านจะไว้บุตรในกงก๋วนนี้ ขอท่านจงดำริดูก่อน เชาฮูได้ฟังเจ้าพนักงานว่าดังนั้นก็โกรธ จึงว่า เราจะพาบุตรไปถวายพระมหากษัตริย์ และบัดนี้ บุตรเราก็เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว เราจะเกรงอะไรกับปิศาจ ท่านจงเร่งไปจัดแจงการทั้งปวงให้พร้อมไว้เถิด เจ้าพนักงานก็ไปทำตามคำเชาฮูสั่งทุกประการ ครั้นเวลาพลบค่ำ เชาฮูจึงพานางขันกีเข้าไปในกงก๋วน ให้นางขันกีอยู่ห้องข้างในกับหญิงคนใช้ประมาณห้าสิบคนให้พิทักษ์รักษาอยู่ แล้วเชาฮูจึงสั่งให้ทหารสามพันล้อมอยู่นอกกงก๋วน ขุนนางห้าร้อยนั้นก็แบ่งออกเป็นสี่กองรักษาประตูทั้งสี่ด้าน ตัวเชาฮูนั้นอยู่ห้องนอก แต่คิดกริ่งใจอยู่ จึงถอดกระบี่วางไว้ข้างตัว ตามเทียนดูหนังสืออยู่ ร้องตรวจตราทหารทุกทุ่มยาม มิได้ประมาท
ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งรับคำนางเทพธิดาหนึงวาสีมากระทำให้พระเจ้าติวอ๋องปราศจากราชสมบัตินั้น ก็เที่ยวไปทั้งนอกเมืองในเมือง ยังมิได้ช่องที่จะทำการได้ ครั้นเห็นเชาฮูพาบุตรมาจะไปถวายแก่พระเจ้าติวอ๋อง หยุดพักในกงก๋วนวันนั้น จึงคิดว่า จะฆ่านางผู้นี้เสีย แล้วจะเข้าสิงอยู่ในรูปนาง จะล่อลวงให้พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงปราศจากราชสมบัติให้จงได้ เฮาหลีปิศาจคิดแล้วก็เข้าไปคอยท่วงทีอยู่ ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษ เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปในห้องนางขันกีอยู่นั้น และเมื่อขณะเฮาหลีปิศาจเข้าไปนั้นบันดาลเป็นลมไปถูกตัวเชาฮู เชาฮูนั้นให้เยือกเย็นไปทั่วสรรพางค์กาย เชาฮูก็คิดกริ่งใจอยู่ พอได้ยินเสียงคนใช้ซึ่งนอนอยู่กับนางขันกีนั้นร้องขึ้นว่า ยักษ์เข้ามาแล้ว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงฉวยกระบี่ ลุกขึ้นถือโคม เดินเข้าไปถึงประตูห้อง โคมดับไป เชาฮูก็กลับออกมาเรียกคนใช้ให้เร่งหาเพลิงมา
ขณะนั้น เฮาหลีปิศาจก็เข้าไปกระทำนางขันกีให้สิ้นชีวิต แล้วก็เข้าสิงอยู่ในกายนางนั้น แสร้งทำนอนอยู่เป็นปรกติ เชาฮูได้เพลิงจุดโคมแล้ว ก็เดินรีบกลับเข้าไปในห้อง เห็นหญิงคนใช้ทั้งปวงพากันตกตะลึงอยู่สิ้น เชาฮูจึงเปิดมุ้งเข้าไป เห็นนางขันกีนอนนิ่งเป็นปรกติอยู่ เชาฮูจึงถามว่า เมื่อหญิงคนใช้ร้องขึ้นว่ายักษ์เข้ามานั้น เจ้าเห็นหรือไม่ เฮาหลีปิศาจซึ่งเป็นนางขันกีจึงแสร้งบอกเชาฮูว่า ได้ยินเสียงคนร้อง แลไปก็มิได้เห็นตัวยักษ์ว่าเป็นประการใด ครั้นเห็นบิดาถือโคมเข้ามา ก็สิ้นความกลัว เชาฮูได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่า เดชบุญของเจ้าซึ่งจะได้เป็นข้าพระมหากษัตริย์ เทพยดารักษาอยู่ จึงมิได้เป็นอันตราย แล้วจึงว่าแก่หญิงคนใช้ทั้งปวง จงไปนอนหลับเสียให้เป็นปรกติเถิด เชาฮูก็กลับออกไปนอนจุดเทียนดูหนังสืออยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้า เชาฮูจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว เชิญนางขันกีขึ้นรถรีบไปทางประมาณสามวันก็ถึงเมืองจิวโก๋ เชาฮูจึงยับยั้งอยู่แต่นอกเมืองทางประมาณร้อยเส้น จึงใช้คนให้ถือหนังสือเข้าไปแจ้งความทั้งปวงแก่บู๊เสงอ๋อง
ฝ่ายบู๊เสงอ๋องได้แจ้งความในหนังสือเชาฮูดังนั้น จึงตอบหนังสือไป ให้เชาฮูพาบุตรเข้ามาในเมืองจิวโก๋เถิด แต่ไพร่พลทั้งปวงนั้นให้พักอยู่นอกเมืองก่อน เชาฮูแจ้งในหนังสือบู๊เสงอ๋อง ก็พานางขันกีมาอยู่ในเมืองจิวโก๋ตามคำบู๊เสงอ๋อง
ฝ่ายฮิวฮุน ฮุยต๋ง แจ้งความว่า เชาฮูพาบุตรมาถึงเมืองจิวโก๋แล้ว มิได้เห็นเชาฮูเอาสิ่งของใดมาคำนับ ก็มีใจพยาบาท จึงคิดกันว่า ชีวิตเชาฮูก็อยู่ในเงื้อมมือเรา ซึ่งเชาฮูพาบุตรมาถวายครั้งนี้ก็เพราะเราช่วยเพ็ดทูลพระเจ้าติวอ๋อง และเชาฮูมิได้รู้จักคุณเรา จำเราจะคิดหาสิ่งผิดใส่เชาฮูให้จงได้ สืบไปเมื่อหน้าจึงจะรู้คุณเราบ้าง ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้า ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง ณ พระที่นั่งข้างใน แล้วกราบทูลว่า บัดนี้ เชาฮูพาบุตรมาถึงแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็คิดขึ้นมาถึงเมื่อเชาฮูทำหยาบช้าไว้แต่หลัง ก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่า เชาฮูนี้เป็นคนหยาบช้าหากตัญญูมิได้ เราจะเอาโทษเสียครั้งหนึ่งแล้ว เพราะท่านทั้งสองว่ากล่าวทัดทานเรา เราจึงปล่อยให้เชาฮูไป เชาฮูกลับเขียนโคลงเป็นข้อหยาบช้าไว้ที่บานประตูกงก๋วน มิหนำยังคิดกบฏแข็งเมืองอีกเล่า บัดนี้ เห็นจะสู้รบมิได้ มันจึงพาบุตรมาให้เรา ครั้นจะมิเอาโทษ สืบไปเมื่อหน้าขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง ฮินฮุน ฮุยต๋ง ได้ท่วงทีจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ลงโทษเชาฮูนี้ควรแล้ว ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จออก ณ พระที่นั่งเต๊กเตี้ยน แปลเป็นคำไทยว่า ท้องพระโรงเป็นที่เสด็จออก ขุนนางเฝ้าพร้อม เจ้าพนักงานจึงกราบทูลว่า เชาฮู เจ้าเมืองกีจิวเฮ้า จะเข้ามาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้เข้ามา
ฝ่ายเชาฮูรู้ว่า โทษตัวผิดอยู่แต่ก่อน ก็มิได้แต่งตัวตามธรรมเนียมขุนนาง ใส่เสื้อและกางเกงอย่งนักโทษ ครั้นเข้าไปถึงหน้าที่นั่งคุกเข่าลงคำนับแล้ว จึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้า เชาฮู ผู้โทษถึงตาย พาบุตรมาถวายตามแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ท่านสิจารึกโคลงไว้ที่ประตูกงก๋วนนั้นว่า ไม่ไปมาเมืองเราแล้ว เหตุไฉนตัวจึงมาเล่า ครั้นให้ซ่องเฮ่าเฮ้ายกทัพไป ตัวก็มิได้ออกมาอ่อนน้อม กลับตั้งแข็งเมือง ตัวคิดกบฏต่อเราแล้ว บัดนี้ คิดประการใดเล่า จึงมาอ่อนง้อ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้เอาตัวเชาฮูไปปรึกษาโทษตามกฎหมาย สิวเสี้ยงเสียงแคะ ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ได้ฟังดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะให้ปรึกษาโทษลงพระราชอาญาเชาฮูนั้นก็ควรอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า กีเซียงซึ่งเป็นเจ้าเมืองไซรเป๊กเฮ้าได้มีหนังสือเข้ามาถึงข้าพเจ้าฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า กีเซียงมีหนังสือไปว่ากล่าวเชาฮูว่า เชาฮูได้กระทำความผิดไว้แต่ก่อนเป็นข้อใหญ่ และให้เชาฮูจัดแจงบุตรไปถวายตามรับสั่งจึงจะชอบ เชาฮูก็กระทำตาม ข้าพเจ้าเห็นว่า เชาฮูรู้สึกตัวกลัวพระราชอาญาอยู่แล้ว ขอให้งดโทษเชาฮูไว้ครั้งหนึ่งก่อน ฮิวฮุน ฮุยต๋ง ได้ฟังสิวเสี้ยงเสียงแคะทูลดังนั้น จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งสิวเสี้ยงเสียงแคะกราบทูลขอโทษเชาฮูก็ควรอยู่แล้ว แต่ขอให้พาบุตรเชาฮูเข้ามาทอดพระเนตรก่อน แม้นบุตรเชาฮูรูปงามกว่าหญิงทั้งเมืองเหมือนคำเล่าลือ ชอบอัชฌาสัยแล้ว ก็ควรจะยกโทษเชาฮูไว้ ถ้าบุตรเชาฮูไม่งามเหมือนคำลือ มิได้ต้องพระประสงค์ ก็ควรให้ลงโทษเชาฮูถึงสิ้นชีวิต อย่าให้ขุนนางและทหารหัวเมืองทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างสืบไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลดังนั้น เห็นชอบด้วย มีความยินดี จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ไปรับตัวบุตรเชาฮูเข้ามา เจ้าพนักงานก็ออกไปพานางขันกีเข้ามาถวายให้พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตร
ฝ่ายเฮาหลีปิศาจซึ่งเข้าสิงกายนางขันกีอยู่นั้น ครั้นเจ้าพนักงานพาเข้ามาหน้าที่นั่ง จึงแสร้งทำจริตกิริยามารยาทปิศาจต่าง ๆ หวังจะให้ยั่วยวนพระทัย แล้วจึงกราบทูลว่า ตัวข้าพเจ้าชื่อ ขันกี เป็นบุตรเชาฮูซึ่งเป็นโทษ สวามิภักดิ์เข้ามา แล้วแต่จะโปรด พระเจ้าติวอ๋องครั้นเห็นรูปโฉมนางขันกีงามคล้ายเหมือนนางเทพธิดาหนึงวาสี และจะหาสตรีผู้ใดงามเสมอมิได้ ให้บังเกิดความรักใคร่ชอบอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก ยิ่งได้ฟังสำเนียงนางกราบทูลไพเราะอ่อนหวานจับพระทัย พระเจ้าติวอ๋องจึงให้เจ้าพนักงานประคองนางขันกียืนขึ้นทอดพระเนตรทั่วสรรพางค์กาย นางปิศาจก็ทำจริตกิริยาให้ชอบพระอัชฌาสัยต่าง ๆ พระเจ้าติวอ๋องพิศดูรูปโฉมนางขันกีพลางตรัสชมว่า นางขันกีบุตรเชาฮูคนนี้มีรูปทรงจริตกิริยามารยาทงามดังนางฟ้ามาแต่สวรรค์ สตรีในแผ่นดินจะได้งามเสมอเหมือนนางขันกีหามิได้ พระเจ้าติวอ๋องชอบพระอัชฌาสัยในนางขันกียิ่งนัก จึงสั่งให้เชาฮูพ้นโทษ เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ กินเมืองกีจิวเฮ้าดังเก่า แล้วให้เจ้าพนักงานจ่ายข้าวพระราชทานเชาฮูเสมอเดือนละสองพันหาบ ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเชาฮูสามวัน แล้วให้ขุนนางฝ่ายทหารสามนาย พลเรือนสองนาย คุมทหารไปส่งเชาฮูให้ถึงเมืองกีจิวเฮ้า เชาฮูมีความยินดีนัก จึงกราบถวายบังคมลาพระเจ้าติวอ๋องไป พระเจ้าติวอ๋องจึงให้ส่งนางขันกีเข้าไปข้างใน แล้วเสด็จขึ้น ขุนนางต่างคนต่างกลับไปบ้าน เดินพูดถึงเชาฮูไป
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง แต่ได้นางขันกีมาไว้ ก็ลุ่มหลงไปด้วยมารยาปิศาจ นางขันกีจะเพ็ดทูลว่ากล่าวสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบทุกประการ พระมเหสีและสนมนางในทั้งปวงก็มิอาจจะเพ็ดทูลทัดทานตักเตือนพระเจ้าติวอ๋องได้ไม่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่แต่ข้างใน มิได้ออกว่าราชการบ้านเมืองประมาณเดือนเศษ ข้อราชการในเมืองและหัวเมืองซึ่งบอกกิจราชการ และบรรณาการทั้งปวงซึ่งค้างอยู่มิได้กราบทูล ถ้าจะเก็บกองไว้ก็สูงเท่าภูเขาใหญ่ ขุนนางและราษฎรหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองจิวโก๋ถึงแปดร้อยเศษนั้น ครั้นหาผู้ที่จะตัดสินกิจสุขทุกข์มิได้ ก็ได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก